ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    this is the evidence proving that the boy called shinta has a heart. (end)

    ลำดับตอนที่ #13 : 11 - let's see where we wake up tomorrow.

    • อัปเดตล่าสุด 9 ส.ค. 62


    11
    "take my hand, 
    let's see where we wake up tomorrow
    best laid plans sometimes are just a one night stand
    i'd be damned cupid's demanding back his arrow
    so let's get drunk on our tears."



    .
    .


     




                มันเงียบสนิท

                เงียบเหมือนกับตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาตอนเช้าและพบว่ามันว่างเปล่า

     

                “เอย”

     

                คนที่บังคับพวงมาลัยให้เลื่อนไปเรียกชื่อของคนที่ทำเพียงแค่นั่งมองวิวข้างนอกมาตลอดทาง จ๊าบอยากจะเอื้อมไปจับมือเอยมากุมไว้ บอกเอยซ้ำๆว่าสุดท้ายถ้าไม่มีใครก็จะยังมีเขาเสมอเหมือนกับที่เอยทำตอนที่เขาอกหักฉิบหายจนไม่อยากเรียนมันแล้ว

                จ๊าบลอบถอนหายใจแล้วขับรถต่อไปถึงที่ที่เอยบอกว่าให้เขาไปส่งแถมยังบอกว่าให้เขาขับรถเอยกลับคอนโดตัวเองไปเลย

                มาสด้าสีขาวจอดลงหน้าคอนโดแห่งหนึ่งย่านสาทร คนที่ยังเหม่อลอยจนเขาต้องเอื้อมมือไปสัมผัสผิวเย็นๆที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตตัวบางที่อีกคนสวม เอยสะดุ้งเบาๆก่อนจะสบตาเขา และแม้ว่าในรถจะมืดแค่ไหน จ๊าบก็เห็นว่าหยดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาคู่นั้นมันกำลังจะทะลักออกมาพร้อมกับทุกๆอย่างที่กำลังจะพังทลาย

     

                “เอย .. มึงมีกูนะเว้ย มีทุกๆคน”

                “จ๊าบ”

     

                รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของคนที่เหมือนเดินแบกโลกทั้งใบมาเป็นหมื่นลี้แล้วทำให้จ๊าบอยากจะร้องไห้ บางครั้งการยิ้มมันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เขาอยากบอกเอยแบบนั้น ทำได้เพียงแค่ประสานมือตัวเองเข้าหามือเล็กๆนั่น เอยกระชับมือกลับก่อนจะกระซิบ

     

                “ขอบคุณนะ”

     

                จ๊าบมองแผ่นหลังของเอยที่หายลับไปจากกรอบสายตา สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ออกรถเพราะรู้ว่าการถามอะไรไปในตอนนี้มันก็เท่ากับการตอกย้ำทุกๆเรื่องราวในความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนจนเหมือนจะล้มลงมาซะให้ได้

                เขาไม่รู้เลยว่าเอยรู้เรื่องนี้มานานแค่ไหน แต่ใบหน้าของอีกคนรวมไปถึงแววตาที่จ้องมองทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น มันทำให้เขาเข้าใจคำว่า ‘disappointed but not surprised’ และการที่เอยไม่ตกใจกับสิ่งที่เห็นมันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดที่ปล่อยให้บ่าเล็กๆนั่นแบกอะไรไว้ตั้งมากมาย

                เขารู้สึกผิดจริงๆ

     

                “ … ”

     

                เอยหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดถึงให้เขาขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นนี้ได้ทั้งๆที่ไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง

                แต่มันดังอยู่ในหัว

     

                ‘1404’

                ‘อะไรอะ’

                ‘เลขที่ห้อง’

                ‘บอกเราทำไมเนี่ย’

                ‘คอนโด f .. เผื่อมีอะไร’

     

                เขาไม่รู้หรอกว่ามีอะไรของชินตะหมายความว่าอะไรกันแน่ แต่เขารู้แค่ว่าตอนนี้ เวลานี้ .. เขาเพียงต้องการสบตาคนที่จะทำให้เขาสงบได้เสมอ คนที่ทำแค่นั่งฟังเพลงและเฝ้าเขาอ่านตำราเงียบๆในขณะที่มือพร้อมจะส่งไฮไลท์ให้เขาขีดเน้นสิ่งสำคัญอยู่ตลอดเวลา

                นิ้วเรียวกดลงบนออด กดเพียงหนึ่งครั้งแล้วเฝ้ารอให้ประตูบานนั้นเปิดออกอย่างคาดหวัง

     

                “เอย”

     

                มันเหมือนกับตอนที่เราลงวิ่งแข่งบนสนามที่รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องชนะและเมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น นักกรีฑาทุกคนต้องออกตัววิ่งให้ไวเหมือนกับลม เอยทำแบบนั้น ตรงดิ่งเข้าไปกอดบางคน แนบใบหน้ากับไหล่กว้าง จมหายลงไปในอ้อมแขนแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนกับโลกทั้งใบถล่ม

                ชินตะกอดคนที่ตัวผอมกว่าที่เขาจินตนาการไว้แน่น แน่นพอที่จะทำให้เอยเชื่อว่าเขาแข็งแกร่งพอจะปกป้องอีกคนไว้และแน่นพอที่จะทำให้เอยมั่นใจว่าจะไม่แตกสลาย

     

                “เอย .. ไม่ร้องแบบนี้ได้มั้ย”

     

                คนที่ตระกองกอดบางคนไว้บนพื้นห้องกระซิบถามเพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าการร้องไห้เหมือนจะขาดใจแบบนี้มันจะทำให้เอยหายใจไม่ทันรึเปล่า เขาไม่เคยกอดใคร เขาไม่เคยปลอบใครและเขาไม่เคยรู้สึกว่าการหายใจเข้ามันลำบากมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อพบว่าเอยยังคงร้องไห้อยู่แบบนั้นกับอกเขา

                ชินตะไม่รู้ .. เขาไม่รู้อีกแล้วว่าหยดน้ำตาอุ่นร้อนที่บางคนรดลงบนแผ่นอกนั้นจะซึมผ่านเข้าไปรดเมล็ดพันธุ์ที่อาจถูกลม ฝนหรือสิ่งใดพามาตกกลางใจเขาโดยบังเอิญหรือไม่ หากแต่เขามั่นใจว่ามีบางอย่างเติบโต ขยับขยายและยึดพื้นที่เกินกว่าครึ่งในใจเขาไป

     

                  ขวัญเอย ขวัญมา .. แบบนี้ดีขึ้นมั้ย?”

     

                คนในอ้อมแขนไม่ตอบ ทำเพียงแค่ออกแรงกอดรัดลำคอแกร่งมากขึ้น ยกใบหน้าเลื่อนขึ้นมาซบที่ซอกคออุ่น ชินตะแปลกใจว่าทำไมตัวเขาที่แข็งกระด้างกลับกอดปลอบบางคนได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งๆที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน จมูกโด่งกดลงบนกลุ่มผมเจือกลิ่นบุหรี่

                มันทำให้เขาสงสัยว่าเอยไปไหนมา

                อะไรที่ทำให้คนตรงหน้าเขาบอบช้ำ

     

                “โปรด”

     

                น้ำเสียงแหบพร่าตะกุกตะกัก ตาคมก้มมองคนที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารกับบ่าเขา จมูกรั้นขึ้นสีแดง เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกราวกับเก็บน้ำตามาร้องไห้วันนี้แล้วจนหมดสิ้น

               

                “เราขอโทษ .. อึก ทะ ที่เราเป็นแบบนี้”

                “มันจะไม่เป็นไร”

     

                เอยสะอื้น มือเล็กๆกำเสื้อคนตัวโตกว่าแน่นและเป็นชินตะเองที่ผละออก ประคองไหล่ทั้งสองข้างไว้ด้วยมือ สบตากับคนที่น้ำตาไหลอย่างน่าสงสารอยู่ตรงหน้าเขา

     

                  ทุกๆอย่าง”

     

                ตาคมสะกดบางคนไว้

                เอยรู้สึกสงบ เขาหมุนวนจนลอยเคว้ง พาตัวเองร่วงหล่นลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงที่ใจกลางพายุที่ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว

     

                “พรุ่งนี้ฟ้าจะยังเป็นสีฟ้า เอยจะเล่นกีตาร์เพลงนั้นจนคล่อง คุณตาเตียงสิบจะหายดี .. และโปรดจะอยู่ตรงนี้ ตรงไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ เป็นอะไรก็ได้”

     

                มันคือวินาทีที่บางคนเริ่มร่ายมนต์สะกดและเอยจะเชื่อทุกอย่างแม้ว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งใดอีกแล้ว เขาจะเชื่อแม้ว่าอีกฝ่ายจะโกหก เขาจะเชื่อ

                เชื่อจนหมดหัวใจ

     

                “หรือต่อให้ไม่ได้เป็นอะไรเลย ก็จะยังอยู่ตรงนี้”

     

                รอยยิ้มแรกของคนที่ยิ้มยากที่สุดในโลกปรากฏขึ้นในคืนที่เอยใช้น้ำตาปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมายอมรับความจริง .. กาลครั้งหนึ่ง มีคนนับความผิดของคนที่รักสามครั้งตามที่แม่เคยบอก กาลครั้งที่สองเด็กน้อยเปลี่ยนใจไปให้กว้างกว่านั้น

                เอยเริ่มนับที่สิบ

                ที่ร้อย

                ที่พัน

                ที่หมื่น

     

                “you are safe now.”

     

                  จนศรัทธาแหลกละเอียดไปเท่ากับการนับมันด้วยความเชื่อใจตลอดมา

     

     






     

     

                ตาคมมองควันจากแก้วนมอุ่น กว่าเอยจะสงบลง กว่าเอยจะยอมผละออกไปจากเขา กว่าจะคุยกันเข้าใจว่าให้อ่านหนังสือรออยู่บนเตียง นับหนึ่งถึบหกสิบ เขาจะกลับมาพร้อมกับสิ่งที่ทำให้เอยหลับสบายแต่ก็เข้าใจว่าคนที่เหนื่อยมาทั้งวันคงข่มตารอไม่ไหว

                เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิท แพขนตายาวทาบทับลงมาและชินตะใช้เวลาทั้งหมดกับการจ้องมองบางคนหลับใหล สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าเอยร้องไห้เพราะอะไร

     

                “ … ”

     

                เขาเพียงไม่คิดว่ามันจะมาถึงไวขนาดนี้และเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องฉวยโอกาสเข้าไปนั่งในใจที่แตกละเอียดเพียงเพราะนี่คือช่วงเวลาที่เอยเปราะบางที่สุด

                มันเป็นตอนนั้นเองที่บางคนสะดุ้งตื่นมาเหมือนฝันร้ายและโชคดีจริงๆที่เขาจับมือเอยเอาไว้หลวมๆแบบที่พอกระชับให้อีกคนรู้ว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ด้วยจริงๆ เอยก็ไม่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างตอนแรกอีกแล้ว

     

                “โปรด .. มะ มานี่”

     

                เจ้าของชื่อได้ยินแต่ไม่ได้ตอบรับ

                เขาอยากให้เอยรู้ว่าที่ผ่านมาเขาข่มใจ .. แต่ยิ่งใกล้ มันก็ยิ่งลำบาก เขาเพิ่งเข้าใจว่าการรักใครสักคนโดยไม่อยากครอบครอง มันยากซะจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เราได้เห็นว่าเขาน่ารักขนาดไหนและน่ารักมากขึ้นทุกๆวันมันก็ยิ่งทำได้ยาก

               

                  โปรด”

     

                บางคนเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเตียง รวดเร็ว แม่นยำและทำให้เอยย่นคอเมื่อถูกคร่อม ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้เหลือเกินแม้ตาเขาจะเจ็บจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นชั่วโมง

                เอยหายใจสะดุด รับรู้ถึงสัมผัสจากปลายจมูกโด่งที่แตะลงบนอวัยวะเดียวกัน

     

                “รู้ใช่มั้ย”

                “ … ”

                “ว่าคิดยังไง”

     

                มันสับสน ขุ่นและถูกกวนให้เป็นน้ำวนอยู่ในใจแบบนั้นซ้ำๆจนไม่ได้ตกตะกอนความรู้สึกใดๆ เอยเม้มปาก หายใจไม่ออกเพราะความใกล้ชิด แต่เขาตอบตัวเองได้ในวินาทีนั้นว่ามันไม่ใช่ความอึดอัด

                มันไม่เคยเป็นความอึดอัดเลยระหว่างเขากับคนที่เป็นเหมือนที่พักพิงให้ในเวลาที่รู้สึกเหมือนปีกหัก

     

                  จะไม่บอกว่าหยุดทำให้รู้สึก เพราะโปรดก็หยุดรู้สึกไม่ได้เหมือนกัน”

     

                เอยแกะประโยคนั้น แตกมันออกเป็นคำๆแล้วพาใจที่ล่องลอยไปทำความเข้าใจทุกๆความหมายที่รูปประโยคนั้นจะเป็นไปได้ สุดท้ายเขาก็ต้องสบตาบางคน จ้องลึกลงไปและรับรู้ว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด

     

                “ลุกขึ้นมากินนมได้แล้ว”

     

                ตากลมกะพริบปริบๆเมื่ออีกคนผละออกไปโดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น วินาทีนั้นเอยอยากดึงอีกคนเข้ามากอด เราคงเจ็บไม่ต่าง ชินตะเองก็คงเจ็บเหมือนกับเขา .. เพียงแต่อีกคนไม่ได้ร้องไห้ออกมาก็เท่านั้น

     

                “เอย”

                “ยะ อย่าดุ”

                “รีบมากินแล้วอาบน้ำนอน”

                “แล้วโปรดจะไปไหน”

                “นอนอีกห้อง”

     

                เอยเม้มปาก

               

                “ไม่ไปได้มั้ย”

     

                พูดต่อรองด้วยน้ำเสียงสั่นๆแม้จะรู้ว่าที่ทำน่ะมันใจร้าย

     

                  ไม่ทิ้งเราไว้คนเดียวได้มั้ย”

     

                แล้วหยดน้ำตาก็พรั่งพรูลงมาอีกครั้งจนชินตะต้องรีบสาวเท้าเข้าไปประคองแก้วนมอุ่นไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วดึงบางคนมากอด คนที่ร้องไห้ง่ายจนใจเขาเจ็บไปหมด เขากระซิบบอกเอยด้วยน้ำเสียงที่เบาและมั่นใจว่าเราจะได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น

               

                “ไม่ร้องไห้แล้วเอย โปรดขอโทษ .. ไม่ไปไหนแล้ว โอเคมั้ย”

                “คะ คุณจะทิ้งเรา เมื่อกี้คุณบอกจะไป อึก ไปนอนอีกห้อง”

                “ขอโทษครับ ขอโทษนะเอย”

     

                มันเป็นมากกว่าคำว่ายอมซะอีก

                เขายอมกรีดหัวใจตัวเองออกมาเพื่อให้อีกคนเห็นว่าบนนั้นมันจะมีชื่อของอีกคนอยู่แลไม่ถือสาถ้าเอยจะขว้างมันลงบนพื้นแล้วเหยียบด้วยเท้า

                เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว .. เขาไม่สนใจแม้แต่ตัวเอง

     

                “อย่าทิ้งเราไปได้มั้ย”

     

                ริมฝีปากร้อนกดจูบลงบนหน้าผากคนที่เอาแต่ขอร้องให้เขาไม่ไปไหน เขากระซิบบอกเอย คล้ายจะบอกรักแต่เปลี่ยนมันไป .. เพราะเขารู้ว่าเอยไม่พร้อมจะฟังมันหรอก

                ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนๆ

     

                  จะทิ้งได้ไง ถ้าไม่มีเอย ท้องฟ้าจะเป็นสีฟ้าได้ยังไง”

                “ … ”

                “ทีนี้ก็หยุดร้องไห้ได้แล้วครับคุณ”

     

                ก็ให้ความรู้สึกของเขาอยู่ในลำดับสุดท้ายรองจากทุกสิ่งเถอะนะ

     

     



     


     


     


     



     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



    .




     

     

                ผมมองแผ่นหลังกว้างของเขาที่กำลังทำไข่ม้วนอยู่ในกระทะรูปร่างแปลกๆแบบที่ผมไม่เคยเห็น เขาคล่องแคล่วและแม่นยำตอนที่ปอกเปลือกมันฝรั่งแล้วบดมันหยาบๆเพื่อทำสลัด ผมลอบมองและจดจำวิธีการที่เขาใช้นิ้วก้อยชิมซอส ผมชอบวิธีการที่เขาขมวดคิ้วก่อนจะบ่นออกมาเบาๆเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่เข้าใจ

                ผมสะดุ้ง หลบตาเขาตอนที่เขาหันกลับมามอง .. เมื่อคืนผมเกาะติดเขาเหมือนเด็กๆ แค่จะไปอาบน้ำเขายังต้องไปนั่งหันหลังเฝ้าอยู่ในอ่างในขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ใต้ชาวเวอร์

     

                “ไม่ได้ทำนานแล้ว”

                “ … ”

                “ไม่แน่ใจว่าจะอร่อยมั้ย”

     

                เขาวางอาหารญี่ปุ่นง่ายๆลงตรงหน้าผม มีไข่ม้วน สลัดมันฝรั่ง ซุปมิโะใส่สาหร่าย ผมคิดว่าที่เขาทำมันเยอะแยะไปหมดเพราะผมเป็นพวกต้องกินอาหารให้ครบห้าหมู่ในหนึ่งมื้อ มือที่ใหญ่และอุ่นของเขาเอื้อมมาแตะหน้าผากผมเหมือนจะวัดไข้แล้วเปลี่ยนไปลูบเส้นผมยุ่งๆของผมเบาๆ

     

                “วันนี้เข้าเวรสี่โมงเย็นออกแปดโมงเช้าใช่มั้ย?”

     

                ผมพยักหน้าเหมือนกับคนที่ทำปากตัวเองหล่นหายไป ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากผมรู้สึกเคอะเขินที่พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาอยู่ในวงแขนเขาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เขากอดผมไว้ทั้งคืน มือผมกำชายเสื้อเขาไว้แน่นและแขนอีกข้างพาดเอวเขาไว้ไม่ยอมปล่อย .. ที่จริงผมนอนบนแขนเขาตลอดคืน

                ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำทั้งหมดนี่ได้ยังไงโดยไม่ปริปากบ่น

                เขาที่ผมและใครๆต่างก็รู้ดีว่าไม่ใช่คนอ่อนโยนนัก

     

                “พักเยอะๆแล้วเดี๋ยวจะไปส่งทำงาน”

                “โปรด”

     

                ผมเรียกเขาไว้ เาที่กำลังโน้มตัวลงเพื่อหยิบน้ำเปล่าในตู้เย็นที่เต็มไปด้วยเบียร์มารินใส่แก้วให้ผม เขาทำแทบจะทุกๆอย่างที่ทั้งจัสมินหรือจ๊าบเองก็เคยทำให้ผม แต่มันล้วนต่างออกไป

                มันต่างออกไปแบบที่ผมคงโกหกใจตัวเองไม่ได้อีก

     

                  ขอบคุณนะ”

     

                ชินตะไม่ได้ตอบอะไร เขาทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าผมแล้วจ่อสลัดมันฝรั่งมาตรงปาก ผมย่นจมูกแต่ก็รับอาหารเช้าที่เขาตั้งใจทำให้เข้าปากไป รสชาติของมันดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้แม้หน้าตาจะดูไม่น่ากินเท่าไหร่ ผมหัวเราะเบาๆเป็นครั้งแรกของวันเมื่อคิดว่าเขาเหมือนกับหมีตัวโตที่หยิบจับของที่ดูเล็กกว่ามือตัวเองเอาซะมากๆขึ้นมาทำอาหาร

                ตาดุๆของเขาจ้องผมเขม็งราวกับว่าที่ผมหัวเราะมันเป็นเพราะรสชาติของอาหาร

     

                “อร่อยมากเลย”

                “แต่หัวเราะ?”

                “นี่งอนเหรอ ฮ่าๆ” ผมหยิกแก้มเขา เขาที่คีบไข่ม้วนใส่ปากผมตามด้วยข้าว ผมเคี้ยวจนปวดแก้มแต่เขาก็ไม่หยุด เขาคีบทุกๆอย่างที่อยู่ในระยะสายตามาใส่ปากผมไม่มีขาดช่วง

     

                “เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ .. แค่กๆ”

                “กินเยอะๆหน่อย”

                “โปรดก็กินบ้างดิ เราเคี้ยวไม่ทันแล้วเนี่ย”

                “ดูเอยกินก็อิ่มแล้ว”

     

                เขาบอกแบบนั้น ตาพราว ไล่สายตามองตั้งแต่ตาผม จมูกและปาก มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเอื้อมมือมาแตะริมฝีปากผมด้วยนิ้วโป้งก่อนจะทำหน้าตาย ผมขมวดคิ้วแล้วถามซื่อๆ

     

                “มีอะไรติดปากเราเหรอ?”

                “ไม่มี”

                “ … ”

                  แค่อยากจับเฉยๆ”

     

                เขาน่ะตัวร้าย

                ผมหลบตา ก้มหน้าก้มตามองลายจานที่เขาใช้ใส่สลัดมันฝรั่ง มันดูญี่ปุ่นจ๋าจนอดถามไม่ได้ว่าเขาขนของพวกนี้มาจากบ้านหรือไง

     

                “ตอนที่แม่ยังไม่เสีย แม่ซื้อคอนโดแล้วก็แต่งไว้ให้ เขาเป็นคนเอามาเก็บไว้”

                “คุณ เราขอโทษนะ”

                “ไม่เป็นไร .. นานแล้ว”

                “แล้ว คุณสนิทกับแม่มากรึเปล่า?”

     

                ชินตะครุ่นคิด ผมคิดว่าเขาเป็นคนคิดเยอะมากๆก่อนจะพูดอะไร เขาพยักหน้าก่อนจะตอบผมว่าสนิทมากกว่าพ่อ ผมคิดเอาเองว่าที่เขาทำอาหารเก่งแบบนี้น่าจะเพราะว่าคุณแม่สอน

     

                “แล้วน้องชิโร่มีชื่อเล่นภาษไทยมั้ย”

                “อื้ม ชื่อปลื้ม”

                “น่ารักจัง โปรดกับปลื้ม .. แต่เราไม่เคยได้ยินจิมมี่เรียกคุณว่าโปรดเลยนะ”

                “ก็ไม่เคยบอก ปกติก็เรียกกันแค่กับแม่แล้วก็ปลื้ม”

                “ … ”

     

                เราสบตากัน หัวใจผมสั่นไหวรุนแรงเมื่อพบว่าตัวเองถูกให้ความสำคัญในแบบที่เขาไม่ได้บอกและผมอาจไม่มีวันได้รับรู้ ผมเม้มปาก ปกติเป็นผมเองที่ชอบเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟังเวลาเรากินข้าวด้วยกัน

                มันทำให้ผมรู้แล้วว่าที่ผ่านมา ผมพูดถึงแต่เรื่องของตัวเองไปมากแค่ไหนและมันไม่ผิดอะไรใช่มั้ยถ้าวันนี้ผมอยากจะรู้เรื่องของเขาบ้าง

     

                  วันนี้ช่วยเล่าเรื่องของโปรดให้เราฟังบ้างได้มั้ย”

     

                เขาชะงัก แววตาวูบไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมคิดว่าช่วงเวลานี้ในโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะเห็นแก่ตัวได้เท่ากับผมอีกแล้ว .. ผมมองใบหน้าดูดีไร้ที่ติของเขาที่พยักขึ้นและลง

                ผมฝึกเขาจนเชื่อง

     

                “เราอยากรู้ทุกเรื่องของโปรดเลย”

     

                เหมือนที่เจ้าชายน้อยทำกับสุนัขจิ้งจอกในทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทอง

                และทั้งๆที่เราทั้งคู่ต่างรู้ว่าปลายทางของเรื่องราวจะเป็นยังไง ผมก็ยังเห็นแก่ตัวกับเขาด้วยการขยับตัวเข้าไปช้าๆ ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆจนสัมผัสหัวใจ .. แลในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าของ

     

                “อืม”

     

                เป็นเจ้าของเขาโดยที่ตัวผมเองอาจไม่มีวันได้รู้เลยว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาอาจใช้ชีวิตเพียงเพื่อรอพบผมอีกครั้งตรงที่ที่เราเคยแลกเปลี่ยนความลับกันและมันเป็นความลับเดียวกันกับที่จิ้งจอกบอกเจ้าชายน้อยเอาไว้ว่า ‘เธอต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วย .. เธอต้องรับผิดชอบดอกกุหลาบของเธอ’

     

     






     

     

                ผมของชินตะไม่ใช่สีดำ แต่มันเป็สีน้ำตาลเข้มมาตั้งแต่เกิด

                ตอนเด็กๆชินตะเชื่อว่าดาวทุกดวงบนท้องฟ้ามีชื่อเรียกและดาวดวงไหนที่ไม่มีชื่อ มันจะตกลงมาเป็นดาวตก .. สละตัวเองเพื่อให้เราได้ขอพร

                ชินตะชอบวิชาดาราศาสตร์ เอยแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงดาวเคราะห์และการเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยะรวมไปถึงทฤษฎีที่ทำให้เกิดโลก ชินตะเกลียดการคัดตัวคันจิ นอกจากนั้นเอยยังรู้ว่าการเรียนต่อในโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เข้าชั้นประถมคือความต้องการของเจ้าตัวเองไม่ใช่ของพ่อหรือแม่แต่อย่างใด

                ชินตะเคยขังชิโร่ไว้ในตู้เก็บฟูกนอนเพราะไม่อยากสอนน้องเล่นกีตาร์ เอยเพิ่งรู้เหมือนกันว่าชินตะเล่นดนตรีเป็นตั้งแต่ยังเด็กมากๆ

     

                “キツネが出てきたのは、そのときだった。

     

                และตอนนี้เอยกำลังพิงหัวไว้กับไหล่กว้าง ตามองมือที่ใหญ่และสวยมากๆกำลังลิกกระดาษทีละแผ่นในขณะที่หูก็ฟังภาษาที่ตัวเองฟังไม่ออกแต่กลับอยากให้อีกคนอ่านให้ฟัง อาจเป็นเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นฟังดูเพราะที่สุดเมื่อพูดภาษาญี่ปุ่น

                เอยขยับตัวเชื่องช้าเข้าไปอยู่ในวงแขนกว้างอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าน่ารักซบกับแผ่นอกแกร่ง ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ ได้กลิ่นหอมจางจากเสื้อยืดและไออุ่นที่กอดเขาไว้คล้ายกับผ้าห่ม

     

                “もうだれもわすれちゃったけど。

     

                เอยเงยหน้าขึ้นมองริมฝีปากสวยที่ขยับเป็นประโยคตามที่ตัวเองอ่านจากในหนังสือเพื่อถ่ายทอดให้เขาฟัง แม้จะไม่มีการเล่นโทนเสียงต่ำสูงเหมือนอย่างที่ใครหน้าไหนเคยทำ เอยกลับคิดว่ามันน่ารักที่สุดในโลกจนเขาเผลอยิ้มกว้างออกมา

     

                “what’s wrong?”

     

                ชินตะเลื่อนสายตาจากหน้ากระดาษมามองคนในอ้อมแขน เอยส่ายหน้า บอกให้เขาเล่าต่อไปเหมือนกับเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร เขาเผลอกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอม กระซิบบทสนทนาระหว่างเจ้าชายน้อยกับจิ้งจอกให้เอยฟัง

     

                “ทำไมเราเหมือนจะฟังออกเลย”

                “เหรอ”

                “อือ .. ก็ประโยคเมื่อกี้มันคุ้นๆ”

                “จะเก่งเกินไปรึเปล่า ฟังภาษาญี่ปุ่นออกน่ะ” เอยทำตาเขียวใส่คนตัวโตกว่าก่อนจะหยิกสีข้างชินตะไปที ตากลมองภาพประกอบในหนังสือ เขาเคยอ่านทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ มันก็พอจะจำได้างๆว่าเรื่องราวของเจ้าชายน้อยดำเนินไปถึงไหน

               

                “เราขออ่านให้โปรดฟังบ้างนะ”

     

                คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้าง หยิบหนังสือภาษาอังกฤษที่เลือกมาแล้วและพบว่ามันมีเยอะแยะไปหมดในห้องของบางคน อีกข้อที่เอยได้รู้คือชินตะอบอ่านหนังสือ พวกไฮกุ กลอนหรือหนังสือปรัชญาอีกฝ่ายจะชอบเป็นพิเศษ

                ชินตะกระชับอีกคนเข้ามาในวงแขน เขารู้สึกขอบคุณช่วงเวลาเหล่านี้ที่เอยปล่อยตัวไปย่างเป็นธรรมชาติ เขาชอบตอนที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นอ่านออกเสียงประโยคภาษาอังกฤษบนหน้ากระดาษออกมาและเข้าใจแล้วว่ามนุษย์ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลยในชีวิต

                ชินตะไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เขาทำมันลงไปโดยที่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าต้องทำมัน เขาถอดแหวนบางวงออกจากนิ้วตัวเองก่อนจะสวมมันลงบนนิ้วนางของคนที่เขานั่งจับมือเอาไว้หลวมๆและอย่างที่บอกไป เอยมักจะจดจ่อกับสิ่งของตรงหน้าจนลืมไปว่ามีใครทำอะไรอยู่รอบๆตัว

     

                “ … ”

     

                รู้ตัวอีกที แหวนวงนั้นก็ถูกดันลึกเข้าไปจนสุดโคนนิ้ว ตากลมของคนที่มองแหวนสลับกับมองหน้าคนตัวโตกว่าที่แสดงสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้แก้มเอยร้อนวาบ

     

                “อันนี้ .. อะ อันนี้แหวนใคร”

                  “แหวนเอย”

     

                ให้ตาย

                เอยครุ่นคิดพลางขยับตัวอย่างประหม่า .. มันไม่ใช่แหวนของเขาสักหน่อย

     

                “ฝากไว้หน่อย”

                “ … ”

                “ไม่ต้องคิดอะไร แค่ฝากเอาไว้”

     

                สิ้นสุดประโยคนั้น เราปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่เสียงลมหายใจ เอยได้กลิ่นหอมจางจากขนมปังที่เขาปิ้งทิ้งไว้แต่ไม่ยอมกินสักที ขอบของมันไหม้เล็กน้อยและขวดแยมสับปะรดที่วางอยู่ข้างกันสะท้อนกับแสงแดดตอนบ่าย เอยไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนแต่พอกะพริบตาอีกที ใบหน้าของอีกคนขยับเข้ามาใกล้

               

                “you know what?”

     

                ปลายจมูกเราแตะกัน หน้าผากแนบชิด มีบางสิ่งประกบเข้าหากันพอดีราวกับจิ๊กซอว์แต่เอยรู้ว่ามันอยู่ลึกลงไปกว่านั้น บางทีอาจเป็นในใจเราทั้งคู่ เอยเคยได้ยินว่าการรักใครสักคนมันไม่ใช่แค่ถูกใจ มันต้องถูกต้อง ถูกที่และถูกเวลาด้วย

                เป็นครั้งแรกที่เอยรู้สึก

     

                  all i'm thinking about is what if i kissed you.”

     

                ว่าการร่วงหล่นมันง่าย

                เพราะรู้ตัวอีกที

     

                “i can’t stop thinking about what your lips taste like.”

     

                เราก็ถึงก้นบึ้งของสิ่งนั้นไปซะแล้ว

     

                “and i keep wondering which way the wind will blow.”

     

                เอยหลับตาและหากการที่อีกคนเลื่อนมือมาแตะตรงแก้มมันจะหมายถึงการขออนุญาต การปิดลงของเปลือกตาก็คงหมายถึงคำอนุญาต .. ชินตะกดจูบลงบนหน้าผาก เลื่อนมาที่ปลายจมูก เขาไม่ใช่คนย้ำคิดย้ำทำแต่กับเรื่องของเอย สุดท้ายก็หวังเพียงแค่ไม่ให้ใจดวงนั้นต้องปวดร้าว

     

                  friends don’t kiss.”

     

                เขากระซิบ แผ่วเบาเหมือนขนนกที่ทำเพียงล่องลอยไปตามลม สัมผัสกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลกและปลิดปลิวขึ้นสูงอีกครั้งเมื่อลมพัดผ่าน หากคนเราเปรียบความเจ็บปวดเป็นสีน้ำเงินเข้มจวบจนถึงสีฟ้า นี่จะเป็นความเจ็บปวดที่มีสัดส่วนของสีขาวอยู่มากกว่าสีดำ

                ฟ้าของเราจะเป็นสีฟ้า

                ยังเป็นสีฟ้า

     

                “so i will do it my way.”

     

                ชินตะกดจูบลงบนหลังมือตัวเองที่เลื่อนไปปิดปากบางคนไว้เพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์แตะต้องบางคนที่อ่อนแอและสับสน สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าเขารักเอยมากพอ

                เขารักเอยมากพอที่จะไม่ทำให้เอยถูกแต้มด้วยสัดส่วนของสีที่เข้ม

                เขารักเอยมากพอที่จะไม่ดึงรั้งบางคนลงมา

     

                “โปรด”

     

                ถ้ามันจะมีใครสักคนที่ผิด

     

                “เอยขอโทษนะ”

     

                ก็ให้มันเป็นเขา

                เป็นเขาที่รักเอยเกินเพื่อนไป

     

                “ขอโทษที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้นะโปรด ขะ ขอโทษจริงๆ”

     

                เป็นอีกครั้งที่บางคนปล่อยน้ำตารดลงบนพื้นที่ที่เคยว่างเปล่าใอกข้างซ้ายของเขา ชินตะกระซิบบอกอีกคนว่าทุกอย่างจะโอเคและเขาเชื่อว่าเอยจะไม่เป็นอะไร

                เอยจะต้องไม่เป็นอะไร

                เอยจะปลอดภัย

     

                “you’re safe with me.”

     

                  และมันจะผ่านไปด้วยดี

     

     

     



     


     


     


     



     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



    .



     


     

     

                รถของเขาจอดสนิทหน้าโรงพยาบาล ตัวเลขที่ถูกบรรจุไว้บนจอบอกเวลาบ่ายสามโมงห้าสิบสองนาที เพลงที่ดังคลอเบาๆในรถถูกปิดและผมเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกรีดร้อง

                ถ้านี่คือสมการคณิตศาสตร์ง่ายๆ ผมคงแก้มันด้วยวิธีการที่มากมายจนมันดูยุ่งเหยิงแล้วกลายเป็นยาก เราจับมือกัน ประสานทุกๆนิ้วเข้าหากัน ผมได้ยินเสียงตัวเลขที่เราเรียกมันว่าเวลาขยับเคลื่อนหลักหน่วยจากสองเป็นสาม มันเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ

                เราไม่อาจฝืน

     

                “วันนี้โควต้ากาแฟหมดแล้วนะเอย”

                “อื้อ .. โควต้าบุหรี่คุณก็หมดแล้วเหมือนกัน”

     

                  หรือภาวนาให้มันเดินถอยหลัง

     

                “ถ้ากลับบ้านไม่ไหวก็นอนห้องจัสมิน โอเคมั้ย?”

                “เข้าใจแล้ว”

                “สมุดจดงานเอยอยู่บนชั้นติดทีวี ส่วนปากกาที่หาไม่เจอ โปรดวางไว้ให้บนโต๊ะทำงานแล้ว” ผมมองเขา มองมือของเราที่ประสานกัน ผมเจ็บในใจและผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้

                ผมร้องไห้

                ผมเจ็บปวด

                ผมทรมาน

     

                “ถ้าหิว มีขนมปังอยู่ในตู้เย็น”

                “ … ”

     

                เพราะพี่ซือนอกใจผม

     

                “เช็วันหมดอายุด้วย”

     

                แต่ในตอนนี้

                นาทีนี้

                หรืออาจจะตั้งแต่วินาทีที่เราสบตากันในห้องตรวจวันนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน

     

                “เอย .. ”

     

                ผมก็กำลัง

     

                “หืม”

     

                  นอกใจพี่ซืออยู่ไม่ใช่หรือไง

     

                “あなたと一緒で私は幸せです。

     

                ผมขมวดคิ้วในตอนที่เขาบีบมือผมเบาๆเมื่อพูดประโยคนั้น ประโยคที่ฟังดูคล้ายกับตอนที่เขาพูดให้ฟังตอนที่เราอ่านหนังสือด้วยกัน .. ประโยคที่ผมได้ยินอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ

                สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มออกมา

                ยิ้มที่ทำให้เขาดูเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ชอบเล่นปิงปองในฤดูร้อนและไปโรงเรียนด้วยการนั่งรถไฟเองตั้งแต่ประถม  .. ซาซาคิ ชินตะคนนั้นกำลังพูดประโยคต่อไปช้าๆเหมือนเขาใช้ทุกลมหายใจไตร่ตรองก่อนจะพูดมันออกมา

     

                “愛しています。

     

                 แล้วผมก็เห็นตัวเองในอนาคตจากดวงตาเขา

                ผมที่กำลังยิ้มกว้าง

                ผมที่กำลังโดนกอดและปลอดภัยในอ้อมแขนเขา

                ผมที่กำลังมีความสุข

                ผมคนนั้น .. ที่ผมคนนี้ไม่มีวันเป็นได้เลย







    tbc.





























    ชอบตอนนี้ที่สุดในเรื่องแล้ว :•)

    #จนมีหัวใจ


    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×