คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : 11 - let's see where we wake up tomorrow.
มันเงียบสนิท
เงียบเหมือนกับตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาตอนเช้าและพบว่ามันว่างเปล่า
“เอย”
คนที่บังคับพวงมาลัยให้เลื่อนไปเรียกชื่อของคนที่ทำเพียงแค่นั่งมองวิวข้างนอกมาตลอดทาง
จ๊าบอยากจะเอื้อมไปจับมือเอยมากุมไว้ บอกเอยซ้ำๆว่าสุดท้ายถ้าไม่มีใครก็จะยังมีเขาเสมอเหมือนกับที่เอยทำตอนที่เขาอกหักฉิบหายจนไม่อยากเรียนมันแล้ว
จ๊าบลอบถอนหายใจแล้วขับรถต่อไปถึงที่ที่เอยบอกว่าให้เขาไปส่งแถมยังบอกว่าให้เขาขับรถเอยกลับคอนโดตัวเองไปเลย
มาสด้าสีขาวจอดลงหน้าคอนโดแห่งหนึ่งย่านสาทร
คนที่ยังเหม่อลอยจนเขาต้องเอื้อมมือไปสัมผัสผิวเย็นๆที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตตัวบางที่อีกคนสวม
เอยสะดุ้งเบาๆก่อนจะสบตาเขา และแม้ว่าในรถจะมืดแค่ไหน
จ๊าบก็เห็นว่าหยดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาคู่นั้นมันกำลังจะทะลักออกมาพร้อมกับทุกๆอย่างที่กำลังจะพังทลาย
“เอย ..
มึงมีกูนะเว้ย มีทุกๆคน”
“จ๊าบ”
รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของคนที่เหมือนเดินแบกโลกทั้งใบมาเป็นหมื่นลี้แล้วทำให้จ๊าบอยากจะร้องไห้
บางครั้งการยิ้มมันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เขาอยากบอกเอยแบบนั้น
ทำได้เพียงแค่ประสานมือตัวเองเข้าหามือเล็กๆนั่น เอยกระชับมือกลับก่อนจะกระซิบ
“ขอบคุณนะ”
จ๊าบมองแผ่นหลังของเอยที่หายลับไปจากกรอบสายตา
สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ออกรถเพราะรู้ว่าการถามอะไรไปในตอนนี้มันก็เท่ากับการตอกย้ำทุกๆเรื่องราวในความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนจนเหมือนจะล้มลงมาซะให้ได้
เขาไม่รู้เลยว่าเอยรู้เรื่องนี้มานานแค่ไหน
แต่ใบหน้าของอีกคนรวมไปถึงแววตาที่จ้องมองทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น
มันทำให้เขาเข้าใจคำว่า ‘disappointed but not surprised’ และการที่เอยไม่ตกใจกับสิ่งที่เห็นมันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดที่ปล่อยให้บ่าเล็กๆนั่นแบกอะไรไว้ตั้งมากมาย
เขารู้สึกผิดจริงๆ
“
… ”
เอยหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดถึงให้เขาขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นนี้ได้ทั้งๆที่ไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง
แต่มันดังอยู่ในหัว
‘1404’
‘อะไรอะ’
‘เลขที่ห้อง’
‘บอกเราทำไมเนี่ย’
‘คอนโด f ..
เผื่อมีอะไร’
เขาไม่รู้หรอกว่ามีอะไรของชินตะหมายความว่าอะไรกันแน่
แต่เขารู้แค่ว่าตอนนี้ เวลานี้ .. เขาเพียงต้องการสบตาคนที่จะทำให้เขาสงบได้เสมอ
คนที่ทำแค่นั่งฟังเพลงและเฝ้าเขาอ่านตำราเงียบๆในขณะที่มือพร้อมจะส่งไฮไลท์ให้เขาขีดเน้นสิ่งสำคัญอยู่ตลอดเวลา
นิ้วเรียวกดลงบนออด
กดเพียงหนึ่งครั้งแล้วเฝ้ารอให้ประตูบานนั้นเปิดออกอย่างคาดหวัง
“เอย”
มันเหมือนกับตอนที่เราลงวิ่งแข่งบนสนามที่รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องชนะและเมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น
นักกรีฑาทุกคนต้องออกตัววิ่งให้ไวเหมือนกับลม เอยทำแบบนั้น ตรงดิ่งเข้าไปกอดบางคน
แนบใบหน้ากับไหล่กว้าง จมหายลงไปในอ้อมแขนแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนกับโลกทั้งใบถล่ม
ชินตะกอดคนที่ตัวผอมกว่าที่เขาจินตนาการไว้แน่น
แน่นพอที่จะทำให้เอยเชื่อว่าเขาแข็งแกร่งพอจะปกป้องอีกคนไว้และแน่นพอที่จะทำให้เอยมั่นใจว่าจะไม่แตกสลาย
“เอย ..
ไม่ร้องแบบนี้ได้มั้ย”
คนที่ตระกองกอดบางคนไว้บนพื้นห้องกระซิบถามเพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าการร้องไห้เหมือนจะขาดใจแบบนี้มันจะทำให้เอยหายใจไม่ทันรึเปล่า
เขาไม่เคยกอดใคร
เขาไม่เคยปลอบใครและเขาไม่เคยรู้สึกว่าการหายใจเข้ามันลำบากมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อพบว่าเอยยังคงร้องไห้อยู่แบบนั้นกับอกเขา
ชินตะไม่รู้ .. เขาไม่รู้อีกแล้วว่าหยดน้ำตาอุ่นร้อนที่บางคนรดลงบนแผ่นอกนั้นจะซึมผ่านเข้าไปรดเมล็ดพันธุ์ที่อาจถูกลม
ฝนหรือสิ่งใดพามาตกกลางใจเขาโดยบังเอิญหรือไม่ หากแต่เขามั่นใจว่ามีบางอย่างเติบโต
ขยับขยายและยึดพื้นที่เกินกว่าครึ่งในใจเขาไป
“ขวัญเอย ขวัญมา .. แบบนี้ดีขึ้นมั้ย?”
คนในอ้อมแขนไม่ตอบ
ทำเพียงแค่ออกแรงกอดรัดลำคอแกร่งมากขึ้น ยกใบหน้าเลื่อนขึ้นมาซบที่ซอกคออุ่น
ชินตะแปลกใจว่าทำไมตัวเขาที่แข็งกระด้างกลับกอดปลอบบางคนได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งๆที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน
จมูกโด่งกดลงบนกลุ่มผมเจือกลิ่นบุหรี่
มันทำให้เขาสงสัยว่าเอยไปไหนมา
อะไรที่ทำให้คนตรงหน้าเขาบอบช้ำ
“โปรด”
น้ำเสียงแหบพร่าตะกุกตะกัก
ตาคมก้มมองคนที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารกับบ่าเขา จมูกรั้นขึ้นสีแดง
เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกราวกับเก็บน้ำตามาร้องไห้วันนี้แล้วจนหมดสิ้น
“เราขอโทษ .. อึก
ทะ ที่เราเป็นแบบนี้”
“มันจะไม่เป็นไร”
เอยสะอื้น
มือเล็กๆกำเสื้อคนตัวโตกว่าแน่นและเป็นชินตะเองที่ผละออก
ประคองไหล่ทั้งสองข้างไว้ด้วยมือ สบตากับคนที่น้ำตาไหลอย่างน่าสงสารอยู่ตรงหน้าเขา
“ทุกๆอย่าง”
ตาคมสะกดบางคนไว้
เอยรู้สึกสงบ
เขาหมุนวนจนลอยเคว้ง พาตัวเองร่วงหล่นลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงที่ใจกลางพายุที่ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว
“พรุ่งนี้ฟ้าจะยังเป็นสีฟ้า
เอยจะเล่นกีตาร์เพลงนั้นจนคล่อง คุณตาเตียงสิบจะหายดี .. และโปรดจะอยู่ตรงนี้
ตรงไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ เป็นอะไรก็ได้”
มันคือวินาทีที่บางคนเริ่มร่ายมนต์สะกดและเอยจะเชื่อทุกอย่างแม้ว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งใดอีกแล้ว
เขาจะเชื่อแม้ว่าอีกฝ่ายจะโกหก เขาจะเชื่อ
เชื่อจนหมดหัวใจ
“หรือต่อให้ไม่ได้เป็นอะไรเลย
ก็จะยังอยู่ตรงนี้”
รอยยิ้มแรกของคนที่ยิ้มยากที่สุดในโลกปรากฏขึ้นในคืนที่เอยใช้น้ำตาปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมายอมรับความจริง
.. กาลครั้งหนึ่ง มีคนนับความผิดของคนที่รักสามครั้งตามที่แม่เคยบอก
กาลครั้งที่สองเด็กน้อยเปลี่ยนใจไปให้กว้างกว่านั้น
เอยเริ่มนับที่สิบ
ที่ร้อย
ที่พัน
ที่หมื่น
“you are safe
now.”
จนศรัทธาแหลกละเอียดไปเท่ากับการนับมันด้วยความเชื่อใจตลอดมา
⎯
ตาคมมองควันจากแก้วนมอุ่น
กว่าเอยจะสงบลง กว่าเอยจะยอมผละออกไปจากเขา
กว่าจะคุยกันเข้าใจว่าให้อ่านหนังสือรออยู่บนเตียง นับหนึ่งถึบหกสิบ เขาจะกลับมาพร้อมกับสิ่งที่ทำให้เอยหลับสบายแต่ก็เข้าใจว่าคนที่เหนื่อยมาทั้งวันคงข่มตารอไม่ไหว
เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิท
แพขนตายาวทาบทับลงมาและชินตะใช้เวลาทั้งหมดกับการจ้องมองบางคนหลับใหล
สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าเอยร้องไห้เพราะอะไร
“ … ”
เขาเพียงไม่คิดว่ามันจะมาถึงไวขนาดนี้และเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องฉวยโอกาสเข้าไปนั่งในใจที่แตกละเอียดเพียงเพราะนี่คือช่วงเวลาที่เอยเปราะบางที่สุด
มันเป็นตอนนั้นเองที่บางคนสะดุ้งตื่นมาเหมือนฝันร้ายและโชคดีจริงๆที่เขาจับมือเอยเอาไว้หลวมๆแบบที่พอกระชับให้อีกคนรู้ว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ด้วยจริงๆ
เอยก็ไม่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างตอนแรกอีกแล้ว
“โปรด .. มะ
มานี่”
เจ้าของชื่อได้ยินแต่ไม่ได้ตอบรับ
เขาอยากให้เอยรู้ว่าที่ผ่านมาเขาข่มใจ
..
แต่ยิ่งใกล้ มันก็ยิ่งลำบาก เขาเพิ่งเข้าใจว่าการรักใครสักคนโดยไม่อยากครอบครอง
มันยากซะจนแทบจะเป็นไปไม่ได้
เพราะเมื่อไหร่ที่เราได้เห็นว่าเขาน่ารักขนาดไหนและน่ารักมากขึ้นทุกๆวันมันก็ยิ่งทำได้ยาก
“โปรด”
บางคนเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเตียง
รวดเร็ว แม่นยำและทำให้เอยย่นคอเมื่อถูกคร่อม
ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้เหลือเกินแม้ตาเขาจะเจ็บจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นชั่วโมง
เอยหายใจสะดุด
รับรู้ถึงสัมผัสจากปลายจมูกโด่งที่แตะลงบนอวัยวะเดียวกัน
“รู้ใช่มั้ย”
“ … ”
“ว่าคิดยังไง”
มันสับสน
ขุ่นและถูกกวนให้เป็นน้ำวนอยู่ในใจแบบนั้นซ้ำๆจนไม่ได้ตกตะกอนความรู้สึกใดๆ
เอยเม้มปาก หายใจไม่ออกเพราะความใกล้ชิด
แต่เขาตอบตัวเองได้ในวินาทีนั้นว่ามันไม่ใช่ความอึดอัด
มันไม่เคยเป็นความอึดอัดเลยระหว่างเขากับคนที่เป็นเหมือนที่พักพิงให้ในเวลาที่รู้สึกเหมือนปีกหัก
“จะไม่บอกว่าหยุดทำให้รู้สึก เพราะโปรดก็หยุดรู้สึกไม่ได้เหมือนกัน”
เอยแกะประโยคนั้น
แตกมันออกเป็นคำๆแล้วพาใจที่ล่องลอยไปทำความเข้าใจทุกๆความหมายที่รูปประโยคนั้นจะเป็นไปได้
สุดท้ายเขาก็ต้องสบตาบางคน จ้องลึกลงไปและรับรู้ว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด
“ลุกขึ้นมากินนมได้แล้ว”
ตากลมกะพริบปริบๆเมื่ออีกคนผละออกไปโดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
วินาทีนั้นเอยอยากดึงอีกคนเข้ามากอด เราคงเจ็บไม่ต่าง
ชินตะเองก็คงเจ็บเหมือนกับเขา .. เพียงแต่อีกคนไม่ได้ร้องไห้ออกมาก็เท่านั้น
“เอย”
“ยะ อย่าดุ”
“รีบมากินแล้วอาบน้ำนอน”
“แล้วโปรดจะไปไหน”
“นอนอีกห้อง”
เอยเม้มปาก
“ไม่ไปได้มั้ย”
พูดต่อรองด้วยน้ำเสียงสั่นๆแม้จะรู้ว่าที่ทำน่ะมันใจร้าย
“ไม่ทิ้งเราไว้คนเดียวได้มั้ย”
แล้วหยดน้ำตาก็พรั่งพรูลงมาอีกครั้งจนชินตะต้องรีบสาวเท้าเข้าไปประคองแก้วนมอุ่นไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วดึงบางคนมากอด
คนที่ร้องไห้ง่ายจนใจเขาเจ็บไปหมด เขากระซิบบอกเอยด้วยน้ำเสียงที่เบาและมั่นใจว่าเราจะได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น
“ไม่ร้องไห้แล้วเอย
โปรดขอโทษ .. ไม่ไปไหนแล้ว โอเคมั้ย”
“คะ คุณจะทิ้งเรา
เมื่อกี้คุณบอกจะไป อึก ไปนอนอีกห้อง”
“ขอโทษครับ
ขอโทษนะเอย”
มันเป็นมากกว่าคำว่ายอมซะอีก
เขายอมกรีดหัวใจตัวเองออกมาเพื่อให้อีกคนเห็นว่าบนนั้นมันจะมีชื่อของอีกคนอยู่และไม่ถือสาถ้าเอยจะขว้างมันลงบนพื้นแล้วเหยียบด้วยเท้า
เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว
..
เขาไม่สนใจแม้แต่ตัวเอง
“อย่าทิ้งเราไปได้มั้ย”
ริมฝีปากร้อนกดจูบลงบนหน้าผากคนที่เอาแต่ขอร้องให้เขาไม่ไปไหน
เขากระซิบบอกเอย คล้ายจะบอกรักแต่เปลี่ยนมันไป .. เพราะเขารู้ว่าเอยไม่พร้อมจะฟังมันหรอก
ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนๆ
“จะทิ้งได้ไง ถ้าไม่มีเอย ท้องฟ้าจะเป็นสีฟ้าได้ยังไง”
“ … ”
“ทีนี้ก็หยุดร้องไห้ได้แล้วครับคุณ”
ก็ให้ความรู้สึกของเขาอยู่ในลำดับสุดท้ายรองจากทุกสิ่งเถอะนะ
○
.
ผมมองแผ่นหลังกว้างของเขาที่กำลังทำไข่ม้วนอยู่ในกระทะรูปร่างแปลกๆแบบที่ผมไม่เคยเห็น
เขาคล่องแคล่วและแม่นยำตอนที่ปอกเปลือกมันฝรั่งแล้วบดมันหยาบๆเพื่อทำสลัด
ผมลอบมองและจดจำวิธีการที่เขาใช้นิ้วก้อยชิมซอส
ผมชอบวิธีการที่เขาขมวดคิ้วก่อนจะบ่นออกมาเบาๆเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่เข้าใจ
ผมสะดุ้ง
หลบตาเขาตอนที่เขาหันกลับมามอง .. เมื่อคืนผมเกาะติดเขาเหมือนเด็กๆ
แค่จะไปอาบน้ำเขายังต้องไปนั่งหันหลังเฝ้าอยู่ในอ่างในขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ใต้ชาวเวอร์
“ไม่ได้ทำนานแล้ว”
“ … ”
“ไม่แน่ใจว่าจะอร่อยมั้ย”
เขาวางอาหารญี่ปุ่นง่ายๆลงตรงหน้าผม
มีไข่ม้วน สลัดมันฝรั่ง ซุปมิโสะใส่สาหร่าย
ผมคิดว่าที่เขาทำมันเยอะแยะไปหมดเพราะผมเป็นพวกต้องกินอาหารให้ครบห้าหมู่ในหนึ่งมื้อ
มือที่ใหญ่และอุ่นของเขาเอื้อมมาแตะหน้าผากผมเหมือนจะวัดไข้แล้วเปลี่ยนไปลูบเส้นผมยุ่งๆของผมเบาๆ
“วันนี้เข้าเวรสี่โมงเย็นออกแปดโมงเช้าใช่มั้ย?”
ผมพยักหน้าเหมือนกับคนที่ทำปากตัวเองหล่นหายไป
ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากผมรู้สึกเคอะเขินที่พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาอยู่ในวงแขนเขาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
เขากอดผมไว้ทั้งคืน
มือผมกำชายเสื้อเขาไว้แน่นและแขนอีกข้างพาดเอวเขาไว้ไม่ยอมปล่อย .. ที่จริงผมนอนบนแขนเขาตลอดคืน
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำทั้งหมดนี่ได้ยังไงโดยไม่ปริปากบ่น
เขาที่ผมและใครๆต่างก็รู้ดีว่าไม่ใช่คนอ่อนโยนนัก
“พักเยอะๆแล้วเดี๋ยวจะไปส่งทำงาน”
“โปรด”
ผมเรียกเขาไว้
เขาที่กำลังโน้มตัวลงเพื่อหยิบน้ำเปล่าในตู้เย็นที่เต็มไปด้วยเบียร์มารินใส่แก้วให้ผม
เขาทำแทบจะทุกๆอย่างที่ทั้งจัสมินหรือจ๊าบเองก็เคยทำให้ผม
แต่มันล้วนต่างออกไป
มันต่างออกไปแบบที่ผมคงโกหกใจตัวเองไม่ได้อีก
“ขอบคุณนะ”
ชินตะไม่ได้ตอบอะไร
เขาทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าผมแล้วจ่อสลัดมันฝรั่งมาตรงปาก
ผมย่นจมูกแต่ก็รับอาหารเช้าที่เขาตั้งใจทำให้เข้าปากไป
รสชาติของมันดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้แม้หน้าตาจะดูไม่น่ากินเท่าไหร่
ผมหัวเราะเบาๆเป็นครั้งแรกของวันเมื่อคิดว่าเขาเหมือนกับหมีตัวโตที่หยิบจับของที่ดูเล็กกว่ามือตัวเองเอาซะมากๆขึ้นมาทำอาหาร
ตาดุๆของเขาจ้องผมเขม็งราวกับว่าที่ผมหัวเราะมันเป็นเพราะรสชาติของอาหาร
“อร่อยมากเลย”
“แต่หัวเราะ?”
“นี่งอนเหรอ
ฮ่าๆ” ผมหยิกแก้มเขา เขาที่คีบไข่ม้วนใส่ปากผมตามด้วยข้าว
ผมเคี้ยวจนปวดแก้มแต่เขาก็ไม่หยุด เขาคีบทุกๆอย่างที่อยู่ในระยะสายตามาใส่ปากผมไม่มีขาดช่วง
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ
.. แค่กๆ”
“กินเยอะๆหน่อย”
“โปรดก็กินบ้างดิ
เราเคี้ยวไม่ทันแล้วเนี่ย”
“ดูเอยกินก็อิ่มแล้ว”
เขาบอกแบบนั้น
ตาพราว ไล่สายตามองตั้งแต่ตาผม จมูกและปาก
มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเอื้อมมือมาแตะริมฝีปากผมด้วยนิ้วโป้งก่อนจะทำหน้าตาย
ผมขมวดคิ้วแล้วถามซื่อๆ
“มีอะไรติดปากเราเหรอ?”
“ไม่มี”
“ … ”
“แค่อยากจับเฉยๆ”
เขาน่ะตัวร้าย
ผมหลบตา
ก้มหน้าก้มตามองลายจานที่เขาใช้ใส่สลัดมันฝรั่ง
มันดูญี่ปุ่นจ๋าจนอดถามไม่ได้ว่าเขาขนของพวกนี้มาจากบ้านหรือไง
“ตอนที่แม่ยังไม่เสีย
แม่ซื้อคอนโดแล้วก็แต่งไว้ให้ เขาเป็นคนเอามาเก็บไว้”
“คุณ เราขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ..
นานแล้ว”
“แล้ว
คุณสนิทกับแม่มากรึเปล่า?”
ชินตะครุ่นคิด
ผมคิดว่าเขาเป็นคนคิดเยอะมากๆก่อนจะพูดอะไร
เขาพยักหน้าก่อนจะตอบผมว่าสนิทมากกว่าพ่อ ผมคิดเอาเองว่าที่เขาทำอาหารเก่งแบบนี้น่าจะเพราะว่าคุณแม่สอน
“แล้วน้องชิโร่มีชื่อเล่นภาษาไทยมั้ย”
“อื้ม ชื่อปลื้ม”
“น่ารักจัง
โปรดกับปลื้ม .. แต่เราไม่เคยได้ยินจิมมี่เรียกคุณว่าโปรดเลยนะ”
“ก็ไม่เคยบอก
ปกติก็เรียกกันแค่กับแม่แล้วก็ปลื้ม”
“ … ”
เราสบตากัน
หัวใจผมสั่นไหวรุนแรงเมื่อพบว่าตัวเองถูกให้ความสำคัญในแบบที่เขาไม่ได้บอกและผมอาจไม่มีวันได้รับรู้
ผมเม้มปาก ปกติเป็นผมเองที่ชอบเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟังเวลาเรากินข้าวด้วยกัน
มันทำให้ผมรู้แล้วว่าที่ผ่านมา
ผมพูดถึงแต่เรื่องของตัวเองไปมากแค่ไหนและมันไม่ผิดอะไรใช่มั้ยถ้าวันนี้ผมอยากจะรู้เรื่องของเขาบ้าง
“วันนี้ช่วยเล่าเรื่องของโปรดให้เราฟังบ้างได้มั้ย”
เขาชะงัก
แววตาวูบไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมคิดว่าช่วงเวลานี้ในโลกใบนี้
ไม่มีใครที่จะเห็นแก่ตัวได้เท่ากับผมอีกแล้ว .. ผมมองใบหน้าดูดีไร้ที่ติของเขาที่พยักขึ้นและลง
ผมฝึกเขาจนเชื่อง
“เราอยากรู้ทุกเรื่องของโปรดเลย”
เหมือนที่เจ้าชายน้อยทำกับสุนัขจิ้งจอกในทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทอง
และทั้งๆที่เราทั้งคู่ต่างรู้ว่าปลายทางของเรื่องราวจะเป็นยังไง
ผมก็ยังเห็นแก่ตัวกับเขาด้วยการขยับตัวเข้าไปช้าๆ ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆจนสัมผัสหัวใจ
..
และในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าของ
“อืม”
เป็นเจ้าของเขาโดยที่ตัวผมเองอาจไม่มีวันได้รู้เลยว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เขาอาจใช้ชีวิตเพียงเพื่อรอพบผมอีกครั้งตรงที่ที่เราเคยแลกเปลี่ยนความลับกันและมันเป็นความลับเดียวกันกับที่จิ้งจอกบอกเจ้าชายน้อยเอาไว้ว่า
‘เธอต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วย
.. เธอต้องรับผิดชอบดอกกุหลาบของเธอ’
⎯
ผมของชินตะไม่ใช่สีดำ
แต่มันเป็นสีน้ำตาลเข้มมาตั้งแต่เกิด
ตอนเด็กๆชินตะเชื่อว่าดาวทุกดวงบนท้องฟ้ามีชื่อเรียกและดาวดวงไหนที่ไม่มีชื่อ
มันจะตกลงมาเป็นดาวตก ..
สละตัวเองเพื่อให้เราได้ขอพร
ชินตะชอบวิชาดาราศาสตร์
เอยแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงดาวเคราะห์และการเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยะรวมไปถึงทฤษฎีที่ทำให้เกิดโลก ชินตะเกลียดการคัดตัวคันจิ
นอกจากนั้นเอยยังรู้ว่าการเรียนต่อในโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เข้าชั้นประถมคือความต้องการของเจ้าตัวเองไม่ใช่ของพ่อหรือแม่แต่อย่างใด
ชินตะเคยขังชิโร่ไว้ในตู้เก็บฟูกนอนเพราะไม่อยากสอนน้องเล่นกีตาร์ เอยเพิ่งรู้เหมือนกันว่าชินตะเล่นดนตรีเป็นตั้งแต่ยังเด็กมากๆ
“キツネが出てきたのは、そのときだった。”
และตอนนี้เอยกำลังพิงหัวไว้กับไหล่กว้าง
ตามองมือที่ใหญ่และสวยมากๆกำลังพลิกกระดาษทีละแผ่นในขณะที่หูก็ฟังภาษาที่ตัวเองฟังไม่ออกแต่กลับอยากให้อีกคนอ่านให้ฟัง
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นฟังดูเพราะที่สุดเมื่อพูดภาษาญี่ปุ่น
เอยขยับตัวเชื่องช้าเข้าไปอยู่ในวงแขนกว้างอย่างเป็นธรรมชาติ
ใบหน้าน่ารักซบกับแผ่นอกแกร่ง ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ
ได้กลิ่นหอมจางจากเสื้อยืดและไออุ่นที่กอดเขาไว้คล้ายกับผ้าห่ม
“もうだれもわすれちゃったけど。”
เอยเงยหน้าขึ้นมองริมฝีปากสวยที่ขยับเป็นประโยคตามที่ตัวเองอ่านจากในหนังสือเพื่อถ่ายทอดให้เขาฟัง
แม้จะไม่มีการเล่นโทนเสียงต่ำสูงเหมือนอย่างที่ใครหน้าไหนเคยทำ
เอยกลับคิดว่ามันน่ารักที่สุดในโลกจนเขาเผลอยิ้มกว้างออกมา
“what’s wrong?”
ชินตะเลื่อนสายตาจากหน้ากระดาษมามองคนในอ้อมแขน
เอยส่ายหน้า บอกให้เขาเล่าต่อไปเหมือนกับเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
เขาเผลอกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอม กระซิบบทสนทนาระหว่างเจ้าชายน้อยกับจิ้งจอกให้เอยฟัง
“ทำไมเราเหมือนจะฟังออกเลย”
“เหรอ”
“อือ .. ก็ประโยคเมื่อกี้มันคุ้นๆ”
“จะเก่งเกินไปรึเปล่า
ฟังภาษาญี่ปุ่นออกน่ะ” เอยทำตาเขียวใส่คนตัวโตกว่าก่อนจะหยิกสีข้างชินตะไปที ตากลมมองภาพประกอบในหนังสือ
เขาเคยอ่านทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ มันก็พอจะจำได้รางๆว่าเรื่องราวของเจ้าชายน้อยดำเนินไปถึงไหน
“เราขออ่านให้โปรดฟังบ้างนะ”
คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้าง
หยิบหนังสือภาษาอังกฤษที่เลือกมาแล้วและพบว่ามันมีเยอะแยะไปหมดในห้องของบางคน
อีกข้อที่เอยได้รู้คือชินตะชอบอ่านหนังสือ พวกไฮกุ
กลอนหรือหนังสือปรัชญาอีกฝ่ายจะชอบเป็นพิเศษ
ชินตะกระชับอีกคนเข้ามาในวงแขน
เขารู้สึกขอบคุณช่วงเวลาเหล่านี้ที่เอยปล่อยตัวไปอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาชอบตอนที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นอ่านออกเสียงประโยคภาษาอังกฤษบนหน้ากระดาษออกมาและเข้าใจแล้วว่ามนุษย์ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลยในชีวิต
ชินตะไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
เขาทำมันลงไปโดยที่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าต้องทำมัน
เขาถอดแหวนบางวงออกจากนิ้วตัวเองก่อนจะสวมมันลงบนนิ้วนางของคนที่เขานั่งจับมือเอาไว้หลวมๆและอย่างที่บอกไป
เอยมักจะจดจ่อกับสิ่งของตรงหน้าจนลืมไปว่ามีใครทำอะไรอยู่รอบๆตัว
“ … ”
รู้ตัวอีกที
แหวนวงนั้นก็ถูกดันลึกเข้าไปจนสุดโคนนิ้ว ตากลมของคนที่มองแหวนสลับกับมองหน้าคนตัวโตกว่าที่แสดงสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้แก้มเอยร้อนวาบ
“อันนี้ .. อะ
อันนี้แหวนใคร”
“แหวนเอย”
ให้ตาย
เอยครุ่นคิดพลางขยับตัวอย่างประหม่า
..
มันไม่ใช่แหวนของเขาสักหน่อย
“ฝากไว้หน่อย”
“ … ”
“ไม่ต้องคิดอะไร แค่ฝากเอาไว้”
สิ้นสุดประโยคนั้น
เราปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่เสียงลมหายใจ
เอยได้กลิ่นหอมจางจากขนมปังที่เขาปิ้งทิ้งไว้แต่ไม่ยอมกินสักที
ขอบของมันไหม้เล็กน้อยและขวดแยมสับปะรดที่วางอยู่ข้างกันสะท้อนกับแสงแดดตอนบ่าย เอยไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนแต่พอกะพริบตาอีกที
ใบหน้าของอีกคนขยับเข้ามาใกล้
“you know what?”
ปลายจมูกเราแตะกัน
หน้าผากแนบชิด
มีบางสิ่งประกบเข้าหากันพอดีราวกับจิ๊กซอว์แต่เอยรู้ว่ามันอยู่ลึกลงไปกว่านั้น
บางทีอาจเป็นในใจเราทั้งคู่ เอยเคยได้ยินว่าการรักใครสักคนมันไม่ใช่แค่ถูกใจ
มันต้องถูกต้อง ถูกที่และถูกเวลาด้วย
เป็นครั้งแรกที่เอยรู้สึก
“all i'm thinking about is what if i kissed you.”
ว่าการร่วงหล่นมันง่าย
เพราะรู้ตัวอีกที
“i can’t stop
thinking about what your lips taste like.”
เราก็ถึงก้นบึ้งของสิ่งนั้นไปซะแล้ว
“and i keep
wondering which way the wind will blow.”
เอยหลับตาและหากการที่อีกคนเลื่อนมือมาแตะตรงแก้มมันจะหมายถึงการขออนุญาต
การปิดลงของเปลือกตาก็คงหมายถึงคำอนุญาต .. ชินตะกดจูบลงบนหน้าผาก
เลื่อนมาที่ปลายจมูก เขาไม่ใช่คนย้ำคิดย้ำทำแต่กับเรื่องของเอย
สุดท้ายก็หวังเพียงแค่ไม่ให้ใจดวงนั้นต้องปวดร้าว
“friends don’t kiss.”
เขากระซิบ
แผ่วเบาเหมือนขนนกที่ทำเพียงล่องลอยไปตามลม สัมผัสกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลกและปลิดปลิวขึ้นสูงอีกครั้งเมื่อลมพัดผ่าน หากคนเราเปรียบความเจ็บปวดเป็นสีน้ำเงินเข้มจวบจนถึงสีฟ้า
นี่จะเป็นความเจ็บปวดที่มีสัดส่วนของสีขาวอยู่มากกว่าสีดำ
ฟ้าของเราจะเป็นสีฟ้า
ยังเป็นสีฟ้า
“so i will do it
my way.”
ชินตะกดจูบลงบนหลังมือตัวเองที่เลื่อนไปปิดปากบางคนไว้เพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์แตะต้องบางคนที่อ่อนแอและสับสน
สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าเขารักเอยมากพอ
เขารักเอยมากพอที่จะไม่ทำให้เอยถูกแต้มด้วยสัดส่วนของสีที่เข้ม
เขารักเอยมากพอที่จะไม่ดึงรั้งบางคนลงมา
“โปรด”
ถ้ามันจะมีใครสักคนที่ผิด
“เอยขอโทษนะ”
ก็ให้มันเป็นเขา
เป็นเขาที่รักเอยเกินเพื่อนไป
“ขอโทษที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้นะโปรด
ขะ ขอโทษจริงๆ”
เป็นอีกครั้งที่บางคนปล่อยน้ำตารดลงบนพื้นที่ที่เคยว่างเปล่าในอกข้างซ้ายของเขา
ชินตะกระซิบบอกอีกคนว่าทุกอย่างจะโอเคและเขาเชื่อว่าเอยจะไม่เป็นอะไร
เอยจะต้องไม่เป็นอะไร
เอยจะปลอดภัย
“you’re safe
with me.”
และมันจะผ่านไปด้วยดี
○
.
รถของเขาจอดสนิทหน้าโรงพยาบาล
ตัวเลขที่ถูกบรรจุไว้บนจอบอกเวลาบ่ายสามโมงห้าสิบสองนาที
เพลงที่ดังคลอเบาๆในรถถูกปิดและผมเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกรีดร้อง
ถ้านี่คือสมการคณิตศาสตร์ง่ายๆ
ผมคงแก้มันด้วยวิธีการที่มากมายจนมันดูยุ่งเหยิงแล้วกลายเป็นยาก เราจับมือกัน
ประสานทุกๆนิ้วเข้าหากัน
ผมได้ยินเสียงตัวเลขที่เราเรียกมันว่าเวลาขยับเคลื่อนหลักหน่วยจากสองเป็นสาม
มันเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เราไม่อาจฝืน
“วันนี้โควต้ากาแฟหมดแล้วนะเอย”
“อื้อ ..
โควต้าบุหรี่คุณก็หมดแล้วเหมือนกัน”
หรือภาวนาให้มันเดินถอยหลัง
“ถ้ากลับบ้านไม่ไหวก็นอนห้องจัสมิน
โอเคมั้ย?”
“เข้าใจแล้ว”
“สมุดจดงานเอยอยู่บนชั้นติดทีวี
ส่วนปากกาที่หาไม่เจอ โปรดวางไว้ให้บนโต๊ะทำงานแล้ว” ผมมองเขา มองมือของเราที่ประสานกัน
ผมเจ็บในใจและผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้
ผมร้องไห้
ผมเจ็บปวด
ผมทรมาน
“ถ้าหิว
มีขนมปังอยู่ในตู้เย็น”
“ … ”
เพราะพี่ซือนอกใจผม
“เช็กวันหมดอายุด้วย”
แต่ในตอนนี้
นาทีนี้
หรืออาจจะตั้งแต่วินาทีที่เราสบตากันในห้องตรวจวันนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน
“เอย .. ”
ผมก็กำลัง
“หืม”
นอกใจพี่ซืออยู่ไม่ใช่หรือไง
“あなたと一緒で私は幸せです。”
ผมขมวดคิ้วในตอนที่เขาบีบมือผมเบาๆเมื่อพูดประโยคนั้น
ประโยคที่ฟังดูคล้ายกับตอนที่เขาพูดให้ฟังตอนที่เราอ่านหนังสือด้วยกัน ..
ประโยคที่ผมได้ยินอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ
สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มออกมา
ยิ้มที่ทำให้เขาดูเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ
ชอบเล่นปิงปองในฤดูร้อนและไปโรงเรียนด้วยการนั่งรถไฟเองตั้งแต่ประถม .. ซาซาคิ
ชินตะคนนั้นกำลังพูดประโยคต่อไปช้าๆเหมือนเขาใช้ทุกลมหายใจไตร่ตรองก่อนจะพูดมันออกมา
“愛しています。”
แล้วผมก็เห็นตัวเองในอนาคตจากดวงตาเขา
ผมที่กำลังยิ้มกว้าง
ผมที่กำลังโดนกอดและปลอดภัยในอ้อมแขนเขา
ผมที่กำลังมีความสุข
ผมคนนั้น
..
ที่ผมคนนี้ไม่มีวันเป็นได้เลย
tbc.
ชอบตอนนี้ที่สุดในเรื่องแล้ว :•)
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น