คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 10 - there are times i think about that fateful day.
ตงจื้อสบตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันกับหมอเอยด้วยแววตามีคำถาม
เขามองเอยที่เขี่ยพริกออกจากจานกะเพราเนื้อที่เขาทำมาให้คุณหมอเพราะวันนี้ว่างและคอนโดของเขากับจัสมินไม่ได้ไกลจากที่นี่เลย
ที่จริงเขามาหาเอยอยู่บ่อยๆช่วงก่อน แต่พองานมันยุ่งๆก็ทำให้พลาดอะไรไปหลายๆอย่าง
รวมไปถึงผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆเอยพร้อมกับขมวดคิ้วมองเศษพริกที่กองอยู่ข้างจานกะเพรา
เอาล่ะ
..
เขาไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นนัก
“เนี่ยๆ
ไม่เผ็ดแล้ว”
แต่มองไปที่ทั้งสองคนแล้วมันอดนึกถึงพี่ชายจัสมินกับแฟนเขาไม่ได้เลย
..
ผู้ชายหน้าดุนิสัยไม่ดีที่เวลาอยู่กับแฟนแล้วกลายเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆน่ะ
“ลองกินก่อนดิ
อร่อยนะ ตงทำกะเพราอร่อย”
ตงสบตากับคนที่เขาจำได้ว่าชื่อชินตะ
จริงๆไม่ได้คิดไว้เลยว่าเปิดประตูห้องพักคุณหมอคนเก่งเข้ามาแล้วจะเจอใคร
มันก็แปลกๆนะว่ามั้ย
อะไรจะทำให้คนที่ต่างกันสุดขั้วมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ
ถ้าไม่ใช่ความรัก
“คุณกินได้ใช่มั้ย”
“ครับ”
มันเป็นครับที่ฟังดูห้วนและกวนเอาซะมากๆเมื่อบวกลบคูณหารด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแบบนั้น
ตงพยักหน้าเข้าใจก่อนจะฟังหมอเอยพูดถึงเคสผ่าตัดเมื่อคืนที่เจ้าตัวยืนขาแข็งอยู่หลายชั่วโมง
จัสมินบอกเขาว่าเอยเป็นพวกชอบแบกปัญหา
ระหว่างทางไม่ว่าจะแบกไว้มากแค่ไหนจะไม่ยอมพูดเด็ดขาดจนกระทั่งวันหนึ่งมันไม่ไหว
ก็จะระเบิดออกมา
“นอนบ้าง
อย่าหักโหม” ตงมองชินตะที่แบ่งไข่ดาวอีกครึ่งฟองของตัวเองใส่จานเอย
เขาก็จำได้เหมือนกันว่าคุณหมอเขาชอบ
นี่ถ้าจัสมินมาด้วยคงเอ่ยปากแซวไปแล้ว แต่อย่างว่าแหละ เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร
แค่ได้สังเกตและคิดอะไรเงียบๆกับตัวเอง
มันก็พอแล้ว
“เอ้อตง
พรุ่งนี้พี่ซือกลับแล้วนะ ชาที่ฝากได้แล้วด้วย ดีใจมั้ย~”
“ดีใจ
ขอบคุณนะเอย .. แล้วก็ฝากขอบคุณพี่ซือด้วย”
“สบายมากกก
เรารักใคร พี่ซือก็รักด้วย”
คนน่ารักไม่รู้ตัวบอกพลางยิ้มแฉ่ง
ในขณะที่คนความรู้สึกไวอย่างตงรับรู้ว่าอีกคนที่เหลือเปลี่ยนไปเมื่อบทสนทนาเป็นเรื่องของแฟนเอย
“แล้วนี่ตงไม่ไปหาจัสมินเหรอ
ป่านนี้งอนแย่แล้วมั้งไม่ไปกินข้าวด้วยน่ะ”
“จัสไปอยุธยากลับเย็นๆเลย”
“งอแงมากมั้ย
ปกตินี่ห่างไม่ได้เลยนี่”
“ปวดหัว”
“เป็นเรานะจะตีเลย
ติดตงอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้” บ่นๆกับตัวเองเพราะเอยไม่เข้าใจหรอก
ไอ้อาการติดแฟนเป็นตังเมแบบนั้นน่ะ เขาเคยไม่เจอแฟนตัวเองตั้งเกือบสี่เดือนยังอยู่ได้สบายๆเลย
“แล้วไม่คิดถึงพี่ซือบ้างเหรอ”
“เราเหรอ”
“ … ”
ชินตะหยิบน้ำมาดื่ม
ปกติแล้วถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อยากฟัง เขาก็จะลุกขึ้นแล้วเดินหนีไป .. แต่พอเป็นเรื่องของเอย
ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เขาชอบมันหรือไม่ชอบมันก็ตาม
เขากลับรู้สึกว่าตัวเองยังอยากจะอยู่ตรงนี้
อย่างน้อยๆก็เก็บเกี่ยวเวลาที่จะได้นั่งข้างๆ
รับฟังเรื่องราวและความเป็นไป
“ก็คิดถึงนะ”
มันเป็นตอนนั้นเองที่บางคนเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาคนเราเจ็บเพราะความรักถึงเอาแต่บอกว่ามันปวดที่ใจ
มันเป็นความรู้สึกที่บีบรัดกันแรงๆของก้อนเนื้อใต้แผ่นอกเมื่อตระหนักได้ว่าวันพรุ่งนี้
..
เขาที่เป็นแค่เพื่อนจะไม่มีสิทธิ์ได้ใช้เวลาว่างที่บางคนมีกินข้าวด้วยกันอีกแล้ว
คิดแล้วมันก็น่าขำที่เขาได้เรียนรู้รักในรูปแบบนี้
“แต่ไม่ได้เจอก็ไม่เป็นไร”
รักแบบที่จะขยับตัวทำอะไรก็ต้องคิดก่อนทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนคิดอะไรเยอะแยะเลยสักนิด
รักแบบที่ต้องออมรักไว้
รักแบบที่ต้องข่มใจ
“ไปสูบบุหรี่นะ”
“เบาๆหน่อยนะคุณ
หมากฝรั่งที่เราให้ไปหมดยังอะ?”
“ยัง”
“ดีๆนะโปรด”
ตงขยับตัวบนเก้าอี้ในขณะที่หูฟังบางคนถูกดุ
เขาไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากผู้ชายตัวสูงที่สวมแค่เสื้อยืดสีดำตัวหลวมแต่ใบหน้าหล่อร้ายนั่นพยักขึ้นลงและเป็นเขาเองที่พูดขึ้น
“สูบด้วย”
“เฮ้อ
อยากดุทั้งคู่เลย ไปๆ เดี๋ยวเราเก็บจานให้”
หมอเอยโดนคนที่ตัวเท่าๆกันขยี้ผมเบาๆก่อนจะบอกว่าเดี๋ยวกลับมา
บางทีเอยก็สงสัยเหมือนกันว่ามันยังไงกันแน่ ก็ตงจื้อน่ะดูไม่งอแงแล้วก็แมนกว่าจัสมินซะอีก . _ .
หรือว่า
“เลิกทำหน้าแปลกๆได้แล้ว”
ชินตะที่กำลังจะปิดประตูห้องพักหันมาเอ็ดคนที่ทำท่าเหมือนกับกำลังคิดอะไรพิลึกๆในหัว
เอยแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะบอกว่าให้ตามตงไปได้แล้ว
“เดี๋ยวมา”
“อื้อออ รู้แล้ว”
“มวนเดียว”
“เด็กดีที่หนึ่งเลย”
ยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับแจกยิ้ม ชินตะไม่ได้ทำอะไรนอกจากปิดประตูห้องลง
รู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ซ่านผ่านตัวเขาราวกับว่ามันเป็นความสามารถพิเศษ
ที่รอยยิ้มของบางคนจะทิ้งทวนความรู้สึกอบอุ่นไว้ในใจเขาได้นานถึงขนาดนี้
เสียงไฟแช็กที่ดังขึ้นพร้อมๆกันทำให้ตาคมเหลือบมองผู้ชายตัวเล็กข้างตัว
ตงจื้อแปลว่าอะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคนที่อยู่ในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง ยีนส์
และรองเท้าผ้าใบน่ะถูกชะตาเขา
รอยสักสีดำขนาดไม่ใหญ่มากด้านหลังคอทำให้เขาที่ชอบการสักเหมือนกันสนอกสนใจจนเผลอจ้องมองแล้วนัยน์ตาเนือยๆนั่นก็สบกันเข้า
“แปลว่าฤดูหนาวมาถึงแล้ว”
ชินตะพยักหน้า
หายใจออกเอาควันบุหรี่ออกมาแล้วปล่อยสายตาให้มองท้องฟ้ากว้าง
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในซอยเล็กๆไม่ไกลจากโรงพยาบาล
พื้นที่ตรงนี้มีต้นไม้และร่มรื่นพอจะให้สูบบุหรี่ ตงเตะก้อนหินก้อนที่อยู่ใกล้เท้า
มองมันกระเด็นกระดอนออกไปไกล
ที่จริงก็ไม่อยากยุ่งเลย
“ชอบเอยเหรอ”
แต่ก็ไม่อยากให้อะไรๆมันแย่
แม้ว่าตอนนี้มันจะยังดีอยู่
“มองออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิง”
ชินตะหัวเราะในลำคอ
ละเลียดบุหรี่มวนเดียวตามสัญญาที่ให้ไว้กับบางคน
คนที่เข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจซะเหลือเกิน
หรือมันอาจเป็นเพราะเอยเป็นคนทำให้มีมันขึ้นมา
ได้มันไปและจะทำยังไงก็ได้กับใจดวงนั้นล่ะมั้ง
“รู้ใช่มั้ยว่าแบบนี้ไม่ดี”
“ก็ไม่ได้จะแย่ง”
“แต่ถ้าเป็นไปได้
.. ก็อยากให้เขาเลือกใช่มั้ย?”
ตงเข้าใจนะ
เข้าใจความรักแบบนี้
อาจจะเพราะเขาเองก็ผ่านการรักมาแล้วแม้จะไม่กี่ครั้งแต่ก็ดำดิ่งพอจะเข้าใจว่าเพื่อคนคนหนึ่ง เราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าจุดสิ้นสุดของความสามารถตัวเองมันอยู่ตรงไหน
เรากลายเป็นอะไรๆที่ไร้เทียมทาน ทำทุกอย่างได้เพื่อเขา .. หรือบางครั้งก็อาจเป็นการหลอกตัวเองว่าทำลงไปเพื่ออีกคนทั้งๆที่ทั้งหมดนั้นก็ทำลงไปเพื่อใจตัวเองทั้งสิ้น
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก
เราหลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราโกหกตัวเองอยู่หลายตลบ
“ไม่ได้อยากจะยุ่ง
แต่ก็เป็นห่วง”
“ … ”
เพียงเพื่อจะรัก
และเพียงเพื่อจะไม่ต้องรัก
“หมายถึงทั้งกับเอยแล้วก็คุณด้วย”
ชินตะพยักหน้า
เขาเองก็เข้าใจเพราะตงจื้อก็ไม่ใช่คนแรกที่บอกเขาแบบนี้ แต่เชื่อเถอะ
ต่อให้เขานิสัยแย่แค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดแย่งเอยมาเลยสักครั้ง
ในขณะเดียวกันเขาก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกันว่าถ้าเป็นไปได้ .. ถ้ามันเป็นไปได้
เขาก็อยากให้เอยเลือกเขา
“สนิทกันมาสักพักแล้ว คุณคงพอรู้นิสัยเอย เวลาเหนื่อยก็ไม่เคยบ่น
เอยไม่เคยพูดปัญหาของตัวเอง จะแบกไว้แบบนั้นแต่ก็ไม่อยากให้ไปห่วงมาก
เอยไม่ชอบให้ใครทำเหมือนเจ้าตัวอ่อนแอ .. แต่แค่อยากให้รู้ว่าสุดท้ายมันคงไม่ได้จบสวย”
“เข้าใจ”
“มันคงต้องมีคนที่เสียใจหรืออาจจะต้องเสียใจไปทุกคน”
ตงจื้อดับบุหรี่
หยิบก้นกรองที่ย่ำให้ดับลงบนพื้นขึ้นมาเพื่อเก็บไปทิ้งให้ถูกที่
คนเราควรเลือกวางตัว รู้กาลเทศะและเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดี
“คุณคงคิดมาแล้ว
คุณคงยอมรับทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นแล้ว”
“ … ”
“แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ
มันจะเจ็บมาก มากจนคุณเข้าใจคำว่าใจสลาย”
รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของตงจื้อทำให้ชินตะคิดกับตัวเองว่าคนคนนี้ผ่านรักรูปแบบไหนมา
แต่มันคงหนักหนาแบบที่รอยกรีดลึกๆบนข้อมือนั่นยังไม่เลือนลางไปจากผิวขาวซีด
“ตอนเห็นคุณครั้งแรกก็คิดว่าดูเหมือนคนที่รักใครไม่เป็น
ก็ดีใจนะ .. ที่เป็นเอย”
บางคนวูบไหว
ปล่อยให้หัวใจเอนไปเหมือนต้นไม้ที่ไม่ได้ยืนต้นทนทานแรงลม
ชินตะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงเรื่อยๆ
เขาไม่สามารถควบคุมหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองได้ เขาไม่สามารถควบคุมความเสียใจที่ล้นอยู่ในอก
ในขณะเดียวกันเขาไม่สามารถควบคุมปริมาณความรู้สึกที่ยกให้บางคนไป
ควบคุมอะไรไม่ได้เลย
“รักก็ยากแบบนี้
ทนหน่อยนะคุณ”
แล้วรอยยิ้มบางๆที่อีกคนส่งมาให้ก็ทำให้ชินตะเข้าใจว่าถ้ามันจะจบลง
เขาก็คงไม่รู้สึกทุรนทุราย เพราะอย่างน้อยๆคนที่เป็นเจ้าของฤดูหมอกคนนั้นก็จะยังถูกแวดล้อมไปด้วยคนที่รักและเข้าใจอย่างแท้จริงเสมอ
⎯
“ตี๋
เป็นอะไรของมึง”
“เปล่า”
“เนี่ย
มึงเป็นอะชิน ปกติต้องด่าเจ๊นะว่าเสือก” เรนทิ้งตัวลงนั่งข้างนายแบบในสังกัด
ที่จริงเลิกงานก็ควรแยกย้ายแต่วันนี้เป็นวันดี ทั้งจิมมี่และชินตะได้มาร่วมงานกับนางแบบชาวเกาหลีถ่ายแบบเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด
มีการถ่ายวิดีโอไว้ทำเบื้องหลังเพราะทั้งตัวนางแบบและนายแบบเองก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร
“เครียดอะไร
ไหนบอก”
“แค่อยากนอน”
“คิดถึงเขาเหรอ”
“ … ”
“เฮ้อ
กับเรื่องแบบนี้นี่กระจอกจังวะ คนเขามองออก”
“ยุ่ง”
“ปกติว่างเมื่อไหร่ก็ไปหาเขาจัง
เขาไม่ว่างก็ไปนั่งรอ มันทำไมนัก ไม่ได้เห็นหน้า เห็นห้องทำงานเขาก็พอ
แบบนี้เหรอ?” คนตัวสูงที่สวมเชิ้ตสีขาวถอนหายใจ
มีใครเคยบอกเจ้าตัวมั้ยนะว่าเสียงแว้ดๆนี่น่ะ ฟังติดต่อกันนานๆหูมันจะหนวกเอา
“เจ๊ว่าทุกคนบนโลกนี้อะ
อย่างน้อยก็ต้องเคยผ่านการชอบเพื่อนตัวเองมาบ้าง
มึงเคยฟังเพลงเพื่อนไม่จริงของโพลีแคทมั้ยตี๋ เขาบอกว่า เป็นคนที่เธอไว้ใจ
มันก็ดีเท่าไร ไม่เสี่ยงเกินไปกว่านี้ เพราะมันอาจจะไม่คุ้มกัน .. เนี่ย
มึงได้เป็นที่ที่ปลอดภัยของเขาอะ พอแล้วได้มั้ยล่ะ”
เรนตบมือน้องชายที่เห็นมานานเบาๆก่อนจะสบตาแล้วบอก
“ถ้าทุกวันมึงตื่นมาคิดอะ
ว่าทำยังไงจะให้ได้มากไปกว่าเดิม เมื่อไหร่มันจะสุขวะ มึงฟังพี่นะเขาบอกดิ
อยากเป็นคนสำคัญ แค่เพื่อนแล้วกันเพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้”
“ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน อยากเป็นผัว”
“โอ๊ย!
อีเหี้ย! ขอกรี๊ดได้ปะะะ จังหวะที่มึงพูดเมื่อกี้คือใจกูไปหมดละนะ
เหมือนมึงแก้ผ้ากูด้วยคำพูดนั้นเลยอะ ผู้ชายแบดๆมันดีแบบนี้”
“รำคาญ”
ก็นี่ไง
เป็นซะแบบนี้ สาระได้ไม่ถึงห้านาทีก็หลุดแล้วผู้จัดการเขาน่ะ
“เป็นเพื่อนกันมันจูบกันไม่ได้”
“แล้วเพื่อนคนนั้นดันมีผัวแล้วไง
ใจไม่ถึงจริงๆว่ะ นรกก็คือนรกอะ กูไม่อาจทำให้มันเป็นแค่ชื่อน้ำพริกได้”
“เวลาเขาบ่น ..
อยากจูบปิดปาก”
“ตี๋ พอก่อน
ใจกูไม่เหลือแล้ว”
“ตัวก็หอมฉิบหาย fuc k it all.” เรนทำหน้าเหมือนใจจะขาด
ถึงจะรู้จักกันมานานแต่ใครมันจะไปชินกับคนที่นอนน้อยก็หล่อ สิวขึ้นก็หล่อ
เดินก็หล่อ นั่งก็หล่อแบบนี้ได้วะ ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจจจจจ
“จับมือยังไม่เคยจับเลย”
“ก็เพื่อนที่ไหนเขาจับมือกันอะ”
“เคยเห็นเพื่อนเขาหอมแก้มเขา
หลายทีด้วย”
“ก็นั่นเขาทำเล่นไง
แต่มึงคือเอาจริงอะ เอาจริงแบบเอาจริงๆ” คุณผู้จัดการหัวเราะเบาๆ
เดาว่ามันคงตบตีกับตัวเองในใจว่าทีเพื่อนเขายังหอมแก้มได้เลย
แต่ตัวมันไปหอมก็คงไม่ได้
แหงล่ะ
..
เจตนามันชัดขนาดนี้ เขาไม่รู้ก็แปลกแล้ว เพื่อนห่าอะไรหาเวลาไปเจอได้ทุกวี่ทุกวัน
แถมเพิ่งมารู้จักกัน นี่ถ้าไม่มีแฟนนะคงย้ายบ้านไปอยู่กับเขาแล้ว
ไอ้ตี๋เอ๊ย
“คุยไรกันวะเจ๊?”
“มาก็ดีอีจิม
เพื่อนมึงจะตายแล้ว พิษรัก”
“โธ่ตี๋
แต่ก่อนผู้หญิงมารุมตบแย่งมึงเกือบตายก็เดินผ่านหน้าเขาไปเหมือนเป็นอากาศ
ปัจจุบันเข้าออกโรงพยาบาลเพราะหลงรักคนมีเจ้าของ แอบมองอยู่ทุกวัน”
“x you all.”
“อย่าหัวร้อนดิ้ อาการมันเป็นยังไง” จิมมี่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
ไม่ได้รออะไรนอกจากฝั่งนางแบบที่น่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่
วันนี้ต้องไปดินเนอร์ด้วยกันระหว่างเอเจนซี่สองฝั่งคือไทยกับเกาหลี
วันนี้เขาพูดเกาหลีไฟแลบเลยเพราะว่านางแบบพูดไทยไม่ได้
อังกฤษก็พอไหวแต่เกาหลีจะสะดวกที่สุด
งี้แหละนะ
ผู้ชายครบเครื่องว่ะ
“เงียบอีก
แล้วทำไมวันนี้ไม่ไปหาเขาวะ ตอนแรกคิดว่าเสร็จงานมึงจะไม่ไปดินเนอร์”
“เอยอยู่กับแฟน”
“ดนตรีมาเลย
ขอเป็นเพลงบรรเลงที่เศร้าที่สุด”
เรนหัวเราะเมื่อจิมมี่เริ่มกอดเพื่อนไว้แน่นเหมือนอยากจะโอ๋แต่จริงๆก็รู้ว่าอยากจะกวนตีนเขาทั้งนั้น
อย่าต่อยกันก็พอไอ้เด็กทั้งหลาย
เพราะต้องใช้หน้าตาหากินอยู่โว้ย!
“ระหว่างที่รอเขา
ให้ฉันนั่งข้างเธอจะได้มั้ย~”
“กูไม่ได้เศร้า”
“ปากแข็งไปเหอะเราน่ะ
พอเห็นเขาอยู่ด้วยกันกับตาระวังจะร้องไห้ไม่ออก”
ชินตะยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรกลับไปเอเจนซี่จากฝั่งเกาหลีก็ออกมากันพร้อมหน้าพร้อมตา
สุดท้ายเลยทำได้แค่เดินไปขึ้นรถและคุยกับนางแบบบ้างไม่ให้เสียมารยาท
ร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ค่อนข้างหรูหราเพราะอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งเป็นจุดหมายในครั้งนี้ พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการนั่งรถเพราะมันไม่ไกลจากสตูดิโอที่ใช้ถ่ายแบบเท่าไหร่
ชินตะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงรั้งท้ายกลุ่มทีมงาน
มีจิมมี่เดินข้างๆกันและชี้ชวนให้ดูบรรยากาศระหว่างขึ้นลิฟต์
“ถ้าพาแฟนมากินคงปลื้มแย่
บรรยากาศแบบนี้ต้องขอแต่งงานเท่านั้น”
“เพ้อเจ้อ”
“มึงก็เงี้ย
สงสัยแหวนที่แม่ให้ไว้กับไอ้ชิคนละวงก่อนเขาเสียคงตายไปกับมึง
น้ำหน้าอย่างมึงจะไปมีความโรแมนติกอะไร”
พูดไปย่นจมูกใส่ไปเพราะสุดแสนจะทนกับคนแบบชินตะ
แต่เอาจริงๆหลังๆมันทำตัวเชื่องเป็นบ้า ออกไปดื่มแต่ไม่หิ้วใครกลับ
สาวที่เคยนั่งตักก็ไม่มีหรอก เขาเป็นเด็กดี .. ขนาดคุณหมอเขาไม่ได้สั่งหรือรับรู้อะไรมันก็ทำตัวซื่อสัตย์ฉิบหาย
เนี่ย
พอคนไม่เคยรักมันมารักใครเป็นก็น่ากลัวนิดหน่อย ทุ่มให้เขาหมดทั้งใจเลยนี่หว่า
“เชิญทางนี้เลยค่ะ”
รอยยิ้มเป็นมิตรจากบริกรหญิงพร้อมการผายมือไปเป็นเชิงบอกว่าที่นั่งที่จองไว้อยู่โซนนู้น
ตาคมมองวิวของตึกระฟ้า มีลมเย็นๆพัดผ่านผิวแบบที่เขาและบางคนชอบ วูบหนึ่งในความคิดเขากลับนึกอะไรน้ำเน่าอย่างการได้พาบางคนมาดินเนอร์ที่นี่สักครั้งเพียงแค่เพราะคิดได้ว่าเอยน่าจะชอบแบบนั้น
“
… ”
ชินตะไม่เคยเชื่อเลยว่าการที่เราชอบใครสักคนมากๆ มันจะทำให้เราสามารถมองเห็นเขาได้ราวกับว่าทุกแสงไฟมันไปกระจุกอยู่ตรงนั้น
..
ตรงที่ที่เขาเดินผ่าน
ตรงที่ที่เขานั่งลงเพื่อจดจ่อกับงานในคอมพิวเตอร์หรือแม้กระทั่งตอนนี้
ตอนที่ใบหน้าน่ารักนั้นยังประดับไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเก่า
“ไอ้ชิน?”
แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าการพูดไปตรงๆมันจะลดความเจ็บปวดให้คนที่หวัง
เขาเลยบอกคู่นอนของเขาไปตรงๆว่าไม่ได้คิดอะไรแต่ไม่ได้ต้องการจะสานต่อ
เขาไม่เคยเข้าใจว่าตัวเองใจร้ายยังไงจนกระทั่งวันนี้
วันที่ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อเฝ้ามองบางคนมีความสุขกับใครสักคนที่ไม่ใช่เขา
มือเล็กๆนั่นโดนดึงไปกุมไว้ก่อนที่ใครบางคนจะกดจมูกลงไปแล้วยิ้มบางๆให้
เขาคงไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นออกไปได้เพราะเขาก็เป็นแค่ผู้ชายแข็งๆคนหนึ่งเท่านั้น
“ชิน ..
มึงโอเคนะ”
โอเคงั้นเหรอ
“just go.”
“อะ เออๆ”
ไม่เลย
มันไม่เคยโอเคเลยสักนิด
○
.
ประตูห้องน้ำถูกผลักให้เปิดออก
อาจจะเป็นเพราะดื่มแชมเปญมากไปแถมยังผสมกับไวน์และเหล้านอกที่ทีมงานจัดแจงมาอีกต่างหาก
ชินตะเปิดก๊อกน้ำเพื่อวักเอาอะไรเย็นๆมาลูบหน้าให้สร่าง
ตาคมเผลอจ้องมองตัวเองในกระจกบานโต ไม่นานมันก็สะท้อนภาพอีกคน
“ … ”
มันเจ็บใจ
เขาคิดว่ามันคือความรู้สึกที่นิยามออกมาเป็นคำว่าเจ็บใจ
“บังเอิญจังนะครับ”
ผู้ชายที่สูงพอๆกับเขาแต่ดูก็รู้ว่าน่าจะอายุมากกว่าเกือบจะสิบปีเลยด้วยซ้ำเคลื่อนตัวเข้ามายืนล้างมือข้างๆ
กลิ่นหอมจางที่คุ้นเคยปะปนอยู่บนเสื้อสูทของอีกคนทำให้เขาตระหนักว่าระยะที่คนสองคนจะใกล้ชิดกันจนกลิ่นน้ำหอมผสมปนเปกันนั้น
มันควรจะใกล้แค่ไหน
.. ใกล้กว่าที่ใจของเขาได้สัมผัสลงไปที่ใจเอยมั้ยนะ
“ปกติถ้ามีคนมาชอบเอยแบบเปิดเผย
เอยเขาจะกันออกไปเอง เขาเป็นคนซื่อสัตย์”
“ … ”
“แต่คุณก็ฉลาดดีนะครับ
มาในฐานะเพื่อน .. เอยเขาเป็นคนฉลาด สักวันเขาก็ต้องรู้”
ชินตะแสยะยิ้ม
เขาไม่เคยอยากเป็นผู้ร้ายในความสัมพันธ์นี้เลยด้วยซ้ำ
“you don’t even deserve him.”
(คุณไม่คู่ควรกับเอยเลยด้วยซ้ำ)
เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ
ผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะละอายและทำเหมือนกับรักและเทิดทูนแฟนตัวเองนักหนาทั้งๆที่คอยหาเศษหาเลยอยู่ตลอด
เขาไม่รู้หรอกว่าคืนนั้นที่ได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้คั่วกับผู้หญิงคนอื่นอยู่มันคือความผิดพลาดหรืออะไรก็ตาม
เพราะถ้าเป็นเขา
“แล้วใครจะเหมาะสมล่ะครับ
คุณเหรอ?”
เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยด้วยซ้ำที่ทำแบบนั้นลับหลังเอย
“ผมกับเอยเรารู้จักกันมาทั้งชีวิตแล้ว
คุณเองที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานอาจไม่รู้ว่าครอบครัวเราแทบจะเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
.. คนที่ผมจะอยู่ด้วยไปทั้งชีวิต ยังไงก็เป็นเอย”
ชินตะก้มลงมองมือตัวเอง
มันสั่นเทาคล้ายกับเก็บความไม่พอใจเอาไว้ไม่อยู่ พอมันเป็นเรื่องของเอย
เขาจะรู้สึกมากกว่าปกติไม่รู้กี่เท่าและมันเจ็บปวดที่ทำได้แค่อดทน
“สักวันเอยจะรู้”
ซือหัวเราะในลำคอก่อนจะรั้งคอเสื้อคนอายุน้อยกว่าเข้าหาเพื่อให้ได้มาสบตากันตรงๆ
“นี่คุณขู่ผมเหรอครับ?”
“คุณบอกเองว่าเอยเป็นคนฉลาด”
“ … ”
“เขาไม่พูด
ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้อีกเหมือนกัน”
ชินตะเห็นความกลัวในนัยน์ตาของอีกคน
เขารู้นั่นแหละว่าผู้ชายตรงหน้าก็รักเอยไม่ต่าง
แต่มันเป็นรักที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่มากซะจนเขาแทบสำรอกกับกระบวนการคิดของอีกฝ่าย
คนที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกสะบัดออกแรงๆด้วยความฉุนเฉียว
เป็นซือเองที่ผละออกไปก่อนแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ .. ชินตะถอนหายใจ
เสยผมหน้าตัวเองขึ้นลวกๆ สุดท้ายอย่างเดียวที่เขาขอก็คือขอให้เอยไม่ต้องเจ็บปวด
หรืออย่างดีที่สุดก็ไม่เจ็บปวดจนเกินไปก็พอ
“โปรด?”
ดวงตากลมโตกับรอยยิ้มบางๆเป็นสองสิ่งที่ทำให้เอยดูสดใสเสมอ
มันไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความรู้สึกร้อนๆในอกแบบที่อยากจะซัดหน้าใครสักคนทำให้เขาต้องพาตัวเองออกมาสูบบุหรี่ตรงที่ที่โรงแรมจัดเอาไว้ให้และแปลกใจเหลือเกินที่เอยมาอยู่ตรงนี้
“เราคิดว่าตัวเองตาฝาดซะอีก
ฮ่าๆ”
“มาทำอะไรตรงนี้
มีแต่ควัน”
“ก็เราคิดว่าถ้าเป็นคุณจริงๆต้องมาแอบสูบบุหรี่อยู่แล้วก็เลยมายืนรอมั้ง”
“แล้วถ้าไม่มา .. จะรออยู่ตรงนี้ไปตลอดเลยหรือไง”
ลมแรงๆพาเส้นผมสีเข้มมาปรกตาคนตัวเล็กกว่า
ชินตะชั่งใจว่าตัวเขามีสิทธิ์จะแตะต้องเอยแค่ไหนกันนะ .. ทั้งๆที่ดอกไม้ดอกนี้ก็ไม่ได้มีหนามไว้ป้องกันตัวเอง
แต่เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะจับคว้าเอาไว้
“ไม่หรอก
เวลาเรารอใคร เราจะกำหนดเวลานะ”
“ … ”
“เดี๋ยวถ้าอีกนาทีคุณไม่มา
เราก็จะกลับไปที่โต๊ะแล้ว”
“มากับแฟนเหรอ”
“อื้อ คุณล่ะ?”
“จิมมี่แล้วก็ผู้จัดการ”
“คุณเพิ่งถ่ายแบบมานี่
เป็นยังไงบ้างล่ะ เหนื่อยมั้ย”
เหนื่อยมั้ย
นั่นเป็นคำถามที่แทบไม่มีใครถามเขา
“เหนื่อย”
ถึงจะดูไม่มีหัวใจ
แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ชินตะสบตากับคนที่มองมาที่เขา .. มองแค่เขาในตอนนี้
เอยเอื้อมมาบีบมือเขาเบาๆเหมือนกับจะให้กำลังใจ
ไม่ได้พูดอะไรแบบที่เขารู้ว่ามันมีอีกมากมายเหลือเกินในดวงตาคู่นั้น
และมันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่ปรกตาอีกคนให้
เลื่อนไปลูบเรือนผมสีเข้มแบบที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถแตะต้องบางสิ่งได้ด้วยวิธีการที่อ่อนโยนขนาดนี้
มันเรียบง่าย
“ขอบคุณนะโปรด”
การตกหลุมรัก
“ขอบคุณครับเอย”
⎯
“ราตรีสวัสดิ์ครับคนเก่ง”
“ขับรถดีๆนะครับพี่ซือ
แล้วก็เดินทางปลอดภัยนะครับ ขอโทษที่เอยไม่ได้ไปส่ง .. เจอกันอาทิตย์หน้านะครับ
ฝันดีล่วงหน้าครับ” ผมยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
ปลดเข็มขัดนิรภัยออกและโดนเขาดึงเข้าไปหาจนเกือบจมหายลงไปในแผ่นอกกว้างที่คุ้นเคย
ใบหน้าเราใกล้กันมากๆจนผมได้กลิ่นน้ำหอมของเขา
.. เขาที่ได้ชื่อว่าความสุข
“พี่รักเอยนะครับ”
ริมฝีปากของเราเกือบจะแตะต้องกันและเป็นผมเองที่กดจูบลงข้างแก้มอีกคนก่อนจะบอกในวินาทีที่หมุนตัวไปเปิดประตูรถ
“ขอบคุณครับ”
ผมมองรถยุโรปคันหรูที่เคลื่อนหายไปจากกรอบสายตา
ไฟในบ้านยังเปิดอยู่ แม่คงรอผมกลับมาจากดินเนอร์
นานๆทีเราจะได้กินข้าวด้วยกันเพราะเขายุ่งเสมอ
แต่ยังไงพี่ซือก็เป็นคนโปรดของแม่
“เอย”
“ครับแม่”
“เป็นไงบ้าง
ไปกินข้าวกับพี่ซือ สนุกมั้ยลูก”
“สนุกครับ”
ผมยิ้มให้แม่
มีแค่รอยยิ้มที่จะให้ ..
เพราะตอนนี้ความคิดในหัวผมกำลังตีกันวุ่นวาย ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง
ไม่หยุดคุยกับแม่เหมือนทุกๆวันโดยแสร้งทำเป็นเหนื่อยล้าและทันทีที่ผมปิดประตูห้องลง
ผมทรุดลงนั่งกับพื้นเพื่อทาบมือกับอกตัวเอง
ผมเคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆ
“ … ”
ผมจะเป็นลูกที่แย่มั้ยนะ
ถ้าไม่ทำทุกอย่างตามที่แม่ต้องการ
มันวนเวียนอยู่ในหัวผม
เป็นแบบนั้นซ้ำๆจนผมเลิกถามตัวเองและพยายามออกไปใช้ชีวิต ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
พบข้อความจากแฟนตัวเองบอกว่ารถติดอยู่หน้าห้างที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านผม
ผมเลื่อนสายตาไปมองข้อความจากบางคนที่ส่งมาสั้นๆ
goodnight.
เขาเป็นคนแบบนั้น
..
เป็นห่วง แต่ไม่ค่อยพูด
เขาก็เลยมาหาเพื่อที่ผมจะได้เกรงใจและแบกร่างหนักๆของตัวเองไปกินข้าวกับเขาเท่าที่จะทำได้
ชินตะเป็นคนแบบนั้น
เขาไม่เคยประดิษฐ์อะไร
เขาแทบไม่เคยซ่อนสิ่งที่ตัวเองรู้สึกในเวลาที่รู้สึกขึ้นมาจริงๆและผมถามตัวเองอีกครั้ง
ผมถามมันบ่อยพอๆกับที่ถามตัวเองว่า ผมจะเป็นลูกที่แย่มั้ย
ถ้าไม่ทำทุกอย่างตามที่แม่ต้องการ
“จ๊าบ”
[น้องเอย ฟังพ่อ]
“จ๊าบ ..
ว่างมั้ย”
[พ่อว่าง ต่อให้พ่อไม่ว่าง
ติดผ่าตัด พ่อก็จะทิ้งทุกอย่างไปหาน้อง]
ผมหัวเราะเบาๆ
ขดตัวเข้าหากันเหมือนดักแด้ หวังให้ที่แคบๆนี้ปกป้องผมไว้
“ไปเที่ยวกัน”
[เดี๋ยวๆๆ
ร้อยวันพันปี]
“นะ ..
ไปร้านนี้กัน”
ผมบอกชื่อร้านไปเพราะถ้าเป็นเรื่องของคนที่อยู่ด้วยกันมาเกือบจะทั้งชีวิตแล้วน่ะ
ผมไม่มีทางจำพลาด ..
ผมได้ยินเสียงจ๊าบคุยกับเพื่อนในห้องที่เขาอยู่ว่าเขาคงแลกเวรไม่ได้แล้วและมันโชคดีจริงๆที่คุณหมอเขาว่างไปทำตัวเกเรกับผมพอดี
[คิดยังไงจะไปเนี่ย
บอกผัวยังอะ]
“ไม่มีผัว”
[ขอโทษคร้าบบบ
น้องเอยบอกพี่ซือยัง เดี๋ยวก็ตามมาอาละวาดเหมือนคราวก่อนอีก]
“ไม่หรอก
เดี๋ยวพี่ซือเขาบินกลับจีนตอนตีสอง”
[แอบแฟนเที่ยวว่ะ]
“งั้นมั้ง”
ผมมองไปรอบๆ
ทุกที่ในห้องนี้เคยมีความทรงจำระหว่างผมกับเขา
เขาที่ขึ้นชื่อว่าความสุขมาเสมอ
[เป็นเด็กเกเรแล้วดิเรา
แน่จริงก็นอกใจแฟนมาคบกับพี่ดิค้าบบบ]
“นอกใจคงไม่ไหวหรอก”
แต่ผมก็เคยได้ยินมาอีกเหมือนกัน
“แต่ถ้ารอตอนเลิกไหว
อาจจะคบด้วยก็ได้นะ ฮ่าๆ”
[ใครสอนให้น้องพูดแบบนี้
พ่อเครียดว่ะ]
“เดี๋ยวเราไปรับ
ที่คอนโดจ๊าบได้มั้ย? หรือจ๊าบกลับบ้าน”
[คอนโดเลยจ้า
บ้านไม่กลับเพราะแม่ขี้บ่นม้าก]
“โอเค
เดี๋ยวเราโทรไปนะ”
[โอเคครับผม
ขับรถดีๆนะครับหมอเอย~]
ว่าคนที่ทำให้เรามีความสุข .. บางทีก็ไม่ใช่คนที่เรารัก
“เดี๋ยวเจอกันครับหมอจ๊าบ”
tbc.
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น