คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 09 - you're the sunshine on my life.
ค่อยๆเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา
.. อย่างน้อยๆก็ในฐานะเพื่อนก็ยังดี นั่นคือสิ่งที่น้องชายบอกเขาและเขาก็ทำมันมาเรื่อยๆจนเข้าออกห้องพักของบางคนในโรงพยาบาลได้อย่างที่พยาบาลในแผนกรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของคุณหมอสิสิร
เขาที่มักจะมานั่งกินมื้อเที่ยงตอนบ่ายกับบางคนแทบจะทุกวันที่อีกฝ่ายพอจะมีเวลาว่าง
เขาแทรกตัวเองเข้าไปในชีวิตบางคนเงียบเชียบ
“คุณ แป๊บนึงนะ”
หวังเพียงผลลัพธ์ที่มีทางสำเร็จเพียงหนึ่งในล้าน
“คุณณณ แป๊บนึง”
“รอได้
อย่าแพนิก”
“ขอโทษ
นัดไม่เป็นนัดเลยเนี่ย” ใบหน้าของคนพูดยังไม่โผล่พ้นจอคอมพิวเตอร์ออกมาทักทายกัน
เขาไม่รู้ว่าวันนี้เอยกำลังทำงานแบบไหนแต่เสื้อกาวน์สีขาวนั่นพาดอยู่บนเก้าอี้นวม
กาแฟแก้วที่สองที่เริ่มละลายวางอยู่ไม่ไกลกัน บางคนทำงานเหมือนเป็นวันสุดท้ายเสมอ
และมันทำให้เขาชอบเอยมากขึ้นเรื่อยๆ
ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณๆ
ช่วยเราแปลตรงนี้หน่อยได้มั้ย เราเบลอแล้ว”
“แลกกับ?”
อย่างคนที่เรียนรู้จะชอบใครสักคนแต่ไม่รู้วิธีหยุดมัน
“เป็นเพื่อนกันจริงปะเนี่ย”
“ไม่”
“เสียใจนะเนี่ย”
เอยโผล่หน้าออกมาจากกองงานแล้ว เบะปากใส่เขาที่นั่งประสานมือไว้บนตัก
แนบแผ่นหลังกับเก้าอี้นวมตัวนุ่ม ห้องคุ้นเคยและมีกลิ่นของเอยลอยฟุ้งในอากาศ
จะว่าไปเขาแทบไม่เห็นหมอนั่นมาหาเอยที่ที่ทำงานจนนึกสงสัยว่างานมันยุ่งมากขนาดนั้นหรือกำลังกกใครอยู่กันแน่
“ไหน”
เอยสะดุ้งเบาๆเมื่อบางคนเท้าแขนทั้งสองข้างกับโต๊ะโดยที่มีเขานั่งอยู่ระหว่างวงแขน
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดข้างแก้ม มันมาพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ
ตากลมเหลือบมองใบหน้าคมคายนั้นในระยะใกล้ สันจมูกโด่งน่าอิจฉาและริมฝีปากหยักสวยขยับเป็นคำพูด
“เอย .. ตรงไหน?”
มันอาจไวหากมองด้วยตา
แต่เชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึกเขา
“ตรงนี้ .. ตะ
ตรงที่เราไฮไลท์ไว้ด้วยสีเหลือง”
เพราะคำศัพท์ที่แปลเป็นเชิงการแพทย์ซะส่วนใหญ่
คนตัวเล็กเลยต้องถกเถียงกับคนตัวโตกว่าอยู่ในท่าทางแบบนั้นหลายนาทีและเพราะมันกินเวลานานขนาดนั้น
บางคนถึงพักคางไว้กับไหล่เขา กดน้ำหนักตัวลงเหมือนกับจะแกล้ง
ใจดวงเล็กใต้แผ่นอกสั่นไหว
มันคือข้อเท็จจริงที่เอยปฏิเสธแทบไม่ได้
“ใจลอย”
“อะ อะไรเล่า!”
“ตั้งใจฟังหน่อย”
“ขอโทษก็ได้”
นิ้วสวยพิมพ์ตามที่อีกคนบอก
กว่าจะเสร็จงานก็สู้กันไปหลายยก
เอยค้นพบว่าผู้ชายนิ่งๆคนที่กำลังเดินล้วงกระเป๋าไปโรงอาหารกับเขาคนนี้น่ะจริงๆเป็นคนกวนประสาทกันหน้าตายเสมอ
มีมุมตลกๆอย่างเช่นไม่สามารถทำเรื่องที่ไม่คาดฝันว่าจะมีคนทำไม่ได้ แต่เรื่องที่ยากจนเขาเกือบจะยอมแพ้กลับทำได้ง่ายดาย
“เออๆ
วันเสาร์เราว่างนะ เจอกันบ้านเรา”
“ไม่ไป”
“หน่าาาา”
“ไม่เห็นจำเป็น”
“ปั่นจักรยานไม่ได้นี่สาวไม่กรี๊ดนะเว้ย
ขอบอก” เอยทำตาโตช้อนตามองอีกคนที่เหลือบมองเขาแล้วกลอกตาใส่
ไอ้นิสัยแบบนั้นมันน่าทุบหัว เขาทำได้แค่กระตุกข้อมืออีกคนซ้ำไปมา
“นะๆ
ไปปั่นจักรยานกัน”
“ร้อน”
“ตอนเย็นก็ได้
เนี่ย แม่ก็ถามถึงนะ มากินข้าวเที่ยงบ้านเราดิ”
บอกยิ้มๆตอนที่เดินคู่กันไปร้านอาหารร้านประจำ
เอยจำได้ว่าเมนูเดิมของชินตะคืออะไร ถึงเจ้าตัวจะกินอะไรก็ได้แต่สุดท้ายก็เลือกกินอยู่แค่ไม่กี่อย่าง
“เอาวุ้นเส้นผัดไข่
พะโล้หมูตุ๋นแล้วก็กุนเชียงทอดครับ”
“ … ”
“ไงๆ
พี่เอยเลี้ยงเอง”
ทุบอกตัวเองปั้กๆเหมือนจะอวดว่านอกจากจะจำได้แล้วยังใจใหญ่จะเลี้ยงอีกด้วย คนตัวโตกว่ารับจานอาหารของตัวเองมาในขณะที่ตามองคนตัวเล็กกว่ายืนลูบคางคิดว่าจะกินอะไรดี
เห็นเลือกแบบนี้
สุดท้ายก็กินแบบเดิมๆเหมือนกันนั่นแหละนะ
“หมูยอหนึ่งแผ่นครับ
ผัดผักแล้วก็ต้มจืดสาหร่าย”
เมนูประจำของหมอเอยถูกเอ่ยขึ้น
ชินตะแทบไม่ต้องคิดเลยว่าสุดท้ายเอยก็ต้องใช้สองมือรับจานอาหารกับถ้วยต้มจืดมาจนไม่มีมือล้วงเงินในกระเป๋าและไม่ต้องเดาอีกเหมือนกันว่าคุณหมอตัวแสบจะไม่ยอมฝากจานเขาถือแล้วก็จะไม่ยอมวางถ้วยไว้ที่แผงเพื่อหยิบเงิน
เพราะอะไรน่ะเหรอ
“คุณๆ
หยิบเงินในกระเป๋ากางเกงเราจ่ายทีดิ”
เพราะเขาจะหูแดงทุกครั้งที่ต้องเป็นคนหยิบเงินออกจากกระเป๋ากางเกงของเอยและนั่นเป็นสิ่งที่คนขี้แกล้งอยากเห็นมากที่สุดในเวลาแบบนี้
“ถ้าเอาเงินตัวเองมาจ่ายนะ จะไม่เล่นด้วยเลย”
แล้วก็ปิดท้ายด้วยการขู่กันแบบนี้
อืม
..
แล้วเขาก็ดันกลัวซะด้วยสิ
“กวนประสาท”
“แบร่ๆๆ”
เอยแลบลิ้นใส่ตอนที่เขาล้วงเอาเงินในกระเป๋ากางเกงอีกคน
บางทีพอสนิทใจกันแบบนี้ ..
แบบที่เอยคิดไปเองฝ่ายเดียวว่าเขาอยากจะเป็นแค่เพื่อน
มันทำให้อีกคนไม่ได้คิดเลยว่าที่จริงแล้วในหัวเขาน่ะ มันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่
สุดท้ายก็ทำได้แค่คิด
..
เพราะยังไงเพื่อนคนนี้ที่เขาชอบเอาซะมากๆก็ดันมีแฟนแล้วนี่
“โห
วันนี้ต้มจืดเข้มข้นจัง สงสัยก้นหม้อแล้ว”
“กินข้าวเที่ยงบ่ายสองครึ่ง
ก็ควรแล้ว”
“ง่ะ”
“ไม่ต้องเบะ”
โดนเอาช้อนตีหน้าผากไปทีแต่เอยไม่โวยเพราะมันยังสะอาดอยู่
ชินตะเท้าคางมองคนที่กินเอากินเอาจนเขาต้องใช้สายตาปรามว่าให้เคี้ยวช้าๆ
“ขอโทษ เราลืมตัว
แหะๆ”
“เวลาสอนคนไข้สอนเก่ง
แต่พอมาถึงเรื่องตัวเอง .. ไม่เอาไหน”
“ทำไมดุเราจังเลยเนี่ย”
“ไม่ต้องร้องไห้”
“เราไม่ได้ร้อง!”
“โตแล้ว”
ตาคมมองคนที่นั่งคอตก
จริงๆไม่อยากจะดุนักหรอกแต่พอกินไวๆแบบนี้ก็จะปวดท้องแล้วก็นะ ไม่มีใครเร่งคุณหมอสิสิรเขาให้ทำงานอะไรเลย
เจ้าตัวน่ะกดดันตัวเองทั้งนั้น
เขาเข้าๆออกๆโรงพยาบาลนี้มาหลายเดือนแถมยังจับจุดได้แล้วว่าเป็นเอยเองนั่นแหละที่ชอบรับงานนอกเรื่องแถมยังชอบแลกเวรอีกต่างหาก
“แต่แลกเวรก็ได้เงินนะ
.. แบบ ขายเวรไงๆ”
“มีเงินแล้วใช้มั้ย
สิสิร?”
“เนี่ย
คุณดุเราอะ”
“หาเงินได้ก็ไม่เห็นจะเคยใช้”
“ระ เราใช้นะ!”
“ซื้อไอติมสกู๊ปละร้อยไม่นับ”
“ชอบดุเราอยู่ได้”
ไอ้นิสัยเด็กๆแบบนี้ที่มันค่อยๆโผล่ออกมาเวลางอแงมันทำให้คนมองนึกอยากขย้ำแก้มของคนที่หน้าบึ้งจนปากคว่ำ
“คุณหมอเอยมากินข้าวกับแฟน!”
เจ้าของชื่อที่กำลังจะตักหมูยอเข้าปากสำลักจนหน้าแดงก่อนจะหันไปส่ายหัวเป็นพัลวันให้ลูกชายของคนไข้ที่น่าจะมาหาอะไรทานกับคุณแม่
“มะ
ไม่ใช่นะครับน้องเจ้า แค่กๆ”
ชินตะยิ้มออกมาแต่เอยไม่ทันได้เห็นเพราะเอาแต่ไอแล้วรับเด็กชายมานั่งบนตัก
เขาตลกเพราะความล่กของอีกคน .. มันทำให้เขาคิดกับตัวเองว่าอย่างน้อยการเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเอยแบบนี้ก็ทำให้อีกคนรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆนั่นแหละนะ
ไม่อย่างนั้น
“เป็นเพื่อนกันครับๆ”
“เหรอครับ”
คงไม่เขินเขาแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ใช่ครับ”
“แล้วแฟนหมอเอยล่ะครับ?”
“เอ่อ ..
แฟนหมอต้องทำงานครับ”
เด็กชายพยักหน้าหงึกๆก่อนจะเริ่มตั้งคำถามตามประสาวัยที่อยากรู้อยากเห็นไปซะทุกอย่าง
ตาคมมองคนที่รัดเอวเด็กวัยสี่ห้าขวบไว้บนตักทั้งๆที่ตัวเองก็ตัวเล็กแค่นั้น
มือสวยบีบแก้มเด็กน้อยที่น่าจะรอคุณแม่ซื้ออาหารอยู่ไม่ไกล
พอเห็นเอยกับเด็กแล้วเขาก็รู้สึกว่าการกลั้นยิ้มมันทำได้ยาก
“แล้วพี่คนนี้ไม่ทำงานเหรอครับ”
“คุณ ตอบน้องดิ”
“ทำ”
“ครับไปไหน?”
เอยเอ็ด
“ทำ .. ครับ”
อย่าให้เพื่อนเขาได้มาเห็นอะไรแบบนี้เลย
เหนื่อยจะฟังพวกแม่งแซว ..
ขอพูดไว้ตรงนี้ว่าไม่ได้กลัว แต่เถียงเอยไปก็เท่านั้นแหละ สุดท้ายเขาก็ต้องยอม
ยอมแม่งทุกเรื่อง
“แล้วทำไมพี่มาได้อะครับ”
“แบ่งเวลา ..
ครับ”
ชินตะได้ยินเสียงคุณหมองึมงำกับตัวเองว่าทำตัวน่ารักกับเด็กๆก็เป็นเหมือนกันแฮะก่อนจะพยักพเยิดหน้าบอกให้เขารีบตอบคำถามเด็กขี้สงสัย
“แบ่งเวลาคืออะไรครับ”
“how can i
explain this stuff to a kid?” คนตัวสูงขมวดคิ้วถามคุณหมอ
“ลองดูหน่า”
“well, it is
like you have a cake .. ”
“คุณณณ”
“พี่เขาพูดอะไรอะครับ”
“พี่เขาไม่ค่อยเก่งภาษาไทยครับ”
“เป็นฝรั่งเหรอครับ?”
“เอ่อ ..
เป็นชาวต่างชาติครับ เป็นคนญี่ปุ่น”
“โอ้โห!
เป็นนินจา! แบ่งเวลาเหมือนแยกร่างมั้ยครับ!”
ทีแบบนี้ล่ะรู้จัก
ชินตะสาบานเลยว่าถ้าเขาอยู่กับเด็กนี่แค่สองคนคงแกล้งให้ร้องไห้ไปฟ้องแม่แล้ว
แต่เพราะหมอเอยนั่งหน้าโหดอยู่ตรงนี้ไงถึงต้องเรียบเรียงคำในหัวว่าจะอธิบายยังไงดี
“แบ่งเวลาก็เหมือนแบ่งเค้ก”
“ฮะ?”
เอยตาเหลือก
“เวลาได้เค้กมาจะแบ่งให้ตัวเองมั้ย?”
“แบ่งครับ”
“อืม
แบ่งเวลาก็คือตัดเค้กออกให้ตัวเองส่วนหนึ่งเทียบกับการไปทำงาน
หาเงินเยอะๆให้ตัวเอง”
“ครับ
ป่าป๊าก็ทำงานหาเงินจนป่วย” คนตัวเล็กหอมหัวเด็กบนตักไปทีกับนิสัยช่างพูดแบบนั้น ที่จริงพ่อของน้องก็ดีขึ้นมากแล้ว โรคความดันต่ำน่ะมันแก้กันได้ถ้าดูแลตัวเองมากพอ
ยังไงก็ดีขึ้นแน่ๆ
เอยสัญญาเลย
“ส่วนเค้กที่เหลือ
.. ก็แบ่งให้คนที่เขาสำคัญกับเรามากๆ หาเวลามาอยู่กับเขาบ้าง
ดังนั้นแบ่งเวลากับแบ่งเค้กก็เหมือนกัน เป็นการให้เหมือนกัน”
“ให้กับคนที่เรารักเหรอครับ?” เด็กน้อยถามกลับตาโต
“แบบนั้นก็ได้”
“ … ”
เอยสบตากับคนพูด
เขาไม่ค่อยได้เห็นด้านอ่อนโยนของคนตรงหน้านัก
ชินตะไม่ใช่คนละมุนละไมแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ทำ
มันหมายความว่าอีกคนไม่ได้แตะต้องบางสิ่งที่บอบบางได้อย่างถูกวิธีในครั้งแรก
แต่เมื่อได้เรียนรู้แล้ว
มือที่ใหญ่
อุ่นและแข็งแรงนั้นจะประคองสิ่งที่เปราะแตกได้ง่ายขึ้นอย่างถูกวิธีในที่สุด
“หมอเอยบ๊ายบายครับ!”
“คะ ครับ”
รู้ตัวอีกทีเจ้าก็กระโดดลงจากตักเขาก่อนจะวิ่งไปหาคุณแม่ที่ยกยิ้มขอบคุณคุณหมอเอยที่ดูแลลูกชายให้ระหว่างเธอซื้ออาหาร
เอยก้มหน้าก้มตาหันไปหยิบช้อนส้อมมาจัดการมื้ออาหารต่อ
ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนที่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าตอนนี้กำลังใช้ตาดุๆนั่นมองเขาอยู่
“เขินเหรอ?”
“เปล่า .. เปล่า
ไม่ได้เขิน”
“รู้มั้ยว่าเวลาลนลานจะชอบพูดซ้ำๆแบบนี้”
หัวใจบางคนกระตุกรุนแรงเมื่อนิ้วชี้ใหญ่ๆนั่นจิ้มเข้ามาที่แก้ม
เอยจำใจต้องสบตาคนตัวโตกว่าแล้วย่นจมูกใส่
เขาเลี่ยงการตอบคำถามนั้นด้วยการไล่งับนิ้วอีกคน
“!!!”
และมันเป็นตอนนั้นเองที่บางคนคิดว่าจะได้แกล้งให้อีกคนกลัวกลายเป็นคนที่ต้องทำตาโตเมื่อชินตะไม่ได้โยกนิ้วหลบ
เอยกัดนิ้วอีกคนไปสุดแรงและเขาเกลียดจริงๆที่นายคนนั้นยังทำหน้ามึนอยู่ได้
“นี่คุณ!”
“อะไร”
“ไม่เจ็บบ้างหรือไง
เอานิ้วมาดูเลย”
“โวยวายทำไม
คนโดนกัดอยู่นี่”
“ฮึ่ยยยยย”
เอยคว้ามืออีกคนมาดูรอยกัดของตัวเองแล้วก็ต้องหยิบทิชชู่เปียกที่พกมานั่งเช็ดนิ้วเลอะน้ำลายให้
รู้สึกผิดด้วย เขินด้วย ..
ใช่ว่าจะไม่เคยเล่นแบบนี้กับเพื่อน โดนจ๊าบกัดทั้งมือก็โดนมาแล้ว
แต่ทำไมกับเพื่อนคนนี้
“แฟนไปไหนครับหมอเอย”
“กะ
ก็บอกว่าทำงานไง”
มันไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นเลยนะ
“ครับไปไหน?”
“แฟนไปทำงานครับคุณโปรด!”
“แล้วไม่คิดถึงแฟนเหรอครับ”
คำถามง่ายๆที่ทำบางคนหายใจสะดุด
ชินตะเรียนรู้ว่าทุกๆครั้งที่เอยหลบตานั่นหมายความว่าอีกคนไม่อยากตอบ แต่ไม่รู้สิ .. บางครั้งเขาก็อยากต้อน
แม้ว่าจะใช้ด้านที่ตัวเองนิสัยดีเข้าหาเอยมากกว่า
แต่บางครั้งมันก็ต้องงัดด้านร้ายๆออกมาบ้าง
เขารู้วิธีควบคุมคนอื่น
แต่เอยไม่ใช่คนอื่น
“ไม่คิดถึงแฟนจริงๆด้วยสินะครับ
:)”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย .. ”
คุณหมอมองไปทางอื่นและยังคงไม่ยอมสบตาคนถาม
“ก็โตแล้วไง แต่ละคนก็มีงานของตัวเอง”
“เอย”
“หืม”
หมูยอในจานโดนเขี่ยไปมา
ระยะเวลาในการทานอาหารกลับยาวนานขึ้นเมื่อมีบทสนทนาที่เอยมักไม่พาอีกคนเข้าไปอยู่ด้วย
..
ทุกครั้งที่มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ซือ
เขากลับไม่อยากพูดมันกับคนตรงหน้า เอยก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“did you give
your first kiss to him?”
อาจเป็นเพราะเขาเห็นประกายเล็กๆในดวงตาคู่นั้นเสมอเวลาบทสนทนามันพาเรามาไกลจนถึงเรื่องนี้
ใช่ว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับเพื่อนสนิทและตอนนี้ชินตะเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เขาสนิทเอาซะมากๆ
มันเป็นเรื่องราวของคนที่พยายามตั้งใจตัวเองเอาไว้ตรงกลางแล้วไล่เรียงทุกๆคนให้มีลำดับความสำคัญเท่าๆกันนั่นคือเพื่อน
เอยพยายามคิดหาคำพูดในหัว คิดสีหน้าที่ตัวเองควรแสดงออกไป แต่มันยากเหลือเกินเมื่อพบว่าสายตาของคนที่จ้องมองมานั้นมันคาดหวังให้เป็นอีกอย่าง
“ถามมาได้”
“ … ”
“ก็แฟนคนแรกนี่หว่า”
เอยไม่ใช่คนโง่
แต่กับความรู้สึก
เขาก็ไม่เก่ง
“เลิกถามได้แล้วหน่า
เราก็เขินเป็นเหมือนกันนะคุณ”
ใช่
เขาไม่เคยเก่งเลย
○
.
“ไงไอ้ชิน ได้ข่าวว่าช่วงนี้เล่นบทชู้”
“เจ๋ง
อย่าเรียกชู้เลย เขาขีดไว้แค่เพื่อน เฟรนด์โซนไอ้สัด เสียเป็นแสนแขนไม่ได้จะ .. โอ๊ย! กูเจ็บนะไอ้สัดดดดดดดด!!”
เจ๋งอ้าปากหัวเราะเมื่อนักร้องนำของวงโดนตบกระบาล
ชินตะที่นั่งปรับสายเบสอยู่บนพื้นและไม่สวมเสื้อปรายตาใส่คนปากมากบอกให้เงียบ
รู้แล้วว่าเป็นเพื่อน
ย้ำแล้วได้เหี้ยอะไรขึ้นมา
“ตอนแรกก็คิดว่าแม่งเล่นๆ
แต่นี่มันก็นานแล้ว เพื่อนเราเข้าออกโรงพยาบาลเหมือนป่วยเป็นมะเร็งระยะที่สี่”
“จริง
ดนตรีไม่ทำมันละไอ้เหี้ย พิษรักมันรุนแรง”
“แล้วเป็นไงอะ
เขากับแฟน ไม่มีทีท่าจะเลิกกันเลยไง้?”
“อืม”
คนถูกถามตอบในลำคอ เขายังเห็นเอยเจียดเวลาโทรคุยกับแฟนบ้างในบางวัน มันดูเป็นรักของคนโตแล้วที่ความรู้สึกเท่าเดิมแม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ
“หงอยเลย”
“แต่ก่อนเป็นเสือ
ตอนนี้เป็นหมา”
“สิ้นลายของจริง
ตัวไม่พร้อยเลย
ได้ข่าวว่าไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครเลยตั้งแต่เมาแล้วขับรถไปหาเขาถึงบ้านวันนั้น”
คนโดนแซวกลอกตา อยากจะหยิบกลองชุดตรงนั้นมาทุ่มใส่เพื่อนปากมาก
แต่ก็ใช่
ถูกแล้ว
..
เขาไม่นอนกับใครอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
“แล้วทำไงวะ
ไม่อยากเหรอ?”
ไม่ใช่ไม่อยาก
“มือ”
แต่พอใจมันหยุด
ตัวมันก็หยุด
“ไอ้ฉิบหาย กูอยากขำให้ขาดอากาศหายใจตายไปเลย ฮ่าๆๆๆ”
“หดหู่สัด
อย่าไปบอกใครเขานะไอ้เหี้ย หมดสภาพว่ะ”
มีนมองเพื่อนที่แม้จะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่เขารู้แน่ล่ะว่ามันรู้สึกอะไรๆกับเขาขึ้นมาจริงๆ
มีที่ไหนหาเวลาไปกินข้าวกับเขาแทบทุกวี่ทุกวันเหมือนคนไม่ทำงานทั้งๆที่ก็รับงานถ่ายแบบและเข้ามาซ้อมดนตรีปกติ
ไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะมีมุมนี้
มุมที่จะเป็นจะตายยังไงก็ขอแค่ได้เจอ
“แล้วเขาไม่สงสัยเหรอวะ
แบบ .. เกินเพื่อนไปมั้ยไรงี้”
“เขาสนิทกับเพื่อนเขาแบบนี้”
“เออ
มึงจำไม่ได้เหรอ ที่คนตัดสกินเฮดหอมแก้มเขาอะ หลายทีด้วย เขาก็แค่ทำหน้าเคืองๆ”
“ไม่ไง
พวกมึงต้องเก็ตก่อน เราโตพอจะรู้กันหมดแล้วว่าใครชอบเรา
หรือไม่จริง?”
“แต่เป็นกูกูก็ไม่คิดนะว่าไอ้ชินตะจะมาชอบ
มึงดูเพื่อนมึงดิ”
คนโดนรุมทำได้แค่ถอนหายใจ
ห้ามปากใครไม่ได้หรอก แต่ก็เออ เขาก็อยากฟังความเห็นเพื่อนเหมือนกัน
ไหนๆก็เข้าเรื่องนี้แล้ว
“ถ้าเขาไม่ได้ชอบมันเหมือนกันแล้วมันก็ไม่ได้บอกเขาตรงๆอะ
กูว่ามันคีพความสัมพันธ์แบบนี้ไปได้นะ
เพื่อนเราก็ไม่ได้แย่ปะวะ กูไม่เคยเห็นแม่งโดนตัวเขา ถูกปะ?”
“ก็ไม่ใช่ไม่เคย”
“ฮั่นแน่ไอ้ตี๋~!”
“ไม่เบาๆ”
“มันเคยหลุดบอกกูว่าตอนเมาแล้วขับรถไปหาเขาอะ
หลอกกอดไปหนึ่งที”
“สัด”
จิมมี่แลบลิ้นใส่เพื่อนเมื่อเขาขายความลับมันซะตรงนี้
“มึงนี่น่ารักจังวะไอ้ชิน”
“ไม่ได้กอด ..
แค่วางหัวไว้บนไหล่เขา”
“แล้วเขาทำไง”
“ก็ลูบผม”
“โอ๊ยยย
คุณหมอออออ”
“มึง
ใจกูก็มีแค่นี้” จิมมี่แหว มันเป็นดีเทลที่เขาไม่รู้ มันแค่พูดมานิดหน่อยแล้วเขาก็สรุปเอาเองว่ากอด
แต่นี่แม่งน่ารักกว่ากอดอีกไม่ใช่หรือไง
“แล้วเวลาอยู่ด้วยกันแม่งทำอะไรวะ
ที่โรง’บาล”
“ถ้าเอยทำงานในคอมก็นั่งดูเขา”
“โอ๊ย
ใจกูบางฉิบหาย”
“จริงไอ้เจ๋ง
เหมือนเห็นลูกชายเติบโตอะ ชินตะฟังพ่อ”
“ไร้สาระ”
“แล้วถ้าเขาไปตรวจ
มึงก็รอเหรอ?”
“อืม ..
ว่างก็รอในห้อง กูก็มีงานการทำมั้ย”
“มันแต่งเพลงรัก
กูขอแจ้งเลยนะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดทันที กูถามจริงๆๆเลยนะ” เจ๋งทำตาโต
ปกติเพลงที่ชินตะแต่งถ้าไม่ใช่แนว poem ไปเลยก็จะเป็นอะไรที่เข้าใจยากฉิบหาย เรียกได้ว่าจะเข้าหูคนฟังแม่งต้องเฉพาะกลุ่มจริงๆ
“ปากมึงนะจิม”
“สว่างกว่าดวงอาทิตย์
กูบอกแค่นี้”
“มึงชอบเขาขนาดนั้นได้ไงอะชิน”
“i don’t fucking
know.”
“ไม่กลัวเสียใจเหรอวะ
มันไม่ได้อะชิน เวลาเราชอบใคร เราก็อยากสมหวังรึเปล่าวะ” มีนพูดขึ้นเพราะเอาเข้าจริงก็ห่วงเพื่อน
มันชอบเขาเหมือนคนที่ไม่คิดจะห้ามตัวเองเลยสักนิด
แบบนี้ถ้าตอนสุดท้าย
ตอนที่มันต้องจบจริงๆแล้วกลับไปเป็นแค่คนไม่รู้จักกัน
แม่งจะเจ็บขนาดไหนวะ
“เสียใจก็ดีกว่าเสียดาย”
“เออเอากับมันดิๆๆๆ”
จิมมี่เย้า
“ละเรื่องแฟนเขานอกใจนี่จริงมั้ยวะ?
คือตั้งแต่คราวนั้นก็ไม่เจอเขาเลยหรือเราไม่ค่อยได้ไปร้านเหล้าแล้วก็ไม่รู้
เล่นเสร็จก็กลับ ไม่ได้ดูใครเลย” หนุ่มๆเริ่มหันหน้าเข้าหากันเพื่อขอข้อยุติของคำถาม
ไม่ใช่ไม่เชื่อชินตะ
แต่เห็นอีกครั้งกับตามันย่อมดีกว่า
มีหลักฐานเอาไว้ก็ไม่เสียหาย .. ถึงจะไม่ได้ตั้งใจจะทำลาย แต่ถ้าทำให้รู้ได้สักทางมันก็ดีกว่าปล่อยให้คนดีๆแบบหมอเอยโดนหลอกนี่หว่า
“กูว่าเขาอาจจะแค่เหงา
หาทางระบาย”
“มึงพูดเหมือนเอยเขาให้แฟนเขาไม่ได้อะ”
“ก็ไม่แน่ปะวะ
คบกันก็ใช่ว่าจะต้องมีเซ็กซ์กันทุกคู่”
“มันได้เหรอวะ
คบกันมาตั้งหลายปี”
“เป็นไปได้นะไอ้จิม
เพราะแบบนี้เขาเลยเอาไปลงที่อื่นรึเปล่า คือเอยเขาก็ดูไม่ใช่สายนี้”
“รู้หน้าไม่รู้ใจ
เขาก็โตแล้ว มีอะไรกับแฟนผิดตรงไหน”
“can you guys just shut the fuck up?”
น้ำเสียงเรียบๆกับการปล่อยไอเย็นออกมาจากตัวได้แบบนั้นมันทำให้สามหนุ่มขนลุกแล้วยกมือไหว้เพื่อนปลกๆเพราะไม่มีปัญหา เดาว่ามันคงหัวร้อนเหมือนกัน
แหงล่ะ
ก็ชอบเขาขนาดนั้น แค่เห็นเขาไปด้วยกันมันก็ช้ำทั้งใจแล้ว
“ขอโทษเว้ย
ไม่ได้ตั้งใจให้มึงรู้สึกแย่”
“เปล่า
แค่ไม่อยากให้พูดถึงเอยแง่นี้”
คำตอบแบบนั้นทำให้คนฟังชะงักไป
..
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่ชินตะอาจไม่รู้ตัว
การยกลำดับความสำคัญให้บางคนแบบก้าวกระโดด
การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในหลายๆเรื่องแม้กระทั่งเรื่องบุหรี่ที่สูบน้อยลงและพกหมากฝรั่งเลิกบุหรี่ไว้ในกระเป๋า
บางคนเข้ามาเพื่อสร้างบางอย่างไว้ในใจเราแบบที่เราไม่มีวันรู้เลยว่าสุดท้ายแล้ว
ที่ตรงนั้นที่เพียรสร้างกันมา
มันจะคงอยู่ตลอดหรือไม่และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งนิยามของความรัก
“เอยดีเกินไป”
“ … ”
“กับเรื่องไหนก็ไม่ควรต้องมาเสียใจเลย”
ที่จะฝากบางอย่างไว้กับเราอีกนานแสนนาน
⎯
“เราจับอยู่!”
“ … ”
“คุณณณ
เราไม่ปล่อย สาบาน” เอยอ้าปากหัวเราะจนตาหยี
มองเจ้าของแผ่นหลังกว้างกับเสื้อยืดสีขาว ผมยาวๆถูกมัดไว้ลวกๆ
มันปลิวไปตามลมและเจ้าของใบหน้าคมคายไร้ที่ติที่ควบอยู่บนเบาะจักรยานหันมาส่งสายตาไม่ไว้วางใจให้เขา
“ไม่ล้มหรอกหน่า”
“มีงานพรุ่งนี้นะเอย”
“ถ้าคุณล้มนะ เราจะวิ่งไปรับอย่างไวเลย”
ชินตะถอนหายใจ
..
ตัวก็เท่านั้น ใจจะใหญ่ไปถึงไหน
“เอายังๆๆ
แค่ปั่นไปเองอะ ไม่ยากหรอก คุณอย่าคิดว่าต้องทรงตัวดิ”
“มีรถขับ”
“มันไม่เหมือนกันอะ
มันชิลคนละแบบ”
ตาคมมองทางปั่นจักรยานยาวเหยียดตรงหน้า
สุดท้ายจะทำอะไรได้นอกจากยอม .. ก็ไม่ได้ไม่เชื่อใจ
แต่ถ้าล้มขึ้นมาก็ไม่อยากให้มาเจ็บตัวด้วยกัน เอยน่ะ
รับเขาไว้ไม่ไหวหรอก
“เราเนี่ยน้าเหมือนเด็กๆเลย”
“ … ”
“เราอยากให้คุณปั่นเป็นอะ
คุณทำเพื่อเราได้เปล่า?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บางคนย้ายจากการจับเบาะด้านหลังมายืนตรงหน้าเขา
มือเล็กๆนั่นเอื้อมมาโอบที่แก้ม ทำเหมือนกับปลอบเด็กตัวเล็กๆที่โรงพยาบาลแบบที่เขาเคยเห็น
เอยเกลี่ยเส้นผมที่ปรกตาเขา แนบมันไว้ข้างใบหูก่อนจะยิ้มกว้างให้
แล้ววันนั้น
..
ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับคนที่เคยไร้หัวใจ
“ทำได้หน่า”
“อืม”
“ไหนพูดดีๆก่อน
ทำได้มั้ย?”
ชินตะจินตนาการภาพตัวเองประกบริมฝีปากลงไปจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่น
บดเบียดเอาทุกอย่างมา บางครั้งปีศาจในตัวเขากระซิบบอก
อย่างน้อยๆให้เอยได้รู้ว่าแฟนตัวเองไม่ได้ซื่อสัตย์
สุดท้ายที่ตรงนั้นอาจเป็นของเขาเพราะทุกคราวที่มองลึกลงไปในดวงตาของอีกคน
“ทำได้ครับ”
เขาเห็นความเขินอายและประหม่าจนไม่เป็นตัวเองทุกครั้งไป
“ดีมากครับ”
แต่สุดท้าย
ตอนที่เขาได้เห็นรอยยิ้มเหมือนคนหายเหนื่อยเวลาที่อีกฝ่ายแยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์กับบางคน
เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ..
รักคงไม่ใช่การทำลายความสุขของใครเพื่อความสุขของตัวเอง
สุดท้ายคนข้างบนนั้นต้องทำอะไรสักอย่าง
พระเจ้าจะไม่ใจร้ายกับคนที่มีหัวใจบริสุทธิ์เช่นนี้
และเอยไม่ใช่คนโง่
“ … ”
ชินตะแนบแก้มตัวเองกับฝ่ามือเล็ก
เขาสะกดบางคนให้หยุดนิ่งอยู่แบบนั้นเหมือนกับกดหยุดเวลาด้วยการมองเพียงหนึ่งครั้ง .. สุดท้ายรักไม่ได้นิยามได้ด้วยประโยคสั้นๆ
มันหลากหลาย
และเขาเรียนรู้อีกหนึ่งข้อในวันนี้
“โปรด”
รักคือการทำอะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำเพียงเพราะเราพบว่าเขาเชื่อว่าเราจะทำได้
ทำมันไปโดยไม่กังวลเลยว่าเราจะล้มลงแล้วเจ็บมั้ย
ทำมันลงไป
..
ด้วยใจที่หวังเพียงว่า
“ถ้าล้ม
ไม่ต้องมารับ”
สักวันเขาเองก็จะพยายาม
“เจ็บแค่นี้”
“ … ”
ทำสิ่งที่ตัวเขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะทำได้เช่นกัน
“ทนได้อยู่แล้ว”
tbc.
แค่ที่เป็นอยู่ ไม่ต้องการกว่านี้
แค่ฉันมีโอกาสได้มองหน้าเธอทุกวัน :•)
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น