ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    this is the evidence proving that the boy called shinta has a heart. (end)

    ลำดับตอนที่ #7 : 06 - ever since the day that i met you.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 63.31K
      5.19K
      4 ส.ค. 62

    06
    "we find love, 
    we get up
    and we fall down,
     we give up."



    .
    .






                เอยรู้

               

                ยังไงนะ เราขออีกที”

                เป็นปลาทองหรือไง?”

                ก็มันจำไม่ได้นี่หว่า หัวเราไม่ไปจริงๆกับเครื่องดนตรีน่ะ”

     

                เอยรู้ว่านี่มันแปลก .. แต่มันไม่ได้ไม่ปลอดภัย

                คนตัวเล็กถอนหายใจทำไหล่ตก มีกีตาร์อยู่บนตัก กีตาร์เจ้าปัญหาที่แค่คอร์ดง่ายๆเขาก็ยังจับไม่ได้สักที ตากลมมองครูสอนดนตรีจำเป็นแบบติดอ้อน เขามักทำแบบนี้กับคนโตกว่าหรือคนที่ต้องการให้ช่วยแต่สุดท้ายก็ไถตัวลงไปนอนกับพื้นห้องนอนเหมือนคนหมดแรง

     

                ตาเป็นกุ้งยิงหรือไง?”

                เนี่ย คำแบบนี้ดันรู้จัก”

                ลุกขึ้นมา”

                หายเมาแล้วเอาใหญ่เลยนะคุณ”

                ใครไม่ง่วงเองล่ะ” ชินตะริบกีตาร์คืนมาก่อนจะเริ่มจับให้ดูใหม่ เอยที่ต้องการจะเล่นเพลงเพลงหนึ่งให้เป็นแค่ท่อนร้องรับเท่านั้นเท้าคางกับพื้นก่อนจะตั้งอกตั้งใจดูก้านนิ้วยาวนั่นเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติบนกีตาร์โปร่งสีดำที่เจ้าตัวมีติดไว้ในรถ

                ต้องโทษตาเขาเองนั่นแหละที่ดีเกินไป พอเห็นแล้วมันก็อยากรบเร้าให้สอนเล่น

                เท่จะตาย ผู้ชายเล่นกีตาร์น่ะ

     

                ขออีกที”

                … ”

                “หน่า อย่ารำคาญกันเลย”

     

                คนตัวสูงที่อยู่ในชุดนอนของเอยจ้องตากลมที่กะพริบปริบๆ

     

                อ็บ!” (เจ็บ!)

     

                คุณเจ้าของห้องที่โดนบีบแก้มแรงๆร้องโวยวายและแม้ว่าตอนนี้จะเปิดโคมไฟสีส้มที่หัวเตียงไว้เพียงดวงเดียวเขาก็เห็นใบหน้าของอีกคนหนึ่งชัดเจน อาจเป็นเพราะชินตะเพิ่งมัดผมตัวเองขึ้นครึ่งหัวเมื่อกี้ลวกๆ อาจเป็นเพราะบรรยากาศเป็นใจเขาถึงได้คิดว่าคนตรงหน้าน่ะ .. ดูสวยชะมัด

     

                you know what?”

               

                ตาคมของคนที่ก้มลงไปสำรวจกีตาร์ในมือตัวเองเปลี่ยนมาสบตากับคนที่ถามขึ้นว่า ‘นี่ คุณรู้อะไรมั้ย?’

     

                you look so peaceful .. and you also look like art.”

                (คุณดูสงบมากเลย .. แล้วคุณก็ดูเหมือนงานศิลปะด้วย)

     

                รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าน่ารักนั้นดูเหมือนจะคุ้นตา อาจเป็นเพราะเอยมักจะมีรอยยิ้มให้คนรอบตัวเสมอ หากแต่กับเขาแล้ว เขารู้สึกว่ามันต่างออกไปในทุกๆรอยยิ้ม การหรี่ลงของดวงตากลมโตนั้นสะท้อนถึงความจริงใจของคนพูด ในขณะที่ความรู้สึกประหลาดลอยฟุ้งอยู่ในอากาศราวกับการกระจายไปของละอองน้ำหอม

               

                i'll take it as a compliment.”

     

                ราวกับว่ามันยาวนาน ช่วงเวลาที่ประโยคนั้นถูกพูดขึ้น แม้ว่าในความจริงนั้นมันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้น .. บางสิ่งยาวนานในความรู้สึก อาจเพราะมันกำลังฝังรากลึก

                เติบโตอย่างเงียบงันอยู่ในพื้นที่โล่งและกว้างที่เจ้าของไม่ได้ล่วงรู้ถึงการมีอยู่แต่อย่างใด

     

                เราจำไม่ได้เพราะว่าคุณไม่ร้องอะ”

                เรื่องมาก”

                อยากเล่นเป็นจริงๆนะเว้ย อุส่าห์ให้ยืมชุดนอนตัวโปรด” คนที่อยู่ในเสื้อนอนตัวโคร่งกับกางเกงที่บอกเลยว่าแม้จะตัวใหญ่จนเขาใส่ได้เพราะเป็นผ้ายืดแต่ช่วงขาน่ะสั้นจนมันเต่อไปมากๆสำหรับเขา

     

                เซนเซพลีส~”

     

                เอยยกมือขึ้นพนมกลางอก สุดท้ายบางคนก็ไม่ได้ร้องออกมาแม้ว่าเขาจะอ คนตัวเล็กในชุดนอนทำหน้าเศร้า .. จัดแจงท่านอนตัวเองที่กำลังนอนราบกับพื้นให้เป็นท่านั่ง เกมจ้องตาเริ่มขึ้นอีกครั้งระหว่างคนเฉยชากับคนที่จะไม่ยอมมูฟออนไปไหนจนกว่าจะเล่นเพลงที่ชอบมากๆเพลงนี้ได้

                มันเป็นวินาทีนั้นเองที่เอยมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ครั้งหนึ่งสำหรับเขาแล้วมันดูดุดันจนน่าใจหาย เขาพบว่าชินตะเป็นเหมือนบทกวีบทหนึ่งซึ่งเป็นบทที่แสนพิเศษ

     

                “i'm jealous of the rain

                that falls upon your skin

                it's closer than my hands have been

                i'm jealous of the rain.

                (ผมอิจฉาหยาดฝน

                ที่ตกลงบนผิวของคุณ

                เพราะมันใกล้ชิดคุณมากกว่าที่มือผมเคยได้แตะต้อง

                ผมอิจฉาหยาดฝนเหลือเกิน)

     

                บทกวีที่คนอ่านต้องใช้เวลาเนิ่นนานในการแปลความหมายและนักกวีต้องใช้เวลามากกว่านั้นร้อยเท่าในการประพันธ์มันขึ้นมา

                เอยไม่ได้คาดหวังว่าบางคนจะร้องมันตั้งแต่ต้น

     

                'cause i wished you the best of

                all this world could give

                and i told you when you left me

                there's nothing to forgive.”

                (เพราะผมภาวนา

                ให้คุณได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด

                และที่ผมบอกคุณตอนที่คุณทิ้งผมไป

                ว่าคุณไม่ผิดอะไร ผมไม่ต้องอภัยให้คุณไม่ว่ากับเรื่องไหน)

     

                มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เราไม่แน่ใจว่าช็อโกแลตที่เราหยิบออกมาจากกล่องเป็นรสไหนกันแน่ แต่เรารู้ด้วยความรู้สึกที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจว่า .. มันจะเป็นรสชาติที่เราจะจดจำไปตลอด

                เขาไม่ได้คาดหวังว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำของชินตะจะเหมาะกับเพลงนี้ตั้งขนาดนี้และอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้วางความหวังไว้สำหรับสิ่งไหน ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นถึงดำเนินไปช้าเพื่อที่ว่าเขาและคนตรงหน้าจะได้จดจำมันอย่างพิเศษที่สุด .. เอยมองสิ่งที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีเข้ม เขาเหมือนกับคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าที่กำลังประมวลผล

                เชื่องช้า

     

                  it's hard for me to say, i'm jealous of the way .. you’re happy without me.”

                (มันยากเหมือนกันนะที่ผมต้องพูดว่า .. ผมอิจฉาเหลือเกินที่คุณมีความสุขได้โดยไม่มีผม)

     

                แต่แม่นยำ

               

                … ”

     

                เสียงร้องเงียบลงพร้อมๆกับการเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋า เอยยังมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ประณีตกับการเก็บเครื่องดนตรี รอยสักเส้นสีดำขนาดครึ่งฝ่ามือประดับอยู่บนหลังซ้ายของชินตะที่หันมาสบตาเขาก่อนจะพูดว่า

     

                นอนได้แล้ว”

                “อือ”

                ตีสี่ครึ่งแล้วเอย”

     

                ตากลมมองหมอนสองใบที่อยู่บนเตียงกว้างหกฟุต ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนมานอนที่นี่กับเขา แต่มันต่างออกไปโดยทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความประหม่าของเขาที่เพิ่งจะรู้จักชินตะได้ไม่นาน มันไม่ใช่เพราะความไม่สนิทในแง่นั้น

                แต่มันคือความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งฉิวผ่านลม

     

                ปึก

     

                เดี๋ยวนอนพื้น”

                นอนด้วยกันก็ได้”

                จะนอนพื้น”

     

                บางคนยืนยันแบบนั้น เขาไม่ได้รบเร้าอะไรต่อนอกจากพาตัวเองไปหยุดยืนหน้าตู้เสื้อผ้า เปิดออกแล้วเขย่งตัวขึ้นหยิบผ้าปูที่แม่เก็บเอาไว้ที่ชั้นสอง เอยไม่เคยคิดว่าความสูงของตัวเองเป็นปัญหากระทั่งวันนี้ที่ทำหน้าหงุดหงิดกับตู้ไม้หลังเบ้อเร่อเพราะหยิบของไม่ถึง

     

                ตอนเด็กๆไม่กินนมสินะ”

                หยามกันมากไปมั้งคุ .. ”

     

                คนที่กำลังจะหันไปเถียงหายใจสะดุดเมื่อแผ่นหลังตัวเองชิดกับแผ่นอกกว้าง .. ความรู้สึกอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งอกจนเขาเผลอเอามือทาบหัวใจตัวเอง ในหัวกลมๆคิดหาคำตอบของความรู้สึกที่เหมือนกับโดนกอดไว้ด้วยผ้าห่ม

                มันอาจจะมาจากร่างกายของอีกคน

                มันอาจจะมาจากลมหายใจปนกลิ่นมินต์

                หรือมันอาจ

     

                อันนี้ใช่มั้ย?”

                อื้อ”

     

                มาจากก้อนความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นช้าๆเหมือนเมฆฝน

     

                ไปนอนได้แล้ว”

     

                เอวบางถูกดันเบาๆให้ไปขึ้นเตียงตัวเอง เอยพยักหน้าหงึกหงัก เก้กังทั้งการจัดวางแขนขาและการปั้นสีหน้า .. คนตัวเล็กขึ้นไปนั่งบนเตียง ส่งหมอนใบหนึ่งให้แขกในวันนี้ที่ปูฟูกลงบนพื้นไม่ห่างจากเตียงเขานักลวกๆ

     

                ปิดไฟแล้วนะ”

                อืม”

                ให้นับก่อนมั้ย?”

                ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย” เอยย่นจมูกใส่อีกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดไฟที่หัวเตียง ห้องมืดสนิททำให้บางคนขดตัวในผ้าห่มตามประสาคนที่กลัวความมืดอยู่นิดๆ

                ตากลมจ้องเพดานที่เห็นอยู่รางๆ รอไม่นานดาวที่เขาแอบแปะไว้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กก็สว่างขึ้นมา นิ้วเล็กๆชี้ขึ้นไปบนนั้น ไม่ได้หวังว่าคนที่นอนอยู่ไม่ไกลจะเห็นมันหรือฟังสิ่งที่เขาพูดมั้ย

     

                อันนั้นเราแปะไว้ ปีนโต๊ะขึ้นไปแปะตอนอยู่ประถม เกือบร่วงลงมาหัวแตกแหนะ”

     

                หัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงความแสบของตัวเอง

                เขาโตมากับแม่ แม่ที่เลี้ยงดูเขาลำพังมาตั้งแต่เกิดและนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาดื้อเงียบล่ะมั้ง ใครๆก็พูดแบบนั้นว่าลึกๆแล้วเขาน่ะเป็นตัวแสบ ตัวแสบแบบที่ฟังเสียงในใจตัวเองมากกว่าเสียงของคนอื่นหรือเหตุและผล

                คิดไปคิดมามันก็เป็นเฉพาะกับบางเรื่องและบางคนเท่านั้นแหละ

     

                ตอนเด็กๆเราไม่ค่อยได้ทำอะไรเหมือนเด็กผู้ชายปกติ อาจจะเพราะแม่เลี้ยงเรามาคนเดียว”

                … ”

                เตะบอลก็ไม่เป็น ชู้ตบาสยังไม่ลงแป้นเลย ขนาดใส่โซ่จักรยานง่ายๆก็ยังทำไม่ได้ .. เก่งที่สุดก็เรียนหนังสือเนี่ยแหละ รู้มั้ยว่ากว่าจะได้เป็นหมอน่ะ เราอ่านหนังสือจนสายตาสั้นเกือบห้าร้อยเลยนะ โชคดีที่พอใกล้ๆเรียนจบสายตาไม่ขึ้นแล้วเราเลยไปทำเลสิก”

                don’t be so hard on yourself.” (อย่ากดดันตัวเองไปหน่อยเลย)

     

                แล้วโปรดล่ะ .. ดื้อมั้ย”

                ถ้าตามที่คนอื่นพูดก็คงดื้อ”

                เราว่าคุณดูนิ่งดีออก หมายถึงไม่ได้ดื้อสักหน่อย”

                “อยากให้ดื้อใส่หรือไง”

     

                ประโยคเรียบง่ายแต่ทำให้บางคนเผลอขดตัวกอดหมอนข้างแล้วกดใบหน้าลงไปราวกับคนที่หาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คืออะไร .. เอยมองเห็นบางคนเลือนรางจากการปรับสภาพของสายตาอันเป็นปกติของมนุษย์

     

                โปรด”

     

                เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบแต่เอยรู้ว่าพวกเขาสบตากันในความมืด

                บางคนปีนลงจากเตียง หยุดลงข้างฟูกนอนกลิ่นหอมจางๆก่อนจะรั้งยางรัดผมที่บางคนใช้ผูกผมตัวเองไว้ลวกๆ .. น่าแปลกที่แม้ว่าชินตะจะไม่ได้มอง แต่เขารู้ได้ว่าคนใจดีกำลังยิ้มแบบไหน

                คนใจดีที่กำลังลูบผมเขาเบาๆ

     

                ก่อนนอนต้องเอายางออกด้วยนะรู้เปล่า?”

                … ”

                ฝันดีนะ”

     

                เจ้าของฤดูหมอกจากไปพร้อมกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อ้อยอิ่งอยู่ใกล้จมูก ชินตะปิดเปลือกตาหากแต่ความคิดวิ่งพล่านในหัว .. ถ้ามันเป็นเมฆ มันคงลอยไปหาคนบนเตียงนั่น ทิ้งหยาดฝนลงไปเบาๆพอให้มวลอากาศอบอ้าวเคลื่อนไปและแทนที่ด้วยไอเย็นสบายให้เจ้าของรอยยิ้มสดใสหลับฝันดี

                และหากมันมีรูปร่าง .. หากความคิดของเขามีรูปร่าง

               

                  ฝันดี”

     

                มันคงกอดบางคนเอาไว้ด้วยอ้อมแขน

     

     

     

     


     



     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



    .




     

     

     

                ตี๋ ช่วงนี้ผิวกายมึงผุดผ่องมาก พี่ช่างแต่งหน้าฝากชมมาว่าไร้ตำหนิใดๆ จำศีลเหรอ?”

                ทำไมต้องยุ่ง”

                ด่ากูเสือกก็ได้” เรนยกมือไหว้คนอายุน้อยกว่าที่กัดแซนด์วิอกไก่อยู่บนโซฟาเบตัวยาวในสตูดิโอถ่ายภาพแห่งหนึ่ง เธอยักไหล่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเด็กในสังกัด

     

                ช่วงนี้ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์ที่ไหนหรอ ปกติตัวมึงนี่ต้องมีรอยข่วนและรอยดูดตลอดๆเลยนะตี๋”

                บอกไปแล้วว่าห้ามทำ เคยฟังที่ไหน”

                ทีหลังบอกแบบนี้ เป็นผู้หญิงก็ต่อยนะครับอีเหี้ย”

     

                ชินตะผลักหัวผู้จัดการตัวเอง ถ้าเลือกได้จะไม่อยู่ใกล้ผู้หญิงแบบนี้เลย

                หนวกหู

     

                แล้วเราเคยไปทำอะไรแบบนั้นกับเขาบ้างมั้ย ถามเฉยๆ ไม่ได้เสือกนะ”

     

                เสียงถอนหายใจคือคำตอบว่าคนถูกถามน่ะเอือมเกินจะทนแล้ว เรนนี่อ้าปากหัวเราะ รู้อยู่แก่ใจว่ามันลุกไปไหนไม่ได้เพราะกำลังกินมื้อเที่ยงอยู่

                วันนี้น่ะยุ่งฉิบหาย ถ่ายแบบแม่งทั้งวัน

     

                ไม่เคย”

                ไม่ไซ้เหรอ?”

                จะถามไปทำวิจัยหรือไง รำคาญ”

                อ๊ยยยยยย บอกพี่มึงหน่อยไม่ได้แงะ?!”

                ไม่ทำเพราะไม่อยากเป็นเจ้าของอะไร .. i’m gonna dump their asses anyway.”

                เฉดหัวทิ้งทุกคน ประทับใจ”

                ว่างมากทำไมไม่ไปดูฉาก”

                อย่าใช้คนสวยดิวะ แค่นั่งสวยเฉยๆก็เหนื่อยละเจ๊อะ” คนที่จัดการแซนด์วิหมดชิ้นแล้วกลอกตาพลางหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม เขาบอกคนหลงตัวเองว่าจะไปสูบบุหรี่แล้วก็เดินตัวปลิวออกมาโดยไม่สนใจเสียงด่าไล่หลัง

                ที่จริงช่วงนี้เขารับงานค่อนข้างเยอะ ไม่ได้ร้อนเงินอะไร เพียงแต่อยากเคลียร์ให้หมดล็อตไปเพราะเขาอยากพักอยู่เฉยๆหรือไปเที่ยวบ้าง .. คนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ จะให้ทำงานไปถึงไหน

     

                ไอ้ชินนน”

     

                หนีเสือปะจระเข้ เขาเพิ่งเรียนรู้สำนวนนี้มาจากบางคนได้ไม่นานแต่มันเข้ากับสถานการณ์นี้เป็นบ้า ชินตะจุดบุหรี่สูบในขณะที่พยักพเยิดหน้าให้เพื่อนสนิทที่วิ่งหน้าตื่นมาแต่ไกลอย่างจิมมี่เป็นเชิงถามว่าปัญหาคืออะไร

     

                ไปกินเบียร์กันคืนนี้ กูเลี้ยง”

                fuc k you.”

                ด่ากูทำไม้

                นึกว่าเรื่องเหี้ยอะไร”

     

                คนตัวสูงที่สวมแจ็คเก็ตหนังสีดำเพราะเดี๋ยวต้องไปถ่ายแบบต่อทำหน้ารำคาญเพราะจิมมี่แบ่งบุหรี่เขาไปสูบสองสามคำก่อนจะคืนให้ ท่าทางสติแตกแบบนั้นทำให้เขาต้องถามออกไปอย่างสุดจะทน

     

                มึงเป็นอะไรจิม?”

                ขอบคุณที่ถามนะไอ้เพื่อนหน้าสัด”

                ไม่อยากรู้แล้ว”

                ฟังก่อนได้มั้ยล่ะพ่อออ”

     

                เนี่ย ก็น่ารำคาญแบบนี้

     

                กูทำรถไฟชนกันว่ะ”

                โง่”

                “ก็กูชอบทั้งสองคนเลยอะ ให้ทำไง”

                แยกไม่ออกแล้วหรือไง รักกับเซ็กซ์น่ะ”

                ชอบสองคนจริงๆโว้ย เลือกจริงจังกับใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย”

                then you deserve to be alone and shut the fuc k up, Jim.” (งั้นมึงก็สมควรอยู่คนเดียวจิมแล้วก็หุบปากไปซะ)

     

                จิมมี่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยอมให้มันด่าเพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันไม่เคยต่อยอดอะไรกับผู้หญิงที่มีเซ็กซ์ด้วยทั้งนั้น ไม่มีการเทคแคร์หลังมีเซ็กซ์กันเสร็จ ไม่มีกินข้าว ไม่มีดูหนัง .. เริ่มที่เตียง จบที่เตียง ดังนั้นปัญหาเรื่องรถไฟชนกันจะไม่เกิดกับชินตะเพราะมันเป็นคนเอาจริงกับการแบ่งเส้นและหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองฉิบหาย

                เลวยังไงมันก็เลวอยู่แค่นั้น ไม่มากแล้วก็ไม่น้อยไปกว่านี้แล้ว

     

                แต่มึงเคยได้ยินมั้ย ถ้าเรารักคนแรกจริงๆอะ เราจะรักอีกคนได้ยังไงวะ”

                ทำไมจะไม่ได้”

                แล้วมันได้ได้ไงอะชิน”

                กูไม่รู้ .. แต่คิดว่าได้”

                เอ้าไอ้ห่า”

                กูไปได้รึยัง?”

                ไม่ได้!” ขายาวๆถีบเพื่อนตัวเองทันทีที่โดนตะโกนใส่แต่จิมมี่หลบทันและทำหน้าเหนือกว่าพลางพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานว่า

     

                ก็ถ้าเมื่อกี้มึงบอกว่าได้อะ กูก็จะเลือกคนที่สองแล้วนะชิน”

                เขาจะอยู่ให้มึงเลือกมั้ยล่ะจิม”

                ไอ้คนปากหมา!”

                อยู่คนเดียว จะได้ไม่ต้องมีปัญหา”

                มึงก็อยู่คนเดียว กูยังเห็นมีปัญหาเลย”

                … ” จิมมี่ยิ้มใส่เพื่อนสนิท เพราะเขาเริ่มเดาทางคนแบบมันได้นิดหน่อย ก็ตั้งแต่คืนที่มันหายไปจากงานวันเกิดไอ้พีทน่ะ เขาไม่เคยเห็นมันคั่วกับใครเลยตั้งแต่นั้น

     

                “you’re fuc k up now, Shinta.”

                (มึงแย่แล้วล่ะชินตะ)

     

                คนที่อยู่ในเสื้อหนังและผมถูกเซ็ตไว้เป็นทรงต่างจากทุกวันจุดบุหรี่อีกมวนทั้งๆที่คิดว่าวันนี้เขาพอแล้ว ตาคมมองท้องฟ้ากว้าง เสียงบางคนเจื้อยแจ้วขึ้นมาในหัว ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันนั้น .. ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เจออีกคน

                คนที่พูดไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทางขับรถจากบ้านตัวเองมาห้างแถวคอนโดเขา

     

                ‘คุณเคยได้ยินนี่เปล่า .. you’re the reason why the sky is blue.’

               

                ชอบเขาแล้วดิแบบนี้”

                มึงนิยามคำว่าชอบแบบไหน?”

     

                จริงๆเราเรียนวิทยาศาสตร์มาก็รู้นะว่าทำไมท้องฟ้าเป็นสีฟ้า มันเป็นเรื่องของแสงใช่มั้ยล่ะ แต่นั่นแหละ สุดท้ายก็ยังฟังดูน่ารักอยู่ดีสำหรับเรา’

     

                กูไม่ได้ยิ้มตามเวลาเขายิ้ม”

                … ”

                กูไม่ได้ใจเต้นแรงเวลาเขาหัวเราะ”

     

                  มันพิเศษจะตายที่คนคนหนึ่งทำให้ท้องฟ้าของเราเป็นสีฟ้าได้ทุกวันน่ะ จริงมั้ย?’

               

                ภาพใบหน้าของบางคนปรากฏขึ้นในความคิดเขา เขาที่มักจะขับรถมือเดียว เปิดหน้าต่างและฟังเพลงที่ชอบ .. เขาที่วันนั้นหันไปมองคนที่ใบหน้าถูกแตะต้องด้วยแดดแรกของวันเพราะเราต่างเป็นนกตัวนั้นที่ตื่นเช้า

     

                มันไม่เหมือนในเพลงรักจิมมี่”

                ชินตะ มึง .. ”

     

                ‘มันไม่มีฝนตกลงมา ไม่มีอากาศแปรปรวน มีแต่ท้องฟ้าที่สดใส .. คนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ต้องโคตรพิเศษ สุดท้ายไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน จะหาทางออกจากปัญหาไม่ได้ แต่พอเจอเขาแล้วท้องฟ้ามันก็เป็นสีฟ้าแล้วเราก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้อีกวัน’

     

                แต่ถ้าถามว่ากูเป็นใครตอนที่อยู่กับเขา กูตอบไม่ได้”

     

                ใช่ เขาตอบไม่ได้

                เพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

                  เขาไม่เคย .. เป็นแบบนี้กับใคร

     

                และถ้าการที่เขาทำให้กูมีตัวกูอีกคนหนึ่งขึ้นมามันดีกว่าตัวกูที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ โดยที่ไม่เอาความรู้สึกของกูมาวัดต่อว่าชอบตัวเองตอนที่อยู่กับเขามั้ยมันแปลว่ากูชอบเขา”

                ไม่เคยอ่อนหวาน

                ไม่เคยอ่อนไหว

     

                  กูก็คงจะชอบเขา”

     

                ไม่เคยเอาใจใครมาใส่ลงในใจตัวเอง

               

                มีหลายอย่างที่กูทำให้เขาทั้งๆที่ไม่เคยทำให้ใครและการที่ให้ไปนั้น กูไม่ได้คิดเลยว่ามันต้องซับซ้อน มันต้องมีเหตุมีผล .. กูไม่มีอะไรเลยจิมมี่”

     

                และมันยาก

                ที่สุดท้ายในทุกๆวัน เขาจะกลับมถามตัวเองซ้ำๆว่า .. ถ้าเขาชอบเอยจริงๆ มันจะเป็นยังไง เขาต้องทำยังไง ถ้าเขาอยากเป็นเหตุผลที่ท้องฟ้าของใครสักคนจะเป็นสีฟ้าทั้งๆที่เขาเป็นสีเทาจนเกือบดำมาทั้งชีวิตนั้น เขาต้องทำยังไง

     

                กูแค่ทำมันลงไปแล้วเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สุดท้ายก็คิดได้กับตัวเองว่าบางที .. ”

     

                เพราะหากที่ปลอดภัยไม่มีอยู่แล้ว

                เขาจะต้องร่วงหล่น

     

                  การตกหลุมรักมันอาจจะง่ายแค่นี้ก็ได้”

     

                ร่วงลงไป

                .. จนสุดตัว

     



     

     




                อบรมหัวดอ”

                ตบปากเลย ไม่สุภาพมากๆ”

                “น้องเอยฟังพ่อ”

                พ่อเราตายไปแล้ว! แกหยุดสักที!”

                ฉันเหนื่อยเหลือเกินพี่จ๋า ต้องปาดน้ำตาตั้งวันละสี่ห้าครั้ง” จ๊าบซบไหล่เพื่อนตัวเล็กก่อนจะกอดเอวเอยแน่น ทั้งฝังใบหน้าลงบนซอกคอและถูไถไม่ยอมปล่อยตัวหอมๆของอีกคนไปไหน แค่เรื่องในโรงพยาบาลก็ปวดหัวพอแล้วยังให้มาอบรมอะไรก็ไม่รู้ทั้งวันจนสติแทบหลุด

                ไม่รู้ตอนเรียนเขาเรียนจบมาได้ยังไงทั้งๆที่สมาธิน่ะสั้นกว่าอายุของยุงลายซะอีก

     

                คิดบวกหน่อยดิ อย่างน้อยเบรกก็อร่อยนะ”

                ครับเพื่อนนนนน มึงมันเด็กอ้วนเห็นแก่แดก”

                หรือคิดแบบนี้ก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ในโรงพาบาลหนึ่งวันอะ” เอยหัวเราะเบาๆ ลูบหัวเกรียนๆของเพื่อนก่อนจะเจาะน้ำผลไม้ดื่ม จริงๆเหลืออบรมอีกสองชั่วโมงก็เรียบร้อย ช่วงนี้อาหารชีวจิตมันเป็นเทรนด์สุดๆแถมไอ้เรื่องดื่มน้ำเซเลอรี่ลดบวม ลดน้ำหนักอะไรพวกนั้นเขาก็ยังต้องรู้ลึกรู้จริงแบบที่จะได้เอาไปเตือนคนไข้และเพื่อนฝูงว่าไม่ใช่ทุกคนจะดื่มน้ำขึ้นฉ่ายคั้นสดได้

                แหงล่ะ ถ้าเกิดความดันต่ำแล้วดื่มเพียวๆเข้าไปอีกแค่สักสองร้อยห้าสิบมิลลิลิตรก็มีสิทธิ์เป็นลมได้เลยนะ!

     

                อบรมนี้ดีเพราะมีน้องเอย”

                ขนาดนั้นเลย”

                รักเอย”

                พอพูดแบบนี้คิดถึงเพลงนี้เลยอะ”

                เพลงไหนอีกล่ะหนู”

                หัวใจนี้อยากรู้ อยากรู้ รักเอย รักเอย รักแบบไหน~”

                อ๊ย เพลงสมัยกูประถม”

                น่ารักเนอะ เพลงสมัยก่อน”

                ชอบนี่สุดแล้ว วงหมีพูห์”

     

                เอยทำตาโตเมื่อเพื่อนพูดถึงเพลงสมัยที่เราเด็กกันมากๆ พอหันไปสบตากันแล้วก็เริ่มต้นร้องท่อนแรกแบบที่ทำให้หลุดขำออกมาพร้อมๆกัน

     

                โว้ะโอ~ โว้ะโอโอ่โอ้ะโอ~~”

                ดักแก่ว่ะ”

                “ว่ากู มึงก็ร้องคร้าบน้องเอย”

                จ๊าบชอบท่อนไหน?” คนตัวเล็กทำตาโตถามไปดูดน้ำผลไม้ไป ท่าทางแบบนั้นมันทำให้คนตัดผมทรงสกินเฮดเอื้อมไปบีบแก้มจนเอยร้องโอ๊ย

                ใครจะไม่อยากแกล้ง ดูทำตัวเข้า

     

                หล่อๆแบบผมก็ต้อง ‘ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจจะไม่แน่ใจ’ รึเปล่าครับบบ ร้องออกไมค์ทีสาวกรี๊ดค่อนโรงเรียน”

                เพราะลืมรูดซิป รู้นะจะเล่นอันนี้อะ”

                จบ กูกลับบ้านละไอ้เหี้ย” จ๊าบที่ทำท่าจะลุกหนีทำให้เอยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วรั้งแขนเพื่อนไว้ โอ๋อยู่ไม่กี่ทีก็กลับมาเรียกเขาน้องเอยๆเหมือนเดิม

     

                ละหนูอะชอบท่อนไหน”

                เราเหรอ อืม .. ”

     

                คนตัวเล็กลูบคางครุ่นคิด

     

                  เอ่ยไปเลยว่ารัก ไม่ต้องเกรงใจใคร .. จะยากอะไรก็แค่บอกว่าฉันรักเธอ”

                น่ารักด้วย เสียงเพี้ยนด้วย” จ๊าบที่ใจอ่อนยวบมองรอยยิ้มสดใสที่เพื่อนส่งมาให้จนต้องเอื้อมมือไปขยี้ผมเบาๆ จะบอกให้ว่าสมัยเรียนไม่มีคนกล้าจีบเอยมันหรอกเพราะเป็นเหมือนสมบัติของคนในคณะเขา ผู้หญิงก็ห่วง ผู้ชายก็หวง

                ก็น่ารักตั้งขนาดนี้นี่

     

                แกว่ามีจริงเปล่า คนที่ไม่กล้าบอกรักอะ”

                ก็ต้องมีดิวะ คำว่ารักแม่งโคตรใหญ่ แบบใหญ่อะ จะบอกทั้งทีก็ต้องคิดนะว่าจะแบกรับไหวมั้ย”

                หมายถึงใจคนฟังน่ะเหรอ”

                ก็ส่วนหนึ่ง ถ้าใจคนฟังเขาเซย์โน เราก็หมา”

                แล้วรักนี่ต้องหวังให้ใครมารักตอบด้วยเหรอ”

                ทำไมหนูถามมากจังวะ กูอยากตาย”

     

                คนตัวเล็กหัวเราะก่อนจะเกาแก้มเขินๆ ก็มันอยากรู้นี่หว่า .. จริงๆจำได้ว่าช่วงเรียนจ๊าบชอบคนคนหนึ่งมากๆแต่ทำยังไงเขาก็ไม่รับรัก สุดท้ายมันก็ไม่เหมือนในนิยายแบบที่ตื๊อให้ตายเขาก็ไม่มาใยดี

               

                แล้วรักมันจางได้มั้ย”

                “ได้นะ .. อันนี้ประสบการณ์ตรง”

                พอไม่เจอกันก็จะลืมเหรอ”

                น้องเอยฟังพ่อ การลืมเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้ว ไซเคิลของสมองเราอะเนอะ”

                ก็จริง”

                แค่อย่าไปคิดว่าต้องลืม เดี๋ยวแม่งก็ลืม อาจจะไม่ได้รักน้อยลงอะ แต่กลับมารักตัวเองมากกว่า”

                คมคายนะเนี่ย ลาออกไปเปิดเพจคำคมดีเปล่าเราอะ”

                แซวกูเหรอ!” แล้วเอยก็โดนกินหัวไปอีกที นั่งเล่นกันจนหายเหนื่อยกับการอบรมแล้วก็ต้องแบกตัวเองกลับไปเข้าห้องประชุมใหม่ จริงๆครั้งนี้โชคดีที่โรงพยาบาลจ๊าบก็ส่งคุณหมอของตัวเองมาเข้าประชุมด้วย เพราะไม่งั้นเอยเหงาตายเลย

     

                อดทนไว้จ๊าบ อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”

                สัญญาได้เปล่าว่าจบนี่จะไปกินเบียร์กัน”

                เอาดิ”

                โห วันนี้ออกโรงว่ะ”

                เรามีนัดกินเบียร์อยู่แล้วต่างหาก จะชวนไปด้วยอยู่แล้วแต่กะจะบอกหลังเลิกอบรม เดี๋ยวได้ใจ”

     

                จ๊าบยิ้มพลางขยี้ผมไอ้ตัวแสบ ไม่รู้ทำไมเอ็นดูนักทั้งๆที่อายุก็เท่ากัน บอกเลยว่าชีวิตมหาวิทยาลัยเป็นสีพาสเทลแม้การเรียนจะหนักหนาก็เพราะคุณสิสิรเขานี่แหละนะ!

               

                น้องเอยฟังพ่อ”

                ว่าไงอีกอะ เขาจะเริ่มเปิดสไลด์แล้วนะจ๊าบ”

                พ่อรักน้องเอย”

                ค้าบๆๆ รักพ่อเหมือนกันนน”

     

                เฮ้อ ใจของจ๊าบ

     

     


     



     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



    .




     

     

     

                เบียร์คราฟต์กับเอยเป็นของคู่กัน

                เพราะไม่ชอบเลยพวกเบียร์ที่ขายกันตามตลาด ชอบเบียร์นอกหรือเบียร์ทำเองมากกว่าเพราะมันมีเสน่ห์ ค่อยคุ้มค่าที่จะยอมเมาหน่อย .. คนตัวเล็กนั่งไกวขายิ้มร่าชนแก้วกับเพื่อนหมอด้วยกัน อีกไม่นานจัสมินกับตงจะตามมา ช่วงนี้มีเวลาขึ้นมาบ้างเลยขอเจอเพื่อนสักหน่อย

               

                เออ แล้วพี่ซือเขาจะมาเมื่อไหร่”

                “เนี่ย ใกล้แล้วแหละ อาจจะถึงหลังจัสนิดนึง

                ไม่ได้เจอแม่งโคตรนาน” จ๊าบบ่น

                เหมือนกัน”

                เก่งว่ะลูกพ่อ ก็อดก็ทนได้เนอะ”

                ไม่หรอก ก็ไม่ได้คิดว่าต้องอดทนไง” บางคนตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นมากระดก มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเห็นบางคนเดินเข้ามาในร้าน

                แล้วเอยก็พบว่าเมื่อตาดุๆคู่นั้นสบกับตาของเขา .. มันก็ไม่เคลื่อนไปไหนอีกเลย

     

                มองอะไรวะเอย”

                … ”

                เจอคนรู้จักเหรอ?”

     

                เอยไม่ตอบ จ๊าบก็เลยมองตามสายตาของเพื่อนไปและพบกับมือเบสคนนั้นที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำเขา เป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากมันหล่อ หล่อแบบที่ผู้ชายแมนๆอย่างเขาต้องยอมรับและเอ่ยปากชม มากไปกว่านั้นคือแม่งแต่งตัวดีเหี้ยๆ

                แล้วนี่อะไร กูใส่เสื้อยืดเนี่ยนะ!

     

                ไง”

                มากับใครเนี่ย”

                จิมมี่”

                อ้าว .. แล้วไหนจิมมี่”

                เดี๋ยวมันก็เข้ามาทัก” ชินตะสบตากับเพื่อนของเอยที่วางแขนพาดไว้ที่เก้าอี้ตัวที่เอยนั่ง .. คิ้วของเขาเลิกขึ้นและเขาเห็นความยียวนในดวงตาของคนที่เอยเรียกว่าจ๊าบ

     

                จ๊าบ นี่เพื่อนเราเองอะ ชินตะ .. น่าจะจำได้นะ ที่เป็นมือเบสวง no bad days ไง”

                จำได้ครับน้องเอย สวัสดีครับชินตะ :)”

     

                คนตัวสูงพยักหน้าก่อนจะหันกลับมาคุยกับเอยต่อ

     

                วันนี้กินข้าวรึยัง”

                “อะไรเนี่ย คุณเจอเราทีไรก็ถามแต่เรื่องนี้”

                กินให้ตรงเวลาบ้าง”

                วันนี้กินครบทุกมื้อหน่า เราไปประชุมมา”

     

                บทสนทาเรียบง่ายที่ถามไถ่ถึงชีวิตทั่วไปในตอนที่ไม่ได้เจอกันมันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาในใจ เอยคิดว่ามันประหลาดดี เขาบอกแล้วว่าระหว่างเขากับคนตรงหน้ามันแปลก

                แต่ไม่ได้ไม่ปลอดภัย

     

                นั่งโต๊ะนู้นนะ”

                โอเค เอ็นจอยนะคุณ”

                เหมือนกัน”

                ไว้ไปขโมยกินถั่วโต๊ะคุณ” บอกลากันแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มแบบที่ทำให้อีกคนเคาะนิ้วลงบนหัวเอยแล้วก็ผละออกไปที่โต๊ะตัวเอง ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีจิมมี่ก็เข้ามาทักเอยตามที่ชินตะบอกไว้ แต่คุยกันได้ไม่นานอีกคนก็รีบไปจัดเบียร์สองแก้วแล้วดื่มไม่หยุดเหมือนคนมีเรื่องให้คิด

               

                แม่งมากันทั้งวงเลยว่ะ รักกันไม่เบา”

                เรื่องเมาใครจะต้านไหว”

     

                เอยหัวเราะเบาๆฟังบทสนทนาของเพื่อนในโต๊ะที่นินทาหนุ่มๆวง no bad days ที่สุดท้ายก็มานั่งกันครบวงแถมยังมีเพื่อนคนอื่นๆที่เอยไม่เคยเห็นมาจอยด้วย ดูท่าชินตะจะมีเพื่อนเยอะพอสมควรเลยแ

     

                เอย”

                อ้าว ตงงง” คนถูกเรียกกอดเอวคนมาใหม่แน่น ตงลูบผมเอยเบาๆก่อนจะบอกว่าวันนี้ใส่เสื้อน่ารักจังซึ่งเอยได้แต่แก้มร้อนเพราะเขาเขินสายตาตงมากๆ

                นี่มันก็แค่เสื้อยืดธรรมดาๆ

     

                พอกันที แฟนตัวจริงคือผม! เผื่อคุณจะลืมตงจื้อ”

                เสียงดัง”

                ไง ไอ้คนที่ชอบแย่งแฟนคนอื่น”

                เสียงนกเสียงกาเนอะตง” เอยแลบลิ้นใส่คนขี้หวงที่หนึ่งอย่างจัสมิน

                เอาว่ะ ลูกกูสู้ว่ะ”

     

                บทสนทนาในโต๊ะเริ่มเฮฮาขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีคนมาเพิ่ม จัสมินมองกลุ่มเพื่อนยิ้มๆก่อนจะเป็นคนอาสาเดินไปสั่งเบียร์หน้าบาร์ มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเดินผ่านโต๊ะของชินตะและไม่ลังเลเลยที่จะทักตามประสาคนอัธยาศัยดี

     

                hey dude~”

                hey.” พยักหน้าให้ก่อนจะชนหมัดกันเบาๆ ถึงจะเจอแค่ครั้งสองครั้งแต่ก็นับว่าเป็นเพื่อนได้แล้วสำหรับจัสมินและเขาหวังว่าชินตะเองที่ตอนนี้ก็สนิทกับเอยพอสมควรจะรู้สึกแบบเดียวกัน

     

                นี่ จัสมิน .. เพื่อนเอย”

                อ๊า~ คุณหมอจัสมิน น้องผมชอบคุณมาก! ไอ้เหี้ย พี่ชายแม่งไม่เคยจะชมอะ” มีนดีดนิ้วเมื่อจำได้ว่านี่คือคุณหมอหมาที่เป็นที่พูดถึงกันบ่อยๆในอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่เพราะอะไรเลยนอกจากเป็นเดือนคณะแล้วก็ยิ้มเก่งซะขนาดนี้

                ยิ้มทีอย่างกับดอกไม้แม่งจะบานได้เลย ให้ตาย

     

                แล้วนี่ไปทักเอยมายังอะ”

                อืม .. ผอมลง”

                เขาไม่ค่อยกินข้าวหรอกคนนั้นน่ะ ทำแต่งานๆๆๆ บ้างานมากๆคุณสิสิร” ชินตะมองสีหน้าจริงจังของจัสมิน ดูเหมือนเรื่องการกินข้าวของเอยจะเป็นปัญหาพอสมควรเพราะงานที่เยอะไปหมดนั่น มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาหันไปเพื่อจะมองบางคนที่อยู่ไม่ไกลจากระยะสายตา

     

                … ”

                  อ้าว .. พี่ซือมาเหรอ”

     

                คนที่จมหายไปในอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก

                เอยลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อที่จะกอดคนคนนั้นอีกครั้งราวกับโหยหา มันอาจเป็นแบบนั้นเพราะเขาไม่ได้เย็นชาขนาดอ่านความรู้สึกจากทางสายตาไม่ได้ ฝ่ามือเล็กๆนั่นประสานเข้าหาฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของอีกคน .. รอยยิ้มกว้างกับดวงตาเป็นประกายตอนเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มที่ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้งทำให้เขารู้สึกถึงการเต้นของบางสิ่งใต้แผ่นอกที่ช้าลงจนเกือบจะหยุด

                บางสิ่ง

     

                เดี๋ยวนะ คนนั้นใครวะที่ยืนจับมือกับหมอเอยอยู่?”

     

                  ที่มีขึ้นมาแล้วจริงๆโดยไม่ได้สมมติ

     

                อ่า ทุกคนน่าจะยังไม่เคยเจอ พี่เขาไม่ค่อยอยู่ไทยน่ะ”

     

                น้ำเสียงของจัสมินที่พึมพำกับตัวเองกลายเป็นเสียงเบาๆที่เขาแทบไม่ได้ยิน .. ราวกับมีใครสักคนกดลดวอลลุ่มจนเหลือต่ำสุด เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นช้าแต่หนักหน่วงจนรู้สึกปวด

                แล้วในวินาทีถัดมา ใครคนนั้นก็เร่งเสียงที่เขาได้ยินไม่ถนัดเมื่อครู่ให้ดังขึ้นมาใหม่

     

                พี่เขาชื่อซือ”

                “ … ”

                  เป็นแฟนเอย”

     

                  ดังคับไปทั้งโลกที่เพิ่งจะมีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าของเขา

     








    tbc.






























    ขอโทษ

    . _ . 

    (ชื่อตอนเต็มๆจริงๆแล้วคือ 

    ever since the day that i met you 

     i knew you were the girl of my dreams

    but we could never be.)


    เส้ายังงะ

     แหะ แหะ แหะ


    #จนมีหัวใจ

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×