คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 05 - don't give up on me now, i'll still get better.
“เหรอๆ แล้วแกทำไงกับน้องกระรอก”
“ผมก็จัดน้ำเกลือให้ดิครับ
หัวใจตกไปที่ตาตุ่ม”
“ดีจัง
แล้วมีคนเอาสัตว์เลี้ยงอะไรแปลกๆมาให้รักษาบ้างมั้ย”
ตาคมมองคนที่ส่งช้อนและส้อมที่เช็ดทำความสะอาดให้ด้วยทิชชู่ให้เพื่อนสนิทเหมือนกับที่เพิ่งส่งให้เขาไป
เขาเคยไม่เข้าใจเพื่อนที่ขับรถข้ามจังหวัดไปง้อแฟนหรือไปกินข้าวด้วยกันเพียงมื้อเดียว
..
หากแต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจมันขึ้นมานิดหน่อย
เมื่อการได้เจอหน้าเพียงไม่กี่นาทีมันทำให้ความคุกรุ่นในใจหายไป
“แล้วคุณเคยเลี้ยงสัตว์หรือเปล่า?”
ชินตะส่ายหัว
สบตากับจัสมินที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันกับคนที่ยังอยู่ในชุดทำงานแม้ว่าวันนี้จะเลิกงานแล้ว
มือเล็กๆนั่นมีพลาสเตอร์ลายสัตว์ติดอยู่
มันฟ้องว่าอีกคนคงได้แผลมาจากการทำอะไรสักอย่างในชีวิตประจำวัน
ที่จริงเขาก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้ขับรถออกมากินข้าวกับคนที่ไม่ได้เจอกันราวๆสองอาทิตย์แล้วแบบนี้
เขาเพียงทำมันลงไปแล้ว
“เฮ้ยย
เราขอไปซื้อหนมถ้วยตรงนั้นก่อนนะ”
เอยทำตาโตมองรถเข็นขายขนมถ้วยที่กำลังจะผ่านร้านอาหารเล็กๆที่เขาชวนทั้งจัสมินและชินตะมากินด้วยกัน
สองหนุ่มมองตามแผ่นหลังเล็กๆที่หายลับไปตามรถเข็นขายขนมหวาน
เป็นจัสมินเองที่กระแอมก่อนจะพูดขึ้น บอกเลยว่าเขาไม่กลัวหรอกคนหน้าดุ
พี่ชายเขาก็มาแนวนี้เหมือนกัน
“ถามได้มั้ยเนี่ย
มาสนิทกับเอยมันได้ไง”
“by chance.”(บังเอิญเจอกันบ่อยๆ)
“well, that’s
interesting.” (เอ้ย .. น่าสนใจดี)
คุณหมอสัตว์พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง
จริงๆแล้วในชีวิตเราน่ะก็เจอคนที่บังเอิญพบกันเสมอๆไม่บ่อยหรอก
แต่ที่แปลกคือทั้งเอยกับไอ้หมอนี่น่ะ มันต่างกันสุดขั้วไปเลย
“ปกติเอยเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”
“หมายถึงใจดีเหรอ?”
“อืม”
“ช่ายยยย~
เอยใจดีมาก แต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นคนแบบนี้แหละ คนก็เลยอยากอยู่ด้วยไง”
ชินตะไม่ได้ตอบ
เขาทำแค่มองคนที่กลับเข้ามาพร้อมถุงขนมสองถุง ถุงหนึ่งยื่นให้กับจัสมินด้วยรอยยิ้มกว้างพลางบอกอย่างร่าเริง
“ขนมไข่นกกระทาของชอบแกไง”
“ขอบคุณนะน้องเอย”
“มะเหงกนี่
ไม่น้องเว้ย” แล้วคนตัวเล็กก็โดนรัดคอเข้าไปหาแผ่นอกกว้าง จัสมินกระซิบอะไรสักอย่างใส่หูเอยแล้วคนในอ้อมแขนก็โวยวายแล้วดิ้นขลุกขลัก ..
ดูเหมือนจะสู้แรงไม่ไหวก็เลยต้องยอมให้เพื่อนแกล้งอยู่แบบนั้น
มันมีบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจบางคน
ใจที่คิดว่าเคยว่างเปล่า
“คุณ กินดิ ลองดู
อร่อยนะ”
ขนมถ้วยที่ถูกตัดใส่ช้อนอย่างพอดีคำแล้วถูกยื่นมาตรงหน้าเขา
ชินตะมองใบหน้าน่ารักของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มีคำถามมากมายในหัวเขา .. ทั้งหมดนั่นสงสัยการกระทำของคนที่ปฏิบัติตนอ่อนโยนกับทุกคนรอบตัวเสมอ
เช่นเดียวกันกับที่เขาจัดลำดับทุกๆคนในชีวิตไว้เท่าๆกัน
ไม่มีคนที่ต้องห่วงเป็นพิเศษ
ไม่มีคนที่ต้องแคร์เป็นพิเศษ
“ไงๆ อร่อยมั้ย!
จัสมินกินเปล่า เราป้อน”
“ลองสักคำก็ได้ เดี๋ยวน้องเอยเสียใจ”
หากแต่ตอนนี้ในหัวเขากำลังคิดว่า
เขาจะทำยังไง
“อร่อยมั้ยอะคุณ
กินแล้วเงียบเลย”
ทำยังไงถึงจะได้เป็นเจ้าของความใจดีของคนตรงหน้าแต่เพียงผู้เดียว
“ไม่แย่”
“ขอโทษทีนะ
เราไม่รู้คุณชอบกินอะไร”
“นี่กะจะจำของทุกคนเลยหรือไง”
“ใช่ดิ
ของนายจ๊าบก็ฝอยทองไง”
“มันรู้นี่ปลื้มใจตาย
คุณพ่อน้องเอย”
“เว่อร์ว่ะ ..
เฮ้ย อาหารมาแล้ว~”
คนตัวสูงกับใบหน้าร้ายๆที่ก่อนจะแยกกับผู้จัดการและเพื่อนสนิทก็กลับไปเปลี่ยนชุดที่คอนโดตัวเองให้มันสบายขึ้นมาหน่อยแล้ว
บอกตามตรงเขาไม่ถูกกับอาหารรสจัดเท่าไหร่
ไอ้ก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามตรงหน้านี่เลยดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่
“ไหวปะคุณ
เราสังเกตแล้วคุณกินเผ็ดไม่เก่งอะ”
“แล้วก็ยังชวนเขามากินต้มยำเน้อออ”
“ก็เราอยากกินนี่หว่า”
“ใส่น้ำตาลเลยเพื่อน
สักสองช้อน” จัสมินพยักพเยิดหน้าใส่กระบะเครื่องปรุงแต่เป็นเอยเองที่จุ่มช้อนลงไปในชามก๋วยเตี๋ยวของชินตะเพื่อชิมว่ามันเผ็ดมั้ย
ไม่รู้สิ
เขารู้สึกเหมือนต้องรับผิดชอบ
“เปลี่ยนเป็นน้ำใสดีมั้ย
กลัวทำลูกคนอื่นตายอะ”
“กินได้”
“งั้นคุณชิมนะ
ละเราปรุงให้”
“สนุกเขาล่ะ”
คุณหมอสัตว์ส่ายหัวขำๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดต๊อกแต๊กตอบแฟนตัวเองที่ตอนนี้ก็วุ่นๆกับการทำงานอยู่เหมือนกัน พอโตแล้วก็มีเวลาของใครของมันแบบที่เข้าอกเข้าใจว่างานก็คืองานแหละนะ
แต่คิดถึงตงเอาซะมากๆเลยเนี่ย :(
“ได้ยัง?”
เอยเบะเมื่ออีกคนส่ายหัว
เพราะมันเผ็ดจริงๆสำหรับเขา .. ตาคมมองคนช่างรับผิดชอบที่ค่อยๆตักน้ำตาลใส่ในชามก๋วยเตี๋ยวเขาทีละนิดทีละนิดเหมือนกลัวว่าสุดท้ายมันจะหวานไป
จัสมินที่เพิ่งตอบข้อความตงเสร็จหันมาพบภาพที่ทำให้หัวใจอ่อนยวบ
ไม่ต่างอะไรกับการเห็นพี่ชายตัวเองอยู่กับแฟนหรอก เขาบอกกว่าเหล็กจะหลอมได้ ไม่ใช่เพราะไฟที่แรงพอ
แต่เป็นเพราะความร้อนที่สม่ำเสมอจากกองไฟนั้น
สีหน้าลุ้นๆของเอยที่ทำราวกับคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามเป็นเด็กๆพาใจเขาเต้นตึกตักแม้จะไม่ใช่คนที่ถูกปฏิบัติด้วยเช่นนั้น
วินาทีนั้นจัสมินเองสงสัย
..
“ดีขึ้นมั้ย?”
“อื้ม”
“ฮู่ว โล่งเลย”
ว่าใจดวงนั้นของคนที่ดูเหมือนรักใครไม่เป็นจะเต้นแรงบ้างมั้ยนะ
⎯
“โปรด”
“ว่า”
“เคยฟังเพลงนี้มั้ย
ที่ร้องว่า .. ยังคงไม่ลืมเลยก่อนเจอเธอ ฉันเป็นไง”
“ … ”
“ไม่เข้าใจซะเลยว่าตอนเช้าเป็นเช่นไร~”
ผมโยกนิ้วไปมา เอนตัวพิงกับเบาะรถที่วันนี้มีโอกาสได้นั่งเป็นครั้งที่สอง
เขาขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหัว ผมเลยร้องต่ออีกท่อนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ว่าเพี้ยนแหงๆ
“คนธรรมดาหนึ่งคนๆนี้
ไม่มีอะไรเลยไม่มีสักอย่าง .. เพราะทุกสิ่งและเพราะทุกอย่าง มันเป็นของเธอ” ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดได้ว่าจู่ๆมันก็มีเพลงนี้ในหัว
มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่เด็กมากๆ
จะว่าไปก็สิบปีได้แล้วมั้งกับเพลงนี้น่ะ
“เสียงห่วย”
“เอ้า ด่าเฉย”
ผมหัวเราะเพราะเขาส่ายหัวเหมือนเอือมระอาเต็มทน
“ไม่เคยฟัง ..
ไม่ค่อยฟังเพลงไทย บางทีก็ฟังไม่เข้าใจ”
“แล้วไม่มีเพลงไทยที่ชอบเลยเหรอ”
“ก็มี”
“เพลงไหนอะ
อยากรู้ว่าคนญี่ปุ่นเขาจะชอบเพลงไทยเพลงไหน”
“จะให้เป็นตัวแทนของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศเลยหรือไง”
“แหงดิ
ก็คุณเป็นคนญี่ปุ่นคนเดียวในโลกของเรานี่นา”
ชินตะเหยียบเบรกอย่างนิ่มนวลเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง
เขาเป็นคนขับรถเก่ง แม้จะขับเร็วแต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย
จริงๆอาจจะเป็นเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้รู้สึกว่าปลอดภัย
สำหรับผมแล้วเขาดูเหมือนคนที่จัดการอะไรๆได้ดี
มั่นคง
ไม่ล้มง่ายๆ
“เคยไปงานฟังใจครอสเพลย์กับไอ้จิม
ได้ฟังเพลงนี้แบบสดก็เลยชอบ”
“เฮ้ย
เราก็เคยอยากไปนะ แต่ไม่ว่างเลย”
“อือ ..
เพลงปรากฏการณ์”
ผมทำตาโตเพราะก็เคยฟังเพลงนี้มาเหมือนกัน
แต่เอาจริงๆก็แค่ฟังผ่านๆ ไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น พอรู้ว่าเขาชอบเพลงนี้
ผมชักอยากรู้แล้วจริงๆว่ามันเป็นเพลงแบบไหนถึงทำให้เขาเลือกได้น่ะ
“จริงๆชอบวงนี้
หมายถึงพาร์กินสัน มันหายาก คนที่ร้องเพลงได้ดีแล้วมีสกิลกีตาร์ขนาดนั้น
ในไทยมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ทำได้”
“เท่จัง”
“อะไร?”
“เวลาโปรดพูดถึงดนตรีไง
ดูมีแพชชั่นอะ”
“เหรอ”
“อือ!
เราอยากฟังอะ ขอต่อโทรศัพท์กับบลูทูธรถคุณได้เปล่า”
คนข้างๆตัวผมไม่ตอบ
เขาแค่ส่งมือถือที่เขาวางไว้บนคอนโซลรถให้ผม เขาเป็นมนุษย์ที่แปลกมาก
เหมือนกับจะโลกส่วนตัวสูงแต่ให้ของใช้ส่วนตัวกับผมง่ายๆแถมไม่มีรหัสโทรศัพท์อีกต่างหาก
คราวที่แล้วเขาก็ให้ผมเป็นคนแอดไลน์ตัวเองหาเขา
ผมยังจำได้อยู่เลยว่าเขามีเพื่อนในไลน์น้อยมากๆเมื่อเทียบกับมนุษย์ปกติ
“เจอแล้ว~”
ผมบอกตอนที่เสิร์ชหาเพลงนั้นจนเจอ รอแค่อึดใจเดียวดนตรีก็ดังขึ้นมา .. ผมมองออกไปข้างนอก
รถกำลังไต่ขึ้นสูงเหนือทางด่วน ผมเห็นดวงอาทิตย์อยู่ไกลๆ แปลกใจที่มันลับขอบฟ้าช้าขนาดนี้ในวันนี้
“คุณอกหักเหรอ”
“เปล่า”
“แต่ชอบเพลงเศร้าเนี่ยนะ”
“ชอบดนตรี
ชอบเนื้อเพลง แต่ไม่ได้ดิ่ง”
“โหแฮะ”
“มีท่อนหนึ่ง นั่งคิดอยู่ทั้งอาทิตย์ว่าหมายความว่าอะไร”
“ท่อนไหน”
“มันคือปรากฏการณ์ของกันและกัน
เจ็บปวดสุขสันต์ก็ต้องจดจำเอาไว้”
ผมเข้าใจว่าเขามีข้อจำกัดเรื่องภาษา บางคำยากๆเขาอาจจะต้องคิดตามเพราะเขาเป็น trilingual ที่ต้องพูดทั้งภาษาญี่ปุ่น
อังกฤษแล้วก็ไทย .. แต่ผมคิดว่าที่เขาใช้เวลากับท่อนนี้
อาจหมายถึงเขาอยากเข้าใจความหมายเชิงลึกในสิ่งนั้น
“คุณไม่เคยอกหักเลยเหรอ”
“never.” (ไม่เคย)
“ไม่เคยเลิกกับแฟน?”
“i’ve never had
a girlfriend.” (ไม่เคยมีแฟน)
“เหลือเชื่อ”
“ก็เลยไม่เข้าใจ
.. ทำไมการรักแล้วต้องมาจดจำว่าวันที่ไม่รักแล้วมันเป็นปรากฏการณ์”
“เพราะนานๆทีมันจะเกิดไง
เหมือนเพลงเขาบอก เจ็บปวดแต่งดงาม” ผมว่าตามที่เข้าใจ
“ยาก”
“ไม่หรอก
ก็ต้องค่อยๆลองไป”
“มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“สำหรับเรื่องไหน”
“การตกหลุมรัก”
ผมสบตากับเขาที่มองมา เขาที่ขับรถด้วยมือเดียว มือหนึ่งเท้าไว้กับประตูรถ
.. โชคดีที่เราชอบสิ่งหนึ่งเหมือนกันนั่นคือการลดกระจกรถ ให้ลมเย็นๆพัดผ่านใบหน้า
เปิดเพลงแล้วนั่งพิจารณาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในเรื่องราวที่คนร้องต้องการสื่อสาร
“ไม่รู้เหมือนกัน
.. เราก็ยังไม่เคยตกหลุมรักใคร”
ผมตอบไปตามตรงเพราะไม่มีคำนิยามให้การตกหลุมรัก
ผมไม่มีคำนิยามให้กับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับใจผม .. การค่อยๆก้าวขาลงไปในที่ที่ไม่รู้ว่าข้างล่างจะเป็นยังไงน่ะ
ผมไม่เคยหรอก
ไม่เคยต้องร่วงหล่น
“แต่เราว่ามันคงจะคล้ายๆกับการที่เรารู้ว่าเราจะแย่แน่ๆถ้าทำแบบนี้
แต่มันจะแย่ยิ่งกว่าถ้าไม่ได้พยายามอะไรเพื่อเขาคนนั้นและเรื่องของเราสองคนเลยล่ะมั้ง”
“ … ”
“จริงๆการตกหลุมรักมันต้องแยกประเภทอีกรึเปล่าเราก็ไม่รู้
บางคนก็ตกลงไปในระยะสั้น ยังพอมีทางกลับขึ้นมาไหว .. บางคนก็ดิ่งลงไป
ไม่เอาตัวเองขึ้นมา”
ผมนึกถึงจัสมินเป็นคนแรก
เขาเป็นคนที่รักแล้วล้มลงอย่างแท้จริง
หมายถึงเขารักและสุดท้ายมันดีตรงที่เขาได้รักนั้นกลับคืน
ผมไม่แน่ใจนักว่าทุกๆคนจะได้รักแบบเดียวกันกับที่จัสมินได้รับกลับคืนหรือไม่
รักมันยาก
“รักมันยากนะ”
ผมย้ำอีกครั้ง
ทั้งกับตัวเองและกับเขา
“เหมือนที่โปรดบอกนั่นแหละ”
เขาที่มีใบหน้าด้านข้างสวยงามเกินกว่าใครๆที่ผมเคยเห็น
ผมรู้ในวินาทีนั้นว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนที่หน้าหวานมากๆคนหนึ่งถ้าเราหัดเปลี่ยนมุมมอง
ในตาดุๆนั่นอาจซ่อนบางสิ่งเอาไว้
บุคลิกที่พัดผ่านไปมาเหมือนพายุอาจเงียบงันและสงบเช่นเดียวกันกับใจกลางของกลุ่มลมมรสุมนั้น
“มันยากตรงที่บางทีเราคิดว่ามันไปแล้ว”
“ … ”
“เราคิดว่าความรักจากเราไปแล้ว แต่จริงๆมันก็ยังอยู่”
ผมทาบมือกับอกตัวเอง
ยิ้มออกมาบางๆ
“มันไม่เคยไปไหนเลย”
○
.
“คุณหมอรับไว้เถอะค่ะ
แค่นี้เล็กน้อยเหลือเกิน เทียบกับที่คุณหมอดูแลกงให้เรามาตลอด”
“ขอบคุณจริงๆนะครับ
ไม่เป็นไรเลยครับ อากงหายดีแล้วผมก็ดีใจครับ” เอยไหว้ปลกๆรับกล่องเค้กจากญาติคนไข้ที่วันนี้ในที่สุดก็ได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที
เขายิ้มกว้างมองแผ่นหลังของคนในครอบครัวที่เดินเกาะกลุ่มกันไปพร้อมกับรถเข็นที่พาคุณตาอายุย่างแปดสิบแล้วกลับบ้านไปด้วยกันในที่สุด
จริงๆเอยก็หวังให้ตัวเองแก่ไปพร้อมๆกับคนที่ตัวเองรัก
ได้แวดล้อมไปด้วยคนที่เราเรียกว่าครอบครัวในวาระสุดท้ายของชีวิต
แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับคนคนหนึ่ง
“น้องหมอเอยยย
เที่ยงนี้มีคนจองตัวยังคะ”
“แฮ่
มีแล้วครับพี่นก”
“เสียใจจังเลย
อยากทานข้าวกับหมอเอย~”
“ขอโทษนะคร้าบบ
เอาไว้โอกาสหน้านะครับ”
“โอเคค่ะ เอาไว้พี่จะชวนล่วงหน้าสักหนึ่งอาทิตย์เลย!”
“แย่เลยนะครับ
คนนี้เขาจองคิวล่วงหน้าเป็นเดือนเลย”
“ฮั่นแน่~~”
เอยอ้าปากหัวเราะเมื่อพี่แผนกกายภาพบำบัดทำเสียงแซวใส่
เขาบิดขี้เกียจเดินเข้าห้องพักของตัวเอง
ถอดเสื้อกาวน์ออกเพราะใกล้ถึงเวลานัดทานข้าว
วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
วันนี้มีข้อความจากบางคนส่งมา
‘lunch.’
มันทำให้เอยยิ้มกับตัวเองแล้วก็หยิบงานมาเคลียร์ต่อฆ่าเวลาและเพื่อไม่ให้ห้องห้องนี้เงียบเกินไป
เขาเปิดเพลงในคอมที่เปิดหน้าจอค้างเอาไว้
บางเพลงดังขึ้นมา
เพลงที่เขาเพิ่งใส่ลงไปใน
playlist
ไม่กี่วันก่อน
อย่าลืมความสำคัญ
ของวันก่อน
วันที่ร้อนมีเธอผ่อนคลาย
ในสุดท้ายต้องจาก
จู่ๆเอยก็นึกถึงรักแรกที่ไม่สมหวังของตัวเอง
..
คนที่เขาชอบมีรอยยิ้มสดใส เล่นกีฬาเก่งแต่มันทำให้เขารวดร้าว
ใช่ว่าทุกคนจะชอบเพศเดียวกันในแง่นั้น เขายังจำเสียงของตัวเองที่สารภาพกับแม่ไปตามตรงว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง
‘แม่ ..
เอยขอโทษนะครับ’
‘ดีจะตาย
เอยจะได้ไม่ต้องรักผู้หญิงคนไหนนอกจากแม่ไง’
แม่ก็คือแม่
ยังโอบกอดเขาไว้เสมอ
เอยคิดว่าวัยแต่ละวัยทำให้เราเข้าใจความรักในมุมที่ต่างกันออกไป
เขาในตอนที่อกหักเพราะรักแรกไม่สมหวังอาจจะโทษตัวเองซ้ำๆที่เป็นคนนั้นให้อีกฝ่ายไม่ได้
สุดท้ายเราจบลงด้วยคำว่า ‘พ่อกับแม่เราไม่โอเค’
มันเป็นแบบนั้น เป็นปกติ เป็นธรรมดา
เป็นชีวิต
จากนั้นเอยรักอย่างระวังขึ้น
แต่ไม่เคยตกหลุมรัก
อย่าลืมความสำคัญ ของคนก่อน
คนที่สอนให้ได้รู้จัก ว่ารัก .. เป็นเหมือนรอยสัก
ท่อนนี้ของเพลงโปรดของใครบางคนทำให้เขาตระหนักได้ว่าทุกรักเจ็บปวด
แม้จะสมหวังก็ยังเจ็บปวด ..
หากแต่มันเจ็บปวดด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
ท้ายที่สุดแล้วเอยคิดออกแล้วว่าเขาไม่กล้าปล่อยตัวเองให้ตกหลุมรัก
แม้ว่าการตกหลุมรักจะเป็นความเสียสติอย่างหนึ่งที่สังคมยอมรับได้แบบที่หนังเรื่องหนึ่งเคยบอกไว้ เขาก็ยังไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองแตกสลายและมันเป็นตอนนั้นเองที่ท่อนสุดท้ายของเพลงดังขึ้น
เจ็บปวดแต่งดงาม
⎯
“live fast, die
young and that’s it!” จิมมี่ยักไหล่ ชนแก้วแชมเปญกับเจ้าของวันเกิด
ปาร์ตี้แบบที่ปิดครึ่งหนึ่งของร้านไว้เป็นโซนไพรเวตแถมจ้างนักร้องวงที่ตัวเองชอบมาเล่นน่ะทำให้เขาคิดว่าเพื่อนสนิทสมัยเรียนของตัวเองน่ะเจ๋งชะมัด
“the parkinson ใช่มั้ย?”
“เออ มึงชอบหนิชินตะ”
“ก็ดี”
คนที่วันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแขนสั้นกับยีนส์และรองเท้าผ้าใบคู่เก่งยักไหล่
อะไรก็ไม่แย่หรอกถ้าเหล้ามันดี
มันเป็นตอนนั้นเองที่เจ้าของวันเกิดเดินเข้ามากอดคอเขาก่อนจะบอกว่าขอบคุณสำหรับของขวัญ
“มันให้ไรมึงวะพีท?”
“gucci stuff~”
“damn you, our
fuc kboy!” ชินตะสะบัดเพื่อนที่เข้ามาขยี้ผมเหมือนจะบอกว่าภูมิใจในความรวยของมึงฉิบหายอะไรแบบนั้น
“สาวๆในงานเลือกได้หมด
โสดทุกคน คนไหนไม่โสด กูไม่เชิญ”
“นี่ดิวะ
เสือไม่สิ้นลาย”
“เล็งคนไหนไว้อะตี๋”
ชินตะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเขาเหรอและเจ้าของวันเกิดพยักหน้า
จริงๆเคยมีช่วงหนึ่งที่พวกเราใช้ชีวิตเสเพลกันมากๆแบบที่วนผู้หญิงเด็กๆคนเดียวกันใช้ในกลุ่ม
แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว
พักหลังๆบางคนเริ่มจริงจังกับความสัมพันธ์ก็เลยมาตกลงกันดีๆว่าจะไม่นอนกับผู้หญิงหรือแม้กระทั่งผู้ชายก็เถอะคนเดียวกัน
“ไม่อยากทับไลน์”
“you first. it’s
your day.” (มึงก่อนเลย วันนี้วันเกิดมึง)
“กูมีคนที่ชอบแล้วว่ะ”
“เดี๋ยวๆๆๆ”
มีนแหวเพราะไอ้นี่น่ะมันร้ายพอๆกับไอ้ชินตะ
คืออย่างน้อยๆพีทมันก็เคยมีแฟนมาแล้วบ้าง อกหักหัวทิ่มบ่อมาแล้วบ้าง แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว
“ใครวะน่ะ!”
“กูไม่ได้ให้เขามา
หวง”
“เอาล่ะะะ”
จิมมี่ตบตักตัวเองเหมือนเป็นเรื่องสนุก
เขารินวอดก้าใส่แก้วก่อนจะส่งให้เพื่อนเหมือนจะบอกว่าต้องเปิดปากเล่าแล้วแบบนี้
“ก็เจอกันในห้าง
ชอบเขาเลยไปตามขอเบอร์”
“แสดงว่าถูกใจจริง”
“เออ เขาน่ารัก
.. กินข้าวยังน่ารักเลย”
‘จัสๆ กินนี่ดิ
โคตรอร่อยเลย’
‘เอย
แกเคี้ยวให้หมดก่อนค่อยบอกก็ได้ ฮ่าๆ’
“ไม่รู้แม่ง
รู้ตัวก็คิดถึงเขาทั้งวัน
จริงๆเราอาจจะไม่ต้องใจเต้นแรงเพื่อตกหลุมรักก็ได้นะกูว่า”
ชินตะสบตากับเพื่อนสนิทอีกคน
จริงๆไลฟ์สไตล์ของพวกเขาค่อนข้างใกล้กัน คิดอะไรคล้ายๆกัน
แต่ด้วยงานที่ทำกันคนละสายเลยไม่ค่อยได้เจอสักเท่าไหร่
“เหรอวะ”
“เออ
แค่มึงสบายใจจะอยู่กับเขาอะ เห็นเขาแล้วเหมือนได้พัก
มันก็เป็นทั้งหมดที่คนเราต้องการแล้วรึเปล่าวะ”
“วู้วววว
เขามาสายนี้ละว่ะ เถื่อนละมุน”
เสียงแก้วชนกันทำให้หลายๆคนหัวเราะเพราะมันก็น่าดีใจไม่ใช่หรือไงที่ได้เห็นเพื่อนดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เหลือก็แต่ไอ้คนหน้าดุเนี่ยแหละที่มันไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“มึงล่ะไอ้ชิน
ไม่คืบหน้าบ้างเลยหรือไง heart-making process น่ะ”
พีทพูดถึงกระบวนการสร้างหัวใจ
เขาเคยบอกชินตะเอาไว้ว่าถ้าไม่มีหัวใจจริงๆก็ลองรักจนกว่าจะมีหัวใจดู .. แต่ทุกอย่างมันยากตรงที่ไอ้คนตรงหน้าเขามันไม่รู้จะเริ่มรักใครยังไงน่ะสิ
“มึงไม่กลัวเสียใจเหรอ”
“หมายถึงถ้าวันหนึ่งเขาไม่ได้คิดแบบกูแล้วน่ะเหรอ”
“อืม”
“แล้วมึงกลัวเหรอชินตะ”
พวกเขาสบตากันใต้แสงสลัว
“ … ”
“ขนาดความตายมึงยังไม่กลัวเลย
แต่มึงมากลัวเสียใจเนี่ยนะ”
“ก็ไม่เชิง”
“แล้วทำไมวะ”
“it’s insane ..
loving someone.” (มันบ้าเกินไป การรักใครสักคน)
“เอางี้
ถ้ามึงรักเขาแล้วจริงๆ มันจะไม่ใช่การคิดว่าที่มึงทำไปมันบ้าเพราะความรักเลย”
“ … ”
“พอมึงรักเขา
มึงก็จะแค่รักแล้วทุกๆอย่างแม่งก็เป็นไปเพราะรักเขา พอกลับมานึกว่าอ๋อ
มันเป็นเพราะมึงรักเขา ทุกอย่างแม่งก็เป็นแค่เรื่องอื่น”
วงดนตรีที่พีทชอบและจ้างมาเล่นในวันนี้ขึ้นแล้ว
นั่นทำให้เจ้าของวันเกิดต้องไปอยู่หน้าสุดของเวทีเพื่อบอกทุกคนให้เอ็นจอยให้เต็มที่และขอบคุณวงวงนี้ที่ให้เกียรติตัวเองเพราะมันเป็นธรรมเนียม
มืออุ่นวางลงบนไหล่กว้างของเพื่อนสนิท
ยิ้มให้บางๆก่อนจะตบเบาๆ
“just let it
be.”
(แค่ปล่อยให้มันเป็นไป)
ชินตะไม่ได้คาดหวังว่าวงที่เขาเองก็ชื่นชมอยู่จะเล่นเพลงที่เขาชอบที่สุดมั้ย
เขาหวังเพียงอยากจะได้ยินดนตรีสดดีๆและได้เอ็นจอยไปกับมันก็เท่านั้น
“ปกติแล้วเวลาเขียนเพลงออกมา
ผมจะคิดว่าจะถามคนฟังประมาณว่ามีใครกำลังแอบรักมั้ยครับหรือมีใครกำลังอกหักมั้ย
แต่ตอนนี้ต้องถามนะครับว่าในที่นี้ .. มีใครเป็นคนชั่วมั้ย?”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากคนครึ่งผับ
จิมมี่ชนแก้วกับเพื่อนๆในโต๊ะก่อนจะชนกับคนที่โดนผู้หญิงสวยครึ่งมหาวิทยาลัยด่าว่าชั่วมาแล้วอย่างชินตะ
“ไงครับคนชั่ว”
“ฮึ”
“คิดว่าตัวเองชั่วได้มากกว่าที่เป็นอยู่มั้ยครับ”
“who knows :)”
แสยะยิ้มร้ายๆในจังหวะที่ดื่มและเพลงแรกของวันนี้ก็เริ่มขึ้นพร้อมกับการที่เขาสบตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน
เธอยิ้มกว้างให้เขาก่อนจะยกแก้วขึ้นทักทาย
แค่เพียงได้มองตาเธอมันเป็นยังไงก็ไม่รู้
หัวใจฉันมันสั่น
..
เพียงแค่อยากให้เธอรู้
มันง่ายแบบนี้
ความหลงใหล
“เบาพ่อเบา”
“ได้สาวแล้วว่ะ
ไวเกิ๊นไอ้ชิน”
“ว่าบาป
เขามองมันตั้งแต่มันมานั่ง”
“คนนั้นเป็นนางแบบนะไอ้ชิน
แต่เขาไม่ใช่สายถ่ายรูป เขาสายแคทวอล์ก”
“มันชอบ
ขายาวๆแบบเนี้ยะ” ชินตะไม่ได้ตอบอะไร
แต่เชื่อเถอะว่าทุกคนมีสเปก .. แต่สเปกกับคนที่แพ้น่ะ มันไม่เหมือนกัน
เขาเพิ่งเข้าใจมันไม่นานมานี้
แต่ก็ไม่สนจะเป็นยังไง
ในนาทีนี้ขอมีเพียงเธอ
“โห
เพลงแม่งอย่างเร้า”
“ใครมีชู้อยู่นะครับ
ให้เพลงนี้ปลอบโยนคุณ”
“สุดจริง”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้
ทำท่าเหมือนกับจะไปเข้าห้องน้ำแต่ทุกคนรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
ทุกอย่างซ้ำเดิม
..
ง่ายดาย
“ชินตะ”
และทุกๆครั้งที่ได้อะไรมาง่ายๆ อะดรีนาลีนในร่างกายเขาจะหลั่งช้า
ทุกสิ่งที่ฉาบฉวยจะมีค่าเพียงให้เขาปรนเปรออารมณ์ตัวเอง .. ชินตะสบตากับเธอคนนั้นในเดรสสั้นสีดำของชาแนล
ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดที่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะทาแล้วสวยส่งยิ้มมาให้
มืออุ่นนั่นแตะลงที่มือเขาและเป็นเขาเองที่ออกแรงดึงเธอให้ลุกขึ้นโดยไม่แม้แต่จะถามชื่อ
ก็เพราะมันไม่จำเป็น
“ห้องจีนก็ได้นะ
หลังเที่ยงคืน”
“it’s kind of
fascinating, se x in the car.”
เราจะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ที่สวย
.. เด็ดโดยไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อมัน
“now?”
“now.”
เขาบอกแบบนั้น
กระซิบแนบใบหูอีกคนเพราะรู้ว่าต้องทำยังไง มือใหญ่โอบรอบเอวบาง เลื่อนลงไปที่สะโพกเมื่อพวกเขาเข้ามาอยู่ในซอกหนึ่งของร้าน เพลงเพลงนั้นยังดังตามมากับลม
เพลงที่คนแต่งบอกไว้ว่าให้กับคนชั่วทุกๆคน
ผิดในวันนี้ก็ยอมเต็มใจ
ดีกว่าต้องเสียดายที่ไม่ทำ
“อ๊า .. ”
เสียงครางหวิวดังขึ้น
หากแต่มันไม่ได้มาจากเขาและผู้หญิงตรงหน้า ด้านในซอกที่ลึกกว่านั้นมีคู่รักคู่หนึ่งนัวเนียกันอยู่ ริมฝีปากของผู้ชายที่ตัวโตกว่าแนบลงบนซอกคอ .. บดเบียด
ชินตะเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นชัดเจน
เขาทำเพียงสบตาแล้วถอยออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับเธอที่ไม่ได้สนใจจะจำชื่อ
สุดท้ายมันก็จะเหมือนเดิมสำหรับเขา
ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ไม่มี
○
.
ผมเปิดประตูหน้าบ้านเบาๆและช้าๆเหมือนแมวที่เริ่มย่อง
แม่นอนไปตั้งแต่สี่ทุ่ม ผมไม่อยากทำให้แม่ตื่น แต่จะไม่ลงมาก็ไม่ได้ .. มีคนเมาแอ๋อยู่หน้าบ้านผม
เขาเป็นคนเมาที่เก่งชะมัด
“ไงคุณ”
ขับรถมาจนถึงบ้านผมได้ไงก็ไม่รู้
“แก้มคุณแดงแจ๋เลย
เมาขนาดขับรถมาบ้านเราเลยดิเนี่ย”
ผมหัวเราะเบาๆคุยกับคนที่ฟุบกับพวงมาลัย เขามองลอดแขนตัวเอง สบตากับผมด้วยแววตาที่สื่อความหมาย
..
แต่ผมไม่เข้าใจนักว่ามันแปลว่าอะไร
“คุณเนี่ยน้า
ไม่อยากบ่นเลย แต่เวลาทำอะไรแบบนั้นก็ระวังบ้างซี้ มันเป็นรอยนะ .. เอ่อ คอคุณน่ะ”
ผมจำใจบอกไปเพราะไม่อยากให้ใครมองเพื่อนผมไม่ดี ไม่ว่าจะคนไหนก็ตาม
เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมเห็นคิสมาร์กบนคอเขา
“เอย”
“ว่าไง”
“เอย .. ”
ผมเงียบไปเมื่อเขาเรียกซ้ำเป็นครั้งที่สอง
ทุกอย่างช้าลงเพียงเพราะเขาเปิดประตูรถออกมายืนอยู่ตรงหน้าผมในชุดนอนแขนยาวและผมยุ่งเหยิง
..
มือที่ใหญ่และอุ่นนั่นเอื้อมมาวางลงบนไหล่ผมเหมือนหาที่ค้ำยันตัวที่โงนเงนเพราะแอลกอฮอล์ของเขาไว้
“โปรด ..
ไหวมั้ยเนี่ย”
เขาสบตาผม
พูดออกมาด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่เข้าใจ
“มาเหอะ
เดี๋ยวเราพาไปนอน”
“เอย”
เขาเรียกผมเป็นครั้งที่สาม
..
ครั้งนี้เขาย้ายมือมาไว้ที่แก้มผม
แตะมันเบาๆแล้วทุกอย่างก็ช้าลงจนผมคิดว่าเวลามันหยุดเคลื่อนไหว
กลิ่นน้ำหอมจางๆจากตัวเขาปนกับกลิ่นเหล้าและบุหรี่
มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเรียกผมเป็นครั้งที่สี่และวางหน้าผากลงบนไหล่ผมที่เตี้ยกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ … ”
“ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า”
ผมลูบหัวเขา
ลูบผมหยักศกนั่นช้าๆในขณะที่เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงมา
..
น่าแปลกที่ผมแบกรับเขาเอาไว้ไหว ลมหายใจอุ่นจนเกือบจะร้อนของเขาสัมผัสกับผิวผมใต้ชุดนอนตัวโคร่ง
“เป็นหมอ
รักษาได้ทุกอย่างมั้ย”
นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดกับผม
ผมยิ้มบางๆในขณะที่มือยังคงลูบขึ้นและลงบนกลุ่มผมนุ่มๆของเขา
“ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไข้”
“อย่างมากก็แค่ตายใช่มั้ย?”
“ไม่ตายหรอกหน่า
.. ถ้าเป็นโปรด เดี๋ยวเรารักษาให้เอง โอเคมั้ย?”
ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร
ผมมักไม่ถามหาที่มาของสิ่งไหน คิดกับตัวเองว่าถ้าเขาอยากบอกก็คงจะบอก
ผมย้ายสายตาไปมองด้านบนนั้น ท้องฟ้าที่โปร่งเพราะนี่มันก็ดึกมากๆแล้ว
คืนนี้มีผมกับเขา
“ไม่ต้องกลัวหรอก”
“ … ”
“เราอยู่นี่ทั้งคน”
และเรื่องราวที่ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ในตอนนี้
tbc.
มันคงจะมีซักคนแหละ
ที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น
จริงมั้ย :•)
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น