คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 04 - every time i get a bit inside, i feel it.
เพราะออกเวรเกือบเช้า
เอยเลยไม่มีความคิดที่จะขับรถมาทำงาน
เขามักเรียกแท็กซี่หรือไม่ก็แกร็บเพื่อกลับบ้าน
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะโชคดีไปกว่านั้น ..
มีคนขับรถพามากินมื้อดึกแม้ว่าจะถกเถียงกันตั้งแต่ก่อนขึ้นรถว่าใครควรเป็นคนขับกันแน่
ระหว่างคนที่ดื่มมาแต่ไม่เมากับคนที่อดตาหลับขับตานอนเพราะเป็นหมอ
“สั่ง”
“ไม่รู้คุณชอบกินอะไรอะ”
“ก็ไม่ได้จะให้สั่งของที่ชอบให้”
อะไรของเขาวะ
เอยย่นจมูก
รับเมนูมาก่อนจะไล่สายตาอ่าน บอกตามตรงตอนนี้เขาค่อนข้างเบลอ
ตาล้าๆนี่มันอ่านรายชื่ออาหารของร้านข้าวต้มชื่อดังที่เปิดถึงดึกดื่นไม่ค่อยจะถี่ถ้วนนัก
“หมูสับต้มบ๊วยมั้ย
จะได้สร่างแถมเราจะได้ตื่นด้วย”
“ไม่เคยกิน”
“ลองดู
ไม่น่าตายหรอก”
“ปั๊มหัวใจเป็นมั้ย”
“ปัดโธ่
เรื่องแค่นี้” ชินตะมองคนที่ทำหน้าเหนือกว่าตามประสาคนเป็นหมอ
เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากเท้าคางมองคนที่ใช้นิ้วชี้ไล่อ่านเมนูเหมือนทำข้อสอบ ..
จริงจังอะไรขนาดนั้น
“มันไม่ครบห้าหมู่อะ”
“กว่าจะได้กินคงเจ็ดโมงเช้า”
“คนเขาหวังดีต่างหาก”
“อยากกินอะไรก็รีบๆสั่งมา”
“ไม่แพ้อะไรใช่มั้ยอะ
กุ้ง? ถั่ว?”
เขาส่ายหัวแล้วอีกคนก็เขียนออเดอร์ลงในกระดาษ
..
ตัวหนังสือเล็กๆอ้วนๆนั่นทำให้เขาอยากจะเขกหัวคุณหมอที่ติดนิสัยจดจ่อกับอะไรก็ต้องเอาหน้าไปชิด จะรวมร่างกับกระดาษอยู่แล้วนั่น
“เรียบร้อย!”
เอยบอกอย่างร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้ม
เขาส่งออเดอร์แล้วก็เล่นเกมจ้องตากับคนฝั่งตรงข้าม ไม่รู้จะจ้องอะไรนักหนา
แรกๆก็ไม่ชินหรอกกับสายตาดุๆ มันทำให้ตัวหดเหมือนเราทำอะไรผิดไป
พักหลังๆบังเอิญเจอบ่อยๆก็ชักจะชินแล้ว
ก็นั่นมันสีหน้าและสายตาปกติของคุณเขานี่นา
“แล้ว ..
คิดยังไงมาชวนเรากินข้าว”
“ไม่คิดยังไง”
“โอเค้”
คนตัวเล็กกว่ายักไหล่ ไม่ติดขัดอะไรกับคำว่าไม่คิดอะไรเพราะเขาไม่ใช่คนคิดมากมายอยู่แล้ว
ยังไม่ทันจะอ้าปากชวนคุยต่อ โทรศัพท์ที่ชินตะวางเอาไว้บนโต๊ะก็สั่นครืด
ตาคมปรายมองเบอร์ที่โชว์อยู่บนจอ ถอนหายใจแล้วกดรับ
“ว่ามา”
โห
ดุจัง .. เอยคิดกับตัวเองพลางหยิบน้ำเปล่ามาจิบ
ใช้เวลานี้พิจารณาใบหน้าคนที่ขมวดคิ้วฟังปลายสายพูดอะไรสักอย่าง
แม่เคยบอกเขาว่าทุกคนเกิดมาพร้อมพรวิเศษหนึ่งข้อ
บางคนเรียนเก่งทั้งๆที่ไม่ค่อยอ่านหนังสือ บางคนกินเยอะแค่ไหนก็ไม่อ้วน
รูปร่างสมส่วนจนใครๆอิจฉา
บางคนก็ดูดีซะจนเขาเผลอกลั้นหายใจกับตัวเองอยู่บ่อยๆ
[มึงขับรถออกไปไหนวะไอ้เหี้ย
พี่ยศเมาหัวทิ่มแล้ว เขาถามหามึงกันใหญ่]
“แล้วยังไง”
[ไม่ยังไงหรอกไอ้ตี๋
กูไม่เข้าใจไง supperposition ขึ้นปุ๊บยังไม่ถึงกลางเพลงมึงเดินตัวปลิวออกไปเลย
กูนึกว่าจะไปสูบบุหรี่ นี่สองชั่วโมงแล้วนะโว้ย]
“สบายดี”
[จ้าพ่อ]
“แค่นี้?”
“คุณๆ ..
ขออนุญาตนะ”
เอยที่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแทรกหรอกแต่เห็นแล้วมันขัดใจชะมัด
ไอ้ขนตาที่มันติดอยู่ตรงแก้มเจ้าคนหน้าดุน่ะ
มือเล็กยกขึ้นพนมกลางอกเหมือนไหว้ขออนุญาตผู้ใหญ่ก่อนจะโน้มตัวไปปัดขนตาเจ้ากรรมให้
[เดี๋ยวๆๆๆ]
“ … ”
“เรียบร้อย”
รอยยิ้มบางๆหากแต่พารูปตากลมโตนั่นให้โค้งเป็นยิ้มที่สองบนใบหน้าน่ารักของคนที่กลับไปทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวเองดีๆอีกครั้ง
เอยไม่ได้สนใจเขาแล้ว คุณหมอจ้องจอทีวีที่ร้านเปิดซีรีส์ภาษาจีนไว้ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องธรรมดา
[เสียงเหมือนหมอเอยเลย
.. อย่าบอกนะว่า]
“ทำไม”
[กูกรี๊ดได้มั้ย?]
“แค่นี้นะ รำคาญ”
[กรี๊ดแล้ว กูกรี๊ดแล้วนะชินตะคุง]
“x.”
คนตัวโตด่าเพื่อนไปทีก่อนจะกดตัดสาย
มันเป็นตอนนั้นเองที่คนตรงหน้าเขาพูดขึ้นเหมือนคุยกับตัวเอง
“โหย
ทำแบบนี้ก็เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนอะดิ”
ขี่ช้าง
..
ทำไมวะ
“ทำไมมองเราแบบนั้นอะ”
“จะจับตั๊กแตนทำไมต้องขี่ช้าง”
“เดี๋ยวๆ ฮ่าๆ”
เอยหัวเราะร่า ยังไงคุณชินตะเขาก็เป็นคนญี่ปุ่่นแท้ๆนี่ จะไม่เข้าใจสุภาษิตก็ไม่แปลก
สุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งอธิบายว่าเหตุการณ์ในซีรีส์มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวละครในเรื่องแก้ปัญหาผิดจุดไปหน่อย
ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่สุดๆ
“คุณเขียนภาษาไทยได้ปะเนี่ย?”
“ได้”
“จริงดิ
ไม่อยากจะเชื่อเลย อย่างคุณเนี่ยนะ”
อย่างหนึ่งที่เอยเรียนรู้ เขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ชอบโดนท้าหรือโดนหยาม
เขาเห็นมือใหญ่ๆนั่นเอื้อมไปหยิบกระดาษออเดอร์กับปากกามาก่อนจะเขียนอะไรยุกยิกลงไป
เฮ้ย
เขียนเป็นจริงๆด้วยว่ะ
“เอาไป”
ซาซาคิ
ชินตะ
“ตัวหนังสือเหมือนเด็กเลยอะ”
“เขียนได้ก็บุญแล้ว”
“เขียนได้แค่ชื่อตัวเองเหรอ”
เอยทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
มองหน้าคนเขียนสลับกับตัวหนังสือโย้เย้เหมือนคนเพิ่งหัดเขียนหนังสือแล้วอมยิ้ม .. น่ารักดี
“ได้อีกคำ”
“คำว่า?”
กระดาษแผ่นนั้นถูกแย่งกลับไป ดินสอแท่งสีแดงทู่ๆขีดเขียนอีกหนึ่งคำลงไป
เขาทันเห็นแค่สระโอที่อยู่ตัวแรกสุดเท่านั้น
ก็คุณเขามือใหญ่จะตายไป
“อย่าบอกนะว่าโอเคอะ”
พูดติดตลกพลางทำหน้าลุ้น
สุดท้ายกระดาษแผ่นนั้นถูกส่งมาให้พร้อมกับเสียงพระเอกในทีวีที่พูดว่า ‘ข้ารักเจ้า
ข้าก็รักแต่เจ้า’
.. ชินตะมองรอยยิ้มจางๆที่ค่อยๆหายไปจากใบหน้าของคนฝั่งตรงกันข้าม
เอยเลิกคิ้วก่อนจะถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เบาเหมือนคนตกใจ
“โปรด?”
ชินตะรู้ในวินาทีนั้นว่าเขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกแล้ว
“ชื่อเล่นคุณเหรอ”
“อืม”
“น่ารักจัง”
เขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าเขาออกมาจากร้านเหล้าเพียงเพราะเพลงที่ได้ฟังในตอนนั้นเป็นเพลงเดียวกันกับที่อีกคนจัดเอาไว้ใน
playlist
เขาไม่สามารถหลอกตัวเองว่าเขารอใครไม่เป็น
ในเมื่อเขานั่งรอใครบางคนเลิกงานอยู่ร่วมชั่วโมง
และเขาไม่สามารถ
..
“งั้นเราเรียกคุณว่าโปรดได้มั้ย?”
หลอกตัวเองได้อีกแล้วว่าทุกๆอย่างไม่มีเหตุผล
เพราะมันล้วนมีเหตุผล
“ได้”
เหตุผลที่เป็นไปเพราะคนตรงหน้าเขานั่นเอง
⎯
“คุณณณ
ขอบคุณนะที่มาส่ง” บางคนเจื้อยแจ้วบอกแม้จะง่วงจนเปิดตาไม่ไหว
เอยคิดในใจว่าเขาง่วงขนาดนี้แล้วคนที่อยู่ในรถและกำลังเปิดกระจกรถคุยกับเขาอยู่ล่ะจะขนาดไหน
“ขับไหวปะเนี่ย”
“ทำไม
ไม่ไหวจะให้นอนนี่หรือไง”
“ได้นะ
เราสละเตียงให้คุณนอนเลย”
เอยบอกซื่อๆพร้อมกับรอยยิ้ม
มันทำให้บางคนคิดกับตัวเองว่ามันมีจริงๆใช่มั้ยนะ .. คนที่อัธยาศัยดีขนาดนี้น่ะและนั่นแหละ
มีอยู่จริงๆ
เขาได้คำตอบให้กับคำถามนี้โดยที่รู้กับตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาจากคนคนนี้ไม่ได้ผ่านการประดิษฐ์ใดๆเลย
เป็นธรรมชาติ
ไม่แต่งกลิ่น
ไม่แต่งสี
“เจอกัน”
“เดี๋ยวๆ”
เป็นเอย
“เราอยากแน่ใจว่าคุณจะถึงที่หมาย .. ขออะไรไว้ติดต่อได้มั้ย
ไลน์ก็ได้”
บางคนละมือออกจากพวงมาลัยเพื่อส่งโทรศัพท์ตัวเองให้คนที่ไม่ยอมเข้าบ้านสักที ..
เขามองบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัดและสวนสวยหน้าบ้าน
มีรถจักรยานคันนั้นที่เขาเคยใส่โซ่ให้จอดพิงอยู่ข้างกระถางไฮเดรนเยียที่ยังไม่ออกดอก
มันทำให้เขานึกถึงบ้านตัวเอง
หมายถึงบ้านที่เขาเกิดมา
“เรียบร้อย!
ขอบคุณอีกครั้งนะโปรด”
เจ้าของชื่อสบตากับคนที่ส่งมือถือคืนให้ก่อนจะพยักหน้า
เขาเหยียบคันเร่งออกไปข้างหน้าโดยละเลยความรู้สึกโหยหาที่เจือจางอยู่ในอากาศ
อาจเป็นอีกครั้งที่ต้องมองข้ามมันไป
ความเร็วของรถทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อขึ้นทางด่วน
ถนนที่ไร้รถสัญจรกับเพลงที่เปิดฟังคลอในรถ
ลมเย็นๆพัดผ่านเส้นผมบางส่วนที่ถูกมัดขึ้นไปไม่หมด
‘คุณๆ ผมหลุดอะ
เรามัดให้มั้ย?’
‘อืม’
‘กะแล้วว่ามัดไม่เป็นหรอก
เนี่ย มีติดกิ๊บมาด้วย ผู้หญิงทำให้แน่ๆเลย .. นี่ๆ
ทำแบบนี้นะ ค่อยๆรวบผมแล้วมัด ไม่ยากเลย เอาไว้ผมคุณยาวมากๆเราเปียให้ก็ได้นะ
เราเปียผมให้แม่ประจำ~’
บางอย่างตกค้างในใจเขา
แต่มันยังไม่ตกตะกอน
ยังคงขุ่น
เบาบางและต้องการเวลา
born
a saint, lived a liar.
made it rain
now your house, it’s on fire.
ชินตะรักความเร็ว
เขาเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์
เขาเหมือนกับการทดลองที่ไม่ขึ้นกับตัวแปรไหน
ว่ากันว่านักรบที่แข็งแกร่งคือนักรบที่ไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องทิ้งอะไรไว้ด้านหลัง
เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นมาตลอด คนที่จะทำทุกอย่างตามใจตัวเอง
ไม่ขึ้นกับสิ่งไหน
สละทุกสิ่งได้เพียงให้ร่างกายเบาและได้โบยบินไปทุกๆที่ที่ใจอยาก
ไม่ผูกมัดกับอะไร
ไม่ถูกกักขังไว้ด้วยอะไรที่มองไม่เห็น
did you mean to let me bleed?
let me drown in disbelief.
cause i gave you all of me.
ออดี้สีดำจอดสนิทใต้ลานจอดรถของคอนโดใจกลางเมือง
ชินตะใช้เวลาไม่นานนักในการขับรถ เขาแทบไม่ติดไฟแดง แทบไม่ต้องเบรก ทุกอย่างมันเป็นใจเหมือนกับคนข้างบนนั้นรู้ว่ามีใครรอให้เขาถึงที่หมายอยู่
‘คุณ’
‘ถึงรึยังอะ’
‘เราถามเร็วไปมั้ย’
‘แต่คุณขับรถเร็วมากเลยนะ เหมือนนั่งจรวดเลย’
เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าข้อยกเว้นนักเพราะชีวิตที่ผ่านมาทุกคนถูกจัดไว้ในลำดับที่เท่าๆกัน
อาจจะมีน้องชายที่เขาทนกับพฤติกรรมน่ารำคาญบางอย่างของมันได้ ที่แน่ๆเขาเกลียดการพูดคุย การตามใจใครสักคน การแนะนำตัวเอง การถูกแตะตัว การตอบคำถาม .. หรือแม้กระทั่งการถูกเรียกด้วยชื่อเล่น
‘โปรด (´・_・`)’
‘อ่านแล้วตอบเราด้วยได้เปล่า?’
“ … ”
ชินตะมองภาพอีกคนที่ถูกตั้งไว้เป็นดิสเพลย์โปรแกรมสนทนา ไม่ว่าจะที่ไหน .. ตรงหน้าเขาหรือในรูปภาพ
เอยจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ
“arrived.”
เขาพิมพ์ตอบกลับไปเท่านั้น
คว่ำโทรศัพท์แล้วถอดเสื้อฮาวายที่สวมก่อนจะเดินไปหยิบน้ำเปล่าเพียงขวดเดียวในตู้เย็นที่เต็มไปด้วยเบียร์
ห้องที่เงียบสนิทและเปิดไฟไว้แค่ดวงเดียวเท่านั้นทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตอนนี้ไม่ใช่ความเหงา
เพราะเขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว เพียงแต่เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันคืออะไร
เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นเพราะคนที่ถูกเพิ่มรายชื่อเข้ามาใหม่ในโปรแกรมสนทนายังไม่ถูกกดมิวท์เหมือนกับที่เขามิวท์แชตทุกๆคนไว้ ลำดับความสำคัญไว้เท่าๆกันทั้งสิ้น
“ … ”
เขาจ้องมองหน้าจอที่สว่างขึ้นบอกการแจ้งเตือนอีกสองสามครั้งแล้วมืดไป
บางอย่างในตัวเขาปั่นป่วน
มันไม่ใช่พายุลูกใหญ่แต่มันน่ารำคาญใจตรงที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
เขาชักไม่ชอบใจที่ตัวเองเริ่มให้ความสำคัญกับบางสิ่ง
‘โอเค!’
‘ฝันดีนะโปรด |∀・)ジ’
‘ไว้ไปกินข้าวด้วยกันอีกนะ
วันนี้สนุกมากเลย ขอบคุณครับ’
.. อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
○
.
“side profile เต็มร้อยเลยนะครับ
ขนาดถ่ายคู่กับคุณองศายังออร่าไม่แพ้กันเลย”
“ชมเกินไปจริงๆค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เอ็นดูน้องชิน .. ดื้อไปหน่อย คุมแทบไม่ไหวเหมือนกันค่ะ”
“ไม่หรอกครับ
เข้ากับลุคเขาดี ผู้ชายก็แบบนี้แหละครับ”
คนถูกนินทาระยะเผาขนกลอกตา
การเป็นนายแบบมันไม่ง่ายเลยแถมยังยากเข้าไปใหญ่ที่มีผู้จัดการเป็นยัยแก่จอมบงการ ชินตะมองผู้หญิงผมสั้นประบ่าที่กำลังยืนคุยกับช่างภาพและยกมือขอบคุณแล้วขอบคุณอีกเป็นร้อยหนได้แล้วมั้งพลางถอนหายใจ
“เฮ้ย
มึงเสร็จไวจังวะ แปลว่าถ่ายง่ายดิ”
“ก็ดี”
“พี่องศาแม่งอย่างหล่อ
ไอ้ห่า กูเหมือนหมาอะ มีเขา ไม่ต้องมีกูก็ได้จ้า”
“อือ
ไปตายซะก็ได้จิม”
“ไล่ตลอด
วันไหนกูตายขึ้นมาจริงๆนะ น้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ตี๋!”
นี่ก็อีกคน
น่ารำคาญไม่แพ้กัน
ตั้งแต่มัธยมจนเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนจบแล้วเขาก็ยังแงะให้ไอ้บ้านี่ออกจากชีวิตไม่ได้
จิมมี่กอดคอเขาก่อนจะทำท่าเหมือนจะเข้ามาหอม
เขาเลยถีบมันไปทีในขณะที่มันอ้าปากหัวเราะชอบใจ
วันนี้เรามีถ่ายแบบสตูดิโอเดียวกัน
ผู้จัดการเลยสบายไปเลย ไม่ต้องเทียวด่าเขาที ด่าไอ้จิมที
“ตี๋ กินข้าว”
“สนิทเหรอ
เรียกตี๋”
“มึงมานี่อีชิน”
บอกแล้วไงว่าน่ารำคาญ
ชินตะปรายตามองคนที่เข้ามาดึงผมกัน ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ต่อให้เป็นผู้หญิงก็เถอะเขาคงสะบัด
แต่กับยัยนี่น่ะทำอะไรไม่ได้หรอก ลองทำสิ .. มีหวังโดนกินหัว
“เจ๊จะเอาอะไรกับมัน
มันตื่นมาถ่ายทันก็บุญหัวแล้ว”
“เบาบ้าง
เหล้ายาปลาปิ้ง”
“ผู้หญิงน่ะเบาบ้าง”
“เรื่องของผม”
“แต่ฉันตามเช็ดไงไอ้ตี๋ ลุกขึ้นมาแล้วไปกินข้าว งานเสร็จหมดแล้ว” ชินตะที่ทำหน้าเบื่อเสียเต็มประดาโดนผู้จัดการฟาดไหล่ไปหนึ่งทีแล้วชี้หน้าบอกว่าอย่าทำตัวอิดออด
“เจ๊เรนๆ
กินร้านนี้ได้เปล่า เพื่อนจิมบอกว่าอร่อย”
“เอาก็เอา
เงินเหลือเฟือ”
“รวยจริงว่ะ
ผู้จัดการพ้มมม”
เรนเป็นผู้จัดการของสองหนุ่มตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะเรียนดนตรีแต่งานเดินแบบ ถ่ายแบบก็มีเข้ามาไม่หยุดตั้งแต่ช่วงเรียน
อาจเป็นเพราะจิมมี่กับชินตะมีแนวทางและลุคของตัวเองชัดเจน คนหนึ่งลูกครึ่งไทยเกาหลี
อีกคนเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆและหน้าดุฉิบหาย
อ๋อ
นอกจากหน้าดุ มนุษยสัมพันธ์ยังติดลบอีกด้วย
“มองอะไร”
“จะต่อยเจ๊ให้ได้เลยสินะตี๋”
ชินตะเกลียดจริงๆเวลามีคนเรียกเขาว่าตี๋
จริงๆอยากชกหน้าเฮียยศที่เริ่มเรียกเขาแบบนี้ตั้งแต่ปีหนึ่ง .. ยัยป้านี่ก็เลยเรียกไปด้วย
ใช่แล้ว นี่ป้ารหัสเขาเอง พูดให้เคลียร์ๆก็คือเธอเป็นพี่รหัสของพยศอีกที
แรกๆเรนก็ช่วยรับงานให้ไปงั้นๆเพราะไอ้เด็กสองคนนี้มันไม่เอาอะไรเลยนอกจากดนตรี
เธอเห็นว่าโอกาสมันเข้ามาก็ควรคว้าไว้ ทำๆไปดันต้องจริงจังแบบที่มันทั้งคู่บอกว่าต้องแบ่งเงินให้เธอบ้างแล้วแถมยังจะจ้างเป็นผู้จัดการจริงจัง
เอาวะ
งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข
“ผมขับให้เองเจ๊”
“ดีมาก
อีชินหัดน่ารักแบบอีจิมบ้าง”
“เรียกอีทุกคำ
มันคงน่ารักด้วย”
“เอาจริงๆไม่หวัง
ยากกว่าได้เลือกตั้งอีกครั้งก็คือชินตะทำดีกับเจ๊” คนฟังส่ายหัวเอือมๆ
เปิดประตูขึ้นเบาะหลังแล้วพิงหัวกับพนักพิงเหมือนเหนื่อยนักหนา
“จริงๆวันนี้แกถ่ายดีมากชิน
องศาเกือบแพ้แล้วนะ เดี๋ยวเก็บประสบการณ์เยอะๆจะเก่งแบบเขาเอง”
“ก็เพื่อนผมหล่ออะครับ
ใครทำไมอะๆๆ”
“แกด้วยจิมมี่
เขาชมมาเยอะแต่บอกว่าบ้างทีลุคเข้มๆก็จะแบ๊วกรุบตลอด”
“มันไม่ต่างกับให้ไอ้ชินยิ้มอะ
ระหว่างยิ้มกับตาย มันเลือกตาย”
“จริงมั้ยตี๋”
“รำคาญ”
“ด่าเก่งม้ากกกกก”
เรนอ้าปากหัวเราะ มองเด็กในสังกัดผ่านกระจกหลังแล้วพบว่าชินตะกำลังมองออกไปนอกรถ
.. นั่นมันเหม่อเหรอวะน่ะ
“จิม”
“ค้าบบบ”
“เพื่อนมึงเหม่อ”
“เจ๊
รู้กันสองคนนะ”
“มึงไม่คิดว่ามันจะได้ยินเหรออีจิม”
“มันไม่ได้ยินหรอก
มันใส่หูฟังแล้ว” พยักพเยิดหน้าให้ดูคนที่พอมองดีๆก็รู้ว่าหยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาเสียบหูแล้ว
จิมมี่กระซิบบอกผู้จัดการที่ยื่นหน้าเข้ามาฟังใกล้ๆ
“เจ๊ ..
คือนมโดนแขนอะ . _ .”
“เออหน่า
กูทำทานละกัน ทำไม? มึงเกิดอารมณ์ทางเพศเหรอ”
“ทุเรศ!”
“เร็วๆเล่าอีจิม
ว่างมากมึงไปเล่นบริหารประเทศรอ”
“ผมไม่หารนะ!”
“เร็วอีช่างลีลาาา”
เนี่ย
ด่าเก่งเป็นบ้า
“เจ๊ต้องทำใจให้ชินหน่อยแหละ
ช่วงนี้คุณเขาแม่งทำแต่อะไรที่ไม่เคยทำ”
“เออ
กูเห็นมันหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยม้ากกกก”
“ใช่มั้ยล่ะ
ผมคันปากอยากจะบอก แต่คำว่าเพื่อนอะเจ๊ มันค้ำที่คอ”
“เอาเงินไปแก้หน่อยมั้ย”
ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าสตางค์ซื้อความลับ
จะบอกให้ว่าแซวใครก็ไม่สนุกเท่าแซวชินตะ เพราะอะไรน่ะเหรอ
ที่ผ่านมามันแทบไม่มีอะไรให้แซวเลยไงล่ะโว้ย!
“เจ๊
มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ”
“กูอยากทราบมาก
อันนี้แจ้งตรงๆ”
“โอเค
เห็นว่าเป็นพี่น้องกันมานาน”
“เสือกเหมือนกันแหละเราอะ
อย่ายกตัวข่มท่าน”
“แรงมากๆ”
จิมมี่หัวเราะเบาๆ ตาก็มองว่าคนที่เบาะหลังมันทำอะไรอยู่ .. แต่ก็เหมือนเดิม
มองออกไปนอกหน้าต่างทั้งๆที่ปกติแล้วไม่ว่ามันจะนั่งรถไปไหน มันจะฟังเพลงแล้ว เอามือสานกันวางไว้ตรงตักแล้วหลับตาเพื่อนอน
“ดูอาการแล้วอะ
แบบนี้เขาเรียกคิดถึง”
“คิดถึง? ตลก
เพื่อนมึงเนี่ยนะจะคิดถึงใครเป็น”
“เรนต้องฟังพี่”
“อะ
มึงเหลามาให้หมดทีเดียว จะขาดเป็นตอนๆทำไมอีจิม
ไม่มีใครสอนมึงเหรอว่าเรื่องแซ่บๆเขาต้องเล่าให้หมดในก๊อกเดียว”
“เจ๊ด่าเหมือนเกลียดผมอะ”
“นี่มึงเพิ่งรู้เหรอจิมมี่!”
จิมอยากตาย
..
เพื่อนก็เป็นบ้า ผู้จัดการก็ไม่ต่าง โอ๊ย ชีวิตกู
“ผมว่ามันถูกใจคนคนหนึ่ง คือเจอกันแบบโคตรบังเอิญ เหมือนหนังอะ
เจ๊จำได้ใช่ปะว่าไอ้ชินมันคั่วกับดาราช่องสามแต่เขามีผัวแล้วอะ?”
“จำได้ค่า
อีนั่นก็คืออ่อยไม่ดูหินดูแดด ตี๋เขาก็จัดให้เลยหลายดอก”
“ก็นั่นแหละพี่
มันกินครั้งเดียวก็เลิกอะ แต่เสือกกินให้ผัวเขาจับได้ โดนสนับเลยจ้า
ก็แผลที่คิ้วที่เจ๊บ่นๆละมันบอกว่าอย่ายุ่งนั่นแหละ”
“กูว่าแล้ว
งามไส้นัก” เรนหันไปมองคนที่นั่งฟังเพลงมองวิวไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ลงรถไปนะจะตบหัวให้หมดหล่อเลยคอยดู! สอนไม่รู้จักจำ เลือกนิสัยคนที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วยบ้าง ไม่ใช่ดูแค่หน้ากับนม!
“แล้วมันเกี่ยวกับอีชินคิ้วแตกยังไง?”
“ก็หมอที่เย็บคิ้วให้มันอะ”
“เดี๋ยวๆๆๆ”
“คือตอนแรกผมไม่คิดอะไร
มันออกมาจากห้องเย็บแผล จ่ายตังค์ มันก็เฉยๆนะ ไม่ได้พูดถึงเขาหรือมีทีท่าอะไร
ผมเจอหมอเขาอีกทีตอนเล่นดนตรีแล้วเผาหัวต่อยันเช้าที่ตลาด
คือไปกินโจ๊กกันแล้วเขาบังเอิญเห็นพวกผมพอดี”
“คือเขาเข้ามาทักเหรอ?
แรงนะแบบนั้น แรงงง”
“ไม่เลยพี่
เขานุ่มนิ่มมากๆ ไอ้เหี้ย พูดถึงแล้วใจเต้นอะ”
“สวยมากเลยดิ”
“เปล่าพี่ .. ผู้ชาย”
จิมมี่ยิ้มแห้ง
“ตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้แปลกอะไร
ก็เพื่อนมึงอะเนอะ
นายแบบเอวบางร่างน้อยที่ทำงานด้วยกันแค่ครั้งเดียวยังล่อมาแล้ว~”
“เออนั่นแหละพี่
คือฝั่งเราอะไปมองเขาก่อน ละสายตาไอ้ชินมันแบบนั้นอะ เวลามองใครเขารู้ตัวนะเว้ย
พี่รู้มั้ยเขาทำไง เขาก็หันมามองอะ ละหาว เหมือนเพิ่งออกเวรมั้ง
เช้าแบบพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย”
“ฟังดูน่ารักดีว่ะ
แบบกร๊าวใจ”
“เขาหาวเหมือนเด็กๆเลยอะพี่แล้วก็ยิ้มให้เหมือนตลกตัวเองที่มาหาวอะไรจังหวะนั้นวะ
แล้วเขาก็เดินเข้ามาทักเพราะเพื่อนเราเนี่ยมองเขาตาไม่กะพริบเลย ทีนี้พอเจอกันวันนั้น
แม่งก็เจอกันไม่หยุดเลยอะ”
“จริงดิ”
“จริงๆพี่
เจอกันแบบบังเอิญฉิบหายหลายครั้ง”
“ละมันพีคที่ตรงไหน”
“คือพวกผมไปเล่นงาน
CAT ใช่มั้ยล่ะ ก็เจอพี่ยศอะ”
“อียศ อีดอกทอง”
“เนี่ยย ด่าทุกคน
เครื่องด่าของจริง”
“เรียกกูว่านางสงคราม”
“อะๆๆ กลับมาที่เจอพี่ยศ
ก็คุยๆกันอยู่ดีๆ ตี๋มันเดินไปซื้อเสื้อวง safeplanet อะ พวกผมคืองงเป็นไก่ตาแตก
ละแม่งคุยไรไม่รู้กะพี่ยศ เสร็จสรรพเลิกงานไปกินเหล้ากันต่อ ประมาณตีหนึ่งเจ๊รู้ปะ
มันขับรถออกไปไหนไม่รู้ละไม่กลับมาอีกเลยเว้ย”
คนที่กำลังหักพวงมาลัยเล่าอย่างออกรส มันสุดจะทนจริงๆ อยากระบายให้ใครสักคนฟัง!
“กูเดาพล็อตได้แล้วว่ะจิม”
“มันไปหาเขาอะพี่เรนนนน
ผมโทรไปหามัน กลัวแม่งขับรถชนตายไง คุยกันอยู่ดีๆได้ยินเสียงหมอเขาพูดอะไรสักอย่าง ผมว่าแม่งพาเขาไปไหนสักที่อะ”
“แรงมากกกกกกก”
“จริงเจ๊ คือมันทำหลายอย่างมากๆที่แม่งไม่เคยทำอะ
ผมเคยเห็นแม่งไปนั่งคุยกับเขาด้วย แบบชวนคุยอะ มันงับไหล่เขาด้วย เห็นทีหนึ่ง คือมือไวอะไม่ตกใจ แต่ปกติมันจะไวเพราะความต้องการทางเพศไง”
“มึงพูดคำนั้นออกมาเลยก็ได้
งองูอะ”
“ไม่เอาอะ
ผมเป็นผู้ชายนิสัยดี” เรนแยกเขี้ยวใส่ไอ้เด็กชีกอก่อนจะบอก
“ค่าอีจิม
มึงก็พอๆกับอีชินอะ แค่ซ่อนเขี้ยวซ่อนเล็บ”
“เรียกผมว่าแมวเบงกอล~”
“อย่างมึงเป็นได้แค่ควาย”
“ควายไม่ดีตรงไหน
ไถนาเป็นละกัน!”
“อีควาย”
“เอ้า ด่าเฉยเลย
ฮ่าๆ”
คนโดนด่าอ้าปากหัวเราะ
คิดกับตัวเองว่ามันก็หลายอย่างแล้วจริงๆที่ชินตะเป็นแต่มันอาจไม่รู้ตัวหรือที่แน่ๆมันอาจจะรู้เพียงแต่ยังนิยามความรู้สึกตัวเองไม่ได้
เหมือนกับที่ตอนนี้มันเป็นคนแบบนั้น
“แล้วสรุปมันเป็นอะไร
กูขนลุกนะ ฟังเพลงละมองวิวอะ ไม่มีวันได้เห็น!
คือรู้จักแม่งมาห้าหกปีอะ คือมันนอนตลอด นอนทุกครั้ง เคาะออกมาเป็นร้อยในร้อยอะ”
“ผมเดานะพี่
เดาเฉยๆ”
เป็นคนที่คิดถึงใครสักคนมากๆ
“มันกำลังคิดถึงเขาล่ะมั้ง”
แบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ
:)
⎯
“ฮัดชิ่ว!”
“ตายแล้ว
แกป่วยเหรอเอย”
“ไม่ๆ เราโอเค
แค่จามเฉยๆ .. ฝุ่นมั้ง” เอยทำหน้าแหยๆบอกเพื่อนร่วมงานอย่างเจนก่อนจะถูจมูกตัวเองไปมาเพราะวันนี้จามบ่อยซะจนเริ่มสงสัยในตัวเอง
แต่เขาวัดไข้แล้วนะ
อุณหภูมิปกติแถมยังไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆในร่างกายตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ไปนอนพักมั้ยแก
เดี๋ยวต้องไปดูเตียงสิบนี่”
“อีกแค่แป๊บเดียวเอง
ไหวๆ”
“แกหยุดรับแลกเวรได้แล้วเอย
กลับบ้านบ้าง ใจดีไปก็เป็นภัยกับตัวเอง”
“งะ”
“ไม่ต้องอ้อนเลย”
“เราไม่ได้อ้อนนนน”
คุณหมอลากเสียงยาวก่อนจะโดนเพื่อนทำหน้าดุใส่
จริงๆช่วงนี้งานค่อนข้างหนักหนา
เรียกได้ว่านอกจากบางเคสที่รักษายากแล้วยังหนักใจกับการคุยกับญาติผู้ป่วย ยาบางตัวออกฤทธิ์ช้าและเขาเข้าใจว่าความรู้สึกของคนในครอบครัวที่ต้องรอให้อาการคนที่รักดีขึ้นมันทรมานแค่ไหน
แต่ก็นั่นแหละ
นานาจิตตัง
“แกๆ
ช่วยเราดูนี่หน่อยได้เปล่า
คนไข้เราเพิ่งตัดชิ้นเนื้อไปตรวจมา”
“ได้ดิ ไหนๆ”
เอยลุกจากโต๊ะตัวเองไปชะโงกหน้ามองผ่านไหล่เพื่อนร่วมงาน
ก่อนจะเริ่มถกเถียงกันถึงปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีมากกว่าปกติของคนไข้
จริงๆเขาชอบงานนี้ที่มันท้าทาย
บางคนป่วยด้วยโรคเดียวกันแต่ต้องรักษาด้วยวิธีที่ต่างกัน แต่คำว่าท้าทาย
มันไม่ได้แปลว่าเขาสนุกไปกับมัน มันไม่ง่ายเลยที่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนคนหนึ่ง
จำได้ว่าครั้งที่เขาเห็นคนตายตรงหน้าคือตอนที่เป็นอินเทิร์น
..
ใจสลาย
มันเป็นคำนั้นที่เขารู้สึก
“คุณหมอสิสิรคะ
แผนกรังสีเรียกพบด่วนค่ะ”
“เจน
เราไปก่อนนะ!”
“เออแก
อย่าลืมกินข้าวด้วยนะถ้าว่างอ่ะ!” เอยพยักหน้า
รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ช่วยเพื่อนไม่ถึงไหนก็ต้องวิ่งไปห้องรังสีซะแล้ว
บอกเลยว่าโรงพยาบาลในเมืองน่ะงานเยอะสุดๆ ยิ่งในกรุงเทพฯนะยิ่งแล้วใหญ่
แม่ก็เปรยๆมาเหมือนกันว่าถ้าอะไรเข้าที่เข้าทางแล้วอยากย้ายกลับไปอยู่ลำปาง
“หมอเอย
เชิญทางนี้เลยค่ะ”
“ครับๆ”
เอยพยักหน้าก่อนจะจดจ่อกับสิ่งที่รังสีแพทย์อธิบายให้ฟัง
พอคุยตรงนี้เสร็จ เขาก็ต้องกลับไปดูคนไข้ในความรับผิดชอบ
เงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีหลังจากวิ่งวุ่นทั้งวันก็พบว่านี่น่ะมันห้าโมงเย็นแล้วและเขายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยด้วยซ้ำ
คนตัวเล็กในเสื้อกาวน์ถอนหายใจ
กว่าจะได้ทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้งมันก็ล้าจนไม่อยากอ้าปากเคี้ยวอะไรทั้งนั้น
ตากลมมองโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งล้วงออกมาจากกระเป๋า
แจ้งเตือนข้อความจากแม่ทำให้หายเหนื่อย
“ … ”
แต่แจ้งเตือนจากใครบางคนทำให้เขาใจเต้นแรง
ใครบางคนที่ไม่ได้เจอและคุยกันมาราวๆสองอาทิตย์แล้ว
‘กินข้าวด้วย’
รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่อ่อนล้า
โปรแกรมสนทนาถูกเปิดขึ้นก่อนที่นิ้วเรียวจะพิมพ์ตอบบางคนไปสั้นๆ
‘ก็ไปกินด้วยกันดิ’
‘จะได้ไม่ลืม’
tbc.
ก็ไม่ทำดานะน้องว่า (・ε・`)
พี่คิดๆเห็นยังไงแจงได้
มีใครมีพิรุธมั้ย มองออกหมดแร้ว
องศามาแค่ชื่อ แต่ตัวจะมามั้ย ต้องรอ
เรียกว่าจักรวาลของน้องเอง
รักคับ
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น