คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 - i'm bending it over, you're my four leaf clover.
แม้ว่าอากาศในห้องซ้อมจะเย็นเฉียบ
ชินตะก็สวมแค่ยีนส์เอวต่ำเพื่อตีกลองเท่านั้น
อย่างที่บอกไปว่าเขากับคนในวงเรียนดุริยางคศิลป์ด้วยกันมา
เราเล่นดนตรีได้หลากหลายแนวและแน่นอนว่าเล่นเครื่องดนตรีได้มากกว่าสามชิ้นกันทั้งนั้น
บุหรี่ที่เผาไหม้ตัวเองในตอนที่ท่อนสุดท้ายของเพลงมาถึงทำให้คนสูบเลือดพล่านด้วยฤทธิ์ของนิโคตินและความหมายของบทเพลงที่ทำให้น้ำหนักมือในการลงไม้กลองเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาสร้างดนตรีด้วยอารมณ์
..
มันคือสิ่งที่อยู่ข้างในและถูกปลดปล่อยออกมาอย่างวิจิตร
“แฮ่ก .. สะใจฉิบหาย”
จิมมี่ที่วันนี้ยังรับหน้าที่นักร้องนำอยู่หอบหายใจหลังจากท่อนสุดท้ายของเพลงจบลง
จริงๆวงเรามีมีนกับเจ๋งที่ขึ้นมาร้องแทนเขาอยู่บ่อยๆในวันที่เขาอยากพักเสียง
ส่วนไอ้ปีศาจนั่นไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟังทั้งนั้น อาจจะมีบ้างช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่จะให้ไปร้องให้ใคร มันไม่ร้องหรอก
ก็ใจมันไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นยังไงล่ะ
“พักยี่สิบนาทีแล้วไปแดกข้าวกันเหอะ
กูหิวจะตายอยู่แล้ว” มีนบ่นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวแล้วกรอกน้ำเข้าปาก
วัันนี้เขาเป็นมือเบสแทนไอ้คนบ้าพลังที่จู่ๆอยากตีกลองขึ้นมาซะงั้น
“นั่นมึงจะไปไหน”
“สูบบุหรี่”
“ในห้องนี้ก็สูบได้
ไอ้ห่า”
“อึดอัด”
“เออก็ไป
ใส่เสื้อด้วยพ่อ เดี๋ยวคนเขาตกใจ” เจ๋งส่ายหัวเอือมๆเพราะมันไม่ฟังหรอก โน่น
เดินออกไปข้างนอกแล้ว ถึงห้องซ้อมมันจะไพรเวตเพราะเป็นตึกแถวที่ทั้งสามชั้นเขากับไอ้มีนหุ้นกันทำเป็นที่ซ้อมดนตรีและวันนี้ไม่มีลูกค้าเยอะแยะ
แต่มันก็ควรจะใส่เสื้อหน่อยมั้ยวะ
ชินตะกับผมที่แม้ว่าจะไปเล็มออกนิดหน่อยแล้วแต่ก็ยังยาวอยู่ดีรู้สึกงุ่นง่าน
มันเป็นความขัดแย้งในใจแบบที่ไม่อยากให้มันยาวไปเลยและไม่อยากให้มันสั้น
แต่ก็รำคาญ
ช่างแม่งเหอะ
เขาก็ไม่ได้หวังให้ใครเข้าใจ
“เฮ้ย
เจอกันอีกแล้ว”
คนที่กำลังจะจุดบุหรี่สูบเงยหน้าขึ้นมองบางคนที่เกาะประตูรั้วชะโงกหน้ามามองกันเหมือนลูกหมา
..
ยูนิฟอร์มที่คนตัวเล็กใส่อยู่ทำให้เขาพอจะรู้ว่าคงออกมาทำงานแถวนี้
“หวัดดี”
ชินตะไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกยังไงกับการพูดคำนี้แล้วยิ้มแบบนั้นให้เสมอ
บางทีก็เหมือนหมา บางทีก็เหมือนแมว
มันทำให้เขาสงสัยจริงๆว่าในหัวกลมๆนั่นมีอะไรอยู่
“ดังแล้วหยิ่งเหรอ
ใครเย็บแผลให้คุณในวันที่คุณคิ้วแตกอะ”
“เป็นหมอเขาทวงบุญคุณกันด้วยเหรอ”
“ฮึ่ยย”
รู้ตัวอีกทีเขาก็สาวเท้าเข้าไปคุยกับคนที่เกาะรั้วอยู่ซะแล้ว
คุณหมอเอยกับชุดยูนิฟอร์มที่มีชื่อตัวเองปักอยู่บนอก .. สิสิร
“เฮ้ย อย่ามาใกล้
เราหายใจไม่ออก”
ชินตะมองคนที่ปัดๆมือไล่ควันบุหรี่
เสียงไอค่อกแค่กนั่นทำให้เขาต้องดับมันทั้งๆที่ยังสูบไปได้แค่คำเดียว
เจ้าของฤดูหมอกที่หน้าดำหน้าแดงไปหมดเพราะหายใจไม่ออกยืนเอามือทุบอกตัวเองปั้กๆก่อนจะมองคนตัวสูงกว่าที่ทำตัวเป็นชีเปลือย เสื้อก็ไม่ใส่ รองเท้าก็ไม่สวม
แถมกางเกงเนี่ยจะโหลดต่ำไปไหน
“อะไร
ก็ดับให้แล้ว”
“คุณรู้มั้ยว่าคนไทยตายด้วยโรคมะเร็งปอดกันปีละกี่คน?”
“ไม่รู้
ซื้อคืนด้วย มวนที่เพิ่งดับไป”
“ฟังกันหน่อยดิ!”
“ตายก็แค่ตาย”
“แล้วจะทิ้งคนที่รักไว้ข้างหลังเหรอ
น้องชายคุณต้องอยู่คนเดียวบนโลกที่โหดร้าย
พ่อแม่คุณจะเสียใจแค่ไหนที่ลูกชายมาตายก่อนเขาอะ”
“เพ้อเจ้อ”
“เอ้าา
เราเป็นหมอนะเว้ย”
“แล้วยังไง”
ชินตะมองคนที่ขู่แง่งๆ ปากมุบมิบสาธยายถึงโทษของบุหรี่เหมือนเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่
ปฏิกิริยาของเขาเวลาที่เห็นอีกคนพูดแล้วทำหน้าแบบนั้นมันทำให้อยากโยกหัวให้คอหัก
“คุณฟังเราปะเนี่ย”
“ไม่”
“คุณสูบวันละกี่มวน”
“หนึ่ง ไม่ก็สอง”
“มวนอะนะ”
“ซอง”
“ตลกมากกกก”
เอยมองคนที่มีรอยสักมากกว่าห้ารอยบนตัว เจาะหูสองรู
ไม่สวมเสื้อและผมยาวพะรุงพะรังนั่นควรจะทำให้อีกคนดูซกมก แต่ไม่เลย
มันไม่เฉียดคำนั้นเลย .. ทำไมเหงื่อออกแล้วยังดูสะอาด อาจจะเพราะขาว
อาจจะเพราะหุ่นดี หรือเพราะหน้าหล่อๆนี่ เขาก็สรุปไม่ได้
“มาทำอะไรแถวนี้”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องได้มั้ย”
“ … ”
“สูบน้อยๆหน่อยดิคุณ
เป็นซองนี่เยอะไปมั้ยอะ”
“ยุ่ง”
“ยุ่งก็ยุ่ง
ยอมรับ” ชินตะมองคนที่เถียงเขาจนคอเป็นเอ็น จะบอกว่าได้ยินมาจนเบื่อแล้ว
เวลาใครๆบอกให้สูบน้อยลง แต่แล้วยังไง ตายก็แค่ตาย
ต่อให้ต้องตายอย่างทรมาน มันก็แค่ตายๆไป
เขาไม่มีอะไรให้เสียใจหรือเสียดายอยู่แล้ว
“สนใจมาเลิกบุหรี่กับโรง’บาลเรามั้ย
น้องๆอินเทิร์นเขาเปิดรับคนอยู่นะ ตรงศูนย์มะเร็งอะ”
“ไม่ว่าง”
“อะไรวะ”
“ขึ้นวะเลยเหรอ”
“ก็เออดิ”
“หึ”
“แล้วก็เอานี่ไป
แบมือมา” ถอนหายใจแบบโคตรเซ็งแต่ก็ยอมแบมือออกไปรับสิ่งที่อีกคนส่งข้ามรั้วมาให้
ถุงสีขาวกับภาษาไทยเยอะแยะที่เขาอ่านไม่ถนัดและใหญ่เกินกว่าจะเป็นถุงยางอนามัยทำให้เขาเลิกคิ้วมองมันงงๆ
“ทรายอะเบท”
“ … ”
“คุณคงไม่รู้จัก
คือช่วงนี้หน้าฝนแล้ว โรง’บาลเราให้มารณรงค์ใส่ทรายอะเบทในน้ำป้องกันยุงลายไง
คุณเอาไปใส่ด้วยดิๆ เนี่ย ฆ่าลูกน้ำได้เลยนะ ตัดปัญหาการเป็นโรคไข้เลือดออก”
ชินตะสารภาพว่าเขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
อย่างลูกน้ำน่ะ เขาไม่รู้จักหรอก เขาไม่ได้ตอบอะไร
แต่เก็บซองทรายที่เจ้าตัวว่ากลับมาไว้กับตัว
“ว่าแต่แถวนี้มีร้านอาหารอร่อยๆมั้ย
เราได้เวลาพักแหละ กลับเข้าโรง’บาลก็บ่ายสองนู่น”
“ก็พอมี”
“แถวไหนอะ
แนะนำเราหน่อยดิ”
“ไม่”
เอยอ้าปากค้าง
นี่จะใจร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ ให้ทรายอะเบทไปตั้งสามถุง!
“ใจร้าย”
“หิวใช่มั้ย”
“อื้อ”
สิสิรพยักหน้าหงอยๆ จริงๆแจกทรายอะเบทเกือบครบทุกบ้านในละแวกนี้แล้วแต่เดินๆมาเนี่ย
ยังไม่เจอร้านอาหารเลยสักร้าน เขาไม่อยากกินข้าวเซเว่นหรอกนะ
ได้ออกมาตะลอนทั้งที ..
กว่าจะอาสาทำหน้าที่นี้แทนพี่ๆฝ่ายสาธารณสุขได้น่ะก็ใช้ลูกอ้อนไปตั้งเยอะ
“งั้นก็ไป”
“ฮะ?”
เอยไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนอกจากเสียงเลื่อนประตูให้เปิดออก
รู้ตัวอีกทีเขาก็เผชิญหน้ากับคนที่เจอกันด้วยความบังเอิญบ่อยซะเหลือเกินในช่วงนี้
แม้จะไม่ได้ถี่นัก แต่ในหนึ่งเดือนจะต้องเจอกันอยู่สักสองสามครั้ง
แปลกดีเหมือนกัน
“ไปกินข้าว”
ที่เราวนมาพบกันซ้ำๆในโลกที่ก็กว้างตั้งเท่านี้
⎯
“แล้วแบบนี้เคยทำคลอดมั้ยครับเนี่ย”
“ก็ต้องเคยอยู่แล้ว”
“โห .. ”
“ทำไมๆ
จะให้เราทำคลอดใครเหรอ”
ถามตาแป๋วกับจานข้าวหมูกระเทียมไข่ดาวที่เขี่ยแตงกวาไว้ข้างจานอย่างที่รู้ว่าจะไม่มีทางกินเข้าไปแหงๆ
จิมมี่กลืนน้ำลายลงคอ .. อันตรายชะมัด คนน่ารักไม่รู้ตัวเนี่ย
“เมียไอ้ชินครับ”
“อ้าว
แต่งงานแล้วเหรอ” นี่ก็เชื่อคนง่ายซะเหลือเกิน ..
ชินตะที่นั่งตรงกันข้ามกับคุณหมอเอยถอนหายใจปลงๆ เอาเถอะ เอาเข้าไป
“ล้อเล่นคร้าบบบ
เพื่อนผมไม่ถนัดผูกมัด ชอบเล่นชู้”
“อันนี้จริงจังเลยเหรอมีน”
“ต้องลองถามดูนะครับ”
“อะไร”
คนถูกมองถามเสียงแข็ง
“คุณชอบเป็นชู้เหรอ”
กลุ่มเพื่อนสนิทที่หัวเราะเพราะคำถามแสนซื่อของคุณหมอทำให้ชินตะอยากจะซัดปากพวกมันคนละที .. เขาไม่ได้ชอบเป็นชู้
เพียงแต่หลายๆคนที่เข้ามา ดันมีแฟนแล้วเองต่างหาก แล้วก็นะ .. เขาชอบคนเป็นงาน
หมายถึงกับเรื่องบนเตียง
“จะลองดูมั้ยล่ะ”
“หมายความว่าไงอะอันนี้”
“เบาไอ้ชินนน
เบา”
“ให้เราเป็นชู้กับคุณเหรอ
ฮ่าๆ บ้าไปแล้ว” ปัดมือใส่หน้าเขาเหมือนจะบอกว่าตลกแล้วแล้วก็เริ่มตักอาหารเข้าปาก
วิธีการกินเร็วๆแบบนั้นมันทำให้เขารู้จนได้ว่าเหมือนกับอะไร
เหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ที่กำลังโกยอาหารเก็บไว้ในแก้มยังไงล่ะ
“อะไร”
เอยที่พบว่ามีบางคนมองตัวเองอยู่ถามฉุนๆ
หูก็ฟังหนุ่มๆในโต๊ะคุยกันเรื่องคอนเสิร์ตวันพรุ่งนี้ที่วง no bad days ได้เข้าไปแจมด้วย
เสียดายที่เขาคงไม่มีโอกาสได้ไปเพราะต้องอยู่เวรจนถึงเกือบตีสาม ..
จริงๆเขาก็อยากไปเที่ยวงานอะไรแบบนี้บ้างเหมือนกันนั่นแหละ
แต่มันไม่ว่างเลยนี่นา
“เฮ้ย
ชอบกินเหรอ”
เป็นจิมมี่เองที่หันไปมองเมื่อคุณหมอข้างตัวทำตาโตมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอื้อมมือมาจิ้มแตงกวาในจานข้าวตัวเองไปกินเงียบๆ
เอยที่พอเห็นว่ามีคนชอบกินผักอยู่บนโต๊ะก็ทำใจกว้างยกให้หมดเลยทุกชิ้น
แถมหมูไปด้วยแหนะ!
“กินเยอะๆ โตไวๆ”
“ … ”
ชินตะมองหมูและแตงกวาสลับกับใบหน้าของคนที่ดูอารมณ์ดีในทุกสถานการณ์แม้ว่าขอบตาจะคล้ำและดูเหนื่อยๆ
เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่เคี้ยวอาหารไปเรื่อยๆและตอบเพื่อนที่ถามนั่นถามนี่มาบ้าง
ในขณะเดียวกันจิมมี่หันไปส่งสายตาให้เพื่อนอีกสองคนมองดูสิ่งที่แปลกไปราวกับกำลังเล่นเกมจับผิดภาพ
ถ้าจะให้พูดไปตอนนี้ ตอนที่มีคุณหมอตัวกะเปี๊ยกนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยก็คงจะไม่เหมาะ
“อันนี้ค่าอาหารเรานะ
เราต้องไปแล้ว ขอโทษจริงๆ หัวหน้าวอร์ดโทรตามแล้ว”
“เฮ้ย
ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวผมเลี้ยงหมอเอยเอง”
“ไม่เป็นไรเหมือนกัน
เราทำงานแล้ว เลี้ยงตัวเองได้”
ยิ้มแก่นๆใส่แล้วก็หอบกระเป๋าก่อนจะโบกมือลาหนุ่มๆเพื่อไปทำงาน
ทิ้งจานข้าวที่กินจนหมดไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
ชินตะไม่ได้มองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นไป
แต่เขาเชื่อว่าเขาได้สบตากับอีกคนเป็นการบอกลาไปแล้ว .. มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาต้องหันไปจ้องตาเพื่อนเพราะรู้สึกอยู่พักใหญ่แล้วว่าพวกมันมองมาเหมือนกับรอให้เขามองกลับไป
“อะไร?”
“ชิน”
“พูดมา”
เขาถอนหายใจ
“มึงเอาอีกแล้วนะ”
“มึงไม่กินของของใครครับชินตะ
ขนาดกูจะแบ่งของที่คิดว่าอร่อยให้มึงกิน มึงยังไม่กินเลยไอ้สัด”
จิมมี่ว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันไม่ใช่อะไรเลยนอกจากห่วงใจ ..
ไม่ได้ห่วงใจไอ้เพื่อนเหี้ยนี่หรอกแต่ห่วงใจคุณหมอเขาถ้าเกิดเผลอคิดว่ามันพิเศษแค่ไหน
แค่บังเอิญเจอกันบ่อยฉิบหายนี่มันก็น่าประหลาดใจพอแล้ว
“แล้วยังไง”
“มึงทำหลายอย่างแล้วนะเว้ยที่มึงไม่เคยทำกับใครเลยอะ”
“มันมีเหตุผลมั้ยวะ
มึงชอบเขาหรือไง?”
“เปล่า”
คนถูกถามตอบแทบจะทันทีและตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด ก็แหงล่ะ เขาไม่เคยชอบใครเลย
เคยแต่รู้สึกถูกใจและแน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดกับคนที่ตัวผอมเหมือนไม่ได้กินข้าวและพักผ่อนซะบ้างเลย
ผิวขาวเหมือนไม่เคยโดนแดดแต่แก้มกลับขึ้นสีทุกครั้งเวลาอากาศร้อน
ไม่ใช่ไทป์ของเขาเลยสักนิด
“ไม่มีเหตุผลอะไร .. ก็แค่อยากทำ”
มีนส่ายหัวเพราะว่าสุดจะปวดหัวกับกระบวนการคิดของเพื่อนสนิท
มันไม่ใช่คนปากแข็งอะไรหรอก ถ้ารู้สึกอะไรก็จะบอกตรงๆ .. นี่อาจเป็นเพราะว่ามันไม่รู้จักความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า
เขาก็ไม่รู้กับแม่งแฮะ
“แล้วมึงรู้มั้ยอะชิน
ว่าไอ้การที่เราทำอะไรๆให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลอะ
มันคือจุดเริ่มต้นของการชอบเขานะ”
“กูไม่ได้ชอบ”
“รู้ได้ไงว่าไม่ได้ชอบ
ในเมื่อมึงยังไม่เคยชอบใครเลย”
“จะให้กูชอบเขาให้ได้เลย?”
“ก็ไม่แย่ ไม่ดิ
.. ดีฉิบหายเลยต่างหาก”
เจ๋งพึมพำบอกเพราะเจอมาก็สองสามครั้งแล้วแต่ก็ประทับใจกับความไนซ์ทุกครั้งไป เหมือนเป็นคนง่ายๆ
กินง่าย อยู่ง่าย ใช้ชีวิตธรรมดาๆแต่พอมานั่งมองดีเทลดีๆกลับโคตรพิเศษ ..
เป็นคนที่เก่งมากๆแล้วก็มีแพชชั่นกับงานที่ตัวเองทำโคตรๆเลย
“จำไว้ไอ้หนุ่ม
เรื่องรักๆมึงยังอ่อนหัดนัก”
“กูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ”
“เออหน่า
ฟังก่อนดิ”
ชินตะกลอกตา
หยิบขวดน้ำมาเปิดดื่มหลังจากจัดการกับมื้อกลางวันตอนบ่ายโมงเสร็จ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนตัวเองจะพยายามจุดประเด็นให้เขากับคุณหมอคนนั้นไปทำไม
เพราะเขาน่ะไม่ต้องการเรื่องปวดหัวอะไรเพิ่มอีกแล้ว
“มึงบังเอิญเจอเขาบ่อยๆใช่มั้ยล่ะ
ถ้าต่อไปเวลามึงออกไปไหนแล้วมีวูบหนึ่งคิดว่าจะได้เจอเขามั้ยหรือเผลอมองหา
.. มันแปลว่ามึงเริ่มชอบเขาแล้ว”
“แล้วก็นี่ด้วย
ต่อจากของไอ้จิม ถ้ามึงรู้สึกว่าที่ทำอยู่แม่งไม่มีเหตุผล แต่มึงก็ทำมันไปแล้ว
ที่จริงเหตุผลมันก็คือมึงชอบเขามากๆก็เท่านั้นแหละ”
“เฮ้อ
เหนื่อยแทนพวกมึง ดูซะก่อนมันฟังมั้ย” มีนบอกเพื่อนๆให้ดูคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดและแน่นอนล่ะว่าอีหรอบนี้คงไม่ตั้งใจฟังแหงๆ
“ไอ้ห่า”
“สันขวาน”
แม่งเอ๊ย
○
.
กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงต่างจากผู้ชายตรงที่โน้ตสุดท้ายจะหวานจนติดจมูก
รสจูบที่เกิดจากการผสมระหว่างแอลกอฮอล์และบุหรี่ทำให้บางคนบีบเอวผู้หญิงผมยาวถึงกลางหลังในอ้อมแขนด้วยอารมณ์กรุ่นๆ
เธอหอบหายใจเอาอากาศ
สายตาเว้าวอนขอสิ่งที่มากกว่านั้นตอนที่เขาถอดชุดเดรสของเธอออก
มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนโยน
ทั้งการกระทำ คำพูดหรือแม้แต่เรื่องบนเตียง
อาจเป็นเพราะมันปราศจากความรัก
“don’t leave any marks on me.”
เจ้าของดวงตาที่สะกดใครได้ง่ายๆกระซิบบอกตอนที่เธอคนนั้นวุ่นวายกับซอกคอเขา
เสียงหัวเราะแบบมีจริตของผู้หญิงที่เขาเลือกมาแล้วว่าหุ่นใช้ได้ทำให้เขาหงุดหงิด
เขาเหวี่ยงเธอไปที่เตียง ถอดเข็มขัดออกและเหวี่ยงไปที่พื้น
เธอยิ้ม
จัดท่วงท่าบนเตียงแล้วเรียกให้เขาเข้าไปหา
การเล้าโลมไม่เคยมีอยู่ในความคิดเขา
ชินตะกลืนเธอไวๆราวกับคนที่ไม่ต้องการดื่มด่ำรสชาติของอาหาร
สำหรับเขาแล้วทุกสิ่งฉาบฉวย .. และถ้าจะมีใครสักคนต้องเสียใจ
สุดท้ายมันจะไม่ใช่เขา
“ … ”
ไม่เคยเป็นเขา
คนตัวสูงที่สวมแค่ชั้นในเดินไปสูบบุหรี่ที่เตียงหลังจากเสร็จกิจกรรมอย่างว่าไปเป็นรอบที่สาม
เขามองฟ้าข้างนอก สีมันขุ่นจนเขารู้สึกอึดอัด .. ขนาดยืนมองฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ตรงนี้
ยังรู้สึกอึดอัด
ควันสีขุ่นถูกพ่นไปกลางอากาศ
บุหรี่ซองที่สองพร่องไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาสูบบุหรี่ตั้งแต่ตอนอยู่ญี่ปุ่น
เขาเริ่มสูบมันตั้งแต่อายุสิบห้าและไม่มีความคิดที่จะเลิกแต่อย่างใด
ชินตะปล่อยให้ลมเย็นๆพัดผ่านตัวเขาไป วูบหนึ่งของความคิดตอนที่เขาได้เสียงไซเรนจากแอมบูแลนซ์ดังตามท้องถนน
เขานึกถึงบางคนที่พบกันในคืนคืนหนึ่ง
และเมื่อพบแล้ว
ก็วนเวียนพบเจออยู่แบบนั้นเหมือนโดนสาป
‘คุณรู้มั้ยว่าคนไทยตายด้วยโรคมะเร็งปอดกันปีละกี่คน?’
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วนั่นดังอยู่ในหัวเขา
มันมาพร้อมกับใบหน้าของคนที่ต้องการทำตัวเป็นผู้ใหญ่และหวังว่าจะได้ขู่คนที่ตัวเองคิดว่าต้องกลัวหัวหดเป็นเด็กๆอย่างเขา
‘แล้วจะทิ้งคนที่รักไว้ข้างหลังเหรอ’
เขาไม่ศรัทธาคำนั้น
คำว่ารัก
ไม่ใช่ไม่เชื่อว่ามันไม่มีอยู่
เขาเพียงแต่ไม่ศรัทธาในสิ่งที่ผ่านมา
ไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีใครรักษามันได้ยาวนานอย่างที่ปากบอก ชินตะจุดบุหรี่มวนที่สอง เคาะนิ้วกับราวระเบียงเมื่อมีทำนองเพลงเพลงหนึ่งดังขึ้นมาในหัว
..
ที่จริงเขาก็เคยแต่งเพลงส่งอาจารย์สมัยเรียน แต่มันไม่เคยเป็นเพลงรักเลยสักครั้ง
‘แล้วมึงรู้มั้ยอะชิน
ว่าไอ้การที่เราทำอะไรๆให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลอะ
มันคือจุดเริ่มต้นของการชอบเขานะ’
แต่แล้วเสียงของเพื่อนสนิทก็ดังแทรกเข้ามาจนเขาเผลอย่นคิ้ว
..
เขาสะบัดความคิดน่ารำคาญนั้นออกไปด้วยการเบือนหน้าไปมองผู้หญิงคนนั้นที่เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจดับบุหรี่เหมือนกับที่ตัดสินใจว่าจะดับอารมณ์ร้อนๆในอกตัวเองด้วยการเดินกลับเข้าไปในห้องของเธอ
ถอดชั้นในออกและปลุกเธอขึ้นมาให้พร้อมรับกับปีศาจในตัวเขาอีกครั้ง
⎯
“พี่
หนูเครียดจริงๆนะ แฟนหนูไม่ทำการบ้านเลย”
“ตายแล้ว
เราก็ยังสาวยังสวยอยู่เลยนะยัยพิมพ์”
ผมก้มหน้างุดๆจนเกือบจะชิดไอแพดเมื่อพี่ๆพยาบาลที่อยู่เวรด้วยกันเริ่ม
girls
talk กัน พอดึกๆแบบนี้มันก็เริ่มเหงา ผมได้ยินเสียงใบพัดพัดลมหมุนเอื่อยๆ
เขาลดจำนวนแอร์ที่เปิดในห้องเพราะคนไข้ไม่ได้เยอะแยะเลยในคืนนี้
ผมสรุปเคสของวันนี้เสร็จหมดแล้วและแยกงานไว้ให้น้องๆอินเทิร์นเป็นกองๆเพื่อรอแจกตอนเช้า
ผมฟุบกับโต๊ะ
วาดฝันถึงไข่พะโล้ที่แม่ทำ
ไม่ได้กลับบ้านมาอาทิตย์หนึ่งได้แล้ว
“น้องเอยคะ”
“ครับผม”
ผมนั่งหลังตรงทันทีที่พี่พยาบาลเรียก
พี่เขาวางขวดยาคูลท์ลงบนโต๊ะผมก่อนจะเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับเอ่อ .. ช่องคลอดซึ่งผมไม่ได้รู้เยอะแยะเท่ากับหมอสูติ
แต่เอาเถอะนะ T-T
“แล้วน้องเอยชอบผู้หญิงแบบไหนคะ”
“ผมเหรอครับ”
“ต้องชอบแบบน่ารักๆแน่ๆลย”
“มะ
ไม่ได้คิดไว้เลยครับ .. ถ้าชอบคงจะชอบที่นิสัยมากกว่า”
“แบบนี้แสดงว่าน้องเอยจะชอบใครก็ต้องได้ดูใจกันไปสักพักใช่มั้ยคะ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก
เพราะผมเป็นพวกสุขนิยม อะไรก็ได้ ขอให้สุขใจไว้ก่อน
จะเลือกคนมาอยู่ข้างๆกันทั้งทีก็ขอคนที่ทำให้เราสบายใจจะดีกว่า
“พี่หมอเอยคะ
พี่ว่าหนูติดแฟนไปรึเปล่าคะ”
“น้องพิมพ์เหรอคะ”
พยาบาลคนนี้เด็กกว่าผมราวๆสองปี เธอเริ่มเล่าเรื่องแฟนตัวเองให้ผมฟัง
จู่ๆก็กลายมาเป็นที่ปรึกษายามยาก อาจจะเพราะว่าเป็นผู้ชายคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนี้
จากที่ง่วงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่กลับตาสว่างได้เพราะเรื่องราวที่เข้มข้นแบบเด็กผู้หญิง
“คือหนูเห็นว่าถุงยางในเก๊ะมันไม่เท่าเดิมอะค่ะ
หนูนับได้แปด ตอนนี้เหลือเจ็ด”
“เอ่อ ..”
ผมอ้าปากพะงาบๆ
นี่ถึงกับนับจำนวนถุุงยางไว้เลยเหรอ T-T
“พี่ว่าแฟนหนูนอกใจมั้ยคะ
มันเอาไปใช้กับใคร”
“ขะ เขาอาจจะเอาไปใส่ไว้
ใน .. ในกระเป๋าตังค์รึเปล่าคะ” ผมตอบตะกุกตะกักเหมือนเป็นแฟนน้องเขาซะเอง
เธอทำตาโตก่อนจะส่ายหัวบอก
“ในกระเป๋าตังค์หนูใส่ไว้ให้แล้วค่ะ
หนึ่งชิ้น เผื่อฉุกเฉิน”
“ตายแล้วยัยพิมพ์
มีนอกสถานที่ด้วยเหรอ”
“แหม
ก็นิดหน่อยแหละค่ะพี่ ยังวัยรุ่นอะเนอะ”
แล้วสองสาวต่างวัยก็หัวเราะใส่กัน
ต่างจากผมที่ร้อนขึ้นมาซะเฉยๆ .. อยากให้เบอร์จ๊าบเลยแฮะ
มันน่าจะถนัดเรื่องพวกนี้ ผมน่ะนอกจากจะไม่รู้ยังตามไม่ทันอีกต่างหาก
“พี่เอยว่าหนูลองไปคุยกับแฟนตรงๆดีกว่า
ถามไปตรงๆมันยังดูซับซ้อนน้อยกว่ามานั่งเดาแบบนี้นะคะ”
“หนูกลัวรับไม่ได้ค่ะ
แล้วก็กลัวว่าเขาจะโกหกด้วย คนมันรักอะเนอะพี่ เขาพูดอะไรหนูก็เชื่อ”
“เหมือนฉันนั่นแหละยัยพิมพ์เอ๊ย ก็แฟนทั้งคนนี้หว่า”
ผมหยิบยาคูลท์มาเจาะกินแก้เครียด
เรื่องความสัมพันธ์ผมไม่ถนัด เรื่องเพศยิ่งเข้าไปใหญ่ เต่าล้านล้านล้านปีไปเลยคนแบบผมน่ะ
“พรุ่งนี้น้องเอยออกเวรตีสามใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
ผมทำเสียงอ่อยๆ ใจอยากไปงานคอนเสิร์ตที่เขาขายเสื้อยืดของวงดนตรีต่างๆสักครั้งในชีวิต
หมายมั่นปั้นมือว่าจะไปตั้งแต่สมัยเรียนแต่ก็ไม่ได้ไปกับเขาสักที
.. อิจฉาไอ้คนที่อยากจะหักคอผมจะแย่คนนั้นชะมัด
ได้ไปเล่นดนตรีในคอนเสิร์ตไม่พอยังได้เอ็นจอยชีวิตอีก
เฮ้อ
“พี่หมอเอยคะ”
“ว่าไงคะ”
“ถ้าไม่เป็นหมอ
พี่เอยอยากเป็นอะไรคะ” ผมสบตากับน้องพิมพ์ เธอมวยผมเรียบร้อยตามประสาพยาบาล
รอยยิ้มซื่อๆนั่นส่งมาให้ผม ผมที่ไม่เคยโดนถามด้วยคำถามแบบนี้มาก่อน
ผมคิดอยู่พักหนึ่ง มองไปที่ไอแพดตัวเอง แอปเปิลเพนซิลและโปรแกรมวาดรูปที่เด่นหราอยู่บนจอ
“อยากวาดรูปเยอะๆค่ะ”
“ตายแล้ว
พี่เอยชอบวาดรูปเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ
ถ้าว่างก็จะวาด แต่ช่วงนี้พอว่างก็เอาไปนอนหมดเลย ฮ่าๆ” ผมยิ้ม
จริงๆมีแค่เพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยที่รู้ว่าผมชอบวาดรูป จะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากพวกมันเอาชีทเรียนผมไปซีร็อกซ์แล้วพบว่าผมวาดรูปลงไปในชีทเยอะมากๆ
รูปที่ไม่เกี่ยวกับบทเรียนน่ะ
‘เส้นมึงอะ
โคตรมึงเลย’
‘ยังไงวะ’
‘ก็ตะมุตะมิไงน้องเอยยยย’
จ๊าบบอกแบบนั้น
ผมมักชอบวาดทุกอย่างให้เล็ก ตอนวาดไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ถ้าอาจารย์จับได้ในคาบจะได้แอบลบได้ง่ายๆและไวๆ
กลายเป็นว่าผมติดการวาดทุกอย่างให้มันเล็กกว่าคนอื่นเขาซะงั้น
“พี่เอยลองวาดหนูได้มั้ยคะ”
“ได้ค่ะ”
ผมหยิบไอแพดมาเพราะจริงๆวันนี้มันก็เหงาๆ
เชื่อเถอะว่าอยู่เฉยๆได้อีกไม่นานจะต้องมีงานอะไรให้ทำแน่ๆ ชีวิตคนเป็นหมอก็แบบนี้ล่ะนะ
ผมมองน้องพิมพ์ที่ยิ้มกว้างรอให้ผมวาดเธออย่างใจจดใจจ่อ
บางทีผมอาจจะต้องหยุดคิดว่าคนข้างนอกโรงพยาบาลเขาสุขกันยังไงแล้วลองมองกลับมาที่ตัวเองว่าวันนี้มันสุขประมาณไหน
ไม่ต้องยิ่งใหญ่ก็ได้ ให้มันเล็กน้อยเหมือนกับรูปที่ผมกำลังวาดน้องพยาบาลในวอร์ด
ก็คงจะสุขแล้วล่ะมั้ง
○
.
“ปีนี้เป็นปีแรกของพวกเรา
no bad days ที่นี่” ชินตะมองแผ่นหลังของจิมมี่ที่ชุ่มเหงื่อ
มันกำลังคุยกับคนดูในขณะที่เขาและคนอื่นๆทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรอจังหวะที่มันจะเริ่มร้องเพลงสุดท้าย
“พวกเราขอบคุณทุกๆคนมากๆเลยนะครับสำหรับวันนี้
.. วันที่ดีมากๆอีกวันหนึ่ง”
“กรี๊ดดดดด~~”
“พี่มีนนนนนนน”
ผมสีดำสนิทที่วันนี้ถูกมัดไว้ครึ่งหัวชื้นเหงื่อ
ชินตะปลดกระดุมเสื้อฮาวายสีแดงของตัวเองจนกระดุมเหลือเกาะกันอยู่ไม่กี่เม็ด
เขาสวมสกินนี่สีดำและรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อเหมือนอย่างเก่า
มีเครื่องประดับคือสร้อยและแหวน .. ตาคมๆที่เวลามองแฟนๆทีไร
พวกเธอก็กรีดร้องออกมาเหมือนต้องมนต์บางอย่าง
“ชินตะ!! ซาซาคิ
ชินตะ!”
“no bad days! no
bad days!!”
“เพลงสุดท้ายของเราครับ
เป็นเพลงใหม่ที่จะเล่นที่นี่เป็นที่แรก”
รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมือเบส
มือเบสที่ใครๆก็รู้กันว่าไม่ได้ร้ายเพราะลุค แต่ร้ายเพราะร้ายจริงๆ
ร้ายแบบที่ไม่เคยปิดบังว่าร้าย .. เสียงกรี๊ดดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อจิมมี่หันมาให้สัญญาณ
ดนตรีที่เล่นอยู่เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ มันกลายเป็นเพลงช้า
มันกลายเป็นเพลงรัก
“ขอให้ทุกๆวันเป็นวันที่ดีนะครับ :)”
ชินตะจมดิ่งกับเสียงดนตรีเหมือนกับที่คนอื่นๆเป็น
อย่างน้อยๆเขาก็เชื่อว่า เพลงเพลงหนึ่งก็ทำให้คนหลายๆคนรวมเป็นคนคนเดียวได้
ตัวโน้ตในแต่ละท่อนของเพลงเหมือนเป็นสิ่งเชื่อมใจ ..
แม้เขาจะไม่เชื่อในเนื้อเพลงที่พูดถึงความรัก
แต่เขาก็รู้สึกไปกับมันเพราะดนตรีและทำนอง
เพลงสุดท้ายของเราจบลงแล้ว
เขาพูดว่าขอบคุณใส่ไมค์สั้นๆก่อนจะลงจากเวทีเป็นคนแรกเมื่อเสียงปรบมือและกรีดร้องกระหึ่มไปทั้งบริเวณ
ถือว่าครั้งแรกของเราในการตัดสินใจมาเล่นในงานใหญ่ๆแบบนี้ไปได้สวย
“คนเยอะจนกูกลัวใจเลย
ไอ้เหี้ย แต่แม่งก็ทำได้ว่ะ”
“ไอ้จิมเสียงไม่ตกเลย
เสียงสูงคือแอร์พอร์ตลิงก์กระจกแตกแล้ว”
“วันนี้คือสุดยอดจริงๆว่ะ
มึงว่ามั้ยไอ้ชิน”
“yeah .. because
there’s no bad days.” เขาตอบแบบนั้นและเพื่อนๆโห่ร้องกันอย่างยินดี มันคงเป็นความสำเร็จอีกก้าวของคนทำเพลงนั่นแหละ
แม้จะไม่ได้จริงจังถึงขั้นอยากออกอัลบั้มเป็นชิ้นเป็นอันอะไรขนาดนั้นแต่มันก็สุดยอดแล้ว
“ไปหาเบียร์กินกันเหอะว่ะ”
“เออ
กูอยากไปซื้อเสื้อ คงจะไม่โดนใครทึ้งใช่มั้ยวะ”
“ให้พ่อมึงเดินนำดิ
มันทำหน้าดุทีคนก็ไม่กล้ามารุมแล้ว”
“มันไม่ได้ทำหน้าดุมึง
นั่นหน้าปกติ ฮ่าๆ” คนโดนแซวไม่ตอบอะไร ทำแค่รับผ้าจากสตาฟมาเช็ดหน้า
เขาไม่มีแพลนจะซื้อเสื้อหรืออะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่เพื่อนชวนแต่อย่างใด
ไหนๆก็มาแล้ว
เดินเล่นหน่อยคงไม่เสียหาย
“ขอบคุณทุกคนๆมากๆเลยนะคร้าบบบ”
“ขอบคุณครับผม!”
หลังจากเราบอกทีมงานและร่ำลาอะไรเรียบร้อยแล้ว
กระเป๋ากีตาร์และเบสก็ถูกสะพายขึ้นหลัง ชินตะที่แผ่นอกชุ่มเหงื่อกับสร้อยไม้กางเขนกลางอกคือสิ่งล่อใจ
แต่ในขณะเดียวกันใบหน้าร้ายๆที่ดูไม่สบอารมณ์นั่นก็ทำให้คนไม่กล้าจะเข้ามายุ่มย่ามเช่นกัน
ทั้งสี่คนเดินทักทายแฟนๆไปตลอดทาง
แวะซื้อเสื้อยืดจากวงดนตรีที่ชอบบ้างและพูดคุยกับคนที่รู้จักบ้าง
“ไอ้ชิน”
“อ้าว พี่ยศ
หวัดดีครับ”
“เออ ไงมึง
เล่นโคตรดุ”
“แหมพี่
ปลอมตัวมาเหรอ กลัวแฟนคลับจำได้ดิ”
“ไม่ได้ปลอมไอ้ห่า กูแค่ใส่หมวกใบโตกับแว่นกันแดด”
“เนียนมาก ขอบอก”
มีนแซวรุ่นพี่ในคณะที่ตอนนี้ดังฉิบหาย
จะบอกให้ว่าพี่พยศนี่แหละสายรหัสไอ้คนหน้านิ่งมัน ชินตะพยักพเยิดหน้าให้พี่สายตัวเองทีหนึ่งก่อนจะทำหน้าเบื่อๆใส่
“เป็นไรไอ้เสือ
ของขาดเหรอ”
“โอ๊ยย
น้องพี่ไม่เคยขาดอะ แต่ละวันไม่ซ้ำกัน”
“กูยอมเลย
มีเมียให้เฮียชื่นใจสักทีดิ๊ชิน”
“ถ้าเฮียมี
ผมก็มี”
“ไอ้ห่า พูดละนะ”
พยศแหว เป็นที่รู้กันว่าน้องชายเขาคนนี้มันไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาห่าอะไรทั้งนั้น
ไม่สนใจอะไรพรรค์นั้น
ความรงความรักคือเรื่องไร้สาระสำหรับมัน
สาวสวยๆครึ่งมหาวิทยาลัยอกหักเพราะมันทั้งนั้นสมัยเรียน พอมาเป็นนายแบบ
เรื่องก็ถึงหูเขาประจำ นายแบบหล่อๆคนญี่ปุ่นคนนั้นใจร้ายฉิบหายเลยพี่
เนี่ย
สาวๆเขาฟ้องกันทั้งวงการ
“วันนี้ไปกินเหล้ากันดิ
เดี๋ยวกูเล่นวงสุดท้าย”
“เอาดิพี่
โคตรคิดถึงอะ กัมพ์ไปหมดเลยมั้ย นี่เมื่อวานไอ้เจ๋งเพิ่งเล่าว่าด่าไอ้หมูไป ติดแฟน
ไม่ยอมทำเพลง”
“เออหน่า
น้องเขาคลั่งรัก คบกันกี่ปีไม่สนแม่ง รักเหมือนเดิม รักแบบตามเฝ้า
รักเราไม่เก่าเลย”
“ต้องยอมเขาว่ะรายนั้น”
“เราเนี่ยนะนายหมู
แพ้ไม่เป็นเลย” หนุ่มๆส่ายหัวเมื่อนึกถึงไอ้เด็กคนนั้นที่มันรักแฟนตัวเองฉิบหาย เวลามาเจอกับไอ้ชินก็จะแหม่งๆหน่อยเพราะอีกคนเอาแต่พูดถึงแฟน
คลั่งรักฉิบหายในขณะที่เพื่อนเขาแม่งก็ทำหน้าเหนื่อยๆเพราะไม่เข้าใจห่าเหวอะไร
เออ
อยู่ด้วยกันแม่งก็ตลกดีว่ะ
“อ้าว
มึงจะไปไหนไอ้ชิน”
“ซื้อเสื้อ”
“สัด
มึงเป็นใครคายน้องกูออกมา มึงเนี่ยนะซื้อเสื้อ วงไหนล่ะทีนี้”
“ไม่เสือกดิเฮีย”
“กูพี่มึงนะไอ้ชิน”
พยศหัวเราะเบาๆ
มองน้องชายที่ค่อนข้างสนิทมากๆแต่ไม่ค่อยได้เจอกันควักเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อซื้อเสื้อยืดของวงดนตรีอินดี้วงหนึ่งที่เขารู้เลยว่ามันไม่ฟังเพลงแนวนี้
เอาล่ะ
“ตี๋”
“พี่เหงาเหรอ?”
“ไม่ไอ้ตี๋
มึงตอบเฮีย”
ชินตะสบตากับคนที่เดินตามมาถึงร้านขายเสื้อในขณะที่กลุ่มเพื่อนของเขามองมาเหมือนกันแต่ก็คุยกับนักร้องวงอื่นอยู่
มือใหญ่รับเงินทอนจากคนขายที่บอกว่าขอถ่ายรูปเขาไว้โปรโมตได้มั้ย
แต่เขาส่ายหัวกลับไปโดยไม่สนใจว่าใครจะพูดถึงเขายังไง
ก็แล้วไง
ไม่สะดวก
“มึงซื้อให้แฟนเหรอ”
“ทำไมต้องแฟน”
“มึงไม่ฟังเพลงแนวนี้”
“ชอบเสื้อเฉยๆไม่ได้หรือไง”
“อย่าโกหกเฮียดิตี๋”
ชินตะพ่นลมหายใจพลางสบตากับคนที่เขานับว่าเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่ง มันคงไม่มีเหตุผลที่จะโกหกแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่บอกไปตามตรง
“ซื้อให้เพื่อน”
⎯
“หงอยเลยเหรอเอย
แกรอในยูทูปดิ เดี๋ยวช่องเขาก็ลงอะ แต่คงประมาณหนึ่งเดือน”
“อยากไปฟังสดมากกว่า
ไม่เคยได้ไปเลยอะ”
หมอเอยสลดเพราะวันนี้คือวันคอนเสิร์ตใหญ่ที่หลายๆวงดนตรีไปเล่นแถมยังมีวงที่เขาชอบมากๆอีกต่างหาก
เจ้าของใบหน้าน่ารักฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน อีกสิบนาทีออกเวรแล้วแต่มันก็ยังไม่หายเศร้า
ตีสองกว่าแล้ว
ไปคอนเสิร์ตตอนนี้คงเหลือแต่เวทีเปล่าๆ
“เนี่ย
วันนี้เพื่อนเราไปบอกว่าวงกัมพ์กับ no bad days
ขึ้นรถตู้คันเดียวกันไปด้วยหลังจบคอนเสิร์ต ไก่คบไก่จริงๆอะ
คนหล่อๆเขาก็รู้จักกันหมดเลย”
“เหรอๆ แล้ว no
bad days นี่แต่งเพลงแนวไหนอะ”
“เอยไม่เคยฟังเหรอ
เราเปิดให้ฟังๆ ยอมรับนะว่าตอนแรกชอบเพราะผู้ชายหล่อทุกคนเลย แต่เพลงเขาดีอะ
โคตรดี แนว american pop แล้วเนื้อเพลงส่วนมากจะเป็นแนวให้กำลังใจ”
“เฮ้ย จริงดิ”
“ช่ายยย
เหมือนเขาคอนเซิร์นเรื่องคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอะ ตามชื่อวงเลยแก น่ารักเนอะ”
เอยพยักหน้าหงึกหงักตอบเจนซึ่งเป็นคุณหมอคนน่ารักประจำแผนก
เข้ามาทำงานพร้อมกันแม้จะจบคนละมหาวิทยาลัยก็ตาม
เอยตั้งใจฟังทั้งดนตรี
ทำนองและคำร้องจากวงของคนที่เขาก็พอรู้จักมาบ้างแต่ทำไมน้า
กลับลืมทุกทีว่าจะต้องหาเพลงมาฟัง เอาจริงๆเวลานอนยังไม่ค่อยจะมีเลย
หดหู่ชะมัด
“คล้ายวงที่เอยชอบเลยเนอะ
แต่ทางนั้นจะเป็นแนวอินดี้ไปเลย”
“ฮือ
เจนอย่าพูดถึงเลย เราอยากร้องไห้ อยากได้เสื้อยืดอะ”
“เราเห็นมีรับหิ้วนะ
แต่ผู้ชายคงไม่รู้กัน โอ๋ๆนะเอย”
จริงๆอยากร้องไห้นะ
แต่กลัวไม่แมน
เอยทำมือโอเคให้เพื่อนร่วมงาน
หูก็ฟังเพลงของ no
bad days ไปด้วย จริงๆเขานับถือคนเล่นดนตรีเพราะเขามันไม่เอาไหนเลยกับเรื่องพวกนี้
ร้องเพลงยังผิดคีย์เลยให้ตาย
“ไปเหอะแก
หมดเวรแกแล้ว”
“เอ้า
ฟังเพลงเพลินเลย” เจ้าของผิวขาวกับผมยุ่งๆและแว่นสายตาอ้าปากหัวเราะ เหนื่อยสายตัวแทบขาดมาทั้งวัน
กว่าจะได้กลับไปนอน กว่าจะถึงห้อง
ว่าแต่หิวชะมัด
“กลับไปนอนเลยปะเนี่ย”
“เดี๋ยวหาอะไรกินก่อนแหละ”
“เราอยากไปเป็นเพื่อนนะ
แต่เดี๋ยวมีตรวจ”
“ไม่ต้องหรอกเจน
เดี๋ยวเรากินบะหมี่แถวบ้านก็ได้ ถ้าเขายังเปิดนะ” หัวเราะอย่างร่าเริงบอกแล้วก็เดินล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกไปนอกห้อง
วินาทีที่เอยเดินพ้นกรอบประตูไป เขาถูกเรียกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เอย”
.. ทุ้มเหมือนกับเสียงเบสที่เจ้าตัวเล่น
“เฮ้ยย”
คนตัวเล็กหลับตาปี๋แต่มือก็รับบางอย่างที่คนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องตรวจโยนมาให้
เปลือกตาสีอ่อนเปิดขึ้นมองของที่อยู่ในมือ
‘เราเหรอ ..
เราชอบ safeplanet’
‘ไอ้จิมมึงมาฟัง
คราวหน้าแต่งเพลงให้ได้แบบ safeboys นะเว้ย หมอเอยเขาชอบ’
‘อิจฉาจัง
ได้ไปคอนเสิร์ตด้วย เราก็อยากได้เสื้อวงนะ แต่คงไม่ได้ไป’
“ไปกินข้าวกัน”
“ … ”
ตากลมสบตากับคนที่สวมเสื้อฮาวายสีแดงปลดกระดุมหลายเม็ดจนเขาเห็นแผงอกกว้าง
กล่องใส่บุหรี่สีใสที่อีกคนคล้องไว้ที่คอเข้าคู่กันกับสร้อยรูปไม้กางเขน
ผมสีดำหยักศกนิดหน่อยถูกรวบไว้ครึ่งหัว นัยน์ตาดุดันนั่นสะท้อนภาพเขาและในวินาทีที่อีกคนลุกขึ้นยืนและสาวเท้าเข้ามาใกล้
ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้ใจเขากระตุก
ชินตะมองมาที่เขา
เขาที่ได้กลิ่นบุหรี่ แอลกอฮอล์และน้ำหอมจากร่างกายกำยำของคนตรงหน้าชัดเจน .. เจ้าของฤดูหมอกรับรู้สภาวะที่ผิดปกติไปของใจตัวเองเมื่ออีกคนโน้มใบหน้ามาใกล้
เคาะหน้าผากเขาด้วยข้อนิ้วแล้วย้ำ
“ไปกินข้าวกันหมอเอย”
tbc.
แค่เพื่อนครับพ่อ (・ε・`)
น้องขอพูดตามกงว่าน้องไม่ใช่สายคุณหมอเท่าไหร่
ไม่มีเพื่อนให้สอบถามด้วย ถ้ามีตรงไหนพลาดไปยังไง น้องขออภัยมา ณ ทีนี้
น้องจะอัพวันละร้อยตอนก่ได้แต่แบบไม่ได้เพราะมีไม่ถึงร้อยตอน โฮ
รักทุกคนเสมอเรยนะ
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น