คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 01 - i know i didn't live my life in vain.
“น้องเอย ง่วงก็ไปนอนเถอะลูก
เดี๋ยวแม่ไปซื้อเอง”
“ไม่ๆแม่
เอยไปได้ครับ”
“โธ่ ขวัญเอย”
ผมยิ้มบางๆตอนที่แม่กดจูบลงข้างแก้ม ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ ตลาดหน้าหมู่บ้านคือจุดหมาย
ถึงจะเพิ่งออกเวรมาแต่ก็ยังไหว แค่ไปซื้อน้ำขิงให้แม่เท่านั้นเอง
เรามีกันอยู่สองคน
พ่อผมเสียก่อนผมจะเกิด แม่เป็นโรคซึมเศร้าและมันทำให้ผมเกือบจะไม่ได้เกิดมา
แต่สุดท้ายก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วแม้ว่าตอนเด็กๆร่างกายจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่
ผมเคยป่วยหนักมากๆจนคุณตากับคุณยายรู้สึกว่าการพึ่งหมอมันไม่ช่วยอะไรอีกแล้ว
ผมในเวอร์ชั่นเบบี๋จึงถูกพาตัวเข้าพิธีเรียกขวัญแบบชาวเหนือแท้ๆ
ครับ
ผมเป็นคนลำปางที่ไร้ชื่อเล่น แม่ไม่ได้ตั้งชื่อเล่นผมตอนที่ผมเกิด
มีเพียงชื่อจริงที่พ่อตั้งไว้ตามที่เจ้าตัวคาดว่าวันที่ผมเกิดหมอกจะลงหนักที่สุดในปี
ชื่อจริงที่เหมือนเด็กผู้หญิงของผมเกิดจากการที่พ่อกับแม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ สิสิรที่แปลว่าฤดูหมอก
ผมโตมากับการถูกเรียกชื่อจริงเป็นชื่อเล่นในช่วงหกเดือนแรก
เข้าเดือนที่เจ็ดผมป่วยหนัก หมอเฉยๆช่วยพยุงใจคนในครอบครัวผมไม่ไหว
สุดท้ายก็ต้องพึ่งพ่อแก่แม่เฒ่า
ขวัญเอย
มาอยู่กับเนื้อกับตัว .. อยู่กับพ่อกับแม่ ไปจนแก่จนเฒ่า
ถือไม้เท้ายอดทอง
ถือกระบองยอดเหล็ก
“เอย”
“ครับแม่”
อยู่กับแม่จนแก่จนเฒ่า อย่ากินข้าวบนหัวเรือ อย่ากินเกลือบนหัวช้าง
อย่าตกแม่น้ำใหญ่กว้าง อย่าอยู่ในน้ำเป็นเพื่อนปลา
อย่าอยู่ในนาเป็นเพื่อนข้าว
“แม่รักเอยนะครับ”
“เอยก็รักแม่ครับ”
ขวัญเอย ขวัญมา .. ชื่อเล่นของผมมาจากสิ่งที่แม่ต้องท่องซ้ำไปซ้ำมาตอนที่ผมป่วย
แม่ที่เจ็บปวดเพราะการจากไปของพ่อ
พ่อที่แม่ยังไม่ทันจะได้บอกรักเป็นครั้งสุดท้ายก็จากไปซะแล้วและเพราะแบบนั้น
ทุกๆครั้งที่ผมออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปใกล้หรือไกลแค่ไหน
เราจะบอกรักกัน
ลมเย็นๆปะทะใบหน้าตอนที่ผมออกแรงปั่นจักรยานคู่ใจไปหน้าหมู่บ้าน
ง่วงขนาดนี้คงไม่กล้าขับรถ ขอออกแรงเองให้ตาสว่างขึ้นมาสักหน่อยดีกว่า
ผมคิดพลางกัดลูกอมรสเปรี้ยวในปากให้แตกออกมาเป็นสองซีก
เป็นหมอก็ฟันผุได้
ไม่ใช่หมอฟันสักหน่อย
“น้องเอย
มาเช้าจริงๆลูกเอ๊ย”
“หมอเอย มาซื้ออะไรให้คุณแม่คะวันนี้”
ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด
ยี่สิบห้าปีที่ใช้ไปกับการเทียวซื้อของให้แม่ ตั้งแต่ตัวเล็กจนตัวโต
ตั้งแต่เอาเงินแม่มาซื้อจนถึงตอนที่มีเงินซื้อของให้แม่บ้างแล้ว
ผมยิ้มกว้างให้ป้าๆแม่ค้าก่อนจะยกมือไหว้สวัสดี
ผมอ้าปากหาว
เดินลัดเลาะแผงนั้นแผงนี้ไปจนถึงร้านน้ำขิงร้านประจำของแม่
ตลาดเช้าวันนี้คนเยอะพอสมควร อาจจะเพราะอยู่ใกล้สถานบันเทิง
เวลาแฮงก์ๆดื่มยันเช้าก็มาหาอะไรร้อนๆกินที่นี่
ผมก็ชอบนะ
..
โจ๊กหมูไม่ใส่ขิง
“ไอ้จิม!
หน้าด้าน ไข่กูมีแค่ซีกเดียวยังจะแย่ง!”
“อย่าผลักกันได้มั้ยพวกหน้าสัด
กูจะอ้วกอยู่แล้ว”
ผมย้ายสายตาไปที่กลุ่มวัยรุ่นผมยุ่งๆ
บ้างสวมฮู้ดนั่งตักโจ๊กเข้าปากเนือยๆ
บ้างทุบตีกันจนเจ้าของร้านหันไปส่ายหัวมองยิ้มๆ .. อืม คุ้นๆแฮะ
“ไอ้ชิน
มึงแดกหมูปะ”
“ไม่ต้องเสือก”
“เอ้าาา
ไม่แดกก็จะขอไง แดกช้าเหลือทน”
“ตามประสาชายชาวญี่ปุ่นปะ
มึงไม่ชินเหรอ”
ชินตะ
‘คุณชอบท่อนไหนในเพลงที่กำลังเล่นอยู่เหรอครับ’
ผมมองคนที่ค่อยๆถอดฮู้ดออก ผมสีดำที่ค่อนข้างยาวแต่เป็นทรงแถมยังหยักศกนิดๆของเขาสะท้อนกับแดดแรกของวันและผมได้รู้ตอนนั้นว่ามันเป็นสีน้ำตาลที่เข้มมากๆต่างหาก
วินาทีนั้นเองที่เราสบตากันแต่มันค่อนข้างน่าตลกเพราะผมดันหาวออกมาพอดี
..
โธ่เอ๊ย ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะหันมามองพอดี
“ชิน?”
“มีอะไรวะ .. แค่กๆ”
ผมยิ้มปนหัวเราะให้เขา
เขาน่าจะเข้าใจมันเพราะผมดันหาวออกมาซะได้ เสียมารยาทแต่มันก็ตลกจริงๆนั่นแหละ
ใบหน้าร้ายกาจนั่นนิ่งเฉย
ผมไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเขาเองก็วางสีหน้าแบบนั้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะชวนคุย
ซักประวัติ ล้างแผล เย็บแผลหรือแม้กระทั่งตอนที่บอกลากัน เขาก็มีอยู่แค่หน้าเดียว
“เชี่ย”
ผมหิ้วถุงน้ำขิงเดินเข้าไปหาเขา
ไหนๆเราก็สบตากันแล้วแถมนี่ก็เกือบสองอาทิตย์ได้แล้วตั้งแต่วันนั้นถ้าผมจำไม่ผิด .. จริงๆผมพอจะจำคนไข้ได้บ้าง
แต่เขาน่ะน่าจดจำที่สุด มาพร้อมกับแผลที่คิ้วเพราะโดนสนับ รอยจูบสีเข้มที่ต้นคอ ชื่อภาษาญี่ปุ่นและใบหน้าเหมือนหลุดออกมาจากมังงะสักเรื่อง
“แผลหายดีรึยังครับ?”
ผมเห็นเพื่อนของเขาสบถคำเดิมซ้ำๆ
อ่า ..
คำว่าเชี่ย ใช่ พวกเขาพูดมันไม่หยุดพร้อมกับซัดไหล่กว้างๆของคนที่ผมเข้าไปทัก
เขาจ้องหน้าผม สายตานั่นผมไม่เข้าใจและแหงล่ะ อ่านไม่ออก
เราสบตากันอยู่พักหนึ่ง เป็นผมเองที่เลื่อนสายตาไปมองคิ้วเขาและพบว่ามันโอเคขึ้นมากๆแล้ว
แทบจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย .. เห็นมั้ยล่ะ ฝีมือผมน่ะ
บอกแล้วไงว่าจะกลับมาหล่อเหมือนเก่าแน่ๆ
“ไอ้ชินนนน”
“นะ นั่งมั้ยครับ
ทานโจ๊กครับ อุ่นๆรับเช้าวันเสาร์ที่สดใส” ผมมองท่าทางตลกๆของเพื่อนในกลุ่มเขาที่ปัดเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างๆเขาให้ผมนั่งก่อนจะจัดแจงแก้วน้ำ
ขวดแม็กกี้และพริกไทยพร้อมกับร้อนรนบอกให้ผมนั่ง
“รบกวนด้วยนะครับ”
“ไม่เลยครับ!
นั่งได้ครับ ตามสบายเลยนะครับ”
“เบาจิมเบา”
“คุณ เอ่อ .. ”
“ผมชื่อเอยครับ”
“คุณเอยเอาโจ๊กปกติเลยมั้ยครับ”
“ครับ
ไม่ใส่ขิงครับ” ผมบอกแล้วก็ขอบคุณที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาอาสาสั่งโจ๊กให้
เรานั่งข้างกัน เขาใช้น้ำหอมกลิ่นเดิม มีกลิ่นบุหรี่ติดมาด้วยในคราวนี้
“คุณเอยรู้จักไอ้ชินด้วยเหรอครับ”
“อ๋อ ..
ผมเย็บแผลที่คิ้วให้เขาน่ะครับ”
“อ๊า
คุณหมอที่โรงพยาบาลตอนนั้นนี่เอง”
ผมมองเบสและกีตาร์ที่ถูกใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างดีที่พิงอยู่กับผนังด้านหลังโต๊ะที่เรานั่งอยู่
ไม่ต้องเดาเลย คงจะเล่นดนตรีแถวนี้แล้วดื่มกันจนเช้าก่อนจะเลยมากินโจ๊กด้วยกันแหงๆ
“ทำไมไม่กินขิง”
“ไม่อร่อยครับ”
ผมตอบคนที่เพิ่งจะพูดขึ้นมาเป็นคำแรกตั้งแต่ผมมานั่งที่โต๊ะ
“.. คุณไม่ค่อยได้นอนเหรอ”
“ดูออกเลยเหรอครับ”
ผมหัวเราะเพราะถูกของเขานั่นแหละ ผมไม่ได้นอนมาจะครบวันแล้ว ..
จริงๆปีสุดท้ายของการเรียนหมอมันทำให้ผมมีภูมิต้านทานกับการไม่ได้นอน
จริงๆเรียกได้ว่าทั้งชีวิตในการเรียนมหาวิทยาลัยสายนี้นั่นแหละที่ทำให้ผมชิน
“คุณว่าเราคุยกันเก้ๆกังๆไปมั้ยครับ”
“ … ”
“เราเรียกชื่อเล่นคุณได้มั้ย?”
ผมลองเปลี่ยนสรรพนามไปเป็นอีกแบบ
แบบที่ใช้กับเพื่อน เขาครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะเลื่อนชามโจ๊กที่เพิ่งมาเสิร์ฟให้ผม
“ของเอย”
แล้วเราก็เลื่อนขั้นจากคนไข้กับหมอมาเป็นคนรู้จักกันขั้นพื้นฐานซะงั้น
⎯
“ไอ้เหี้ยยยยยยยย
นั่นหมอที่เย็บแผลให้มึงเหรอ ละไม่เล่าเลยนะ เก็บเงียบไม่บอกใคร”
“น่ารักจนกูเอ๋อแดกเลย
ไปไม่เป็นเลย เพิ่งเข้าใจคนที่เขาชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารัก” จิมมี่บอกแบบนั้น ผมไม่ได้แสดงความเห็นอะไรนอกจากดื่มน้ำให้หมดแก้ว
.. เขาไปแล้ว เขาที่ตักโจ๊กเข้าปากไวมากๆและหมดชามก่อนใครแม้จะมาทีหลัง
ผมเดาว่านั่นคงเป็นนิสัยของคนที่แทบไม่มีเวลาทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
รีบกินแล้วก็รีบไปทำงานต่อ
“หมอเอยเขาอายุเท่าเราปะวะ”
“ละเมื่อกี้มึงไม่ถามอะ”
“กูเขินไอ้เหี้ย
เขาน่ารักอะ”
“มึงรู้ปะไอ้ชิน”
ผมส่ายหัว
“ถ้าเขาเป็นหมอที่ทำงานจริงจังในโรงพยาบาลก็คงอายุเท่าเราหรือไม่ก็มากกว่า
มีตัวเลือกแค่นี้” มีนพูดขึ้นและผมคิดตามในหัว
สรุปเอาเองว่าน่าจะอายุเท่ากันเพราะเขารู้อายุผมจากประวัติที่ผมกรอกและถ้าเขาต้องการเรียกชื่อเล่นผมหรืออยากให้คุยกันสบายๆ
น่าจะแปลว่าเราอายุเท่ากัน
“ถ้าอดนอนแล้วได้เจอหมอเขาทุกวัน
กูแม่งยอม”
“เกินไปนะเราอะจิมมี่”
“มึงคิดนะไอ้มีน
สภาพเขาคือใส่เสื้อยืด กางเกงบอล คีบแตะ ตาคล้ำแต่น่ารักแบบกูเพ้อ
มึงดูตอนเขากินข้าวดิ โอ๊ย กูอยากป้อน”
ผมกลอกตาใส่พวกมันเพราะก็แบบนี้
เห็นชอบแม่งทุกคน
“แสดงความเห็นหน่อยดิเสือ”
“เสือกอะไรเรื่องกูนัก”
“ดุจริง”
“นายญี่ปุ่นจะกลับคอนโดเลยปะ”
“อืม ..
โคตรง่วง” ผมบ่น เสยผมที่ยาวแล้วไปด้านหลัง เย็นๆนัดร้านตัดผมไว้ คงจะแค่ซอยๆช่วงที่ปรกตาออกนิดหน่อยเพราะไม่ได้มีแพลนตัดผมจริงจัง
“เออ
เจอกันพรุ่งนี้ อย่าลืมนะเว้ย มีซ้อมนะ กูนัดแปดครั้งแล้ว”
“ไม่ลืมๆ
เจอกันมึง”
“ขับรถดีๆนะไอ้พวกสันขวาน
วงเรายังขาดใครสักคนไปไม่ได้ กูต้องเก็บเงินซื้อหมานะเว้ย”
ไอ้เจ๋งที่อยากได้คอร์กี้นักหนาแหว ผมพยักพเยิดหน้าบอกลาเพื่อนๆที่แยกย้ายกันกลับ
ผมควบ harley-davidson สีดำของตัวเอง
จัดเบสที่สะพายไว้ด้านหลังให้เข้าที่
ส่วนหมวกกันน็อค
..
ช่างแม่ง
“ไอ้ชิน!
มึงเอาอีกแล้วนะ กูบอกให้ใส่หมวกด้วย!”
“ไอ้สัดดดด
มึงจอดเลยยย”
ผมขับออกมาแล้ว
ไม่ได้ฟังเสียงโวยวายของเพื่อนสนิทที่คบกันตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยจนถึงปัจจุบัน
ผมไม่ได้มีปัญหากับการเกิดอุบัติเหตุ ผมไม่ได้รู้สึกว่าถ้าผมตายหรือพิการ
การมีอยู่หรือดับไปของผมจะสร้างปัญหาให้กับใครแต่อย่างใด
ลมที่ปะทะใบหน้าทำให้รู้ว่าผมชอบตอนเช้าเพราะอากาศสดชื่น
“ … ”
แต่แล้วแผ่นหลังคุ้นเคยของคนที่กำลังจูงจักรยานเดินออกมาจากซอยซอยหนึ่งก็ทำให้ผมเลิกคิ้วกับตัวเอง
นั่นคงเป็นคนที่เพื่อนผมเพ้อถึงตลอดมื้อเช้า .. พนันว่าเขาคงแวะซื้ออย่างอื่นก่อนกลับบ้าน
ในวินาทีที่ผมกำลังจะขับผ่านเขาไป บางอย่างสั่งให้ผมบีบเบรก
เสียงบดของล้อรถที่ขับมาด้วยความเร็วมากกว่าปกติกับถนนทำให้เขาคนนั้นสะดุ้ง
“ชินตะ .. ”
เขาเรียกเสียงอ่อย
คิ้วขมวดเหมือนโกรธๆที่ผมทำให้เขาตกใจ ผมมองเขาที่แก้มขึ้นสีชมพูเพราะแดดเริ่มร้อน
เขาน่าจะเดินมาไกลพอสมควรแล้ว
“โซ่หลุด
แต่เราใกล้ถึงบ้านแล้ว”
“ใส่ไม่เป็น?”
“อือ”
เอยตอบในลำคอ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมอยากบีบแก้มเขาให้ร้องไห้
มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น
แต่ไม่น่าแปลกใหม่เพราะมันเคยเกิดขึ้นกับผมเวลาเห็นเด็กตัวเล็กๆที่เดินเริ่มเก่งแล้ว
อยากแกล้งให้ร้องไห้
“พยายามแล้ว”
“แก้ตัว”
“เอ้า
ว่ากันซะงั้น” เขาย่นจมูกและหลีกทางให้ผมที่จอดรถแล้วและไม่ได้จะทำอะไรเลยนอกจากใส่โซ่รถให้เขา
ผมย่อตัวลง สังเกตเห็นมือเขาที่เปื้อนน้ำมันจากโซ่รถจักรยานจนเป็นสีดำ
ผมเงยหน้าสบตากับเขาที่ยืนค้ำหัว
“เป็นเด็กหรือไง”
“อ่าว”
“หน้างอแง”
ผมเคยได้ยินคำนี้
..
คำว่างอแง
แต่ยังไม่เคยใช้กับใคร
“ก็หงุดหงิดนี่
ง่วงจะตายอยู่แล้ว”
“เลิกบ่นแล้วดู”
เขาโอดครวญกับตัวเอง
เป็นเสียงเหมือนลูกหมาแต่ไม่ได้น่ารำคาญ
ไม่นานนักเขาก็นั่งยองๆลงข้างๆตัวผมเพื่อดูวิธีการใส่โซ่จักรยาน
ผมเหลือบตามองจมูกรั้นๆ ผมยุ่งและแก้มแดงๆของคนที่ตั้งใจดูทุกขั้นตอน ..
“อ๋า
แบบนี้นี่เอง”
“อืม”
“แล้วมือเปื้อน
.. เช็ดกับเสื้อเราก็ได้ เสียสละ เดี๋ยวเลอะรถนะ รถแพงด้วย”
ผมมองปากเล็กๆนั่นพูดบอกยาวๆพร้อมกับดึงชายเสื้อตัวเองมาตรงหน้าผม พอยืนขึ้นแบบนี้
.. เขาตัวเล็กฉิบหายเลย
“เร็วเข้า”
ผมไม่ได้ตอบอะไร
สบตาเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ขึ้นรถตัวเอง
“เฮ้ย ชินนนน”
ผมออกรถหลังจากเขาลากเสียงยาวๆจบ
เคยได้ยินเหมือนกันว่าการพบกันครั้งแรกเป็นเรื่องที่ก็แค่เกิดขึ้น .. การพบกันครั้งที่สองโดยบังเอิญคือโชคชะตา
และถ้ามีครั้งที่สาม
.. เราเรียกมันว่าความตั้งใจ
○
.
“นี่กี่นิ้ว”
“อย่าถามเราเลยจัส
เราอยากนอน”
“เอยยยย
ตอบก่อน!”
“ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
ไปเล่นกับแฟนแกได้มั้ย”
“ตงก็ไม่อยากเล่นกับนี่”
คนตัวเล็กกว่าที่ลืมตาไม่ขึ้นอีกแล้วยกธงขาวให้เพื่อนสนิทต่างคณะอย่างจัสมิน
โรงพยาบาลที่เขามาใช้ทุนน่ะอยู่ใกล้ๆกับโรงพยาบาลสัตว์ที่จัสมินทำงานอยู่
บ้านเขาค่อนข้างไกลจากที่ทำงาน เขาเพิ่งออกเวรและง่วงเหลือทน
สุดท้ายก็ต้องมาอาศัยห้องจัสมินที่ใหญ่โตแบบมีห้องนอนสามห้องเพื่อของีบแล้วจะได้มีแรงขับรถกลับ
เขานอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ถ้ายังอยู่ในโรงพยาบาล
แม้จะมีห้องพักเล็กๆให้แต่ใจมันก็พะวงว่าเมื่อไหร่จะได้ตื่นไปช่วยคนไข้ .. ให้ตายเถอะ
“จัส”
“ตง ทำไงดี
เอยไม่ยอมเล่นกับผมเลย”
“อย่ากวนเพื่อน
เอยไม่ได้นอน มึงก็รู้ .. มานี่” เอยแอบลืมตาข้างหนึ่งมองจัสมินที่โดนแฟนตัวเล็กดึงหูออกไปจากห้องที่เขามาขออาศัยนอน
คนที่อิดโรยเหลือเกินปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
นึกถึงเหตุผลของการเริ่มต้นเรียนสายนี้ .. อาจจะเป็นเพราะเสียพ่อไปในช่วงที่แม่กำลังท้องพอดีและแม่พร่ำบอกเขาเสมอว่าถ้าตอนนั้นพ่อถึงมือหมอไวกว่านั้นคงจะดี
เอยก็เลยคิดว่าอยากจะเรียนหมอ
เผื่อจะได้ช่วยใครสักคนได้ทันเวลา
“เอย .. อ้าว
หลับแล้ว”
จัสมินพึมพำกับตัวเองเพราะเพื่อนสนิทหลับไปทั้งๆที่ไม่ได้ห่มผ้าห่มเลยด้วยซ้ำและตงไม่หึงหรอกถ้าเขาจะทำแบบนั้นให้กับคนที่ตงเอ็นดูซะตั้งขนาดนั้นอย่างเอยน่ะ
ตาคมมองเพื่อนตัวเล็กที่ท่าทางเหนื่อยสุดๆ
จะว่าเห็นเอยในสภาพนี้จนชินแล้วก็ใช่แหละแต่ทำใจให้ชินไปกับอะไรแบบนี้มันก็ยาก
เขาเรียนสัตวแพทย์มา ทำงานหนักไม่ได้ครึ่งหนึ่งของคนที่เรียนหมอและมีนิสัยขี้เกรงใจจนรับปากใครๆทุกทีเวลาเขาขอแลกเวรแบบนี้หรอก
เฮ้อ
เอยนะเอย
“มึงจะกวนเอยไปถึงไหน”
“ก็ไม่ได้เจอนาน
อยากคุยด้วยเฉยๆคร้าบบบ”
“ผอมลงตั้งเยอะ”
“ทำงานหนักไง
ดีนะผมไม่เรียนหมออะ ไม่งั้นคุณขาดใจตาย ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ประสาท”
“ตงอะ!”
จัสมินแหว
เดินตามหลังแฟนที่น่าจะไปทำอะไรไว้ให้เอยกินตอนตื่น
รายนี้น่ะเอ็นดูเพื่อนเขาแบบสุดๆ เอยเป็นคนอัธยาศัยดี
ไม่พูดคำหยาบและที่สำคัญคือความน่ารักแบบซื่อๆของเจ้าตัวนั่นแหละที่ทำให้เขากับเพื่อนๆชอบแหย่
“มึงไปสนิทกับเอยได้ยังไงนะ”
“ก็เรียนด้วยกันหลายเซคเลยตอนปีหนึ่งกับปีสอง
ทางนี้เห็นตัวเล็กๆก็อยากแกล้ง”
“เป็นอะไรนักกับคนตัวเล็กกว่า”
“ก็อยากแกล้งอะะะ”
จัสมินงอแงบอก วางคางไว้บนบ่าตงที่กำลังทำต้มจืดไว้ให้เพื่อนสนิทของจัสมินที่กลายมาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขาเหมือนกัน
“แล้วก็นั่นแหละ
พอจบมาก็ยังสนิทกันเพราะที่ทำงานเอยใกล้ที่ทำงานผมไง คุณหึงเหรอ”
“หึงที่หน้า”
“เนี่ย
ไม่เคยจะมีหรอก หึงหวงอะตง”
“ไปนอนมั้ย
เพ้อแล้วนะจัส”
“คนดีไม่รักกันเลย!”
สะบัดสะบิ้งเหมือนเด็กๆแต่ไม่ยอมเอาตัวออกห่างตงไปไหน
คนตัวเตี้ยกว่าทำแค่ถอนหายใจปรายตามองไอ้คนงอแงไม่เข้าเรื่อง
ตงทำต้มจืดใส่หม้อไว้ให้เอยจนเสร็จ
จัสมินขอกินหนึ่งถ้วยและเขาไม่ได้ว่าอะไร เราตัดสินใจนั่งดูหนังด้วยกันสักเรื่องฆ่าเวลา เพราะสองทุ่มมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย กว่าจะว่างตรงกันก็เล่นเอาปวดหัว
พอจะได้เจอกันทั้งทีจัสมินก็เลยตื่นเต้นขนาดนี้
“เมื่อไหร่เอยจะตื่นอะ
ผมอยากชวนเอยไปด้วยแล้ว”
“เขาต้องรีบกลับบ้านรึเปล่า
มึงอย่าวอแว”
“ฮึ่ย”
ยิ่งโตยิ่งงอแง
จัสมินเป็นแบบนั้น
ตงกดจมูกลงบนหัวของคนที่นอนเกยเขาเหมือนเป็นหมอนข้าง
หนังรักเรื่องนี้ที่เราดูด้วยกันเป็นสิบๆครั้งแล้วและยังจูบกันที่ฉากเดิมๆทำให้ใจเต้นขึ้นมา
..
ความรักคงเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง
ทำเรื่องธรรมดาให้พิเศษได้
“เอ่อ .. ”
ตงผละออกจากจัสมิน
ไม่ใช่เพราะลมหายใจขาดห้วงแต่เพราะบุคคลที่สามที่เกาะขอบประตูห้องนั่งเล่นแล้วมองมาเหมือนกับจะเป็นตากุ้งยิงทั้งๆที่พวกเขาก็แค่จูบกัน
เอยเหมือนเด็ก
..
เป็นแบบนั้นในสายตาทุกคนเสมอ
“คือเราจะมาบอกว่าขอนอนค้างด้วยได้มั้ย
แม่เราไปต่างจังหวัด เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้” สิสิรทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
มันทำให้จัสมินหัวเราะออกมาเบาๆกับความไม่เดียงสาของเพื่อนสนิท
“ได้อยู่แล้วและดีมากๆๆที่แม่เอยไม่อยู่”
“ทำไมงั้นอะ”
“จะชวนไปดื่ม
ไม่ๆ บังคับไป”
“เวร”
เอยอ้าปากพะงาบๆเพราะเขาไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่
“ไอ้จ๊าบก็ไป
ต้องเจอกันหน่อยดิเฮ้ย เพื่อนรักเลยนะนั่น”
“อ้าว จ๊าบไปเหรอ
.. งั้นเราไปก็ได้” เอยพยักหน้าหงึกหงัก ถึงจะง่วงนอนแต่ขอนอนอีกสักชั่วโมงแล้วไปด้วยก็ไม่เสียหาย
นอนน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กว่าจะว่างตรงกันนี่มันปาฏิหารย์แล้วนะเฮ้ย
“ไอ้จ๊าบคือดีใจจนเนื้อเต้นแน่ๆ”
“โอเคๆ
เราไปนอนก่อนนะ”
“ฝันดีเอย”
“ขอบคุณนะตง
ฝันดีครับ” ยิ้มบางๆบอกแล้วก็หายไปจากกรอบประตู
ตงพรูลมหายใจก่อนจะเขกหัวจัสมินไปที .. เมื่อกี้น่ะ
ทั้งๆที่ได้ยินแล้วว่าเพื่อนมาจ๊ะเอ๋แต่ไอ้คนหน้าด้านนี่ยังไม่ยอมถอนจูบ
บ้าบอ
“ไรอะคุณณณ”
“ไม่ต้องมาเกาะแกะ”
“ตงอะะะะ”
“ไม่ต้องเรียก”
“ตงจื้อ!”
เฮ้อ
⎯
“น้องเอยยยยยยยย
ความรักของกู”
“โอ๊ย!
น้องเอยยยย”
เจ้าของชื่อเบ้ปากก่อนจะจมหายไปในอ้อมแขนของเพื่อนมหาวิทยาลัยที่รุมกอดและหยิกแก้ม ไม่รู้อะไรนักหนา
ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่จะมาเรียกกันว่าน้องเอยๆตลอดเลย ให้ตายเหอะ
“วันนี้ฝนตกเป็นลูกอมแน่นอนไอ้เหี้ย
น้องเอยยอมมาร้านเหล้า กูจะบ้า”
“บุญของพวกกูแล้ว
ได้เจอน้องเอย”
เอยรู้จักกับเพื่อนของจัสมินทุกคน
คราวนี้มีเพื่อนของตงจื้อมาด้วยนิดหน่อยแล้วก็ยังมีเพื่อนในคณะเขาบางคนที่จัสมินไปชวนๆมาด้วย
กลายเป็นว่าเรานั่งโต๊ะใหญ่ที่สุดของร้านด้วยกันสิบกว่าคนซะงั้น
ว่าแต่คิดถึงเพื่อนๆชะมัดเลย
ให้ตายดิ
“มาให้พ่อหอมหัวหน่อยมาลูกมา”
“ปล่อยยยย”
เอยสะบัดตัวออกแต่สู้แรงจ๊าบไม่ไหว
คุณหมอที่จ๊าบสมชื่อเสมอเพราะทั้งตัดสกินเฮดและเจาะหูหอมหัวเพื่อนตัวเล็กแรงๆหลายที
เอยเบะจนจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีใครช่วยเลยสักคน ..
จริงๆอาจจะมีตงจื้อแต่จัสมินล็อกเอวไว้แน่นเหมือนหนวดปลาหมึกติดกุญแจสามชั้น
โอ๊ย
“จ๊าบ!
อย่ายุ่งกับเรา”
“ไม่ทันแล้วหนูเอ๊ย”
คราวนี้เอยโดนหอมแก้ม น้ำตาจะไหลแต่โดนจ๊าบแกล้งแบบนี้ประจำตั้งแต่สมัยเรียน
กว่าจะโดนมันปล่อยตัวก็เหนื่อยจนเถียงอะไรต่อไม่ไหว
“เนี่ย
ใครจับลูกกูแต่งตัว ผู้ชายมองทั้งร้านแล้ว”
“อย่าบ้าได้เปล่า”
“โดนด่าว่ะ
เป็นกูกูร้องไห้ละนะ โดนน้องเอยด่าอะ” เพื่อนคนอื่นๆแซวแต่จ๊าบไม่แคร์
เขามองเอยที่ใส่เชิ้ตสีดำผ้าทิ้งตัวปลดกระดุมสามเม็ด ไม่พ้นไอ้จัสมินมันนั่นแหละเพราะเสื้อตัวโตเหมือนใส่เสื้อผัวมาไม่มีผิด
“น้องเอย
ใครทำน้อง”
“แกนั่นแหละทำเราอยู่คนเดียวเลย!”
“โกรธแล้วว่ะๆๆๆ”
เอยชกอกเพื่อนไปหนึ่งทีเพราะเหนื่อยจะต่อกรกับจ๊าบ
ไม่นานหัวโต๊ะก็เริ่มแจกจ่ายแก้วเหล้า เอยไม่ถนัดเท่าไหร่เลยขอไซเดอร์แทนเหล้า
สุดท้ายก็ได้ไซเดอร์ที่ชอบกินอย่างทอฟฟีแอปเปิลมา
เขานั่งฟังเพื่อนๆคุยกันเรื่องงาน
ส่วนมากฝั่งตงที่เรียนนิเทศก็จะบ่นเจ้านายกัน
ฝั่งคุณหมอแบบพวกเขาหรือจัสมินก็คล้ายๆกันตรงที่งานเยอะแล้วก็ไม่ค่อยได้นอน
“ใช้ทุนหมดกูจะเปิดคลินิกแล้ว
เหนื่อยว่ะ”
“ชวนเอยไปทำงานด้วยเลยงั้น
ดูดิ ผอมจนแก้มหาย”
“อย่าล้อ”
เอยเอ็ดจัสมิน แต่เอาจริงๆเขาไม่อยากทำงานคลินิก .. อยากอยู่โรงพยาบาลรับเคสหนักๆซะมากกว่า
ก็นั่นแหละ มันฝังใจ
บทสนทนาของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่เพื่อนในรุ่นทำผู้หญิงท้องก็เลยต้องใช้ทุนด้วยเงินตัวเองเพื่อไปทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านแล้วช่วยเมียเลี้ยงลูก
ไหนจะการเก็บเงินเพื่อแต่งงานของเพื่อนฝั่งตงที่ดูยากและท้าทาย
สำหรับเอยไม่เคยคิดถึงการแต่งงานมาก่อน
มันฟังดูยุ่งยากยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“เออ
พวกมึงได้ยินมั้ยว่าวงที่จะเล่นวันนี้คือร้องดีฉิบหาย”
“ได้ยินแค่หล่อทั้งวง
ไม่เชื่อมึงดูปริมาณมนุษย์ผู้หญิงที่มารอดูดิ”
เอยหันไปมองรอบๆตามที่เพื่อนบอกและมันก็จริงด้วยแหละ วันนี้ผู้หญิงเยอะแยะไปหมดเลย
“เขาเป็นวงแบบไหนวะ
แบบกัมพ์มั้ย ออกอัลบั้มไรงี้?”
“ไม่เว้ย
กูได้ยินมาว่ามีคนมาติดต่อเยอะแต่เขาไม่คิดจะทำเป็นวงจริงจังขนาดนั้น
เหมือนแต่ละคนมีงานทำอยู่แล้วแล้วแค่เล่นตามร้านบ้างแก้เบื่อ”
“อินดี้ฉิบหาย”
“เออดิ
นี่กว่ากูจะจองร้านนี้ได้”
จัสมินบ่นแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจมาดูวงที่ว่าแต่จองเพราะมันคือตรงกลางระหว่างพวกเราทุกคนต่างหาก
แถมเดินทางมาง่ายอีก
“น้องสาวกูแม่งโคตรคลั่ง
คือมีสองคนมั้งที่เป็นนายแบบด้วย แบดบอยหน่อยแหละ ด้วยลุคด้วยอะไร
นี่ยังอยากจะขอเกาะกูมาเลย”
“กูว่าเป็นผู้ชาย
ถ้าโสดทำงานสายนี้ก็ไม่แย่อะ คนเข้ามาเยอะ มาๆไปๆ ดีลได้ก็เอา”
“ไอ้สัดดด
พูดจาเจ้าชู้ฉิบหาย”
“หรือมึงไม่ชอบอะ
วันไนท์สแตนด์” เอยฟังเพื่อนๆคุยกันแล้วก็อดเขินไม่ได้
เขายกมือขึ้นเกาแก้มและได้รับสายตาล้อเลียนจากจ๊าบที่น่าจะเดาใจกันออกว่าเขาไม่ค่อยประสีประสาเรื่องพวกนี้เท่าไหร่
“เฮ้ย
ขึ้นแล้วว่ะ”
“ไหนขอดูหน่อยดิ
หล่อเท่าท่านจ๊าบเขารึเปล่า”
“ตงว่าไงๆๆ
สู้ผมได้เปล่า”
“ไร้สาระ”
เอยหัวเราะเบาๆเพราะใบหน้างอๆของจัสมินโดนตอนตงจื้อเอ็ด
จริงๆคู่นี้น่ารักมากๆ ..
แต่ตอนที่มันยากจนจัสมินหงอยอันนั้นก็น่าสงสาร แต่ก็ผ่านมาแล้วนี่
คบกันมานานมากๆแล้วด้วย
ตากลมของคนที่เท้าคางจิบไซเดอร์รสหวานที่ชอบนักชอบหนามองไปที่เวที เขานั่งไม่ห่างจากตรงนั้นเท่าไหร่
เรียกได้ว่าสบตากับนักร้องได้สบายๆเลยล่ะ
แสงไฟมืดๆในร้านพลันสว่างขึ้นและพุ่งไปที่สมาชิกในวงที่เริ่มขึ้นมาประจำที่
เอยกวาดตามองมือกลองที่สวมเสื้อกล้ามสีขาวยี่ห้อกุชชี่
ใบหน้าคุ้นเคยนั่นทำให้เขาต้องหรี่ตามองดีๆตามประสาคนสายตาสั้น
“หล่อเปล่าน้องเอย”
“หรี่ตาแป๊บ”
“เด็กหนอเด็ก
จะบอกให้ว่าหล่อไม่เท่าพี่จ๊าบ”
“เงียบหน่า”
เอยตะปบหน้าเพื่อนไปทีเพราะจะมองมือกลอง
แต่เหมือนมันจะสายเกินไปแล้วเพราะนักร้องนำของวงขึ้นมาเรียกความสนใจไป
“สวัสดีครับ
พวกเรา no bad days ครับ”
เสียงกรี๊ดดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือและโห่ร้อง
เขาเชื่อแล้วนั่นแหละว่าวงนี้คงคุณภาพจริงๆเพราะทั้งผู้ชายแล้วก็ผู้หญิงก็มารอฟังวงนี้เล่นกันทั้งนั้น
คนถึงได้แน่นร้านแบบนี้
“จิมมี่นะครับ
ร้องนำ”
“ … ”
‘จิมมี่ครับ
โสด’
เดี๋ยวนะ
เอยชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว
“ส่วนนี่มือกลองวงเรา
ชื่อมีนครับ”
“ไอ้เหี้ย
เชื่อแล้วว่าหล่อ”
“จัสมิน
มึงหมองแล้วอะ”
“อย่าว่าพ่อกูนะเว้ย
อย่าให้พ่อกูต้องผงาด”
“กีตาร์
เจ๋งครับ”
บางคนเริ่มจำชื่อสมาชิกในวงได้ทีละคน
ทีละคน ..
รอยยิ้มสดใสของสามหนุ่มที่ยืนบนเวทีในวันนี้คือรอยยิ้มเดียวกันกับที่นั่งกินโจ๊กด้วยกันกับเขาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
แบบนี้ก็เหลือคนสุดท้ายแล้ว
“ชินตะครับ .. มือเบส”
จิมมี่แนะนำคนสุดท้ายที่เพิ่งขึ้นมาบนเวที
เป็นครั้งแรกที่เอยเห็นอีกคนสวมเสื้อยืดตัวหลวมๆและนั่นทำให้เขาเห็นว่าชินตะมีรอยสักที่ท้องแขน
แต่เขาไม่แน่ใจนักว่ามันคือรูปอะไร
แปลกดีเหมือนกัน
ที่เราสบตากันแม้ว่ารอบๆตัวจะมีคนอีกเป็นร้อย .. รสชาติของไซเดอร์ที่ถูกปากผ่านลำคอไปในจังหวะที่ดนตรีเริ่มบรรเลง
ผมสีดำปรกใบหน้าของคนที่กำลังโซโล่เบสหลังจากถอนสายตาออกไปจากเขา เอยมองมือใหญ่และก้านนิ้วยาวที่จับคอร์ดแล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ
แหวนที่อีกคนใส่
ความยาวของขาภายใต้สกินนี่สีดำสนิท
คอนเวิร์สหุ้มข้อที่อีกคนสวม
ตาคมที่มองตรงมาที่เขา
“ … ”
และไม่เคลื่อนไปไหนอีกเลย
tbc.
อัพไวจริง
งงมั้ย
ชั้นรู้หมดแล้ว ใครระแวงว่าเส้า
หยุดเดี่ยวนี้ หยุดทันที
ถ้าไม่หยุด ไม่เลิก
ชั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
เดี๋ยวรีบมาอัพเลย กำลังใจมา ของปัย ( •̀ᄇ• ́)ﻭ✧
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น