คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 3 rd step: วันแรกในมหาวิทยาลัย +ชีวิตนักเรียนช่วงแรกๆ
ก่อนวันเปิดเรียนหนึ่งวัน เรากลัวหามหาวิทยาลัยไม่เจอ แล้วจะไปสายในวันแรก เราเลยลองเดินไป ด้วยความที่คิดว่าไม่น่าไกลมาก เดินชิวๆเดี๋ยวก็ถึง ….ที่ไหนได้ 45นาทีคร้าบบบ (คือบางคนเช่น Flat Mate เราที่เป็นคนจีน เค้าบอกว่าไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย แค่นี้จิ๊บๆ แต่ผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ บอบบางๆแบบเรา ไม่ไหวค่า คือเดินไปอย่างเดียวอาจจะไหว แต่ให้เดินกลับด้วยทุกวันนี่ อาจจะแย่ได้) ดังนั้นเมื่อถึงวันเปิดเรียนจริงๆเราจึงเลือกนั่ง Bus ค่ะ ใช้เวลา15 นาทีก็ถึงที่เรียน
เมื่อเห็นมหาวิทยาลัยครั้งแรกก็ประทับใจมากๆค่ะ เพราะตึกส่วนใหญ่เป็นตึกเก่า คล้ายๆเป็นปราสาท เป็นโบสถ์สมัยโบราณ บางตึกก็เป็นคล้ายๆบ้านคนทาประตูสีน้ำเงินเข้มและปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้าน น่ารักมากๆค่ะ แต่ตึกที่เป็นอาคารสมัยใหม่ก็มีค่ะ จะเป็นส่วนของคณะวิศวกรรมศาสตร์
เนื่องจากมหาวิทยาลัยค่อนข้างใหญ่ เค้าเลยมีแผนที่ไว้แจกนักเรียนกันหลง พร้อมกับหนังสือคู่มือแนะนำที่กิน ที่เที่ยวในเมืองไว้ให้ด้วย บุคลากรที่นี่ส่วนใหญ่ใจดีค่ะ เวลาเรางงๆ หรือไม่เข้าใจสิ่งที่เค้าพูด เค้าก็จะพยายามบอกเราช้าๆ ไม่มีมาแบบทำหน้ารำคาญใส่ ทำให้เราประทับใจมากค่ะ ตอนแรกมาก็กลัวๆว่าที่นี่เค้าจะเหยียดผิวรึเปล่า หรือถ้าเราพูดไม่รู้เรื่องเค้าจะทำหน้าตาดูถูกรึเปล่า แต่ในมหาลัยก็ยังไม่เจอนะคะ….แต่นอกมหาลัยนี่สิ หึหึ เจอมาสามครั้ง จากพวกเด็กฝรั่งเกรียนๆ ทั้งชายและหญิงเลยค่า เดินๆอยู่ในเมืองก็มี วัยรุ่นเกรียนๆ มาพูด หนีห่าวๆ …จริงๆคือเค้าจะล้อเลียนคนจีนแต่พอดีเราก็หน้าตาเหมือนคนจีนซะด้วย (ที่นี่ฝรั่งส่วนใหญ่เค้าก็เหมาคนเอเชียเป็นคนจีนไปซะหมดค่ะ) ก็โกรธนะ แต่แบบโกรธไม่สุดเพราะอย่างน้อยเค้าก็ไม่ได้ล้อชาติเรา แต่ที่ไม่ชอบคือ พูดล้อเลียนไปตลอดทางนี่แหละ
กลับมาเล่าเรื่องในมหาลัยต่อดีกว่า ช่วงพักเที่ยง แต่ละคณะจะมีคาเฟ่ไว้ให้ นั่งจิบชา กาแฟ หรือาหารเบาๆทานกัน ถ้าใครอยากกินมื้อหนักต้องเดินไปซื้อที่Student Union ค่ะ ราคาอาหารที่นี่ไม่ถูกเอาซะเลย (แต่มหาลัยบอกว่าราคานี้ถือว่าไม่แพงแล้ว ซึ่งก็จริงถ้าเทียบกับทานร้านข้างนอกที่ไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ด) ตกอยู่ที่ 6-12 ปอนด์ (รวมเครื่องดื่ม) คิดเป็นเงินไทยก็ มื้อละสามร้อยบาทขึ้นไป…ดังนั้นส่วนมาก เราจะทำอาหารไปทานเองค่ะ เพราะถูกกว่ามากและได้กินที่แบบอยากกินด้วย
การเรียนการสอนที่นี่จะเป็นแบ่งเป็นLecture50% Seminar50% ตารางสอนไม่แน่นเหมือนตอนเรียนไทย แต่เค้าก็จะให้เอาเวลาว่างนั้นไปเข้าห้องสมุด หาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม และให้หาข้อมูลเพื่อทำProject ก่อน
ปัญหาของการเรียนที่เราพบอย่างแรกคือ เรื่องวิธีการเรียนนี่แหละค่ะ เพราะเราถนัดที่จะเรียนLecture และก็จำ จำ และจำทฤษฎีที่อาจารย์สอน เพื่อไปสอบ แต่ที่นี่ทำให้เราต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่เลย เพราะเค้าเน้นเรียนแบบCritical Thinking คือท่องๆไปอย่างเดียวไม่อาจมีชีวิตรอดได้ โดยเฉพาะวิชาสัมมนา ที่มีทุกวันตอนบ่าย สิ่งที่นำมาถกกันก็ไม่ใช่เอามาจากทฤษฎีอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักที่จะประยุกต์ใช้ให้เป็นด้วย ซึ่งเราว่าวิธีการเรียนแบบนี้มันช่วยพัฒนาระบบความคิดของเรามากเลย จากที่ไม่ค่อยคิดอะไร เพราะคิดไปก็เท่านั้น เพราะเวลาสอบก็สอบแต่ทฤษฎี ใครจำได้มากก็ได้คะแนนมาก ก็เปลี่ยนเป็นคนที่คิดเป็นมากขึ้น เท่าที่สังเกตดูวิชานี้ คนที่ตอบเก่งๆ และชอบเสนอความคิดเห็นคือ คนอินเดียค่ะ รองมาก็คนอังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส อเมริกา และประเทศตะวันตกทั้งหลาย แต่เด็กตะวันออกอย่างเราจะค่อนข้างเงียบค่ะ จีนอาจจะมีแสดงความคิดเห็นบ้าง แต่เด็กไทยแลดูเงียบสุด อาจจะด้วยวัฒนธรรมของเรา ที่ค่อนข้างจะขี้อาย และไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะกลัวผิด แล้วจะน่าแตกได้ ซึ่งการที่มหาลัยเน้นให้เรียนวิธีนี้ ช่วยให้เรากล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้นค่ะ เพราะวิธีแก้ปัญหาในแต่ละCase Study ที่ยกขึ้นมาไม่ได้มีคำตอบตายตัว สิ่งที่แต่ละคนยกขึ้นมาถกกันนั้นก็ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก อาจารย์ส่วนใหญ่ค่อนข้างเปิดกว้างในด้านความคิดมากๆเลยค่ะ
ปัญหาที่สองคือ สำเนียงของอาจารย์แต่ละท่านค่ะ ด้วยความที่เป็นคอร์สInternational อาจารย์ก็ International ด้วยค่ะ มีทั้งมาจากกรีก อิตาลี ศรีลังกา และอีกมากมาย ทำให้นอกจากสำเนียงBritish แท้ๆที่เราก็มีปัญหาอยู่มากพอควรแล้ว ยังต้องหัดฟังอาจารย์สำเนียงอื่นอีก ทำให้จดตามที่อาจารย์พูดไม่ทัน….อันนี้เลยต้องแก้ด้วยที่อัดเสียงค่ะ อัดทุกวิชา แล้วว่างๆก็เอามานั่งฟังอีกที ส่วนเรื่องปัญหากับสำเนียงBritish นั้น คือเราก็พยายามเปิดวิทยฺBBC ฟังทุกวันค่ะ คือสำหรับเราแล้วคนอังกฤษชอบพูดแล้วเสียอยู่ในคอ เราก็จะแบบฟังไม่รู้เรื่องละ T_T (เราว่าสำเนียงคนอเมริกันฟังง่ายกว่า)
ปัญหาที่สาม คือ การทำรายงานส่งค่ะ ที่นี่เวลาที่เราเขียนรายงานแล้วเราไปเอาคำพูดของใครมา หรือยกประโยคมาจากหนังสือเล่มไหนนี่ต้องอ้างอิงหมดนะคะ แล้วจะลอกมาแป๊ะๆทั้งดุ้นเลยก็ไม่ได้อีก จะต้องมาParaphrase อีก (แม้ว่าเราจะเอาคำพูดนั้นมาจากรายงานเล่มก่อนของเราก็ตาม เราก็ต้องอ้างอิงและParaphrase) แล้วเวลาว่งงานเค้าก็จะให้เราส่งผ่านระบบคอมของมหาลัยที่จะเช็คออกมาเลยว่างานของเราไปเหมือนของคนอื่นกี่% ถ้าไปเหมือนเยอะ งานนั้นก็จะตกไปค่ะ…โหดมาก เพราะที่นี่เค้าถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากถ้าคุณไปลอกใครเค้ามา…..และเรากำลังทำตัวให้ชินอยู่ค่ะ
คุยแต่เรื่องเรียนมาเยอะละ ครั้งหน้าเรามาคุยเรื่องกิจกรรมยามว่างกันบ้างดีกว่า
ความคิดเห็น