NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยาบ้าของคุณกันต์

    ลำดับตอนที่ #2 : เมียลูก

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 67


    เมียลูก

     

            “พี่ไหมครับ ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

              ไม่ได้อยากสอดรู้เรื่องของชาวบ้านหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชาวบ้านที่ว่านั้นคือภรรยาทางพฤตินัยของพ่อเขา

              แถมไอ้หนุ่มหล่อใส่แว่นนั่นก็ดูสนิทสนมจนเกินงาม แม้จะไม่ได้ใส่ใจน่าตาหรือชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนนัก แต่ก็ใช่ว่ากันต์พิพัฒน์จะทนให้ใครต่อใครหยามเกียรติกันซึ่งหน้าแบบนี้

            ‘ดูสิ ผัวตายไม่ทันไรก็มีใหม่สะแล้ว’

            ‘ถ้าบ้าแล้วมีผู้หล่อ ๆ มาดูแลไม่ห่างแบบนี้ ฉันยอมบ้า’

              และอีกสารพัดประโยคซุบซิบนินทาในทางล่อแหลมที่ลอยเข้ามาในหูให้ได้ยินตลอดพิธีการ จนเสียงนั้นแทบจะกลบเสียงพระสวด

              “อ่อ…คุณธนาค่ะ เธอเป็นลูกชายคุณทนายค่ะ”

              คุณทนายที่ไหมพูดถึงคือ ทนายธนากร ผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลและรับใช้ตระกูลกิตติวรเดชมาหลายสิบปี 

              กันต์พิพัฒน์ชำเลืองมองทั้งคู่อีกครั้ง เจอกันครั้งสุดท้ายแม่เลี้ยงบ้าของเขายังเป็นเพียงเด็กอายุ 17 ที่ไร้พิษสง น่าตาหม่นหมองไร้ความสุขดูท่าทางขี้โรค แววตาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คงเพราะตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น พ่อของเขาจัดการชุบตัวลูกเป็ดขี้เหร่ให้กลายเป็นหงส์สูงศักดิ์

              คงหมดไปเยอะ…

              น่าเสียดายเงินทองที่เสียไป เพราะสุดท้ายหญิงบ้าผู้นั้นก็ใช้ความสาวความสวยไปกับผู้ชายคนอื่น

              กันต์พิพัฒน์คิดอย่างอคติ…

     

              “คืนนี้คุณกันต์กลับไปนอนที่บ้านได้ไหมคะ” ป้านุ่มขอร้องชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มือเหี่ยวย่นของหญิงชราวัย 70 ปี จับอยู่ที่แขนเขา

              “ไม่ดีกว่าครับนม ผมไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก” เขาสาบานไว้ตั้งแต่วันที่หันหลังเดินออกมาจากที่นั่นแล้ว ว่าตนจะไม่หวนคืนกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นให้เป็นเสนียดเท้าตัวเอง

              ”ถือว่านมขอนะคะ” หญิงชราน้ำตาคลอหน่วย ใจอยากพูดบางสิ่งออกไป แต่เพราะเธอเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้เต็มปากเต็มคำ แต่ครั้นจะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไป เห็นทีกิตติวรเดชคงได้มัวหมองก็คราวนี้

              “เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”

              กำลังคิดหาคำปฏิเสธให้นุ่มนวล สายตาเจ้ากรรมดันไปเห็นภาพที่ไม่อยากเห็นเพราะคนพูดดันเดินเฉียดเข้ามาใกล้ 

              “ขอบคุณค่ะ” แม่เลี้ยงบ้าใบ้เขายกมือไหว้สวยพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยิ้มในแบบที่กันต์พิพัฒน์ไม่เคยได้จากเธอมาก่อน

              “ไม่เป็นไรครับคุณ…”

              “ธนาธิปครับ คุณกันต์เรียกผมว่าธนาก็ได้ครับ” ชายหนุ่มรีบแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมวงสนทนา

              “ครับ คุณธนา เดี๋ยวเรื่องคุณกานต์ผมจัดการเอง ยังไงเราก็อยู่บ้านเดียวกัน” กันต์พิพัฒน์ถือวิสาสะโอบแขนรอบเอวบางแล้วรั้งเข้าหากายตน ยังผลให้คนบ้าใบ้ถลึงตาจ้องกลับการกระทำที่แปลกประหลาดของลูกเลี้ยง

              “อ่อ…คือ”

              “ผมว่า ระหว่างนี้คุณควรระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะครับ พ่อผมยังนอนอยู่ในโลงนั่น จะทำอะไรก็ควรให้เกียรติท่านหน่อย อย่างน้อยก็รอให้เผาก่อน หวังว่าคุณคงรอได้นะครับ”

              ธนาธิบเข้าใจทุกคำที่อีกฝ่ายพูดออกมา และทุกคำที่เจ้านายของพ่อกล่าวมานั้นยิ่งตอกย้ำให้ข่าวคราวที่เขารับรู้มาพิสูจน์ได้แล้วว่าจริง

              ข่าวที่ว่า ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านกิตติวรเดชเป็นคนร้ายกาจ

     

              “อ้าว ตากันต์ จะกลับมานอนทำไมไม่บอกอาล่ะ จะได้สั่งให้พวกคนใช้ทำความสะอาดห้องไว้”

              ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบบ้านกิตติวรเดช กันต์พิพัฒน์ก็รู้ได้โดยทันทีว่าเพราะเหตุใดนมนุ่มคนเก่าคนแก่ของบ้านถึงคะยั้นคะยอแกมขอร้องให้เขากลับบ้านขนาดนั้น

              “ที่นี่บ้านผม จำเป็นด้วยหรือครับที่ผมต้องแจ้งใคร”

              “แหม อาก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น” อิงอรหน้าเสีย ใครเล่าจะคิดว่าคนที่ประกาศตัวว่าจะไม่มาเหยียบบ้านหลังนี้ จะกลืนน้ำลายตัวเองได้ลงคอ

              “ว่าแต่คุณอาเถอะครับ มาทำอะไรที่บ้านผม” 

              “กะ ก็อาเห็นว่าบ้านเราไม่มีใครดูแล อาเลยมาช่วยทำหน้าที่ตรงนี้ก่อน”

              “ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คุณอาคงไม่ต้องลำบากมาดูแลบ้านผมอีก”

              ริมฝีปากเธอเม้มแน่นด้วยความเครียด ไม่ไล่ก็เหมือนไล่ แต่ต่อให้ไล่อย่างไรเธอก็ไม่วันไปจากบ้านหลังนี้ 

              “อาเต็มใจ ยังไงพี่พัฒน์ก็เป็นพี่ชายของสามีอา วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว อาก็อยากทำอะไรตอบแทนเขาบ้าง”

              “แล้วทำไมตอนที่พ่อผมยังอยู่ คุณอาไม่คิดแบบนี้บ้างครับ”

              อิงอรแทบกระโจนเข้าไปฉีกทึ้งร่างหลานชายให้แหลกคามือ ปากคอเราะร้ายไม่เคยเปลี่ยนเช่นเดียวกับนิสัย ถ้ากันต์พิพัฒน์จะมีดีก็คงแค่หน้าที่หล่อเหลาดั่งเทพบุตร กับทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่ผู้เป็นบิดาสร้างไว้ให้เท่านั้น 

              “ก็ก่อนหน้าอาไม่ว่างเลย หลานก็รู้ว่าอามีธุรกิจหลายอย่างต้องดูแล” อิงอรพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ยอมให้หลานชายด่าว่าต่อขานเพราะตอนนี้เธออับจนหนทางแล้ว

              “ได้ข่าวว่าเจ๊งหมดแล้วนี่ครับ”

              ไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ความเป็นไปของคนที่นี่ เรื่องความล้มเหลวในการบริหารธุรกิจจนแทบล้มละลายของคุณอากับอาสะใภ้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขารู้มา

              “แหม ของแบบนี้มันก็ต้องมีบ้าง ถือว่าเป็นประสบการณ์น่ะ”

              “คุณอานี่ ประสบการณ์เยอะดีนะครับ”

     

              ทิ้งท้ายประโยคให้อิงอรเจ็บใจเล่น กันต์พิพัฒน์ก็เดินผ่านเธอขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ตรงไปยังห้องริมสุดซึ่งมันเคยเป็นห้องนอนของเขาเมื่อ 5 ปีก่อน

              แกร๊ก…

              สภาพห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้รกหรือมีฝุ่นจับอย่างที่คิด ชายหนุ่มเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ตนเคยใช้ หยิบกรอบรูปขึ้นมาดูด้วยความคิดถึงคนที่อยู่ในภาพ

              “ป่านนี้คุณแม่คงได้เจอกับคุณพ่อแล้วนะครับ” ถึงจะไม่ใช่สามีที่ดีนัก แต่คนอย่างพ่อเขาก็ไม่ได้ชั่วร้ายจนถึงกับตกนรก

              น้ำตาที่พยายามสกัดกั้นไว้ตลอดตั้งแต่เท้าสัมผัสผืนดินประเทศไทย ในยามนี้เมื่ออยู่เพียงลำพัง กันต์พิพัฒน์ก็ปล่อยออกมาอย่างไม่อายใคร 

              “อึก ผมคิดถึงคุณแม่ อึก กับคุณพ่อนะครับ”

              เพียงเพราะทิฐิที่ก่อเกิดเกาะกินใจ ทำให้กันต์พิพัฒน์หันหลังให้ผู้เป็นพ่อ และไม่คิดจะหวนกลับคืนหรือสนใจใส่ใจกัน เขาทำราวกับว่าบิดาบังเกิดเกล้าได้เสียชีวิตไปพร้อมกับมารดาในอุบัติครั้งนั้น

              จนวันนี้ที่หวนกลับมา มันก็สายเสียแล้วที่จะได้แสดงความรักความห่วงใยต่อกัน

              สายเสียแล้วที่จะได้พูดคำว่ารักและแสดงมันออกมา

              สายเสียแล้วที่จะได้กล่าวคำขอขมาในวันที่ลูกคนนี้ได้ล่วงเกิน

              ทุกอย่างมัน…สายเสียแล้ว

     

              หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนพิธีการงานฌาปนกิจ ก็ถึงช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย โดยเฉพาะอิงอรผู้คาดหวังความเมตตาจากพี่ชายคนโตของตระกูลว่าจะช่วยเหลือหล่อนบ้าง เพราะในยามที่พิพัฒน์ยังมีชีวิตอยู่ พี่ชายคนนี้ก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องของน้องชายเขาผู้ซึ่งเป็นสามีของเธอเลยสักครั้ง 

              จวบจนวันที่สามีเธอจากไปเพราะอุบัติเหตุ พี่ชายของสามีคนนี้ก็ยังรักและเอ็นดูเธอกับลูกสาวที่ไม่ได้ความเกี่ยวข้องกับสายเลือดกิตติวรเดชเลยแม้แต่น้อย

              ทนายอธิปเดินทางมาพร้อมกับลูกชายและนายตำรวจใหญ่ที่กันต์พิพัฒน์เคยเห็นตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ ว่าเป็นตำรวจน้ำดีของบ้านเมืองนี้ 

              “พินัยกรรมฉบับนี้ทำก่อนที่คุณพิพัฒน์จะเสียชีวิต 1 ปี ครับ โดยในขณะที่คุณพิพัฒน์ให้ผมทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมา ท่านมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน โดยในวันนั้นนอกจากผมแล้วก็ยังมีท่านผู้การต่อศักดิ์เป็นพยานรับรู้ด้วย” อธิปหยุดพูด หันมองนายตำรวจใหญ่ที่นั่งข้างกัน ก่อนกลับมาอ่านเนื้อความในพินัยกรรมต่อ

              “ข้าพเจ้า นายพิพัฒน์ กิตติวรเดช ขอยกทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อของข้าพเจ้า และของนางจิตติมา กิตติวรเดช ให้กับบุตรชายเพียงคนเดียว คือ นายกันต์พิพัฒน์ กิตติวรเดช”

              ไม่ผิดจากที่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านกิตติวรเดชคิดไว้ ทรัพย์สินมหาศาลจากผู้เป็นพ่อจะยกให้ใครได้เล่า นอกจากบุตรชายเพียงคนเดียว

              “จบแค่นี้หรือคะ” เป็นอิงอรที่ถามโพล่งขึ้นมา 

              “ยังครับ ยังมีสาระสำคัญในส่วนท้ายของพินัยกรรมที่ระบุเงื่อนไขการมอบทรัพย์สินครั้งนี้ด้วย”

              อิงอรแอบยิ้ม ต้นพินัยกรรมไม่มีชื่อเธอหรือทักษอรลูกสาวเธอเลยสักบรรทัด แต่มันยังเหลือส่วนท้าย หวังว่าตรงส่วนนั้นจะมีชื่อพวกเธอบ้าง ขอแค่อย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นอะไรที่พิพัฒน์มอบให้ มันก็สามารถต่อชีวิตพวกเธอไปได้อีกหลายสิบปี

              ที่ดิน…

              ทองคำ…

              เครื่องเพชร…

              เงินสด…

              หรือแม้แต่หุ้นในบริษัทสัก 1 เปอร์เซ็นต์ เธอก็อยู่เสวยสุขไปได้ชั่วชีวิตแล้ว

              “คุณกันต์พิพัฒน์จะต้องแต่งงานกับคุณกานติมา ศิริมงคลกุล ถึงจะรับทรัพย์สินทั้งหมดได้”

              “บ้า!...พ่อต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ” นั่นสิ เหตุผลกลใดที่พ่อต้องการให้เขาแต่งงานกับหญิงบ้าคนนั้น หญิงบ้าที่เคยเป็นเมียพ่อ 

              “ใจเย็นก่อนนะครับ” เป็นผู้การต่อศักดิ์ที่เข้ามาห้ามปรามหลานชายไม่ให้หัวร้อนจนไปต่อไม่ได้

              กันต์พิพัฒน์นั่งลงแต่อารมณ์ยังคงพุ่งทะยานสูง ยิ่งมองใบหน้าสวยหวานที่ยามนี้ตกใจจนซีดเซียวยิ่งให้โมโห

              “ผมขออ่านให้จบก่อนนะครับ แล้วหลังจากนั้น ท่านใดต้องการดูหรือคัดค้านเราค่อยมาว่ากัน” อธิปเริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง

              “เชิญคุณทนายต่อเลยค่ะ” อิงอรบอก ความหวังเธอยังอยู่ ตราบใดที่พินัยกรรมยังไม่จบลง

              “คุณกันต์พิพัฒน์และคุณกานติมาต้องแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นทั้งคู่จึงสามารถหย่าขาดจากกันได้”

              “แล้วถ้าผมไม่ทำตาม”

              “ทรัพย์สมบัติทุกอย่างต้องตกเป็นของคุณกานติมาครับ”

              “ได้ไง! กานติมามีสิทธิ์อะไร”

              “มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์เป็นดุลยพินิจและความต้องการของคุณพิพัฒน์ครับ”

              ใช่ว่าอยากได้ทรัพย์สมบัติอะไรพวกนั้น ปริญญาโทที่เรียนมากับงานที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็พอเลี้ยงชีพและพอเลี้ยงครอบครัวในอนาคตของเขาได้อย่างสบาย

              แต่ไม่พอใจก็ตรงที่พ่อตั้งใจยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับเมียบ้าของตัวเองนี่แหล่ะ คนบ้าจะมาบริหารบริษัท และจัดการกับทรัพย์สินทั้งหมดได้อย่างไร

              และที่ไม่พอใจเป็นที่สุดก็ตรงที่ ทรัพย์สินเหล่านั้นมีของแม่เขาอยู่ด้วย มันสมควรแล้วหรือจะตกไปเป็นของเมียรอง รู้ถึงไหนก็อับอายขายขี้หน้าไปนั่น 

              “ผมขอคุยกับคุณกานติมาสักครู่ครับ”

              ไม่รอให้คู่สนทนาได้เตรียมตัวเตรียมใจ หรือต้องรอคำอนุญาตจากใคร กันต์พิพัฒน์ลุกขึ้นฉวยมือกานติมาที่นั่งฝั่งตรงข้ามให้ลุกขึ้น

              ธนาธิปเห็นท่าไม่ดีลุกขึ้นหมายจะขวางทาง

              “ตามลำพัง” แต่เจอกันต์พิพัฒน์เบรคไว้ก่อน

              คนหัวร้อนกึ่งลากกึ่งจูงหญิงบ้าออกจากห้องรับแขกไปยังสวนหน้าบ้าน ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กกว่าจะก้าวทันหรือไม่

              “ปล่อยนะ!” กานติมาร้องขอ พยายามแกะมือหนาออก เขารัดแน่นจนข้อมือเธอจะหักแล้ว

              แต่คำขอเธอตกไป และเหมือนกันต์พิพัฒน์จะยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม จนคนบ้าน้ำตาคลอหน่วยเพราะความเจ็บ

              “เธอไปทำอีท่าไหน คุณพ่อถึงได้ยกให้เธอเป็นเมียฉันอีกคน” น่าขยะแขยงที่สุด ที่พ่อให้เขาใช้ผู้หญิงคนเดียวกับตัวเอง

              “ไม่รู้ กานต์ไม่รู้” กานติมาไม่รู้ตามที่ตอบจริง ๆ 

              “เธอจะไม่รูได้ไง เธอเป็นเมียพ่อฉันนะ”

              “ก็บอกว่าไม่รู้ อึก” น้ำไหลพรั่งพรูยามที่อีกคนตวาดลั่น ปกติคุณกันต์ก็น่ากลัวเหมือนยักษ์เหมือนมารอยู่แล้ว พอโมโหก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวไปอีกเท่าทวีคูณ

              “โธ่เว้ย! นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรวะ” เขาลืมเสียสนิทว่าเมียของพ่อเขาบ้า แล้วเหตุใดยังจะมาคาดคั้นเอาความจากคนบ้าอยู่ได้ คงได้รู้เรื่องกันหรอก

              เมื่อยืนคิดสะระตะจนใจที่เคยร้อนดั่งไฟสุ่มเริ่มเย็นลงจนไฟมอด กันต์พิพัฒน์ก็คิดหาหนทางได้ โดยที่ตนไม่ต้องเสียทรัพย์สมบัติของผู้เป็นแม่ไป

              “ได้ ในเมื่อคุณพ่ออยากให้ฉันเป็นผัวเธอนัก ฉันก็จะเป็นให้”

     

     

    **************************

    ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ คอมเม้นต์ติชมกันได้นะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×