คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เมียลูก
เมียลูก
“พี่ไหมครับ ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
ไม่ได้อยากสอดรู้เรื่องของชาวบ้านหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชาวบ้านที่ว่านั้นคือภรรยาทางพฤตินัยของพ่อเขา
แถมไอ้หนุ่มหล่อใส่แว่นนั่นก็ดูสนิทสนมจนเกินงาม แม้จะไม่ได้ใส่ใจน่าตาหรือชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนนัก แต่ก็ใช่ว่ากันต์พิพัฒน์จะทนให้ใครต่อใครหยามเกียรติกันซึ่งหน้าแบบนี้
‘ดูสิ ผัวตายไม่ทันไรก็มีใหม่สะแล้ว’
‘ถ้าบ้าแล้วมีผู้หล่อ ๆ มาดูแลไม่ห่างแบบนี้ ฉันยอมบ้า’
และอีกสารพัดประโยคซุบซิบนินทาในทางล่อแหลมที่ลอยเข้ามาในหูให้ได้ยินตลอดพิธีการ จนเสียงนั้นแทบจะกลบเสียงพระสวด
“อ่อ…คุณธนาค่ะ เธอเป็นลูกชายคุณทนายค่ะ”
คุณทนายที่ไหมพูดถึงคือ ทนายธนากร ผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลและรับใช้ตระกูลกิตติวรเดชมาหลายสิบปี
กันต์พิพัฒน์ชำเลืองมองทั้งคู่อีกครั้ง เจอกันครั้งสุดท้ายแม่เลี้ยงบ้าของเขายังเป็นเพียงเด็กอายุ 17 ที่ไร้พิษสง น่าตาหม่นหมองไร้ความสุขดูท่าทางขี้โรค แววตาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คงเพราะตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น พ่อของเขาจัดการชุบตัวลูกเป็ดขี้เหร่ให้กลายเป็นหงส์สูงศักดิ์
คงหมดไปเยอะ…
น่าเสียดายเงินทองที่เสียไป เพราะสุดท้ายหญิงบ้าผู้นั้นก็ใช้ความสาวความสวยไปกับผู้ชายคนอื่น
กันต์พิพัฒน์คิดอย่างอคติ…
“คืนนี้คุณกันต์กลับไปนอนที่บ้านได้ไหมคะ” ป้านุ่มขอร้องชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มือเหี่ยวย่นของหญิงชราวัย 70 ปี จับอยู่ที่แขนเขา
“ไม่ดีกว่าครับนม ผมไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก” เขาสาบานไว้ตั้งแต่วันที่หันหลังเดินออกมาจากที่นั่นแล้ว ว่าตนจะไม่หวนคืนกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นให้เป็นเสนียดเท้าตัวเอง
”ถือว่านมขอนะคะ” หญิงชราน้ำตาคลอหน่วย ใจอยากพูดบางสิ่งออกไป แต่เพราะเธอเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้เต็มปากเต็มคำ แต่ครั้นจะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไป เห็นทีกิตติวรเดชคงได้มัวหมองก็คราวนี้
“เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”
กำลังคิดหาคำปฏิเสธให้นุ่มนวล สายตาเจ้ากรรมดันไปเห็นภาพที่ไม่อยากเห็นเพราะคนพูดดันเดินเฉียดเข้ามาใกล้
“ขอบคุณค่ะ” แม่เลี้ยงบ้าใบ้เขายกมือไหว้สวยพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยิ้มในแบบที่กันต์พิพัฒน์ไม่เคยได้จากเธอมาก่อน
“ไม่เป็นไรครับคุณ…”
“ธนาธิปครับ คุณกันต์เรียกผมว่าธนาก็ได้ครับ” ชายหนุ่มรีบแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมวงสนทนา
“ครับ คุณธนา เดี๋ยวเรื่องคุณกานต์ผมจัดการเอง ยังไงเราก็อยู่บ้านเดียวกัน” กันต์พิพัฒน์ถือวิสาสะโอบแขนรอบเอวบางแล้วรั้งเข้าหากายตน ยังผลให้คนบ้าใบ้ถลึงตาจ้องกลับการกระทำที่แปลกประหลาดของลูกเลี้ยง
“อ่อ…คือ”
“ผมว่า ระหว่างนี้คุณควรระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะครับ พ่อผมยังนอนอยู่ในโลงนั่น จะทำอะไรก็ควรให้เกียรติท่านหน่อย อย่างน้อยก็รอให้เผาก่อน หวังว่าคุณคงรอได้นะครับ”
ธนาธิบเข้าใจทุกคำที่อีกฝ่ายพูดออกมา และทุกคำที่เจ้านายของพ่อกล่าวมานั้นยิ่งตอกย้ำให้ข่าวคราวที่เขารับรู้มาพิสูจน์ได้แล้วว่าจริง
ข่าวที่ว่า ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านกิตติวรเดชเป็นคนร้ายกาจ
“อ้าว ตากันต์ จะกลับมานอนทำไมไม่บอกอาล่ะ จะได้สั่งให้พวกคนใช้ทำความสะอาดห้องไว้”
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบบ้านกิตติวรเดช กันต์พิพัฒน์ก็รู้ได้โดยทันทีว่าเพราะเหตุใดนมนุ่มคนเก่าคนแก่ของบ้านถึงคะยั้นคะยอแกมขอร้องให้เขากลับบ้านขนาดนั้น
“ที่นี่บ้านผม จำเป็นด้วยหรือครับที่ผมต้องแจ้งใคร”
“แหม อาก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น” อิงอรหน้าเสีย ใครเล่าจะคิดว่าคนที่ประกาศตัวว่าจะไม่มาเหยียบบ้านหลังนี้ จะกลืนน้ำลายตัวเองได้ลงคอ
“ว่าแต่คุณอาเถอะครับ มาทำอะไรที่บ้านผม”
“กะ ก็อาเห็นว่าบ้านเราไม่มีใครดูแล อาเลยมาช่วยทำหน้าที่ตรงนี้ก่อน”
“ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คุณอาคงไม่ต้องลำบากมาดูแลบ้านผมอีก”
ริมฝีปากเธอเม้มแน่นด้วยความเครียด ไม่ไล่ก็เหมือนไล่ แต่ต่อให้ไล่อย่างไรเธอก็ไม่วันไปจากบ้านหลังนี้
“อาเต็มใจ ยังไงพี่พัฒน์ก็เป็นพี่ชายของสามีอา วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว อาก็อยากทำอะไรตอบแทนเขาบ้าง”
“แล้วทำไมตอนที่พ่อผมยังอยู่ คุณอาไม่คิดแบบนี้บ้างครับ”
อิงอรแทบกระโจนเข้าไปฉีกทึ้งร่างหลานชายให้แหลกคามือ ปากคอเราะร้ายไม่เคยเปลี่ยนเช่นเดียวกับนิสัย ถ้ากันต์พิพัฒน์จะมีดีก็คงแค่หน้าที่หล่อเหลาดั่งเทพบุตร กับทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่ผู้เป็นบิดาสร้างไว้ให้เท่านั้น
“ก็ก่อนหน้าอาไม่ว่างเลย หลานก็รู้ว่าอามีธุรกิจหลายอย่างต้องดูแล” อิงอรพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ยอมให้หลานชายด่าว่าต่อขานเพราะตอนนี้เธออับจนหนทางแล้ว
“ได้ข่าวว่าเจ๊งหมดแล้วนี่ครับ”
ไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ความเป็นไปของคนที่นี่ เรื่องความล้มเหลวในการบริหารธุรกิจจนแทบล้มละลายของคุณอากับอาสะใภ้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขารู้มา
“แหม ของแบบนี้มันก็ต้องมีบ้าง ถือว่าเป็นประสบการณ์น่ะ”
“คุณอานี่ ประสบการณ์เยอะดีนะครับ”
ทิ้งท้ายประโยคให้อิงอรเจ็บใจเล่น กันต์พิพัฒน์ก็เดินผ่านเธอขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ตรงไปยังห้องริมสุดซึ่งมันเคยเป็นห้องนอนของเขาเมื่อ 5 ปีก่อน
แกร๊ก…
สภาพห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้รกหรือมีฝุ่นจับอย่างที่คิด ชายหนุ่มเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ตนเคยใช้ หยิบกรอบรูปขึ้นมาดูด้วยความคิดถึงคนที่อยู่ในภาพ
“ป่านนี้คุณแม่คงได้เจอกับคุณพ่อแล้วนะครับ” ถึงจะไม่ใช่สามีที่ดีนัก แต่คนอย่างพ่อเขาก็ไม่ได้ชั่วร้ายจนถึงกับตกนรก
น้ำตาที่พยายามสกัดกั้นไว้ตลอดตั้งแต่เท้าสัมผัสผืนดินประเทศไทย ในยามนี้เมื่ออยู่เพียงลำพัง กันต์พิพัฒน์ก็ปล่อยออกมาอย่างไม่อายใคร
“อึก ผมคิดถึงคุณแม่ อึก กับคุณพ่อนะครับ”
เพียงเพราะทิฐิที่ก่อเกิดเกาะกินใจ ทำให้กันต์พิพัฒน์หันหลังให้ผู้เป็นพ่อ และไม่คิดจะหวนกลับคืนหรือสนใจใส่ใจกัน เขาทำราวกับว่าบิดาบังเกิดเกล้าได้เสียชีวิตไปพร้อมกับมารดาในอุบัติครั้งนั้น
จนวันนี้ที่หวนกลับมา มันก็สายเสียแล้วที่จะได้แสดงความรักความห่วงใยต่อกัน
สายเสียแล้วที่จะได้พูดคำว่ารักและแสดงมันออกมา
สายเสียแล้วที่จะได้กล่าวคำขอขมาในวันที่ลูกคนนี้ได้ล่วงเกิน
ทุกอย่างมัน…สายเสียแล้ว
หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนพิธีการงานฌาปนกิจ ก็ถึงช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย โดยเฉพาะอิงอรผู้คาดหวังความเมตตาจากพี่ชายคนโตของตระกูลว่าจะช่วยเหลือหล่อนบ้าง เพราะในยามที่พิพัฒน์ยังมีชีวิตอยู่ พี่ชายคนนี้ก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องของน้องชายเขาผู้ซึ่งเป็นสามีของเธอเลยสักครั้ง
จวบจนวันที่สามีเธอจากไปเพราะอุบัติเหตุ พี่ชายของสามีคนนี้ก็ยังรักและเอ็นดูเธอกับลูกสาวที่ไม่ได้ความเกี่ยวข้องกับสายเลือดกิตติวรเดชเลยแม้แต่น้อย
ทนายอธิปเดินทางมาพร้อมกับลูกชายและนายตำรวจใหญ่ที่กันต์พิพัฒน์เคยเห็นตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ ว่าเป็นตำรวจน้ำดีของบ้านเมืองนี้
“พินัยกรรมฉบับนี้ทำก่อนที่คุณพิพัฒน์จะเสียชีวิต 1 ปี ครับ โดยในขณะที่คุณพิพัฒน์ให้ผมทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมา ท่านมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน โดยในวันนั้นนอกจากผมแล้วก็ยังมีท่านผู้การต่อศักดิ์เป็นพยานรับรู้ด้วย” อธิปหยุดพูด หันมองนายตำรวจใหญ่ที่นั่งข้างกัน ก่อนกลับมาอ่านเนื้อความในพินัยกรรมต่อ
“ข้าพเจ้า นายพิพัฒน์ กิตติวรเดช ขอยกทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อของข้าพเจ้า และของนางจิตติมา กิตติวรเดช ให้กับบุตรชายเพียงคนเดียว คือ นายกันต์พิพัฒน์ กิตติวรเดช”
ไม่ผิดจากที่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านกิตติวรเดชคิดไว้ ทรัพย์สินมหาศาลจากผู้เป็นพ่อจะยกให้ใครได้เล่า นอกจากบุตรชายเพียงคนเดียว
“จบแค่นี้หรือคะ” เป็นอิงอรที่ถามโพล่งขึ้นมา
“ยังครับ ยังมีสาระสำคัญในส่วนท้ายของพินัยกรรมที่ระบุเงื่อนไขการมอบทรัพย์สินครั้งนี้ด้วย”
อิงอรแอบยิ้ม ต้นพินัยกรรมไม่มีชื่อเธอหรือทักษอรลูกสาวเธอเลยสักบรรทัด แต่มันยังเหลือส่วนท้าย หวังว่าตรงส่วนนั้นจะมีชื่อพวกเธอบ้าง ขอแค่อย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นอะไรที่พิพัฒน์มอบให้ มันก็สามารถต่อชีวิตพวกเธอไปได้อีกหลายสิบปี
ที่ดิน…
ทองคำ…
เครื่องเพชร…
เงินสด…
หรือแม้แต่หุ้นในบริษัทสัก 1 เปอร์เซ็นต์ เธอก็อยู่เสวยสุขไปได้ชั่วชีวิตแล้ว
“คุณกันต์พิพัฒน์จะต้องแต่งงานกับคุณกานติมา ศิริมงคลกุล ถึงจะรับทรัพย์สินทั้งหมดได้”
“บ้า!...พ่อต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ” นั่นสิ เหตุผลกลใดที่พ่อต้องการให้เขาแต่งงานกับหญิงบ้าคนนั้น หญิงบ้าที่เคยเป็นเมียพ่อ
“ใจเย็นก่อนนะครับ” เป็นผู้การต่อศักดิ์ที่เข้ามาห้ามปรามหลานชายไม่ให้หัวร้อนจนไปต่อไม่ได้
กันต์พิพัฒน์นั่งลงแต่อารมณ์ยังคงพุ่งทะยานสูง ยิ่งมองใบหน้าสวยหวานที่ยามนี้ตกใจจนซีดเซียวยิ่งให้โมโห
“ผมขออ่านให้จบก่อนนะครับ แล้วหลังจากนั้น ท่านใดต้องการดูหรือคัดค้านเราค่อยมาว่ากัน” อธิปเริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง
“เชิญคุณทนายต่อเลยค่ะ” อิงอรบอก ความหวังเธอยังอยู่ ตราบใดที่พินัยกรรมยังไม่จบลง
“คุณกันต์พิพัฒน์และคุณกานติมาต้องแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นทั้งคู่จึงสามารถหย่าขาดจากกันได้”
“แล้วถ้าผมไม่ทำตาม”
“ทรัพย์สมบัติทุกอย่างต้องตกเป็นของคุณกานติมาครับ”
“ได้ไง! กานติมามีสิทธิ์อะไร”
“มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์เป็นดุลยพินิจและความต้องการของคุณพิพัฒน์ครับ”
ใช่ว่าอยากได้ทรัพย์สมบัติอะไรพวกนั้น ปริญญาโทที่เรียนมากับงานที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็พอเลี้ยงชีพและพอเลี้ยงครอบครัวในอนาคตของเขาได้อย่างสบาย
แต่ไม่พอใจก็ตรงที่พ่อตั้งใจยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับเมียบ้าของตัวเองนี่แหล่ะ คนบ้าจะมาบริหารบริษัท และจัดการกับทรัพย์สินทั้งหมดได้อย่างไร
และที่ไม่พอใจเป็นที่สุดก็ตรงที่ ทรัพย์สินเหล่านั้นมีของแม่เขาอยู่ด้วย มันสมควรแล้วหรือจะตกไปเป็นของเมียรอง รู้ถึงไหนก็อับอายขายขี้หน้าไปนั่น
“ผมขอคุยกับคุณกานติมาสักครู่ครับ”
ไม่รอให้คู่สนทนาได้เตรียมตัวเตรียมใจ หรือต้องรอคำอนุญาตจากใคร กันต์พิพัฒน์ลุกขึ้นฉวยมือกานติมาที่นั่งฝั่งตรงข้ามให้ลุกขึ้น
ธนาธิปเห็นท่าไม่ดีลุกขึ้นหมายจะขวางทาง
“ตามลำพัง” แต่เจอกันต์พิพัฒน์เบรคไว้ก่อน
คนหัวร้อนกึ่งลากกึ่งจูงหญิงบ้าออกจากห้องรับแขกไปยังสวนหน้าบ้าน ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กกว่าจะก้าวทันหรือไม่
“ปล่อยนะ!” กานติมาร้องขอ พยายามแกะมือหนาออก เขารัดแน่นจนข้อมือเธอจะหักแล้ว
แต่คำขอเธอตกไป และเหมือนกันต์พิพัฒน์จะยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม จนคนบ้าน้ำตาคลอหน่วยเพราะความเจ็บ
“เธอไปทำอีท่าไหน คุณพ่อถึงได้ยกให้เธอเป็นเมียฉันอีกคน” น่าขยะแขยงที่สุด ที่พ่อให้เขาใช้ผู้หญิงคนเดียวกับตัวเอง
“ไม่รู้ กานต์ไม่รู้” กานติมาไม่รู้ตามที่ตอบจริง ๆ
“เธอจะไม่รูได้ไง เธอเป็นเมียพ่อฉันนะ”
“ก็บอกว่าไม่รู้ อึก” น้ำไหลพรั่งพรูยามที่อีกคนตวาดลั่น ปกติคุณกันต์ก็น่ากลัวเหมือนยักษ์เหมือนมารอยู่แล้ว พอโมโหก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวไปอีกเท่าทวีคูณ
“โธ่เว้ย! นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรวะ” เขาลืมเสียสนิทว่าเมียของพ่อเขาบ้า แล้วเหตุใดยังจะมาคาดคั้นเอาความจากคนบ้าอยู่ได้ คงได้รู้เรื่องกันหรอก
เมื่อยืนคิดสะระตะจนใจที่เคยร้อนดั่งไฟสุ่มเริ่มเย็นลงจนไฟมอด กันต์พิพัฒน์ก็คิดหาหนทางได้ โดยที่ตนไม่ต้องเสียทรัพย์สมบัติของผู้เป็นแม่ไป
“ได้ ในเมื่อคุณพ่ออยากให้ฉันเป็นผัวเธอนัก ฉันก็จะเป็นให้”
**************************
ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ คอมเม้นต์ติชมกันได้นะ
ความคิดเห็น