ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • o n m y m i n d | wonkyu •

    ลำดับตอนที่ #6 : [ฟิคแก้บน] wonkyu :: escape death ch.4

    • อัปเดตล่าสุด 12 ธ.ค. 58





    [ฟิคแก้บน]

     

    • Escape Death •


    -part 4-

     



           เสียงเครื่องยนต์ของรถยังคงแล่นไปตามถนนเรื่อย ๆ ตามทาง เยซองยังคงทำหน้าที่ขับรถโดยที่มีพวกห่านั้นอยู่ตามทางแต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายขนาดเข้ามารุมรถเขาเป็นฝูง มองไปทางกระจกหลังของรถที่มีแต่ความเงียบมาตลอดครึ่งชั่วโมงก็พบกับสมาชิกทั้งสามคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

     

                ซีวอนที่ตอนนี้เหม่อมองออกไปมองข้างทางพร้อมทั้งคิ้วที่ยังขมวดไม่คลายปมตั้งแต่อ่านข้อความในมือถือของคนรัก ในใจเยซองก็รู้ว่าซีวอนคงอยากจะให้เขาเร่งเครื่องเร็วกว่านี้ แต่เยซองก็ยังยืนยันว่านี่เร็วที่สุดแล้ว เขาแทบจะเหยียบสุดหน้าปัด แต่ถ้าทำแบบนั้นคงได้ไปถึงนรกมากกว่าถึงร้านของเขา

     

                ส่วนทงเฮตอนนี้ก็ขมวดคิ้วไม่แพ้กัน แต่ไม่ได้เพราะคิดมากถึงคนรักเหมือนซีวอนหรอก เพราะไปเด็กปากดีที่ดับเผลอหลับไปแล้วไปพิงอยู่ที่ไหล่ทงเฮจนน้ำลายยืดไปเลอะเสื้อเจ้าตัวนั่นแหละ

     

                ดูแล้วก็ขำ เหมือนทงเฮจะอยากผลักหัวเด็กนั่นออก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่อยากให้เจ้าตัวตื่น

     

                ตอนนี้มีเพียงเสียงแอร์และเสียงเครื่องยนต์เท่านั้น เขานึกถึงเจ้าของคนเก่าของรถคันนี้ที่ไม่มีดนตรีในหัวใจเสียบ้างเลย อย่างน้อยบนรถก็ควรจะมีเทปหรือเพลงสักแผ่นสิ แต่นี้ทั้งใช้สายตาหาทั้งวานให้เด็กตัวขาวช่วยหาก่อนเจ้าตัวจะหลับก็ไม่เจอ เลยเกิดเดดแอร์ขนาดย่อมขึ้นบนรถ

     

                “แม่งเอ้ย จะนอนก็นอนดี ๆ ดิว่ะ เอาน้ำลายมาให้กูอีก อ่าว นั่นหัวแม่งจะทิ่มอยู่แล้ว... โอ๊ย ไอเด็กเวร นอนดี ๆ สิว่ะ” แต่ก็ยังคงมีคนคนนึงที่เดี๋ยวบ่นเดี๋ยวเงียบเดี๋ยวหงุดหงิดตลอดทาง ทงเฮดูจะลำบากสุดที่มีภาระเป็นเด็กมหาลัยที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้โดนบังคับ(โดยทงเฮอีกนั่นแหละ)ให้กินยาแก้ปวดที่ฮันเกิงให้มา บวกกับบรรยากาศเวลานั่นรถไกล ๆ เลยทำให้หลับได้โดยง่าย

     

                แผลที่ขาของคยูฮยอนค่อยข้างน่ากลัว เขาไม่ได้เห็นเองแต่ได้ยินเสียงร้องอู้หู ตอนบอกให้คยูฮยอนเปิดแผลให้ดู ตอนนี้ความเจ็บมันเริ่มรุมเร้าแล้วคงปวดน่าดูแหละ เพราะดันไปวิ่งล่อไอตัวกินคนมาแถมยังต้องวิ่งตามมาขึ้นรถกับเขาอีก ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าไปใช้ฝีเท้าที่ไหนมาอีก บอกตามตรงว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง

     

                “เยซอง มึงขับเร็วกว่านี้อีกไม่ได้หรอวะ” นี่ก็อีกคน พอจะพูดทีก็มีแต่จะเร่งเร้าให้เขาเหยียบคันเร่งเพิ่ม

     

                “มึงอยากไปหาเมียหรืออยากไปหายมบาล”

     

                “บนถนนก็ไม่มีรถ มึงจะรักษาความเร็วไว้ทำเตี่ยอะไร”

     

                “ไว้ให้พวกเราไม่ตายห่ากันทั้งคัน กลายเป็นไอพวกบ้านั่นไง” ตอบไปอย่างหัวเสีย เมื่อไหร่ซีวอนจะเข้าใจว่าตอนนี้เขาก็รีบสุด ๆ แล้ว เขาก็เป็นห่วงหลิวเหวินเหมือนกันนะ แต่จะใจร้อนจนเหยียบมิดไม่สนใจรถรอที่จอดขวางทางจนต้องซิกแซกบ้างในบางครั้ง หรือถึงถนนจะโลงเขาก็ไม่ไว้ใจไอรถเศษเหล็กที่ขับอยู่นี่อยู่ดี

     

                ซีวอนหันกลับไปมองหน้าต่างอย่างหงุดหงิด และผลักหัวเด็กตัวขาวที่โงนเงนไปพิงไหล่ซีวอนเพราะเยซองหักหลบรถที่จอดขวางทางเจ้าตัวหน้าทิ่มไปชนเบาะคนขับจนสะดุ้งตื่น

     

                “อะไร เกิดอะไรขึ้น ไฟไหม้หรอ ?!

     

                เสียงโหวกเหวกของคนที่เพิ่งตื่นทำให้ทงเฮหัวเราะลั่น เยซองก็แอบขำเหมือนกัน คยูฮยอนยังคงตาบรือและอ้าปากเหวอหันมองรอบ ๆ อย่างพยายามตั้งสติและก็เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในรถกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแถมยังจับเคยจับเขามัดไว้อีกต่างหาก

     

                “อ่าว ไฟไหม้แล้วมึงไปหาน้ำมาเร็ว” ทงเฮหยอกเด็กนั่นไปพร้อมกับกลั้นขำ คยูฮยอนรีบหับขวับไปค้อนใส่คนที่ตอนเองนอนพิงน้ำลายหกมาตลอดทางทันที

     

                “ตลกมากไหมมึงอ่ะ ยิ่งหัวเราะมันจะยิ่งทำให้มึงเตี้ยลงไม่รู้หรอ”

     

                และสิ่งที่ได้กลับมาคือมือของคนขาสั้นที่อายุมากกว่าตบลงเข้าที่หัวของคยูฮยอนอย่างแรงจนเด็กตัวขาวมึนไปครู่นึง

     

                “กวนตีนละมึง”

     

                “เจ็บ”

     

                “เออกูตบให้เจ็บไง ไม่โง่ดิ”

     

                ไอ – สัด

     

                พึมพำด่าอีกคนอย่างเจ็บใจ ใช่ว่าอีทงเฮจะไม่ได้ยินเสียเมื่อไหร่ เพราะอย่างนั้นเขาเลยได้รับคำตอบรับกลับมาเป็นนิ้วกลางสั้น ๆ ของมันนี่ไง แม่งสั้นไปหมด สั้นทั้งตัว ไอสั้น ไอเตี้ย เจ็บใจ แม่งงง

     

                “เงียบหน่อย หนวกหู”

     

                เสียงเตือนจากอีกคนที่นั่งเงียบจะมีเสียงขึ้นมาก็แค่ขอให้เยซองเร่งความเร็วของพาหนะเอ่ยขึ้นมาทำให้สองคนที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กันหันไปมอง คยูฮยอนที่นั่งอยู่ตรงกลางจึงได้นั่งข้างทั้งซีวอนและทงเฮ ร่างโปร่งชะเง้อไปมองหน้าคนที่ดุขึ้นมาแต่หากสายตาก็ยังคงเหม่อมองออกไปข้างทางทั้งคิ้วขมวด

     

                “ไอพวกห่านั่นมันมีอะไรน่าสนใจมากหรือไงวะพี่” คยูฮยอนขยับเข้าไปใกล้ซีวอนพลางชะเง้อมองไปที่กระจกรถฝั่งซีวอนบ้าง แต่นั่นกลับทำให้โดนมือของซีวอนยันหัวให้กลับไปที่เดิมทันที โหยแม่ง ชอบใช้ความรุนแรงตลอด

     

                “กูบอกว่าให้นั่งเงียบ ๆ ”

     

                “พี่ไม่เบื่อหรือไง นั่งเงียบ ๆ มองออกไปนอกรถก็เจอแต่พวกห่านั่น มันมีอะไรน่าสนใจนักหนาว่ะ มาคุยกันดีกว่ามา”

     

                “กูไม่มีอะไรต้องคุยกับมึง”

     

                “แต่ผมมี ก่อนหน้านี้พี่ทำงานที่ไหน ?”

     

                “ไม่เสือก”          

     

                “หรือพี่ยังเรียนอยู่ แต่หน้าอย่างพี่น่าจะเป็นนักธุรกิจนะผมว่...”

     

                “กูบอกให้ หุบ – ปาก”

     

                “...”

     

                “เห๊ยมึง น้องมันก็ชวนคุยด้วยดี ๆ ไม่ชอบก็ตะคอกใส่มันไปก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาปืนจ่อกันเลย” ทงเฮเบิกตากว้างทันทีที่จู่ ๆ เด็กช่างตื้อก็โดนซีวอนเอาปืนจ่อหัวด้วยความรำคาญ สีหน้าที่หงุดหงิดจนน่ากลัวนั่นบอกเลยว่าไม่ได้ล้อเล่น ชเวซีวอนพร้อมจะเหนี่ยวไกใส่ถ้าเด็กนี่แหกปากอีกคำเดียว

     

                “กูบอกว่าแล้วไม่อยากคุยจะนั่งเงียบ ๆ หรือจะลงไปคุยกับพวกห่านั่นแทนก็เลือกเอา” ร่างสูงพูดทั้งยังจ่อปลายปืนใส่หน้าคยูฮยอน สายตาก็พยักเพยิดไปทางด้านนอกเพื่อบอกว่าพวกห่านั่นที่หมายถึงคือไปตัวที่กำลังกินไส้สด ๆ ของคนที่นอนอยู่ที่พื้นอย่างหิวกระหาย

     

                คยูฮยอนเลือกที่จะเงียบแต่โดยดีแต่ก็ยังหน้างอเมื่อโดนดุแบบนั้น เขาไม่ได้กลัวที่ซีวอนดุเพราะเข้าใจว่าตัวเองไปเซ้าซี้เองแต่ไม่ชอบที่อีกฝ่ายพร้อมจะไล่เขาไปตายอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณที่เคยช่วยซีวอนไว้ ถ้าเป็นใครก็ต้องช่วยอยู่แล้ว แต่กับคนตัวสูงนี่น่ะสิ ทำไมถึงทำเหมือนอยากให้เขาหายไปตลอดเวลา

     

                น้อยใจ ... คงเรียกความรู้สึกตอนนี้ได้ว่าแบบนั้นล่ะมั้ง

     

                ทงเฮมองหน้าหงอย ๆ ของเด็กตัวขาวแล้วก็ถอยหายใจ ที่คยูฮยอนไปตื้อจะคุยกับคนร่วมทางอีกด้านนึงมันเป็นเรื่องน่ารำคาญก็จริง แต่การโดนเอาปืนจ่อหน้าแล้วไล่ให้ลงไปตายแบบนั้นมันไม่ใช่การสร้างความทรงจำที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่

     

                “...” ทงเฮตัดสินใจดึงหัวเด็กนั่นให้นอนพิงที่ไหล่เขาเหมือนเดิมและขยับให้ตัวเองนั่งสูงขึ้น คยูฮยอนส่งสายตาไม่เข้าใจมาให้แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไรเมื่อเห็นสายตาเชิงบังคับของเขา หัวฟู ๆ นั่นยอมนอนและหลับตาแต่โดยดีโดยไม่ได้เปิดสงครามน้ำลายทะเลาะกันอีก

     

                ถ้าจะอยู่ด้วยกัน คงอีกนานกว่าจะเข้ากันได้

     

                ทุกอย่างต้องการเวลา ความสัมพันธ์ของคนเราก็เช่นกัน

     

     

    .

    .

     

     

     

                คยูฮยอนไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอหลับไปจริง ๆ

     

                แรงสะกิดจากขาขวาทำให้คยูฮยอนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตอนนี้รถจอดนิ่งแล้ว ตาปรือมองรอบ ๆ ก็เห็นว่ามีเพียงทงเฮที่นั่งนิ่ง ๆ ให้เขานอนพิงอยู่เพียงคนเดียว ตัวคนขับและคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเขานั่นไม่อยู่แล้ว

     

                “ถึงแล้ว”

     

                “อื้อ” คยูฮยอนพยักหน้ารับแล้วบิดขี้เกียจช้า ๆ  “นั่นร้านของเยซองหรือวะ”

     

                ทงเฮพยักหน้ารับคยูฮยอนที่ชี้นิ้วไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ทางด้านขวาไม่ไกลจากรถมากนัก ป้านของมันเป็นสีเหลืองอ่อนสลับน้ำตาลทำให้มองเห็นง่าย

     

                “ยังเจ็บเท้าอยู่มั้ย”

     

                “ถ้าบอกว่าเจ็บมึงจะให้กูขี่หลังป่ะล่ะ”

     

                “ก็เหี้ยล่ะ เอาดี ๆ ”

     

                “ก็เจ็บ แต่ก็ไหว” คยูฮยอนยักไหล่อย่างไม่ยีหระ

     

                “สัญญาก่อนถ้าไม่ไหวต้องบอก ห้ามฝืน”

     

                “ทำไม เป็นญาติฝ่ายไหนกันถึงต้องบอก เป็นห่วงกูหรือไง”

     

                “เดี๋ยวมึงเป็นตัวถ่วงกู”

     

                “อ้อเหรอ”

     

                ทงเฮล่ะเกลียดท่าทางเวลาพูดคำว่า อ้อเหรอ ของคยูฮยอนจริง ๆ เลย ให้ตายสิ...

     

                ทงเฮเอื้อมมือไปหยิบอาวุธของตนเองซึ่งก็เป็นอะไรไม่ได้นอกจากมีดสั้น เช่นเดียวกับคยูฮยอนที่สะพายเบ้ขึ้นบ่าและหยิบมีดสั้นที่เก็บไว้ในนั้นออกมาถือไว้ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะลงจากรถ โดยตกลงกันว่าจะลงทางฝั่งของทงเฮ

     

                มองไปทางด้านขวาของประตูฝั่งที่จะลง เขาเจอตัวนึงที่นอนตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้น ดูท่าทางมันคงไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวที่นอนกอง ๆ อยู่ที่พื้นหน้าร้านเกลื่อนกลาด คาดว่าคงเป็นฝีมือของซีวอนอย่างแน่นอน

     

                เอาเป็นว่า ตอนนี้ก็วางใจได้ระดับหนึ่งเพราะเขาไม่เห็นพวกตัวไหนที่จะลุกขึ้นมาวิ่งไล่กัดเขาได้

     

                ปึก

     

                ทงเฮเปิดประตูออกไปอย่างไม่รีบร้อนและค่อย ๆ พยุงคยูฮยอนที่ค่อย ๆ ก้าวขาออกมาทีละข้างอย่างทุลักทุเล พอเท้าข้างที่เจ็บอยู่แตะพื้นแล้วลองทิ้งน้ำหนักลงก็ถึงกับเซจนร่างของคนที่เตี้ยกว่ารีบถลาเข้ามาพยุงไว้

     

                “กลับเข้าไปในรถ”

     

                “กูไหวน่าทงเฮ”

     

                “ไม่ มึงไม่ไหว”

     

                “มึงไม่ใช่พ่อกู กูบอกว่าไหวก็ไหวไง ปล่อย” พูดพลางสะบัดมือจากการช่วยเหลืออย่างอวดดี คยูฮยอนเซนิดหน่อยและพยายามยืนให้ดี ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินอย่างปกติที่สุดและพยายามไม่ลงน้ำหนักไปที่ขาข้างขวาที่บาดเจ็บ ทงเฮมองตามไปเด็กตัวขาวไปอย่างหัวเสีย ดื้อ เด็กบ้านี่ดื้อชิบหาย

     

                “ถ้าไปพลาดท่าให้ไอบ้าตัวเองแดกล่ะกูจะยิงซ้ำให้”

     

                “ขอบคุณ”

     

                “ยินดี”

     

                ทั้งสองคนจบบทสนทนาไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนถึงหน้าร้านของเยซอง ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงมุมถนนพอดี คยูฮยอนเห็นไฟแว่บไปแว่บมาจากข้างใน คาดว่าทั้งสองคนคงกำลังใช้ไฟฉายส่องไปทั่วในร้านเพื่อหาคนที่กำลังตามหา คยูฮยอนมองไปรอบ ๆ ถ้าหลิวเหวินมาที่นี่ก็ต้องมีรถที่เครื่องยังอุ่นอยู่จอดอยู่ใกล้ ๆ

     

                แต่จากที่ดูโดนรวมแล้ว ไม่เห็นจะมีรถคันไหนที่ดูเหมือนจะเพิ่งมาจอดเลยสักนิด

     

                “พวกนั้นแน่ใจได้ยังไงว่าพวกคุณหลิวเหวินมาที่นี่แล้ว”

     

                “ไม่รู้สิ ซีวอนมันเปิดประตูลงไปก่อนรถจอดด้วยซ้ำ” ทงเฮพูดแล้วก็ทำปากเบ้ ๆ เมื่อนึกถึง “เยซองพอจอดรถแล้วก็รีบวิ่งตามเพื่อนมันไปแล้วให้กูปลุกมึง”

     

                “พวกบ้า”

     

                “เป็นครั้งแรกที่กูกับมึงคิดเหมือนกัน”

     

                คยูฮยอนหัวเราะแห้ง ๆ และร้องเย่เบา ๆ อย่างประชดประชัน มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย ร่างโปร่งค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปตามทางเรื่อย ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปข้างใน ขาเขาไม่ได้สะดวกจะเข้าไปอยู่ในที่แคบ ๆ ที่ถ้าต้องวิ่งหนีตายมีแต่ต้องกระโดดหลบเท่านั้นแบบนั้น สู้เดินดูรอบ ๆ และรออยู่ข้างนอกดีกว่า

     

                ร่างโปร่งเดินเข้าไปช่วยสงเคราะห์หนึ่งตัวที่นอนโดนรถทับยืนเมื่อตะเกียกตะกายมาทางเขา มีดเล่มเล็กถูกปักลงที่ขมับหนึ่งทีและทำให้มันนึงได้ทันที เขาเดินเข้าไปเปิดรถที่ทับมันอยู่เผื่อว่าข้างในนั้นจะมีอะไรให้เก็บไปบ้าง อย่างน้อยก็อาจจะเป็นอาหารหรือมีดที่ยาวกว่าตอนนี้

     

                “..!!”ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็สะดุ้งเผลอกระเผลกขาถอยออกมาแทบไม่ทันเมื่อศพที่อยู่ตรงที่นั่งคนขับร่วงลงมา ทงเฮเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาและใช้มีดปักมันจนมันสงบ

     

                “อย่าเปิดซี้ซั้ว หัดดูซะบ้าง”

     

                “รู้แล้วน่า” ตอนอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหลังหลังจากสำรวจดีแล้วก็มุดเข้าไปในตัวรถและหาของที่อยู่ข้างในรถทุกซอกทุกมุม

     

                และ...บิงโก! เขาเจอปืนที่ตกอยู่ตรงที่วางเท้า

     

                คยูฮยอนหยิบปืนออกมาตรวจสอบลูกกระสุนที่เหลืออยู่ในแมกกาซีน มันเหลืออยู่มากพอสมควร คยูฮยอนเก็บแมกกาซีนเข้าไปเหมือนเดิมและเอามันเหน็บไว้ที่หลังเอว

     

                “กูว่ามันนานไป” หลังจากสำรวจรถคันสุดท้ายเสร็จทงเฮก็ปิดประตูรถพร้อมกับส่งเสียงขึ้นถาม นี่มันก็หลายนาทีแล้ว ร้านของเยซองก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายที่จะสำรวจกันนานขนาดนั้น คยูฮยอนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหยิบเอาขนมขบเคี้ยวที่รถคันสุดท้ายยัดเข้ากระเป๋าเป้และนำทงเฮเดินกลับไปทางเดิม

     

                ภายในร้านของเยซองตอนนี้ไม่มีแสงจากไฟฉายแล้ว คยูฮยอนขมวดคิ้วสงสัย หรือจะออกกันมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเห็นสิ เพราะตอนสำรวจรถทีละคันเขาก็ไม่ได้ไปไกลขนาดที่จะมองไม่เห็นว่ามีใครออกมาจากร้าน

     

                “มึงกับกูโดนทิ้งแล้วมั้ง”

     

                ทงเฮพูดขึ้นมาพร้อมเฮอะออกมาอย่างเซ็ง ๆ ใช่... นั่นเป็นความคิดของคยูยอนในตอนนี้เหมือนกัน ร้านอาหารย่อมมีทางหลังร้าน ไม่แน่ทั้งสองคนอาจจะออกไปทางหลังร้านแล้วหารถสักคันสลัดพวกเขาไปแล้วก็ได้

     

                “เข้าไปดูข้างในเถอะ”

     

                “อย่าบ้า”

     

                “เผื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”

     

                “มึงโดนซีวอนมันทั้งไล่ทั้งเอาปืนจ่อหน้า มึงยังไปห่วงมันอีกหรอวะ” ทงเฮถามอย่างหัวเสีย ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้วจะสรุปเป็นอะไรได้อีกกัน ! ไม่เข้าใจไอเด็กนี่เลยว่าทำไมไม่ยอมเข้าใจอะไรสักที ขาก็บาดเจ็บอยู่ยังคิดจะเดินเข้าไปอีกหรือไง

     

                “เขาจะไล่กูยังไงก็ช่างเหอะ” คยูฮยอนพูดพลางมองที่ร้านกาแฟตรงหน้า “แต่ถ้าพวกเขาติดอยู่ในนั้นจริง ๆ กูเชื่อว่าเขาต้องคิดถึงพวกเราแน่นอน”

     

                “....”

     

                “มึงรอตรงนี้ก็ได้ แต่กู...จะเข้าไป”

     

                พอพูดจบคยูฮยอนก็หยิบเอาไฟฉายในกระเป๋าเป้มาเปิดและส่องเข้าไปด้านใน ถ้าซีวอนและเยซองเข้าไปแล้วจริง ๆ ยังไงทางเข้าก็น่าจะเคลียร์แล้ว ร่างโปร่งค่อย ๆ เดินกระเผลกเข้าไปตามทางเรื่อย ๆ เขาไม่ได้เจ็บที่เท้าขนาดนั้นถ้าไม่ได้ลงน้ำหนักมากเกินไป

     

                เขาได้ยินเสียงทงเฮสบถก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คยูฮยอนยิ้ม เขาเริ่มจับทางนิสัยของทงเฮได้แล้ว พวกปากร้ายแต่ใจดี อีทงเฮเป็นคนแบบนั้นล่ะ ถึงแม้จะปากหมาและพูดจาไม่เข้าหูไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาเลยต้องพูดจาแบบนั้นออกมา

     

                ภายในร้านมีทั้งกลิ่นกาแฟและกลิ่นคาวคลุ้งของเลือดปะปนกันจนคยูฮยอนต้องยกมือขึ้นมาอุดจมูก มันน่าอ้วกเสียจนอยากจะขย่อนเอาสิ่งที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้ออกมา คยูฮยอนเดินนำส่องไฟฉายไปตามทางเรื่อย ๆ โดยมีทงเฮส่องตามมาอยู่ข้าง ๆ ร่างที่เตี้ยกว่าไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าทงเฮกำลังหงุดหงิดที่เขาดื้อ แต่จะทำไงได้ เขาอยากเข้ามาพิสูจน์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าเขาโดนทิ้งจริงหรือเปล่า

     

                คยูฮยอนเดินขึ้นไปสำรวจที่ชั้นสองโดยให้ทงเฮเดินสำรวจข้างล่าง ข้างบน มันไม่ได้กว้างมากดูเหมือนจะเป็นที่พักเสียมากกว่า บนชั้นหนังสือยังคงมีบางเล่มที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างดี บ้างก็ร่วงหลนลงไปอยู่ที่พื้นอย่างกระจัดกระจาย มีศพของคนในชุดพนักงานของร้านนอนอยู่สองสามศพ เขารู้สึกว่าคนพวกนี้โชคร้าย น่าจะขึ้นมาหลบบนชั้นสอง แต่ก็หนีความตายไม่พ้น

     

                แต่การที่มีแต่ศพนั่นก็เป็นคำตอบของทุกอย่างได้แล้ว

     

                คยูฮยอนเม้มปากอย่างไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ทงเฮสันนิษฐาน อย่างน้อยซีวอนก็ไม่ได้มาคนเดียว ถ้าคิดจะทิ้งเขายังไงคนอย่างเยซองก็ต้องห้ามเอาไว้สิ

     

                ต้องเป็นอย่างนั้นสิ

     

                “ไอเป๋” ทันทีที่เท้าแตะลงที่ชั้นล่าง ทงเฮก็เรียกเขาเสียงเบาก่อนจะทำสัญญาณบอกให้ตามมา คยูฮยอนพยายามไม่คิดมาก เขาเดินตามทงเฮไป บางทีพวกซีวอนอาจจะอยู่ชั้นล่างด้านใน

     

                “...”

     

                ประตูหลังร้านที่ถูกเปิดค้างไว้ รอยเท้าของคนสองคนที่เปื้อนรอยเลือดก้าวโดยมีระยะห่างมากพอสมควรเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าเป็นรอยเท้าของคนที่กำลังวิ่ง รอยมันเพิ่งเกิด ไม่มีทางที่จะเป็นของคนที่วิ่งหนีตายออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

     

                “หึ คิดไว้แล้วไม่มีผิด”      

     

                “พวกเขาอาจจะวิ่งหนีพวกมันออกไปข้างนอกก็ได้”

     

                “มึงคิดว่าศพในร้านมันมีเป็นร้อยทำให้คนอย่างซีวอนต้องวิ่งหนีออกไปหรือวะ”

     

                “...”

     

                “กลับเข้าไปในร้านก่อน เดี๋ยวกูจะไปปิดประตูหน้าร้านไว้ คืนนี้เราจะค้างกันที่นี่ก่อน”

     

                คยูฮยอนก้มมองเลือดที่ขาของตัวเองที่เริ่มซึมออกมาจากผ้าสีขาว ร่างโปร่งเม้มปาก เขามองไปที่ทางข้างหน้าอย่างครุ่นคิด ข้างหน้ามีพวกมันอีกสิบกว่าตัวที่เดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมายและเหม่อลอย คยูฮยอนพาตัวเองเข้ามาก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูเงียบ ๆ

     

                กริ๊ก

     

                ...และล็อคมัน

     

                เขาผิดหวังในตัวซีวอนมากจริง ๆ ...

     

     

    .

    .

     

     

     

                “แฮ...”

     

                มือหนายกขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกไปให้ไอพวกเวรตามเสียงเขามา ที่แคบ ๆ ที่ทั้งเหม็นและอับชื้น ไหนจะกลิ่นเหงื่อจากตัวของเขาอีก มันไม่ใช่ที่ที่นี่ภิรมย์สักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้มันเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุด

     

                เมื่อรอเวลาผ่านไปได้สักพักสายตาคมก็สอดส่องไปยังด้านนอก เมื่อแน่ใจแล้วว่าไปตัวที่เขาวิ่งหนีมาเมื่อกี้มันได้เดินผ่านพวกเขาไปแล้ว ชเวซีวอนก็ก้าวออกมาจากซอกน้ำขังที่อับชื้น ตามมาด้วยเยซองที่เดินตามออกมาทั้งสองคนสูดลมหายใจเข้าแรง ๆ อย่างสุดกลั้น

     

                “ไหวไหมมึง ?” ซีวอนถามเพื่อน

     

                “อืม ไหว” เยซองตอบทั้งที่ยังหอบอยู่ เมื่อกี้พวกเขาเพิ่งวิ่งหนีพวกมันมาจากมุมตึกหลังร้าน ไม่คิดว่าการออกทางหลังร้านเพื่อหาเบาะแสของหลิวเหวินมันจะทำให้เจอแจ็คพ็อตขนาดนี้

     

                ตอนอยู่ในร้าน สีหน้าเพื่อนของเขาสิ้นหลังสุด ๆ ที่ไม่เจอร่องรอยของคนรักเลยสักนิด เยซองเลยชวนซีวอนให้ไปทางหลังร้านที่เป็นที่ทิ้งขยะและทางออกไปยังอีกซอยหนึ่ง ซึ่งซีวอนก็ยอมตามมาโดยดีแต่ระหว่างที่กำลังเลี้ยวที่หัวมุมตึกก็ต้องเบิกตากว้างทันทีเมื่อเจอพวกมันสิบกว่าตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้และโชคดีไปอีก...พวกมันรู้ถึงการมีตัวตนของเหยื่ออย่างพวกเขา

     

                จนต้องหนีตายมาหลบอยู่ตรงซอกตึกที่ทิ้งขยะอย่างน่าอนาถ รอฝูงกระหายเลือดพวกนั้นเดินผ่านไปจนหมดแล้วถึงจะค่อย ๆ ขยับตัวออกมา

     

                บ้าเอ๊ย

     

                “เราออกมานานไปแล้ว สองคนนั้นคงกำลังรออยู่”

     

                “อืม”

     

                “กูรู้ว่ามึงอยากเจอเธอ แต่... อย่าทำหน้าสิ้นหวังแบบนั้นได้ไหมวะ ถ้าชะตามึงกับเข้าต้องกันจริง ๆ ยังไงสักวันก็ต้องได้เจอ” เยซองปลอบใจเพื่อนสนิท สีหน้าที่สิ้นหวังแบบนั้นมันช่างน่าสงสาร ซีวอนเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเข้าไปทุกทีที่ไม่เจอร่องรอยของคนรัก

     

                “ไม่รู้สิ กูไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่”

     

                “การที่มึงได้เจอกับหลิวเหวินและได้รักเธอ มันยังพิสูจน์ไม่ได้อีกหรอวะ ?”

     

                “...”

     

                “อยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้เรามีกลุ่มแล้วนะ ทั้งกู ทงเฮ และก็เด็กนั่น พวกเราอยู่ด้วยกันได้ พวกเราช่วยกันตามหาเธอได้”

     

                “...กูอยากเจอเธอ”

     

                “กูรู้”

     

                “กูคิดถึงเธอ”

     

                “อื้อ กูรู้”

     

                “กูเป็นห่วงเธอแทบบ้าแล้วนะมึง กูจะอยู่ได้ยังไงถ้ายังไม่เจอ ยังไม่รู้ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”

     

                เยซองรู้ว่าเพื่อนของเขากำลังอ่อนแอ เขาตบบ่าเพื่อนเบา ๆ และบีบมันไว้แน่นให้รู้ว่ายังมีเขาอยู่ข้าง ๆ ซีวอนเม้มปากแน่นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แม้ใจจะอยากออกไปตามหาสุดล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้มันจะมืดแล้ว การเดินทางในที่ที่มองไม่เห็นอันตรายเกินไป

     

                “คืนนี้พักที่ร้านกูก่อน แล้วค่อยไปหาต่อ แถวนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว”

     

                เยซองมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็นำเพื่อนตัวเองเดินกลับไปทางหลังร้านที่ตัวเองเพิ่งวิ่งหนีตายออกมา ป่านนี้สองคนนั้นคงกำลังรออยู่ แถมเด็กตัวขาวคนนั้นก็กำลังบาดเจ็บอยู่ พวกเขาควรจะพักผ่อนได้แล้ว ยังไงร่างกายมนุษย์ก็มีขีดกำจัด

     

                กริ๊ก

     

                “...”

     

                “...”

     

                เยซองหน้าซีดทันทีที่มือบิดลูกบิดประตูหลังร้าน มันมีเสียงขยับเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ช่วยทำให้ประตูเปิดออกเหมือนปกติ นั่นเป็นสิ่งที่ยอกได้ว่ามันถูกล็อค เยซองบิดมันไปมาอีกสองสามทีเหมือนคนบ้า อย่ามาล้อเล่นนะ ข้างนอกนนี่ก็จะมืดอยู่แล้ว ประตูก็ยังจะมาล็อกอีกย่างนั้นหรอ?!

     

                เขาไม่รู้ว่าทงเฮกับคยูฮยอนลงจากรถตามเข้ามาในร้านหรือเปล่า ไม่รู้แน่ชัดว่าการที่ประตูล็อคเป็นฝีของใคร และถ้าเขาแหกปากโวยวายเรีบกใครก็ตามที่อยู่ข้างในออกไปใช่ว่าจะเป็นผลดี พวกห่านั่นได้แห่กันมารุมกินเขาอย่างพวกสัตว์กินเนื้อกันพอดี

     

                “ทำไงดีวะ มันล็อคได้ยังไงวะเนี่ย” เยซองยอมแพ้ก่อนจะปล่อยมือออกจากลูกบิดมาทึงผมตัวเองอย่างหัวเสีย “ต้องอ้อมไปเข้าทางหน้าร้าน”

     

                “เมื่อกี้เราเพิ่งรอดจากขบวนผีดิบมานะ มึงอยากเสี่ยงกลับไปล้อตาพวกมันอีกหรือไง” ซีวอนแย้ง เขาไม่เห็นด้วยกับการเดินตามรอยขบวนตัวกินคนเมื่อกี้เผื่ออ้อมไปเข้าทางหน้า

     

                “หาบ้านแถวนี้และเข้าไปพัก”

     

                “แล้วสองคนนั้นล่ะ”

     

                “ช่างหัวมันสิ”

     

                ซีวอนตอนอย่างไม่ใส่ใจ นั่นทำให้เยซองถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับนิสัยห่าม  ๆของเพื่อนตนเอง ร่างโปร่งเดินตามเพื่อนตัวสูงไปด้วยความกังวลใจ ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานเขาก็รู้สึกเป็นห่วงสองคนนั้นอยู่เหมือนกัน

     

                “พวกมันยังเป็นคน สมองมันยังคิดได้” เดินตามไปสักพักซีวอนก็พูดขึ้นมา

     

                “...”

     

                “ถ้ามันยังมีความฉลาดอยู่บ้าง มันจะไม่ทำให้ตัวเองตายห่าไปก่อนที่กูจะออกไปตามหามันพรุ่งนี้เช้า”

               

     

    .

    .

     

     

     

                หนาว

     

                คยูฮยอนกอดตัวเองแน่นขึ้นเมื่ออากาศตอนกลางคืนมันทำให้เขาขดตัวแน่นบนโซฟาที่อีทงเฮตัดสินใจยกมันให้เขาด้วยข้ออ้างที่ว่า สงเคราะห์ให้คนพิการ เฮาะ อยากเอาไอขาข้างที่เจ็บถีบยอดหน้ามันไปเหมือนกันว่ากูแค่บาดเจ็บไม่ได้ขาด้วน

     

                ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสองของร้านของเยซอง พวกเขาไม่ได้จุดไฟจากเทียนหรือเปิดไฟจากไฟฉาย เรานอนกันท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมของตอนกลางคืน คยูฮยอนสละผ้าห่มให้ทงเฮไปปูนอนที่พื้นกับทงเที่สละโฟซาให้คยูฮยอนนอน อย่างนี้มันก็แฟร์ดี

     

                เขานอนไม่กลับ มันปวดที่ขาหนึบ ๆ การกินยาแก้ปวดไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะมันไม่ใช่ยาชา คยูฮยอนคิดเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เขาหนีตายออกจากมหาลัยจนมาเจอคนพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นภายในวันเดียว กับคนที่เคยถูกมัดและเอาปืนจ่อตอนนี้กลับกลายเป็นเพื่อนร่วมทางกันไปแล้ว

     

                หมายถึงทงเฮคนเดียวน่ะนะ

     

                “เฮ้อ...” นอนไม่หลับ ไม่ว่ายังไงก็นอนไม่หลับ

     

                “ไง นอนไม่หลับล่ะสิมึง” เสียงของอีทงเฮดังไล่หลังมาทำให้คยูฮยอนค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งและหันไปมองคนที่นอนเอามือรองหัวตัวเองไว้ตาของอีกฝ่ายยังคงมองที่เพดานโดยไม่ได้หันมามองเขา

     

                “เออ”

     

                “แหงสิ เล่นนอนน้ำลายยืดตอนกลางวันไปตั้งสองรอบ”

     

                “เออ ก็เหนื่อย ง่วง ไปช่วยหมามา”

     

                “ปากดี”

     

                “ขอบใจ” โค้งหัวขอบคุณทงเฮอย่างประขดประชัน คยูฮยอนตัดสินใจไม่นอนต่อ และเอื้อมมือไปหยิบเอานิตยสารบนโต๊ะเตี้ย ๆ ตรงหน้ามาเปิดถึงแม้ตอนนี้แม่งจะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม

     

                “มึงจะเอายังไงต่อ”

     

                “หมายถึง ?”

     

                “ต่อจากนี้ไปจะเอายังไงต่อ ตอนแรกกูก็ไหลตามพวกซีวอนมันไปเรื่อย ๆ แต่พอแยกกันแบบนี้แล้วก็ไม่มีจุดมุ่งหมายว่ะ” ทงเฮตอบอย่างไม่ใส่ใจ

     

                “มึงไม่คิดจะตามหาญาติหรือคนรักเหมือนซีวอนบ้างหรือไง”

     

                “มีก็ดีดิ”

     

                “กำพร้า ?”

     

                “เปล่า ทั้งหมดนั่นตายห่าต่อหน้ากูไปหมดแล้ว” คำตอบของทงเฮทำให้คยูฮยอนวางนิตยสารและหันไปมอง ดวงตาของทงเฮสวย เขายอมรับ ลูกแก้วสีดำนั่นยังคงมองที่เพดานโดยไม่คิดจะหันมามองคู่สนทนาเหมือนเดิม เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทงเฮผ่านอะไรมาบ้าง

     

                “อยากเล่าไหม กูไม่บอกใครหรอก”

     

                “มึงคิดว่าจะมีใครให้มึงโพนทะนาเรื่องกูหรือไง”

     

                “ก็ถึงถามไง มา กูพร้อมเสือกแล้ว” คยูฮยอนตัดสินใจลุกจากโซฟา ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว การฟังเรื่องราวของเพื่อนร่วมทางมันคงไม่ได้แย่มากนัก ถ้าทงเฮไม่คิดจะทิ้งเขาเหมือนสองคนนั่น ยังไงเราก็คงต้องอยู่ด้วยกันอีกนานจนกว่าคนใดคนหนึ่งจะโง่ไปโดนกัดตาย

     

                “เด็กขี้เสือก” ร่างที่ยังนอนหลายอยู่ที่พื้นหันมาด่า

     

                “เขาเรียกว่าวัยกำลังเรียนรู้ ว่าไง เริ่มจากอายุแก่ ๆ ของมึงก่อนเลย หรือจะบอกชื่อพ่อแม่ให้กูเรียกเล่น ๆ ก็ได้” และนั่น เขาได้รับการตอบกลับเป็นมือของคนที่นอนอยู่เอื้อมมาตบจนเกือบหน้าทิ่ม

     

                “กูอายุ 25”

     

                “หูยแก่”

     

                “จะฟังไหม”

     

                “โอเค โทษ”

     

                ทงเฮมองหน้าคยูฮยอนที่ระริกนะรี้พร้อมเสือกเต็มที่ และเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง

     

                ทงเฮเป็นวิศวกรของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเรียกจบมาก็โดนบริษัทนี้ดึงตัวมาเข้าทำงานทันที วันที่เกิดเรื่องก็เป็นวันรวมญาติและเขาก็ถือโอกาสพาแฟนที่คบหากันมานานพอสมควรมาเปิดตัวด้วย เขาพา อี ฮยอกแจ แฟนหนุ่มร่างเล็กแต่ก็เป็นวิศวกรเหมือนเขา ทางบ้านเขาไม่ได้แอนตี้เรื่องความรักแบบนี้ ออกจะเอ็นดูฮยอกแจเสียด้วยซ้ำ

     

                ทงเฮไม่แน่ใจว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่จู่ ๆ พนักงานเสิร์ฟในชุดเด็กเสิร์ฟของภัตตาคาร ระดับห้าดาวเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ซวนเซ เดินเขวไปเขวมาอย่างผิดปกติจนพี่ชายเขาที่เป็นหมอต้องเดินเข้าไปดูเพราะเป็นห่วงตามสัญชาตญาณมากกว่าจะเข้าไปตำหนิพฤติกรรมแปลก ๆ และทันใดนั่น พนักงานคนนั้นก็กัดเข้าไปตรงคอพี่ชายเขาเข้าเต็มแรง

     

                และจากนั้นพี่ชายของเขาก็ลุกขึ้นมาไล่กัดญาติคนหนึ่งของเขาที่นั่งตกตะลึงอยู่

     

                ตามมาด้วยพ่อ แม่ และญาติของเขาเกือบทั้งโต๊ะ...และมันก็เกิดการกินการเป็นทอด ๆ อย่างกับพวกสัตว์กินเนื้อ

     

                เขาคว้ามือฮยอกแจทันทีที่ตั้งสติได้ ฮยอกแจมีสีหน้าตื่นตระหนกแต่ก็ยังตั้งสติได้ ทงเฮพยายามหนีจากไปพวกเวรที่พยายามไขว่คว้าตัวของเขาไว้ ตอนนั้นสิ่งไหนที่คว้าไว้เป็นอาวุธได้เขาก็คว้ามาหมด ฮยอกแจก็เช่นกัน ตอนนั้นเขานึกดีใจที่ฮยอกแจไม่ใช่เกย์ตุ้งติ้งที่ไม่ประสาเรื่องการป้องกันตัว

     

                แฟนของเขาเก่ง เขารู้ตั้งแต่วันที่เข้าไปจีบแล้ว

     

                แต่นั่น...ก็ยังไม่พอสำหรับไปพวกกระหายเลือดนี่

     

                “ฮ..ยอก..” เขาเรียกคนรักเสียงสั่นเครือ ดวงตาของเขาสั่นระริกที่มองร่างขาวบางตรงหน้ามีเลือดสีสดไหลออกมาจำนวนมากจากการโดนกัดที่ไหล่ และอีกตัวหนึ่งที่กัดเข้าที่ท้องของคนรักของเขาและลากไส้ออกมาเป็นสายยาว ฮยอกแจไม่แม้แต่จะร้องสักแอะ แต่กลับมองเขาทั้งน้ำตาและขยับปากไม่มีเสียงว่าให้เขาหนีไป

     

                ทงเฮเจ็บ หายใจไม่ออก เหมือนตายทั้งเป็น...

     

                เขาเข้าไปฟันไอบ้าที่กัดแฟนเขาอยู่อย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะอุ้มฮยอกแจขึ้นและรีบวิ่งออกมาจากตรงนั่น เขาร้องไห้ พยายามหาที่ซ่อน ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาคนอ้อมกอดนี้ไว้ แต่ก็ไม่ทัน... ร่างขาวบางแต่กลับเข็มแข็งกว่าใครหมดลมหายใจในอ้อมกอดของเขา และทงเฮเป็นคนกดมีดลงที่ขมับของคนรักเองเพื่อไม่ให้ร่างนี้เปลี่ยนสภาพ

     

                เขาแบกฮยอกแจออกจากที่ซ่อนในภัตตาคารในเช้าวันใหม่และนำศพของคนรักไปฝังไว้ในสวนดอกไม้แถวนั้น ฮยอกแจชอบดอกไม้ บนโต๊ะทำงานของคนตัวเล็กมักจะมีแจกันที่ประดับไปด้วยดอกไม้ที่เขาซื้อให้ทุกวัน

     

                ทงเฮนั่งทำใจอยู่ข้างสุสานของคนรักอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจออกมาจากเมืองที่ตัวเองอยู่ด้วยรถยนต์และตัดสินใจปักหลักลงที่อีกเมืองหนึ่งที่ยังมีพวกกินคนไม่เยอะเท่าที่ที่เขาหนีมา แต่เขาก็พลาดท่าจนเกือบโดนกัด โชคดีที่ได้พวกซีวอนมาช่วยพอดีเลยติดสอยห้อยตามมาด้วย

     

                “ก็ประมาณนี้แหละ” พูดพลางยักไหล่ให้เด็กตัวขาวที่นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ มันซึมไปเลยแฮะ

     

                “เศร้าเนอะ”

     

                “เศร้าแค่ไหนก็เอาเขากลับมาไม่ได้หรอก”

     

                “นางเอกขาเดินไม่ได้แล้วตอนจบยังมาตายอีก เศร้าว่ะ”

     

                “-______-

     

                นั่นแหละ อีทงเฮถึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าไม่ควรเล่าให้มันฟังเอาเสียเลย !

     

                เขาไม่รู้ว่าคยูฮยอนจุดเทียนแล้วตั้งไว้ตรงหน้าตัวเองพร้อมกับมีหนังสือเล่มหนาในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้หันหน้ามามองเขาแต่ดวงตากลับจดจ้องอยู่แต่กับในหนังสือเหมือนมันน่าสนใจมากเสียอย่างนั้น ทงเฮยู่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายและหันหน้ากลับมามองเพดานต่ออย่างพยายามไม่ใส่ใจ เอาเถอะ เด็กนี่มันก็ปากดีวอนตีนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้วนี่

     

                “แต่พระเอกนี่แม่งสุดยอดเลยว่ะ ไม่อาลัยอาวรณ์สักนิด แต่เลือกเก็บเขาไว้ในความทรงจำที่สวยงามที่สุด แถมยังพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปแทนนางเอกอีก”

     

                “...”

     

     

                “เป็นคนที่สุดยอดมากเลยเนอะว่ามั้ย ?”

     

                เด็กบ้าเอ๊ย

     

     

    .

    .

     

     

                เด็กบ้า...

     

                ใช่ โจว คยูฮยอนนี่มันเป็นเด็กบ้าจริง ๆ !!!

     

                อีทงเฮมองไปที่ข้างตัวที่ว่างเปล่า ไหนจะเดินไปที่โซฟาแล้วก็ไม่พบร่างของเด็กตัวขาวเลยสักนิดตอนนี้เป็นเวลาสว่างจนเกือบสายแล้วเขามองไปที่นาฬิกาตรงข้างฝาก็พบว่านี่มันเกือบจะเที่ยงแล้ว เมื่อคืนหลังจากคุยเรื่องของเขาจบพวกเราก็เงียบไปพักใหญ่ พอหันไปอีกทีก็พบว่าเด็กนั่นหลับทั้งท่านั่งไปแล้ว ทงเฮไม่ได้คิดจะปลุกและปล่อยให้หลับไปแบบนั้น ก่อนที่ตัวเองที่นอนอยู่ที่พื้นจะเข้าสู่ห้วงนิทราบ้าง

     

                เขาเดินหาคยูฮยอนทั่วร้านเล็ก ๆ ของเยซอง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของคยูฮยอน รถที่พวกเขาขับมาก็ยังคงจอดอยู่ที่เดิม ทงเฮอยากจะบ้าตายกับเด็กนี่ ! ขาเจ็บแล้วยังจะซ่าออกไปไหนอีกหรือไง ! ร่างแกร่งเดินไปทางหลังร้านที่เป็นตัวเลือกสุดท้าย

     

                และเขาคิดไว้ไม่มีผิด...

     

                ประตูหลังร้านถูกเปิดออกแล้ว

     

     

     

    TO BE CONTINUED

    พาร์ทนี้มันเฮคยู วอยเย่

    ชอบจัง อิ_____อิ

    งง ๆ เนอะ อีนี่ก็งงตัวเองเหมือนกัน

    อยากอ่านน้องอ้วนกันอ่ะดิ ไม่ให้อ่านหรอกกกกกก

    ขอแก้บนก่อนเน้ 55555555555555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×