คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [ฟิคแก้บน] wonkyu :: escape death ch.4
[ฟิคแก้บน]
• Escape
Death •
-part 4-
เสียงเครื่องยนต์ของรถยังคงแล่นไปตามถนนเรื่อย
ๆ ตามทาง
เยซองยังคงทำหน้าที่ขับรถโดยที่มีพวกห่านั้นอยู่ตามทางแต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายขนาดเข้ามารุมรถเขาเป็นฝูง
มองไปทางกระจกหลังของรถที่มีแต่ความเงียบมาตลอดครึ่งชั่วโมงก็พบกับสมาชิกทั้งสามคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ซีวอนที่ตอนนี้เหม่อมองออกไปมองข้างทางพร้อมทั้งคิ้วที่ยังขมวดไม่คลายปมตั้งแต่อ่านข้อความในมือถือของคนรัก
ในใจเยซองก็รู้ว่าซีวอนคงอยากจะให้เขาเร่งเครื่องเร็วกว่านี้
แต่เยซองก็ยังยืนยันว่านี่เร็วที่สุดแล้ว เขาแทบจะเหยียบสุดหน้าปัด
แต่ถ้าทำแบบนั้นคงได้ไปถึงนรกมากกว่าถึงร้านของเขา
ส่วนทงเฮตอนนี้ก็ขมวดคิ้วไม่แพ้กัน
แต่ไม่ได้เพราะคิดมากถึงคนรักเหมือนซีวอนหรอก
เพราะไปเด็กปากดีที่ดับเผลอหลับไปแล้วไปพิงอยู่ที่ไหล่ทงเฮจนน้ำลายยืดไปเลอะเสื้อเจ้าตัวนั่นแหละ
ดูแล้วก็ขำ
เหมือนทงเฮจะอยากผลักหัวเด็กนั่นออก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่อยากให้เจ้าตัวตื่น
ตอนนี้มีเพียงเสียงแอร์และเสียงเครื่องยนต์เท่านั้น
เขานึกถึงเจ้าของคนเก่าของรถคันนี้ที่ไม่มีดนตรีในหัวใจเสียบ้างเลย อย่างน้อยบนรถก็ควรจะมีเทปหรือเพลงสักแผ่นสิ
แต่นี้ทั้งใช้สายตาหาทั้งวานให้เด็กตัวขาวช่วยหาก่อนเจ้าตัวจะหลับก็ไม่เจอ
เลยเกิดเดดแอร์ขนาดย่อมขึ้นบนรถ
“แม่งเอ้ย
จะนอนก็นอนดี ๆ ดิว่ะ เอาน้ำลายมาให้กูอีก อ่าว นั่นหัวแม่งจะทิ่มอยู่แล้ว... โอ๊ย
ไอเด็กเวร นอนดี ๆ สิว่ะ” แต่ก็ยังคงมีคนคนนึงที่เดี๋ยวบ่นเดี๋ยวเงียบเดี๋ยวหงุดหงิดตลอดทาง
ทงเฮดูจะลำบากสุดที่มีภาระเป็นเด็กมหาลัยที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้โดนบังคับ(โดยทงเฮอีกนั่นแหละ)ให้กินยาแก้ปวดที่ฮันเกิงให้มา
บวกกับบรรยากาศเวลานั่นรถไกล ๆ เลยทำให้หลับได้โดยง่าย
แผลที่ขาของคยูฮยอนค่อยข้างน่ากลัว
เขาไม่ได้เห็นเองแต่ได้ยินเสียงร้องอู้หู ตอนบอกให้คยูฮยอนเปิดแผลให้ดู
ตอนนี้ความเจ็บมันเริ่มรุมเร้าแล้วคงปวดน่าดูแหละ
เพราะดันไปวิ่งล่อไอตัวกินคนมาแถมยังต้องวิ่งตามมาขึ้นรถกับเขาอีก
ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าไปใช้ฝีเท้าที่ไหนมาอีก บอกตามตรงว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง
“เยซอง
มึงขับเร็วกว่านี้อีกไม่ได้หรอวะ” นี่ก็อีกคน
พอจะพูดทีก็มีแต่จะเร่งเร้าให้เขาเหยียบคันเร่งเพิ่ม
“มึงอยากไปหาเมียหรืออยากไปหายมบาล”
“บนถนนก็ไม่มีรถ
มึงจะรักษาความเร็วไว้ทำเตี่ยอะไร”
“ไว้ให้พวกเราไม่ตายห่ากันทั้งคัน
กลายเป็นไอพวกบ้านั่นไง” ตอบไปอย่างหัวเสีย
เมื่อไหร่ซีวอนจะเข้าใจว่าตอนนี้เขาก็รีบสุด ๆ แล้ว
เขาก็เป็นห่วงหลิวเหวินเหมือนกันนะ
แต่จะใจร้อนจนเหยียบมิดไม่สนใจรถรอที่จอดขวางทางจนต้องซิกแซกบ้างในบางครั้ง
หรือถึงถนนจะโลงเขาก็ไม่ไว้ใจไอรถเศษเหล็กที่ขับอยู่นี่อยู่ดี
ซีวอนหันกลับไปมองหน้าต่างอย่างหงุดหงิด
และผลักหัวเด็กตัวขาวที่โงนเงนไปพิงไหล่ซีวอนเพราะเยซองหักหลบรถที่จอดขวางทางเจ้าตัวหน้าทิ่มไปชนเบาะคนขับจนสะดุ้งตื่น
“อะไร
เกิดอะไรขึ้น ไฟไหม้หรอ ?! ”
เสียงโหวกเหวกของคนที่เพิ่งตื่นทำให้ทงเฮหัวเราะลั่น
เยซองก็แอบขำเหมือนกัน คยูฮยอนยังคงตาบรือและอ้าปากเหวอหันมองรอบ ๆ
อย่างพยายามตั้งสติและก็เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในรถกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแถมยังจับเคยจับเขามัดไว้อีกต่างหาก
“อ่าว
ไฟไหม้แล้วมึงไปหาน้ำมาเร็ว” ทงเฮหยอกเด็กนั่นไปพร้อมกับกลั้นขำ
คยูฮยอนรีบหับขวับไปค้อนใส่คนที่ตอนเองนอนพิงน้ำลายหกมาตลอดทางทันที
“ตลกมากไหมมึงอ่ะ
ยิ่งหัวเราะมันจะยิ่งทำให้มึงเตี้ยลงไม่รู้หรอ”
และสิ่งที่ได้กลับมาคือมือของคนขาสั้นที่อายุมากกว่าตบลงเข้าที่หัวของคยูฮยอนอย่างแรงจนเด็กตัวขาวมึนไปครู่นึง
“กวนตีนละมึง”
“เจ็บ”
“เออกูตบให้เจ็บไง
ไม่โง่ดิ”
ไอ – สัด
พึมพำด่าอีกคนอย่างเจ็บใจ
ใช่ว่าอีทงเฮจะไม่ได้ยินเสียเมื่อไหร่
เพราะอย่างนั้นเขาเลยได้รับคำตอบรับกลับมาเป็นนิ้วกลางสั้น ๆ ของมันนี่ไง
แม่งสั้นไปหมด สั้นทั้งตัว ไอสั้น ไอเตี้ย เจ็บใจ แม่งงง
“เงียบหน่อย
หนวกหู”
เสียงเตือนจากอีกคนที่นั่งเงียบจะมีเสียงขึ้นมาก็แค่ขอให้เยซองเร่งความเร็วของพาหนะเอ่ยขึ้นมาทำให้สองคนที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กันหันไปมอง
คยูฮยอนที่นั่งอยู่ตรงกลางจึงได้นั่งข้างทั้งซีวอนและทงเฮ ร่างโปร่งชะเง้อไปมองหน้าคนที่ดุขึ้นมาแต่หากสายตาก็ยังคงเหม่อมองออกไปข้างทางทั้งคิ้วขมวด
“ไอพวกห่านั่นมันมีอะไรน่าสนใจมากหรือไงวะพี่”
คยูฮยอนขยับเข้าไปใกล้ซีวอนพลางชะเง้อมองไปที่กระจกรถฝั่งซีวอนบ้าง
แต่นั่นกลับทำให้โดนมือของซีวอนยันหัวให้กลับไปที่เดิมทันที โหยแม่ง ชอบใช้ความรุนแรงตลอด
“กูบอกว่าให้นั่งเงียบ
ๆ ”
“พี่ไม่เบื่อหรือไง
นั่งเงียบ ๆ มองออกไปนอกรถก็เจอแต่พวกห่านั่น มันมีอะไรน่าสนใจนักหนาว่ะ
มาคุยกันดีกว่ามา”
“กูไม่มีอะไรต้องคุยกับมึง”
“แต่ผมมี
ก่อนหน้านี้พี่ทำงานที่ไหน ?”
“ไม่เสือก”
“หรือพี่ยังเรียนอยู่
แต่หน้าอย่างพี่น่าจะเป็นนักธุรกิจนะผมว่...”
“กูบอกให้
หุบ – ปาก”
“...”
“เห๊ยมึง
น้องมันก็ชวนคุยด้วยดี ๆ ไม่ชอบก็ตะคอกใส่มันไปก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาปืนจ่อกันเลย”
ทงเฮเบิกตากว้างทันทีที่จู่ ๆ เด็กช่างตื้อก็โดนซีวอนเอาปืนจ่อหัวด้วยความรำคาญ
สีหน้าที่หงุดหงิดจนน่ากลัวนั่นบอกเลยว่าไม่ได้ล้อเล่น
ชเวซีวอนพร้อมจะเหนี่ยวไกใส่ถ้าเด็กนี่แหกปากอีกคำเดียว
“กูบอกว่าแล้วไม่อยากคุยจะนั่งเงียบ
ๆ หรือจะลงไปคุยกับพวกห่านั่นแทนก็เลือกเอา”
ร่างสูงพูดทั้งยังจ่อปลายปืนใส่หน้าคยูฮยอน
สายตาก็พยักเพยิดไปทางด้านนอกเพื่อบอกว่าพวกห่านั่นที่หมายถึงคือไปตัวที่กำลังกินไส้สด
ๆ ของคนที่นอนอยู่ที่พื้นอย่างหิวกระหาย
คยูฮยอนเลือกที่จะเงียบแต่โดยดีแต่ก็ยังหน้างอเมื่อโดนดุแบบนั้น
เขาไม่ได้กลัวที่ซีวอนดุเพราะเข้าใจว่าตัวเองไปเซ้าซี้เองแต่ไม่ชอบที่อีกฝ่ายพร้อมจะไล่เขาไปตายอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณที่เคยช่วยซีวอนไว้ ถ้าเป็นใครก็ต้องช่วยอยู่แล้ว
แต่กับคนตัวสูงนี่น่ะสิ ทำไมถึงทำเหมือนอยากให้เขาหายไปตลอดเวลา
น้อยใจ
... คงเรียกความรู้สึกตอนนี้ได้ว่าแบบนั้นล่ะมั้ง
ทงเฮมองหน้าหงอย
ๆ ของเด็กตัวขาวแล้วก็ถอยหายใจ ที่คยูฮยอนไปตื้อจะคุยกับคนร่วมทางอีกด้านนึงมันเป็นเรื่องน่ารำคาญก็จริง
แต่การโดนเอาปืนจ่อหน้าแล้วไล่ให้ลงไปตายแบบนั้นมันไม่ใช่การสร้างความทรงจำที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่
“...”
ทงเฮตัดสินใจดึงหัวเด็กนั่นให้นอนพิงที่ไหล่เขาเหมือนเดิมและขยับให้ตัวเองนั่งสูงขึ้น
คยูฮยอนส่งสายตาไม่เข้าใจมาให้แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไรเมื่อเห็นสายตาเชิงบังคับของเขา
หัวฟู ๆ นั่นยอมนอนและหลับตาแต่โดยดีโดยไม่ได้เปิดสงครามน้ำลายทะเลาะกันอีก
ถ้าจะอยู่ด้วยกัน
คงอีกนานกว่าจะเข้ากันได้
ทุกอย่างต้องการเวลา
ความสัมพันธ์ของคนเราก็เช่นกัน
.
.
คยูฮยอนไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอหลับไปจริง
ๆ
แรงสะกิดจากขาขวาทำให้คยูฮยอนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
เขาพบว่าตอนนี้รถจอดนิ่งแล้ว ตาปรือมองรอบ ๆ ก็เห็นว่ามีเพียงทงเฮที่นั่งนิ่ง ๆ
ให้เขานอนพิงอยู่เพียงคนเดียว
ตัวคนขับและคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเขานั่นไม่อยู่แล้ว
“ถึงแล้ว”
“อื้อ”
คยูฮยอนพยักหน้ารับแล้วบิดขี้เกียจช้า ๆ “นั่นร้านของเยซองหรือวะ”
ทงเฮพยักหน้ารับคยูฮยอนที่ชี้นิ้วไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ทางด้านขวาไม่ไกลจากรถมากนัก
ป้านของมันเป็นสีเหลืองอ่อนสลับน้ำตาลทำให้มองเห็นง่าย
“ยังเจ็บเท้าอยู่มั้ย”
“ถ้าบอกว่าเจ็บมึงจะให้กูขี่หลังป่ะล่ะ”
“ก็เหี้ยล่ะ
เอาดี ๆ ”
“ก็เจ็บ
แต่ก็ไหว” คยูฮยอนยักไหล่อย่างไม่ยีหระ
“สัญญาก่อนถ้าไม่ไหวต้องบอก
ห้ามฝืน”
“ทำไม
เป็นญาติฝ่ายไหนกันถึงต้องบอก เป็นห่วงกูหรือไง”
“เดี๋ยวมึงเป็นตัวถ่วงกู”
“อ้อเหรอ”
ทงเฮล่ะเกลียดท่าทางเวลาพูดคำว่า
อ้อเหรอ ของคยูฮยอนจริง ๆ เลย ให้ตายสิ...
ทงเฮเอื้อมมือไปหยิบอาวุธของตนเองซึ่งก็เป็นอะไรไม่ได้นอกจากมีดสั้น
เช่นเดียวกับคยูฮยอนที่สะพายเบ้ขึ้นบ่าและหยิบมีดสั้นที่เก็บไว้ในนั้นออกมาถือไว้
พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะลงจากรถ โดยตกลงกันว่าจะลงทางฝั่งของทงเฮ
มองไปทางด้านขวาของประตูฝั่งที่จะลง
เขาเจอตัวนึงที่นอนตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้น
ดูท่าทางมันคงไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวที่นอนกอง ๆ
อยู่ที่พื้นหน้าร้านเกลื่อนกลาด คาดว่าคงเป็นฝีมือของซีวอนอย่างแน่นอน
เอาเป็นว่า
ตอนนี้ก็วางใจได้ระดับหนึ่งเพราะเขาไม่เห็นพวกตัวไหนที่จะลุกขึ้นมาวิ่งไล่กัดเขาได้
ปึก
ทงเฮเปิดประตูออกไปอย่างไม่รีบร้อนและค่อย
ๆ พยุงคยูฮยอนที่ค่อย ๆ ก้าวขาออกมาทีละข้างอย่างทุลักทุเล
พอเท้าข้างที่เจ็บอยู่แตะพื้นแล้วลองทิ้งน้ำหนักลงก็ถึงกับเซจนร่างของคนที่เตี้ยกว่ารีบถลาเข้ามาพยุงไว้
“กลับเข้าไปในรถ”
“กูไหวน่าทงเฮ”
“ไม่
มึงไม่ไหว”
“มึงไม่ใช่พ่อกู
กูบอกว่าไหวก็ไหวไง ปล่อย” พูดพลางสะบัดมือจากการช่วยเหลืออย่างอวดดี
คยูฮยอนเซนิดหน่อยและพยายามยืนให้ดี ๆ ก่อนจะค่อย ๆ
เดินอย่างปกติที่สุดและพยายามไม่ลงน้ำหนักไปที่ขาข้างขวาที่บาดเจ็บ ทงเฮมองตามไปเด็กตัวขาวไปอย่างหัวเสีย
ดื้อ เด็กบ้านี่ดื้อชิบหาย
“ถ้าไปพลาดท่าให้ไอบ้าตัวเองแดกล่ะกูจะยิงซ้ำให้”
“ขอบคุณ”
“ยินดี”
ทั้งสองคนจบบทสนทนาไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปตามทางเรื่อย
ๆ จนถึงหน้าร้านของเยซอง ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงมุมถนนพอดี คยูฮยอนเห็นไฟแว่บไปแว่บมาจากข้างใน
คาดว่าทั้งสองคนคงกำลังใช้ไฟฉายส่องไปทั่วในร้านเพื่อหาคนที่กำลังตามหา
คยูฮยอนมองไปรอบ ๆ
ถ้าหลิวเหวินมาที่นี่ก็ต้องมีรถที่เครื่องยังอุ่นอยู่จอดอยู่ใกล้ ๆ
แต่จากที่ดูโดนรวมแล้ว
ไม่เห็นจะมีรถคันไหนที่ดูเหมือนจะเพิ่งมาจอดเลยสักนิด
“พวกนั้นแน่ใจได้ยังไงว่าพวกคุณหลิวเหวินมาที่นี่แล้ว”
“ไม่รู้สิ
ซีวอนมันเปิดประตูลงไปก่อนรถจอดด้วยซ้ำ” ทงเฮพูดแล้วก็ทำปากเบ้ ๆ เมื่อนึกถึง
“เยซองพอจอดรถแล้วก็รีบวิ่งตามเพื่อนมันไปแล้วให้กูปลุกมึง”
“พวกบ้า”
“เป็นครั้งแรกที่กูกับมึงคิดเหมือนกัน”
คยูฮยอนหัวเราะแห้ง
ๆ และร้องเย่เบา ๆ อย่างประชดประชัน มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย
ร่างโปร่งค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปตามทางเรื่อย ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปข้างใน
ขาเขาไม่ได้สะดวกจะเข้าไปอยู่ในที่แคบ ๆ
ที่ถ้าต้องวิ่งหนีตายมีแต่ต้องกระโดดหลบเท่านั้นแบบนั้น สู้เดินดูรอบ ๆ
และรออยู่ข้างนอกดีกว่า
ร่างโปร่งเดินเข้าไปช่วยสงเคราะห์หนึ่งตัวที่นอนโดนรถทับยืนเมื่อตะเกียกตะกายมาทางเขา
มีดเล่มเล็กถูกปักลงที่ขมับหนึ่งทีและทำให้มันนึงได้ทันที
เขาเดินเข้าไปเปิดรถที่ทับมันอยู่เผื่อว่าข้างในนั้นจะมีอะไรให้เก็บไปบ้าง
อย่างน้อยก็อาจจะเป็นอาหารหรือมีดที่ยาวกว่าตอนนี้
“..!!”ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็สะดุ้งเผลอกระเผลกขาถอยออกมาแทบไม่ทันเมื่อศพที่อยู่ตรงที่นั่งคนขับร่วงลงมา
ทงเฮเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาและใช้มีดปักมันจนมันสงบ
“อย่าเปิดซี้ซั้ว
หัดดูซะบ้าง”
“รู้แล้วน่า”
ตอนอย่างไม่ใส่ใจ
ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหลังหลังจากสำรวจดีแล้วก็มุดเข้าไปในตัวรถและหาของที่อยู่ข้างในรถทุกซอกทุกมุม
และ...บิงโก! เขาเจอปืนที่ตกอยู่ตรงที่วางเท้า
คยูฮยอนหยิบปืนออกมาตรวจสอบลูกกระสุนที่เหลืออยู่ในแมกกาซีน
มันเหลืออยู่มากพอสมควร คยูฮยอนเก็บแมกกาซีนเข้าไปเหมือนเดิมและเอามันเหน็บไว้ที่หลังเอว
“กูว่ามันนานไป”
หลังจากสำรวจรถคันสุดท้ายเสร็จทงเฮก็ปิดประตูรถพร้อมกับส่งเสียงขึ้นถาม
นี่มันก็หลายนาทีแล้ว ร้านของเยซองก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายที่จะสำรวจกันนานขนาดนั้น
คยูฮยอนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหยิบเอาขนมขบเคี้ยวที่รถคันสุดท้ายยัดเข้ากระเป๋าเป้และนำทงเฮเดินกลับไปทางเดิม
ภายในร้านของเยซองตอนนี้ไม่มีแสงจากไฟฉายแล้ว
คยูฮยอนขมวดคิ้วสงสัย หรือจะออกกันมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเห็นสิ
เพราะตอนสำรวจรถทีละคันเขาก็ไม่ได้ไปไกลขนาดที่จะมองไม่เห็นว่ามีใครออกมาจากร้าน
“มึงกับกูโดนทิ้งแล้วมั้ง”
ทงเฮพูดขึ้นมาพร้อมเฮอะออกมาอย่างเซ็ง
ๆ ใช่... นั่นเป็นความคิดของคยูยอนในตอนนี้เหมือนกัน ร้านอาหารย่อมมีทางหลังร้าน
ไม่แน่ทั้งสองคนอาจจะออกไปทางหลังร้านแล้วหารถสักคันสลัดพวกเขาไปแล้วก็ได้
“เข้าไปดูข้างในเถอะ”
“อย่าบ้า”
“เผื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”
“มึงโดนซีวอนมันทั้งไล่ทั้งเอาปืนจ่อหน้า
มึงยังไปห่วงมันอีกหรอวะ” ทงเฮถามอย่างหัวเสีย
ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้วจะสรุปเป็นอะไรได้อีกกัน ! ไม่เข้าใจไอเด็กนี่เลยว่าทำไมไม่ยอมเข้าใจอะไรสักที
ขาก็บาดเจ็บอยู่ยังคิดจะเดินเข้าไปอีกหรือไง
“เขาจะไล่กูยังไงก็ช่างเหอะ”
คยูฮยอนพูดพลางมองที่ร้านกาแฟตรงหน้า “แต่ถ้าพวกเขาติดอยู่ในนั้นจริง ๆ
กูเชื่อว่าเขาต้องคิดถึงพวกเราแน่นอน”
“....”
“มึงรอตรงนี้ก็ได้
แต่กู...จะเข้าไป”
พอพูดจบคยูฮยอนก็หยิบเอาไฟฉายในกระเป๋าเป้มาเปิดและส่องเข้าไปด้านใน
ถ้าซีวอนและเยซองเข้าไปแล้วจริง ๆ ยังไงทางเข้าก็น่าจะเคลียร์แล้ว ร่างโปร่งค่อย ๆ
เดินกระเผลกเข้าไปตามทางเรื่อย ๆ
เขาไม่ได้เจ็บที่เท้าขนาดนั้นถ้าไม่ได้ลงน้ำหนักมากเกินไป
เขาได้ยินเสียงทงเฮสบถก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังที่ใกล้เข้ามาเรื่อย
ๆ คยูฮยอนยิ้ม เขาเริ่มจับทางนิสัยของทงเฮได้แล้ว พวกปากร้ายแต่ใจดี
อีทงเฮเป็นคนแบบนั้นล่ะ ถึงแม้จะปากหมาและพูดจาไม่เข้าหูไปบ้าง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาเลยต้องพูดจาแบบนั้นออกมา
ภายในร้านมีทั้งกลิ่นกาแฟและกลิ่นคาวคลุ้งของเลือดปะปนกันจนคยูฮยอนต้องยกมือขึ้นมาอุดจมูก
มันน่าอ้วกเสียจนอยากจะขย่อนเอาสิ่งที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้ออกมา
คยูฮยอนเดินนำส่องไฟฉายไปตามทางเรื่อย ๆ โดยมีทงเฮส่องตามมาอยู่ข้าง ๆ
ร่างที่เตี้ยกว่าไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าทงเฮกำลังหงุดหงิดที่เขาดื้อ แต่จะทำไงได้
เขาอยากเข้ามาพิสูจน์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าเขาโดนทิ้งจริงหรือเปล่า
คยูฮยอนเดินขึ้นไปสำรวจที่ชั้นสองโดยให้ทงเฮเดินสำรวจข้างล่าง
ข้างบน มันไม่ได้กว้างมากดูเหมือนจะเป็นที่พักเสียมากกว่า
บนชั้นหนังสือยังคงมีบางเล่มที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างดี
บ้างก็ร่วงหลนลงไปอยู่ที่พื้นอย่างกระจัดกระจาย
มีศพของคนในชุดพนักงานของร้านนอนอยู่สองสามศพ เขารู้สึกว่าคนพวกนี้โชคร้าย
น่าจะขึ้นมาหลบบนชั้นสอง แต่ก็หนีความตายไม่พ้น
แต่การที่มีแต่ศพนั่นก็เป็นคำตอบของทุกอย่างได้แล้ว
คยูฮยอนเม้มปากอย่างไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ทงเฮสันนิษฐาน
อย่างน้อยซีวอนก็ไม่ได้มาคนเดียว
ถ้าคิดจะทิ้งเขายังไงคนอย่างเยซองก็ต้องห้ามเอาไว้สิ
ต้องเป็นอย่างนั้นสิ
“ไอเป๋”
ทันทีที่เท้าแตะลงที่ชั้นล่าง ทงเฮก็เรียกเขาเสียงเบาก่อนจะทำสัญญาณบอกให้ตามมา
คยูฮยอนพยายามไม่คิดมาก เขาเดินตามทงเฮไป บางทีพวกซีวอนอาจจะอยู่ชั้นล่างด้านใน
“...”
ประตูหลังร้านที่ถูกเปิดค้างไว้
รอยเท้าของคนสองคนที่เปื้อนรอยเลือดก้าวโดยมีระยะห่างมากพอสมควรเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าเป็นรอยเท้าของคนที่กำลังวิ่ง
รอยมันเพิ่งเกิด ไม่มีทางที่จะเป็นของคนที่วิ่งหนีตายออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
“หึ
คิดไว้แล้วไม่มีผิด”
“พวกเขาอาจจะวิ่งหนีพวกมันออกไปข้างนอกก็ได้”
“มึงคิดว่าศพในร้านมันมีเป็นร้อยทำให้คนอย่างซีวอนต้องวิ่งหนีออกไปหรือวะ”
“...”
“กลับเข้าไปในร้านก่อน
เดี๋ยวกูจะไปปิดประตูหน้าร้านไว้ คืนนี้เราจะค้างกันที่นี่ก่อน”
คยูฮยอนก้มมองเลือดที่ขาของตัวเองที่เริ่มซึมออกมาจากผ้าสีขาว
ร่างโปร่งเม้มปาก เขามองไปที่ทางข้างหน้าอย่างครุ่นคิด
ข้างหน้ามีพวกมันอีกสิบกว่าตัวที่เดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมายและเหม่อลอย
คยูฮยอนพาตัวเองเข้ามาก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูเงียบ ๆ
กริ๊ก
...และล็อคมัน
เขาผิดหวังในตัวซีวอนมากจริง ๆ ...
.
.
“แฮ...”
มือหนายกขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกไปให้ไอพวกเวรตามเสียงเขามา
ที่แคบ ๆ ที่ทั้งเหม็นและอับชื้น ไหนจะกลิ่นเหงื่อจากตัวของเขาอีก
มันไม่ใช่ที่ที่นี่ภิรมย์สักเท่าไหร่
แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้มันเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุด
เมื่อรอเวลาผ่านไปได้สักพักสายตาคมก็สอดส่องไปยังด้านนอก
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไปตัวที่เขาวิ่งหนีมาเมื่อกี้มันได้เดินผ่านพวกเขาไปแล้ว ชเวซีวอนก็ก้าวออกมาจากซอกน้ำขังที่อับชื้น
ตามมาด้วยเยซองที่เดินตามออกมาทั้งสองคนสูดลมหายใจเข้าแรง ๆ อย่างสุดกลั้น
“ไหวไหมมึง
?” ซีวอนถามเพื่อน
“อืม
ไหว” เยซองตอบทั้งที่ยังหอบอยู่
เมื่อกี้พวกเขาเพิ่งวิ่งหนีพวกมันมาจากมุมตึกหลังร้าน
ไม่คิดว่าการออกทางหลังร้านเพื่อหาเบาะแสของหลิวเหวินมันจะทำให้เจอแจ็คพ็อตขนาดนี้
ตอนอยู่ในร้าน
สีหน้าเพื่อนของเขาสิ้นหลังสุด ๆ ที่ไม่เจอร่องรอยของคนรักเลยสักนิด เยซองเลยชวนซีวอนให้ไปทางหลังร้านที่เป็นที่ทิ้งขยะและทางออกไปยังอีกซอยหนึ่ง
ซึ่งซีวอนก็ยอมตามมาโดยดีแต่ระหว่างที่กำลังเลี้ยวที่หัวมุมตึกก็ต้องเบิกตากว้างทันทีเมื่อเจอพวกมันสิบกว่าตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้และโชคดีไปอีก...พวกมันรู้ถึงการมีตัวตนของเหยื่ออย่างพวกเขา
จนต้องหนีตายมาหลบอยู่ตรงซอกตึกที่ทิ้งขยะอย่างน่าอนาถ
รอฝูงกระหายเลือดพวกนั้นเดินผ่านไปจนหมดแล้วถึงจะค่อย ๆ ขยับตัวออกมา
บ้าเอ๊ย
“เราออกมานานไปแล้ว
สองคนนั้นคงกำลังรออยู่”
“อืม”
“กูรู้ว่ามึงอยากเจอเธอ
แต่... อย่าทำหน้าสิ้นหวังแบบนั้นได้ไหมวะ ถ้าชะตามึงกับเข้าต้องกันจริง ๆ
ยังไงสักวันก็ต้องได้เจอ” เยซองปลอบใจเพื่อนสนิท
สีหน้าที่สิ้นหวังแบบนั้นมันช่างน่าสงสาร
ซีวอนเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเข้าไปทุกทีที่ไม่เจอร่องรอยของคนรัก
“ไม่รู้สิ
กูไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่”
“การที่มึงได้เจอกับหลิวเหวินและได้รักเธอ
มันยังพิสูจน์ไม่ได้อีกหรอวะ ?”
“...”
“อยู่กับปัจจุบัน
ตอนนี้เรามีกลุ่มแล้วนะ ทั้งกู ทงเฮ และก็เด็กนั่น พวกเราอยู่ด้วยกันได้
พวกเราช่วยกันตามหาเธอได้”
“...กูอยากเจอเธอ”
“กูรู้”
“กูคิดถึงเธอ”
“อื้อ
กูรู้”
“กูเป็นห่วงเธอแทบบ้าแล้วนะมึง
กูจะอยู่ได้ยังไงถ้ายังไม่เจอ ยังไม่รู้ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”
เยซองรู้ว่าเพื่อนของเขากำลังอ่อนแอ
เขาตบบ่าเพื่อนเบา ๆ และบีบมันไว้แน่นให้รู้ว่ายังมีเขาอยู่ข้าง ๆ
ซีวอนเม้มปากแน่นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ
แม้ใจจะอยากออกไปตามหาสุดล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้มันจะมืดแล้ว
การเดินทางในที่ที่มองไม่เห็นอันตรายเกินไป
“คืนนี้พักที่ร้านกูก่อน
แล้วค่อยไปหาต่อ แถวนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว”
เยซองมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็นำเพื่อนตัวเองเดินกลับไปทางหลังร้านที่ตัวเองเพิ่งวิ่งหนีตายออกมา
ป่านนี้สองคนนั้นคงกำลังรออยู่ แถมเด็กตัวขาวคนนั้นก็กำลังบาดเจ็บอยู่
พวกเขาควรจะพักผ่อนได้แล้ว ยังไงร่างกายมนุษย์ก็มีขีดกำจัด
กริ๊ก
“...”
“...”
เยซองหน้าซีดทันทีที่มือบิดลูกบิดประตูหลังร้าน
มันมีเสียงขยับเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ช่วยทำให้ประตูเปิดออกเหมือนปกติ
นั่นเป็นสิ่งที่ยอกได้ว่ามันถูกล็อค เยซองบิดมันไปมาอีกสองสามทีเหมือนคนบ้า
อย่ามาล้อเล่นนะ ข้างนอกนนี่ก็จะมืดอยู่แล้ว ประตูก็ยังจะมาล็อกอีกย่างนั้นหรอ?!
เขาไม่รู้ว่าทงเฮกับคยูฮยอนลงจากรถตามเข้ามาในร้านหรือเปล่า ไม่รู้แน่ชัดว่าการที่ประตูล็อคเป็นฝีของใคร
และถ้าเขาแหกปากโวยวายเรีบกใครก็ตามที่อยู่ข้างในออกไปใช่ว่าจะเป็นผลดี
พวกห่านั่นได้แห่กันมารุมกินเขาอย่างพวกสัตว์กินเนื้อกันพอดี
“ทำไงดีวะ มันล็อคได้ยังไงวะเนี่ย”
เยซองยอมแพ้ก่อนจะปล่อยมือออกจากลูกบิดมาทึงผมตัวเองอย่างหัวเสีย “ต้องอ้อมไปเข้าทางหน้าร้าน”
“เมื่อกี้เราเพิ่งรอดจากขบวนผีดิบมานะ
มึงอยากเสี่ยงกลับไปล้อตาพวกมันอีกหรือไง” ซีวอนแย้ง
เขาไม่เห็นด้วยกับการเดินตามรอยขบวนตัวกินคนเมื่อกี้เผื่ออ้อมไปเข้าทางหน้า
“หาบ้านแถวนี้และเข้าไปพัก”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ”
“ช่างหัวมันสิ”
ซีวอนตอนอย่างไม่ใส่ใจ
นั่นทำให้เยซองถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับนิสัยห่าม ๆของเพื่อนตนเอง ร่างโปร่งเดินตามเพื่อนตัวสูงไปด้วยความกังวลใจ
ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานเขาก็รู้สึกเป็นห่วงสองคนนั้นอยู่เหมือนกัน
“พวกมันยังเป็นคน
สมองมันยังคิดได้” เดินตามไปสักพักซีวอนก็พูดขึ้นมา
“...”
“ถ้ามันยังมีความฉลาดอยู่บ้าง
มันจะไม่ทำให้ตัวเองตายห่าไปก่อนที่กูจะออกไปตามหามันพรุ่งนี้เช้า”
.
.
หนาว
คยูฮยอนกอดตัวเองแน่นขึ้นเมื่ออากาศตอนกลางคืนมันทำให้เขาขดตัวแน่นบนโซฟาที่อีทงเฮตัดสินใจยกมันให้เขาด้วยข้ออ้างที่ว่า
สงเคราะห์ให้คนพิการ เฮาะ อยากเอาไอขาข้างที่เจ็บถีบยอดหน้ามันไปเหมือนกันว่ากูแค่บาดเจ็บไม่ได้ขาด้วน
ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสองของร้านของเยซอง
พวกเขาไม่ได้จุดไฟจากเทียนหรือเปิดไฟจากไฟฉาย
เรานอนกันท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมของตอนกลางคืน
คยูฮยอนสละผ้าห่มให้ทงเฮไปปูนอนที่พื้นกับทงเที่สละโฟซาให้คยูฮยอนนอน
อย่างนี้มันก็แฟร์ดี
เขานอนไม่กลับ
มันปวดที่ขาหนึบ ๆ การกินยาแก้ปวดไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะมันไม่ใช่ยาชา
คยูฮยอนคิดเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เขาหนีตายออกจากมหาลัยจนมาเจอคนพวกนี้
คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นภายในวันเดียว
กับคนที่เคยถูกมัดและเอาปืนจ่อตอนนี้กลับกลายเป็นเพื่อนร่วมทางกันไปแล้ว
หมายถึงทงเฮคนเดียวน่ะนะ
“เฮ้อ...”
นอนไม่หลับ ไม่ว่ายังไงก็นอนไม่หลับ
“ไง
นอนไม่หลับล่ะสิมึง” เสียงของอีทงเฮดังไล่หลังมาทำให้คยูฮยอนค่อย ๆ
ยันตัวขึ้นนั่งและหันไปมองคนที่นอนเอามือรองหัวตัวเองไว้ตาของอีกฝ่ายยังคงมองที่เพดานโดยไม่ได้หันมามองเขา
“เออ”
“แหงสิ
เล่นนอนน้ำลายยืดตอนกลางวันไปตั้งสองรอบ”
“เออ
ก็เหนื่อย ง่วง ไปช่วยหมามา”
“ปากดี”
“ขอบใจ”
โค้งหัวขอบคุณทงเฮอย่างประขดประชัน คยูฮยอนตัดสินใจไม่นอนต่อ
และเอื้อมมือไปหยิบเอานิตยสารบนโต๊ะเตี้ย ๆ
ตรงหน้ามาเปิดถึงแม้ตอนนี้แม่งจะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม
“มึงจะเอายังไงต่อ”
“หมายถึง
?”
“ต่อจากนี้ไปจะเอายังไงต่อ
ตอนแรกกูก็ไหลตามพวกซีวอนมันไปเรื่อย ๆ
แต่พอแยกกันแบบนี้แล้วก็ไม่มีจุดมุ่งหมายว่ะ” ทงเฮตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“มึงไม่คิดจะตามหาญาติหรือคนรักเหมือนซีวอนบ้างหรือไง”
“มีก็ดีดิ”
“กำพร้า
?”
“เปล่า
ทั้งหมดนั่นตายห่าต่อหน้ากูไปหมดแล้ว”
คำตอบของทงเฮทำให้คยูฮยอนวางนิตยสารและหันไปมอง ดวงตาของทงเฮสวย เขายอมรับ
ลูกแก้วสีดำนั่นยังคงมองที่เพดานโดยไม่คิดจะหันมามองคู่สนทนาเหมือนเดิม
เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทงเฮผ่านอะไรมาบ้าง
“อยากเล่าไหม
กูไม่บอกใครหรอก”
“มึงคิดว่าจะมีใครให้มึงโพนทะนาเรื่องกูหรือไง”
“ก็ถึงถามไง
มา กูพร้อมเสือกแล้ว” คยูฮยอนตัดสินใจลุกจากโซฟา ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว
การฟังเรื่องราวของเพื่อนร่วมทางมันคงไม่ได้แย่มากนัก ถ้าทงเฮไม่คิดจะทิ้งเขาเหมือนสองคนนั่น
ยังไงเราก็คงต้องอยู่ด้วยกันอีกนานจนกว่าคนใดคนหนึ่งจะโง่ไปโดนกัดตาย
“เด็กขี้เสือก”
ร่างที่ยังนอนหลายอยู่ที่พื้นหันมาด่า
“เขาเรียกว่าวัยกำลังเรียนรู้
ว่าไง เริ่มจากอายุแก่ ๆ ของมึงก่อนเลย หรือจะบอกชื่อพ่อแม่ให้กูเรียกเล่น ๆ ก็ได้”
และนั่น เขาได้รับการตอบกลับเป็นมือของคนที่นอนอยู่เอื้อมมาตบจนเกือบหน้าทิ่ม
“กูอายุ
25”
“หูยแก่”
“จะฟังไหม”
“โอเค
โทษ”
ทงเฮมองหน้าคยูฮยอนที่ระริกนะรี้พร้อมเสือกเต็มที่
และเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง
ทงเฮเป็นวิศวกรของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
เขาเรียกจบมาก็โดนบริษัทนี้ดึงตัวมาเข้าทำงานทันที
วันที่เกิดเรื่องก็เป็นวันรวมญาติและเขาก็ถือโอกาสพาแฟนที่คบหากันมานานพอสมควรมาเปิดตัวด้วย
เขาพา อี ฮยอกแจ แฟนหนุ่มร่างเล็กแต่ก็เป็นวิศวกรเหมือนเขา ทางบ้านเขาไม่ได้แอนตี้เรื่องความรักแบบนี้
ออกจะเอ็นดูฮยอกแจเสียด้วยซ้ำ
ทงเฮไม่แน่ใจว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่จู่
ๆ พนักงานเสิร์ฟในชุดเด็กเสิร์ฟของภัตตาคาร ระดับห้าดาวเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ซวนเซ
เดินเขวไปเขวมาอย่างผิดปกติจนพี่ชายเขาที่เป็นหมอต้องเดินเข้าไปดูเพราะเป็นห่วงตามสัญชาตญาณมากกว่าจะเข้าไปตำหนิพฤติกรรมแปลก
ๆ และทันใดนั่น พนักงานคนนั้นก็กัดเข้าไปตรงคอพี่ชายเขาเข้าเต็มแรง
และจากนั้นพี่ชายของเขาก็ลุกขึ้นมาไล่กัดญาติคนหนึ่งของเขาที่นั่งตกตะลึงอยู่
ตามมาด้วยพ่อ
แม่ และญาติของเขาเกือบทั้งโต๊ะ...และมันก็เกิดการกินการเป็นทอด ๆ
อย่างกับพวกสัตว์กินเนื้อ
เขาคว้ามือฮยอกแจทันทีที่ตั้งสติได้
ฮยอกแจมีสีหน้าตื่นตระหนกแต่ก็ยังตั้งสติได้
ทงเฮพยายามหนีจากไปพวกเวรที่พยายามไขว่คว้าตัวของเขาไว้
ตอนนั้นสิ่งไหนที่คว้าไว้เป็นอาวุธได้เขาก็คว้ามาหมด ฮยอกแจก็เช่นกัน
ตอนนั้นเขานึกดีใจที่ฮยอกแจไม่ใช่เกย์ตุ้งติ้งที่ไม่ประสาเรื่องการป้องกันตัว
แฟนของเขาเก่ง
เขารู้ตั้งแต่วันที่เข้าไปจีบแล้ว
แต่นั่น...ก็ยังไม่พอสำหรับไปพวกกระหายเลือดนี่
“ฮ..ยอก..”
เขาเรียกคนรักเสียงสั่นเครือ
ดวงตาของเขาสั่นระริกที่มองร่างขาวบางตรงหน้ามีเลือดสีสดไหลออกมาจำนวนมากจากการโดนกัดที่ไหล่
และอีกตัวหนึ่งที่กัดเข้าที่ท้องของคนรักของเขาและลากไส้ออกมาเป็นสายยาว
ฮยอกแจไม่แม้แต่จะร้องสักแอะ
แต่กลับมองเขาทั้งน้ำตาและขยับปากไม่มีเสียงว่าให้เขาหนีไป
ทงเฮเจ็บ
หายใจไม่ออก เหมือนตายทั้งเป็น...
เขาเข้าไปฟันไอบ้าที่กัดแฟนเขาอยู่อย่างบ้าคลั่ง
ก่อนจะอุ้มฮยอกแจขึ้นและรีบวิ่งออกมาจากตรงนั่น เขาร้องไห้ พยายามหาที่ซ่อน
ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาคนอ้อมกอดนี้ไว้ แต่ก็ไม่ทัน...
ร่างขาวบางแต่กลับเข็มแข็งกว่าใครหมดลมหายใจในอ้อมกอดของเขา
และทงเฮเป็นคนกดมีดลงที่ขมับของคนรักเองเพื่อไม่ให้ร่างนี้เปลี่ยนสภาพ
เขาแบกฮยอกแจออกจากที่ซ่อนในภัตตาคารในเช้าวันใหม่และนำศพของคนรักไปฝังไว้ในสวนดอกไม้แถวนั้น
ฮยอกแจชอบดอกไม้
บนโต๊ะทำงานของคนตัวเล็กมักจะมีแจกันที่ประดับไปด้วยดอกไม้ที่เขาซื้อให้ทุกวัน
ทงเฮนั่งทำใจอยู่ข้างสุสานของคนรักอยู่นาน
ก่อนจะตัดสินใจออกมาจากเมืองที่ตัวเองอยู่ด้วยรถยนต์และตัดสินใจปักหลักลงที่อีกเมืองหนึ่งที่ยังมีพวกกินคนไม่เยอะเท่าที่ที่เขาหนีมา
แต่เขาก็พลาดท่าจนเกือบโดนกัด
โชคดีที่ได้พวกซีวอนมาช่วยพอดีเลยติดสอยห้อยตามมาด้วย
“ก็ประมาณนี้แหละ”
พูดพลางยักไหล่ให้เด็กตัวขาวที่นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ มันซึมไปเลยแฮะ
“เศร้าเนอะ”
“เศร้าแค่ไหนก็เอาเขากลับมาไม่ได้หรอก”
“นางเอกขาเดินไม่ได้แล้วตอนจบยังมาตายอีก
เศร้าว่ะ”
“-______-”
นั่นแหละ
อีทงเฮถึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าไม่ควรเล่าให้มันฟังเอาเสียเลย !
เขาไม่รู้ว่าคยูฮยอนจุดเทียนแล้วตั้งไว้ตรงหน้าตัวเองพร้อมกับมีหนังสือเล่มหนาในมือตั้งแต่เมื่อไหร่
ร่างที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ไม่ได้หันหน้ามามองเขาแต่ดวงตากลับจดจ้องอยู่แต่กับในหนังสือเหมือนมันน่าสนใจมากเสียอย่างนั้น
ทงเฮยู่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายและหันหน้ากลับมามองเพดานต่ออย่างพยายามไม่ใส่ใจ
เอาเถอะ เด็กนี่มันก็ปากดีวอนตีนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้วนี่
“แต่พระเอกนี่แม่งสุดยอดเลยว่ะ
ไม่อาลัยอาวรณ์สักนิด แต่เลือกเก็บเขาไว้ในความทรงจำที่สวยงามที่สุด แถมยังพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปแทนนางเอกอีก”
“...”
“เป็นคนที่สุดยอดมากเลยเนอะว่ามั้ย
?”
เด็กบ้าเอ๊ย
.
.
เด็กบ้า...
ใช่
โจว คยูฮยอนนี่มันเป็นเด็กบ้าจริง ๆ !!!
อีทงเฮมองไปที่ข้างตัวที่ว่างเปล่า
ไหนจะเดินไปที่โซฟาแล้วก็ไม่พบร่างของเด็กตัวขาวเลยสักนิดตอนนี้เป็นเวลาสว่างจนเกือบสายแล้วเขามองไปที่นาฬิกาตรงข้างฝาก็พบว่านี่มันเกือบจะเที่ยงแล้ว
เมื่อคืนหลังจากคุยเรื่องของเขาจบพวกเราก็เงียบไปพักใหญ่
พอหันไปอีกทีก็พบว่าเด็กนั่นหลับทั้งท่านั่งไปแล้ว
ทงเฮไม่ได้คิดจะปลุกและปล่อยให้หลับไปแบบนั้น ก่อนที่ตัวเองที่นอนอยู่ที่พื้นจะเข้าสู่ห้วงนิทราบ้าง
เขาเดินหาคยูฮยอนทั่วร้านเล็ก
ๆ ของเยซอง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของคยูฮยอน รถที่พวกเขาขับมาก็ยังคงจอดอยู่ที่เดิม
ทงเฮอยากจะบ้าตายกับเด็กนี่ ! ขาเจ็บแล้วยังจะซ่าออกไปไหนอีกหรือไง
! ร่างแกร่งเดินไปทางหลังร้านที่เป็นตัวเลือกสุดท้าย
และเขาคิดไว้ไม่มีผิด...
ประตูหลังร้านถูกเปิดออกแล้ว
TO BE
CONTINUED
พาร์ทนี้มันเฮคยู
วอยเย่
ชอบจัง อิ_____อิ
งง ๆ เนอะ
อีนี่ก็งงตัวเองเหมือนกัน
อยากอ่านน้องอ้วนกันอ่ะดิ
ไม่ให้อ่านหรอกกกกกก
ขอแก้บนก่อนเน้ 55555555555555555
ความคิดเห็น