ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC WONKYU] THE ZAUBERER

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 4 :: I CAN('T) DO IT

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 57


    CHAPTER 4

    :: I can(‘t) do it

            
       

                “นี่ฝันไปจริง ๆ หรอเนี่ย ?!

     

                เสียงโหวกเหวกของคนตัวสูง เป็นเสียงทักทายในเช้าวันใหม่ ซีวอนที่เมื่อคืนสลบเหมือดคาไหล่คยูฮยอนไป สร้างความลำบากให้คนตัวขาวต้องหาหมอนหาผ้าห่มมาไว้ให้ที่โซฟา... อะไร ? คิดว่าคนอย่างคยูฮยอนจะแบกควายตัวนึงขึ้นไปนอนที่คอกมันได้หรอ ไม่มีทางหลังเขาได้หักก่อนพอดี

     

                “โวยวายแต่เช้า”

     

                “คยูฮยอนนา บอกทีว่าฉันฝันอยู่”

     

                “ให้ปลุกด้วยลำแข้งมั้ย”

     

                “ตื่นแล้วจ้ะ” ว่าแล้วก็น่าเบะปากใส่อย่างน่าน้อยใจ ทำไมคยูฮยอนชอบเลี้ยงเขาด้วยลำแข้งทุกที เอะอะ ก็ใช้ความรุนแรงตลอดดด เมื่อไหร่จะรู้กันนะว่าซีวอนอ่อนโยนและอ่อนแอ บอบบาง น่าทะนุถนอมมากแค่ไหน นั่น..ยังอีกเดินเข้าครัวไปหน้าตาเฉยเลย นี่ไม่คิดจะสำนึกผิดกับสิ่งที่พูดทำร้ายจิตใจกันเลยสินะ

     

                “เอะอะกันแต่เช้าเลยนะ” เสียงหนึ่งดังมาจากฝาตู้เย็นที่เปิดไว้อยู่ ก่อนจะมีผมสีบลอนซ์ ๆ ค่อย ๆโผล่ขึ้นมาก่อนหน้าของคนตัวเล็กที่สุดในบ้าน ซีวอนที่นอนกอดหมอนข้างในชุดนอนลายสิงโตตาโตแทบจะถลนออกมาเมื่อเห็นคนผมบลอนซ์ที่เขาพบเจอเมื่อคืน แน่ละ ตอนตื่นมาชเวคิดว่าเขาแค่ฝันไป

     

                ความจริงมันโหดร้าย...

     

                “นาย...”

     

                “โย่วผู้คุมกฎ”

     

                “หล่ออยากเป็นลม...” เมื่อได้ยินคำเรียกชัดเจนแบบนั้น ก็แน่นอนล่ะว่านี่มันเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ทำไมกัน  ทำไมซีวอนต้องมารับรู้ความจริงอันโหดร้ายแบบนี้ด้วยนะ ทำไม... คิดแล้วก็เศร้าใจอดสู่

     

                ฮยอกแจเดินเข้ามานั่งตรงโซฟาเดี่ยว พร้อมกับขนมในมืออีกจำนวนหนึ่ง นี่ซีวอนคิดว่ามันหมดตั้งแต่คุณนายปาดเมื่อคืนแล้วนะเนี่ย นี่ยังมีอีกหรอว่ะ ? แล้วดูนั่น นั่งกินหน้าสลอนไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยสักนิด ว่าแล้วก็มองไปที่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายที่ดูจะกลายเป็นเสื้อผ้าธรรมดาเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาแล้ว คงไม่วายโดนคยูฮยอนจับยัดให้ใส่อีกตามเคย

     

                “มองอะไร นี่ข้าแอบไปจิ๊กเสื้อเจ้าดุนั่นมาเลยนะ ยังแปลกอีกหรอ”

     

                อืม..ซีวอนขอถอนคำพูดรึกัน

     

                “ทำไมนายไม่ไปสักทีล่ะ ไม่มีที่สิงหรือไง”

     

                “หยาบคาย”

     

                “กลืนเถอะจ้ะ เสียดายของ”

     

                “เล่นอะไรของท่าน ต๊องแล้วยังบ้าอีกหรอ สงสารพ่อแม่ท่านจริง ๆ เลย”

     

                “...”

     

                น็อคเอ้าท์โดยสมบูรณ์ โอเคครับ ซีวอนจะอยู่เงียบ ๆ ไม่หือไม่อือกับแม่นางแล้ว ว่าเค้าทำไม ใจร้ายยยยย.... ไหนเมื่อคืนยังพุดนักหนาว่าเขาเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ แถมยังบอกจะปกป้องเขาไง แล้วนี่อะไรไอนักเวทไม่มีสัจจะ เดี๋ยวก่อนอย่าให้มีตังจะจ้างคนมาเสกหนังควายเข้าท้องซะให้เข็ด !

     

                “นี่จริงจัง ทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีก ?”

     

                “บอกแล้วไงว่าข้าต้องคุ้มครองท่าน”

     

                “นี่... ถามจริง ๆ นะ สภาพฉันเหมือนคนที่สามารถเสี่ยงชีวิตไปเอาพลังที่มีไอบ้าที่ไหนไม่รู้โคตรอยากจะได้จนต้องฆ่าคน บุกปราสาทจนไม่เหลือซาก แถมยังเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช้คนมีพลังเวทอะไรแบบพวกนาย ไหนจะโลกเวทมนต์อะไรนั่นอีก อยู่ส่วนไหนของกาแล็คซี่ฉันยังไม่รู้เลย” ชเวพูดด้วยความสัตย์จริง จะเอาเหรียญลูกเสือมาเป็นตัวยืนยัน นั่งยัน นอนยันก็ย่อมได้ จากที่เล่ามาไอผู้คุมกฎอะไรนั่นมันโคตรจะบู๊แหลกแหกค่าย แถม ดูท่าจะเก่งพอตัว แล้วนี่ซีวอนเป็นอะไร ? ก็แค่คนหล่อคนนึงที่ทุกคนไม่เห็นด้วยเท่านั้นเอง

     

                “ถ้ามองจากภาพรวมล่ะก็... ตัดเต้าหูท่านน่าจะตัดไม่เข้าด้วยซ้ำ”

     

                “หยาบคายที่สุด”

     

                “แต่ท่านอาจจะล้างความทรงจำตัวเองแล้วซ่อนพลังไว้ในตัวก็เป็นได้ ข้าสัมผัสได้”

     

                “นายเป็นเจน ญาณทิพย์หรือไง”

     

                “ข้าชื่อฮยอกแจ ทำไมท่านชอบสรรค์หาชื่อประหลาดมาให้ข้าเสียจริง เดี๋ยวปั๊ดโบก” ไม่ว่าเปล่าก็หยิบไม้ที่ซีวอนมองมันเป็นเพียงกิ่งไม้โง่ ๆ อันนึงที่เผือกมีพลังงานบางอย่างอยู่ในนั้นออกมาทำถ้าจะโบกใส่ เหอะ...คิดว่าซีวอนจะกลัวหรือไงกันครับไม่มีทางซะหรอก...คิดได้ดังนั้นก็รีบวิ่งใส่เกียร์หมาเข้าไปหาคนตัวขาวที่กำลังทำกับข้าวอยู่ทันที

     

                “วันนี้ทำอะไรกินคับ” น่านมีแอ๊บแบ้ว... ฮยอกแจมองคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นผู้คุมกฎที่วิ่งหนีการขู่ของเขาไปกอดคนที่ยืนง่วนทำอาหารเช้าอยู่ในครัว คิดแล้วก็รู้สึกเครียดขึ้นมาจนต้องกินขนมเพิ่ม...คนคนนี้น่ะหรือผู้คุมกฎ อยากจะสำลักขนมซะเดี๋ยวนี้ไม่ติดว่าเสียดายของล่ะนะ

     

                หรือเซนส์เขาจะพลาดจริง ๆ ว่ะ

     

                “ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวลงมากินข้าวจะได้ไปมหาลัย”

     

                “ครับบบบบแม่”         

     

                ฟอด

     

                “ย่าห์!! ชเวซีวอน”

     

                “ชื่นใจจจจจ” ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวขึ้นไปขั้นสองของบ้าน คยูฮยอนได้แต่ละเลงความโกรธลงไปกับซุปที่เคี่ยวอยู่ คอยดูเถอะลงมาพ่อจะเอาตาหลิวฟาดหน้าให้

     

                “ดูพวกเจ้าก็รักกันดีนี่” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำเอาคนที่กำลังระบายอารมณ์ลงกับอาหารหันไปมองฮยอกแจที่ยืนกอดอกเคี้ยวขนมอยู่ที่ขอบประตู แล้วหันหน้ากลับมาถอนหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์แล้วเคี่ยวซุปต่อไป

     

                “อย่ามาคิดอะไรพิเรนทร์ ๆ แค่เพื่อนกัน”

     

                “แต่ข้าไม่เห็นอย่างนั้นหนิ”

     

                “แต่ฉันก็ไม่คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

     

                “แน่ใจหรือไง”

     

                “ฉันไม่เหมือนนายกันนายทงทงนั่นหรอกนะ”

     

                “เล่นอย่างนี้เลย” ฮยอกแจขำในลำนิด ๆ เมื่อโดนอีกฝ่ายจี้ใจดำเข้าให้ นัยน์ตากวาดไปรอบห้องครัวธรรมดาสักพักก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทานอาหารแล้วพูดด้วยเสียงจริงจัง

     

                “จะคิดอะไรจะทำอะไรก็รีบทำนะ”

     

                “มามุกไหนเนี่ย”

     

                “ท่านซีวอนยังอยู่ในสถานะผู้คุมกฎอยู่ ข้าก็คิดว่ามันไม่ปลอดภัยนักหรอกนะที่ยังปล่อยให้เขาใช้ชีวิตแบบคนปกติแบบนี้ ”

     

                “ก็มีนายคุ้มกันเขาแล้วไง มาเพื่อปกป้องเขาไม่ใช่หรือไง”

     

                “ท่านก็เห็นว่าพลังของข้าไม่ได้มากขนาดจะรับมือได้ขนาดนั้น ครั้งนี้อาจจะรอด แต่ข้ากลัวว่าถ้าระดับสูงลงมาเองล่ะก็...ข้าก็ไม่รู้จะปกป้องท่านซีวอนยังไงในเมื่อตอนนี้ท่านยังเป็นแค่มนุษย์ แถมมีนายพ่วงมาด้วยทำกับว่าข้าต้องคุ้มครองมนุษย์ถึงสองคน” ฮยอกแจพูดเสียงเครียด การจะรับภาระยิ่งใหญ่แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เขาอยู่ท่ามกลางความกดดันมาตลอดหลายเดือนที่หาตัวผู้คุมกฎ ความคิดมากมายเมื่อหลายเดือนก่อนมันตีกันไปหมด ผู้คุมกันจะรอดมั้ย ? จะอยู่ยังไง ? มีคนเจอตัวรึยัง ? ราชาจะเป็นยังไงบ้าง ? ทำไมพวกระดับสูงถึงทำแบบนี้ ? พ่อแม่เขาจะเป็นยังไงบ้าง ? ทุกอย่างถาโถมเข้ามาจนบางทีคนตัวเล็กก็แอบล้าเหมือนกัน

     

                “นายแน่ใจจริง ๆ หรอว่าเป็นซีวอน”

     

                “ข้ารู้สึกได้น่ะ ไม่รู้สินะ...ก่อนได้เข้าเรียน ปีหนึ่งทุกคนจะได้พบกับราชาพร้อมกัน นั่นจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เจ้าจะได้สัมผัสกับบรรยากาศน่าเกรงขาม ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่ไปหมดถ้าเจ้าอยู่ที่นั่น และข้าก็รู้สึกแบบนั้นกับท่านซีวอน”

     

                “นายอาจจะปวดขี้ก็ได้”

     

                “...โดนหอมแก้มจนเพี้ยนหรือไง”

     

                “หรือนายอาจจะเห็นเค้าเป็นรักแรกพบก็ได้”

     

                “จะบ้าหรือไง ข้าน่ะมีคนที่ชะ... ขะ..ข้าจะไปชอบท่านซีวอนได้ยังไงมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่เจอใครแล้วคิดว่าเป็นรักแรกพบน่ะ ใช้ความรู้สึกชั่ววูบมาตัดสินทุกอย่าง ช่างงี่เง่าสิ้นดี ” อืม...มาเป็นชุดเลยแหะ คยูฮยอนพยักหน้ารับแบบขอไปที่ สร้างความหงิกบนใบหน้าให้ฮยอกแจไม่ใช่น้อยที่อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่เขาเลือกจะเงียบและรับน้ำเปล่าจากอีกฝ่ายมาดื่มแก้เก่อดีกว่า ขื่นยิ่งแก้ตัวจะยิ่งหลุดอะไรออกไปมากกว่านี้

     

                “ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงและซีวอนไม่ได้ฝันไป นายก็ไปช่วยเขามาจากที่สนามเด็กเล่นที่เจ้าตัวเคยเพ้อไว้สินะ”

     

                “อะ...อืม”

     

                “แต่ตอนนั้นเห็นซีวอนบอกว่านายเก่งมากเลยนี่นา ทำเลือดให้เป็นผลึกแล้วใช้เป็นอาวุธได้ด้วย”

     

                “ก็นะ ฮ่ะ ๆ สู้มาเยอะพลังของข้าก็ต้องมีหดหายบ้างนั่นแหละ” ฮยอกแจยกมือมาลูบผมตัวเองแก้เขินที่โดนชม ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่มอีกอึกจนหมดแก้ว คยูฮยอนทำเป็นไม่สนใจกันอาการหัวเราะแห้ง ๆ นั่นแล้วหันไปตักซุปที่เคี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ชาม

     

                “งั้นหรอ...”

     

    ……………………………….

     

                “เอาจริงบ่แขร”

     

                “อื้ม”

     

                “ตะ..แต่ว่า..งื้อออออ”

     

                “ท่านจะบิดทำไม”

     

                “เค้าเขินนะ”

     

                “เขินบ้าอะไร รีบ ๆ ทำได้แล้ว”

     

                “ตะ..แต่ว่า..”

     

                “แค่โบกไม้ร่ายเวทมันจะยากอะไร ถ้าไม่ใช่ท่านข้าจะได้ไม่เสียเวลาอยู่นี่นานไปมากกว่านี้” ฮยอกแจท้าวสะเอวมองคนตัวสูงที่ตอนนี้ถือไม้ของเขาด้วยสีหน้าเหมือนปวดชี้ แถมทำมือเหมือนถือของร้อนอยู่เสียอย่างนั้น ฮยอกแจล่ะอยากจะเข้าไปถีบตูดโก่ง ๆ ที่บิดไปบิดมานั่นด้วยความเพลียใจจริง ๆ

     

                ตอนนี้สิ่งมีชีวิตทั้งสามกำลังยืนรับลมอยู่หลังบ้านที่เมื่อคืนมันเละไม่เหลือซากแต่ก็ได้ฮยอกแจทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เมื่อคืน มีซีวอนที่ยืนเอ๋อถือเศษไม้ในมือกับฮยอกแจที่ยืนเท้าสะเอวกับท่าทางของคนตัวสูงตรงหน้า กับคยูฮยอนที่พิงขอบประตูกอดอกซดนมในแก้วมองอยู่ห่าง ๆ

     

                “แล้วถ้ามันบึ้มคามือขึ้นมาล่ะจะทำยังไง” ว่าแล้วชเวก็เบ้ปากรอบที่ล้านเก้า เขาไม่ใช่พวกประหลาดเหมือนไอพวกนี้นะ จะให้มาร่ายเวทบ้าบออะไรซีวอนขอไปเต้นมูลวอร์กบนดวงจันทร์ด้วยความหรรษาดีกว่ามาทำอะไรเสี่ยงอันตรายแบบนี้  ถ้ามันบึ้มขึ้นมาเหมือนในแฮรี่พอตเตอร์เขาจะทำยังไง ซีวอนก็แค่มนุษย์บอบบางคนนึง

     

                “ถ้าถึงเวลานั้น สายยางตรงนี้ก็มีข้าด้วยท่านได้แน่นอน”

     

                “นั่นไม่ใช่ประเด็น นายควรจะร่ายเวทอะไรของนายมาช่วยฉัน”

     

                “เปลืองพลังเวท”

     

                “หักทิ้งเสียดีมั้ยไอเศษไม้นี่น่ะ”  ยืนเถียงกับไอคนหัวบลอนซ์ที่ตัวเลกกว่าโดยมีสายตาเบื่อโลกของคยูฮยอนมองมาอย่างเหนื่อย ๆ พลางเคาะ ๆ  ที่นาฬิกาข้อมือของเจ้าตัวประหนึ่งส่งข้อความมาทางสายตาและการกระทำว่า มึงรีบ ๆ เลยชเว สายแล้วมึงเห็นมั้ย ห่า... ซะอย่างนั้นแหละ แต่ยังไงซีวอนก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าคยูฮยอนไม่ใช่คนหยาบคายแบบนั้นนนน

     

                “ถึงมันจะเป็นของใช้ที่ดูไม่ดีสักเท่าไหร่แต่ข้ารับรองได้ว่ามันสามารถช่วยเจ้าได้ไม่มากก็น้อย พลานุภาพมันอาจจะไม่เท่ากับเวทจากร่างกายแต่ถ้าท่านรู้วิธีใช้มันอย่างถูกต้องล่ะก็ มันก็เป็นอาวุธที่ใช้ได้ชิ้นหนึ่งเลย” แม่โจ้... ชเวอยากจะเอาไม้ทิ่มคอตัวเองตายเสียจริง ๆ เลย นี่ชเวหลุดไปอยู่ในหนังกี่เรื่องแล้วครับ ตั้งแต่ดราก้อนบอลยันแฮรี่พอตเตอร์ นี่มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้นนนน และไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้เขากำลังสวมบทเป็นเจ้าของสายฟ้าที่หน้าผาก อืม...แต่สภาพชเวตอนนี้ขอเป็นแค่คนถือเศษไม้ข้างตรอกไอแอก้อนรึกัน “แต่ตอนนี้เราต้องพิสูจน์กันก่อนว่าเจ้าใช่ผู้คุมกฎรึเปล่า”

     

                “งั้นไม่ต้องพิสูจน์หรอก ยังไงก็ไม่ใช่”

     

                “ให้ข้าเป็นผู้หาคำตอบเอง ในประวัติศาสตร์จอมเวทหลายคนก็หนีปัญหาด้วยการล้างความทรงจำตัวเองแล้วอาศัยเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดา”

     

                “นี่ยุคใหม่แล้วจ้ะแม่ เค้าไม่โง่ทำแบบนั้นหรอกจ้า”

     

                “อย่าเถียง”

     

                “คับ”

     

                “หรือถ้าท่านเป็นมนุษย์ธรรมดาจริง ๆ การที่มีพลังแห่งราชันอยู่ในร่างกายก็อาจจะทำให้ท่านใช้พลังเวทได้ อืม...อย่างนั้นก็เป็นไปได้เหมือนกันแฮะ” ฮยอกแจพูดพลางเอามือมาจับไว้ที่ค้างอย่างใช้ความคิด นี่ถามความสมัครใจของเขาบ้างมั้ย อยากจะให้เป็นอะไรก็เป็นไม่ได้ถามความเต็มใจของซีวอนเลยใช่มั้ย คิดว่าคนบอบบางอย่างเขาจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้หรอ ไม่ล่ะ ซีวอนแค่วิ่งหนีหมาหน้าปากซอยยังวิ่งไม่ทันเลยครับ เป็นที่มาขอรอยฟันที่ตูดที่ยังทิ้งร่องรอยทุกวันนี้ ไม่ใช่ไปเล่นบทรักโรแมนติกอะไรกับใครมาแต่โดนหมากัดตูดครับ สวัสดี

     

                “ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”

     

                “ลองก่อนสิ อ่ะนี่ ลองร่ายคาถานี้ดู” ว่าแล้วฮยอกแจก็ส่งหนังสือเล่นโบราณเก่ากึกมาให้ ชนิดว่าถ้าให้คนมือหนักอย่างคยูฮยอนมาจับนี่ทะลุคามือแน่ ๆ ... แต่เมื่อมองที่กระดาษเก่า ๆ นั้นแล้วซีวอนก็เกิดอาการปวดตับมากกว่าเดิมเมื่อมันเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ยึกยือเต็มไปหมด แม่โจ้... จะว่าบาลีสันสกฤตที่เขาตกแม่งทุกเทอมก็ไม่ใช่ จะว่าภาษาต่างด้าวก็ไม่เชิง ภาษาบ้าอะไรว่ะ อ่านไม่ออกเว่ย

     

                “มองอะไร ร่ายสิ”

     

                “อ่านไม่ออกค่ะ”

     

                “โง่”

     

                “ด่าดาวทำไม”

     

                “เห้อ มันอ่านอย่างนี้” เจ้าของผมสีบลอนซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะพูดภาษาที่อยู่ในตำราที่เขาพกมาด้วยเผื่อกรณีฉุกเฉิน ให้ซีวอนฟัง แต่ไอสูงตรงหน้าเขานี่กลับทำตาโตเหลอหลากว่าเดิม อะไรว่ะ ภาษาง่าย ๆ แค่นี้ก็อ่านไม่ออกหรอ โบกสักทีดีมั้ย ชักอารมณ์เสียแล้วนะ คนอะไรโง่ขนาด คิดแล้วฮยอกแจก็ได้แต่พูดซ้ำช้า ๆ ให้ควายตรงหน้าฟังทัน

     

                “โอเค จะพยายาม” พยักหน้ารับไปงั้นทั้ง ๆ ที่ในใจนี่รนไปหมด ถ้าร่ายคาถาผิดนี่เท่ากับระเบิดตัวเองตายเลยนะ ให้จุดจบหน้าดำแบบในหนังนี่ไม่เอานะครับ

     

                ซีวอนเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นจริงจังเล็กน้อย เม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับ มือจับไม้ในมือไว้มั่นพร้อมตั้งสมาธิไว้ให้ดี เอาเป็นว่าไม่ว่าอะไรเขาก็ควรจะจริงจังไว้ก่อน จะได้รู้ไปเลยว่าตอนนี้เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ... ว่าแล้วก็หลับตาทำสมาธิอยู่สักพักนึง ในหัวมีคาถาที่ฮยอกแจเพิ่งสอนให้อ่านไปลอยอยู่เต็มไปหมด ฮยอกแจบอกว่าการจะร่ายเวทได้ไม่ใช่จะสะบัดไม้แล้วก็ทำได้เลย แต่ผู้ร่ายต้องมีจิตใจที่แน่วแน่และจดจ่อกับมันจริง ๆ ฮยอกแจบอกว่าในตอนแรกเขาก็มีปัญหากับการร่ายเวทโดยใช้ไม้เหมือนกันเพราะมันเหมือนมีบางอย่างมาควบคุมพลังเขาไว้ตลอดเวลา แต่พอผ่านจุดนั้นมาได้ การร่ายเวทจากมือก็เป็นเรื่องง่ายไปเลย

     

                เอาล่ะนะ

     

                ถ้าเขาสามารถทำมันได้ล่ะก็...มันก็เป็นสิ่งยืนยันว่าเขามีพลังอะไรนั่นอยู่จริง ๆ

              แต่ถ้าไม่ เขาจะได้ใช้ชีวิตปกติโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ต่อไป

     

                พรึ่บ

     

                “...”

     

                สายลมอ่อน ๆ ในยามเช้ามืดที่กระทบเข้าที่หน้าทำให้ซีวอนยิ้มร่าออกมาทันที กระถางต้นไม้ที่เขาเล็งไปเมื่อกี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ว่าแล้วก็ร้องร่ายคาถาซ้ำไปอีกรอบ แต่ผลปรากฏก็ยังเป็นเหมือนเดิม ซีวอนไม่รู้จะอธิบายยังไงในตอนนี้ มันตื้นตันชนิดว่าอยากจะกลิ้งไปกลิ้งมากับดินในสวนหลังบ้านให้มันเละกันไปข้าง

     

                “โอเคแล้วนะ ฉันไม่ได้เป็นตัวอะไรทั้งนั้น”

     

                “ท่านยังตั้งใจไม่พอหรือเปล่า”

     

                “ไม่นะ นี่ตั้งใจสุด ๆ เครียดยิ่งกว่าตอนสอบอีกนะรู้มั้ย เห็นมั้ยนี่อะไร เม็ดเหงื่อจากความตั้งใจเลยนะ” ว่าแล้วก็ชี้ที่เหงื่อเม็ดโตที่ไหลพลั่กเป็นสิ่งยืนยัน  ฮยอกแจกัดปากอย่างขัดใจพลางมองไปที่คยูฮยอนที่ยืนกอดอกยกยิ้มใส่แล้วนึกฉุนขึ้นมา นี่เซนส์เขาพลาดจริง ๆ หรอเนี่ย ให้ตายเถอะ

     

                “ชัดแล้วนะ นายกลับโลกของนายไปได้แล้ว”

     

                “ข้าว่าท่านยังตั้งใจไม่พอ”

     

                “มันมากพอแล้วต่างหาก เลิกยุ่งกับเราสักที” คยูฮยอนเดินเข้ามาพร้อมพูดเสียงเรียบ ฮยอกแจยังคงกัดปากแน่น ความรู้สึกที่เหมือนตอนได้เจอกับราชาที่รู้สึกกับซีวอนเป็นของจริง เขามั่นใจว่ามันไม่น่าผิดพลาด เขาถูกฝึกมาถึงสี่ปีเต็ม แถมยังต้องสู้กับทงเฮนับครั้งไม่ถ้วนความรู้สึกไม่มีทางพลาดเพราะสามสี่เดือนมานี่เขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

     

                “เข้าใจแล้วนะแขรนะ อ่ะ คืนนนน” ซีวอนยื่นไม้กายสิทธิ์คืนให้ฮยอกแจ ร่างเล็กยื่นมือไปหมายจะรับ แต่ก็ชักมือกลับแล้วมองหน้าซีวอนด้วยสีหน้าจริงจัง

     

                “วันนึง”

     

                “หืม ?”

     

                “ข้าจะให้ท่านนำมันไปพิสูจน์วันนึง ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ข้าจะรับมันคืนและจะไม่มายุ่งกับพวกท่านอีก” ฮยอกแจบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง เขายังไม่ยอมแพ้ต่อความรู้สึกตัวเอง เขาเสียเวลามามากพอแล้ว ป่านนี้ที่อาณาจักรจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ถ้าพลาดล่ะก็เขาต้องเดินทางหาไม่มีที่สิ้นสุดแน่ ๆ

     

                “เดี๋ยวมันก็เหมือนเดิมน่าแขร”

     

                “ได้โปรด” สายตาขอร้องอ้อนสอนทำให้ซีวอนใจอ่อนยวบ อย่านะ นอกจากน้องยอนแล้วพี่ซีวอนไม่ใจอ่อนกับคนอื่นหรอกครับ แต่มันน่าเศร้าที่คยูฮยอนไม่เคยทำสายตาแบบนี้ใส่เขาเนี่ยแหละ คิดแล้วก็เศร้าอีก คนอะไรแกร่งจริม ๆ คยูฮยอนไม่เคยวานให้เขาช่วยอะไรสักอย่างตั้งแต่รู้จักกันมา เรียกได้ว่าเจ้าตัวทำอะไรเป็นไปหมดนั่นแหละ

     

                อย่าคิดว่าซีวอนจะใจอ่อนนะครับ

     

                “ตกลง เก็บไว้เล่นวันนึงก็ได้”

     

                บอกแล้วไงว่าไม่ใจอ่อนนนนน

               

    ....................................

     

     

                “นี่พวกเจ้าคิดจะไปเรียนกันจริง ๆ หรอ”

     

                “ก็พวกเราเป็นนักศึกษานี่ จะให้อยู่บ้านทำไมแม่รู้นี่ตีตายเลยนะขอบอก”

     

                “ท่านไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลยหรือไงว่าถ้าโดนจู่โจมใส่แล้วจะป้องกันตัวเองยังไง แถมในที่คนชุกชุมแบบนั้นอีกท่านมีสิทธิ์จะโดนทำร้ายเอาได้ง่าย ๆ แถมจะมีคนอื่นโดนลูกหลงไปด้วยนะ” ซีวอนที่ก้มหน้าก้มตาผูกเชือกรองเท้าอยู่ก็ได้แต่ทำหูทวนลมใส่คนที่ยืนโวยวายแว้ด ๆ อยู่เหนือหัวตนเอง อยากจะถามไปถึงบรรพบุรุษของไอเจ้าหัวเหลืองนี่เหมือนกันว่าเขาเลี้ยงเจ้านี่ด้วยนกหวีดหรือไง

     

                “ไม่หรอกน่า พวกนั้นไม่รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันเป็นใคร อีกอย่างฉันร่ายเวทไม่ได้ อาจจะไม่ใช่คนสำคัญที่พวกนายกำลังตามหากันอยู่ก็ได้”

     

                “ก็นั่นจะทำให้ท่านอันตรายกว่าเดิมไม่ใช่หรือไง ถ้าเกิดพวกมันคิดว่าใช่เหมือนกับข้า แล้วเล่นงานท่านจะทำยังไง ?”

     

                “ชิบหายไงครับ” พูดแบบนั้นแต่สีหน้านี่ชิลมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว  ฮยอกแจได้แต่ยืนทำหน้าเบ้เป็นปลาทองเมื่อเห็นปฏิกิริยาอีกคนไม่มีท่าทีตื่นกลัวเลยสักนิด อย่าบอกนะว่าไม่ได้จริงจังกับเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังเลยนะ นี่มันเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของคนทั้งโลกเลยนะ ทำไมคนตรงหน้าถึงได้ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ใช่ว่าความปลอดภัยจะมี 100 % หรอกนะ

     

                “พวกเจ้าไม่ได้จริงจังกับเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังเลยสินะ”

     

                “เชื่อ แต่ว่าเรื่องที่ซีวอนเป็นผู้คุมกฎอะไรนั่นยังไงฉันก็ทำใจเชื่อไม่ลงหรอก อีกอย่างเมื่อเช้าก็เห็นแล้วว่าซีวอนทำอะไรไม่ได้สักอย่างกับกิ่งไม้หัก ๆ ของนาย หมอนี่ตัดเต้าหูยังไม่เข้าเลย” ขวับ.... ซีวอนหันขวับไปเบ้ปากใส่คนช่างเผาทันที นี่ชเวยังดำไม่พอใช่มั้ยถึงได้ชอบเผากันจังเลยเนี่ยยย ได้แต่ทำท่าทีแสนงอนแล้วมองไปยังคนตัวขาวที่ตอนนี้กำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าอย่างใจเย็น

     

                “เผากันเข้าไปนะเผากันเข้าไป” ว่าแล้วก็ต้องเบ้ปากครับ เบ้เยอะ ๆ จะได้รู้ว่าคนอย่างชเวขี้งอนและแสนบอบบางมากแค่ไหน

     

                “เลิกทำหน้าตาน่าเกลียดแบบนั้นสักทีเถอะ”  

     

                “คยูฮยอนนา” คยูฮยอนไม่ได้สนใจเสียงเล็กเสียงน้อยที่เรียกตัวเองเลยสักนิด ก่อนจะเดินนำทุกคนออกมาจนถึงประตูรั้วบ้านที่ห่างจากประตูบ้านไม่เยอะมากนัก บ้านซีวอนเป็นบ้านเดี่ยวที่มีต้นไม้ล้อมรอบตัวบ้านก่อนจะเป็นรั้วเหล็กด้วยฝีมือคุณนายสุดสวยของเขานั่นแหละ ณ จุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าคุณนายแม่แกร่งจริง ๆ

     

                “ไปเรียนกันได้แล้ว ส่วนนายเฝ้าบ้านดีดีอย่าไปมีเรื่องที่ไหนอีกอย่าให้ฉันกลับมาแล้วเป็นลมเพราะบ้านหายนะ ถ้าวันนี้เรายังพิสูจน์ตามการมโนของนายไม่ได้ ก็เตรียมตัวออกไปจากบ้านนี้ด้วย โอเค้ ?” ว่าแล้วก็เลิกคิ้วใส่เชิงถามด้วยสีหน้าที่ฮยอกแจมองว่ามันกวนโอ๊ยสุด ๆ  แต่จะทำอะไรได้ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น ชีวิตโคตรเศร้า... ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อย ๆ และพยักหน้ารับ

     

                “พวกเจ้านี่มันจริง ๆ เลย”

     

                “ไปได้แล้ว”

     

                “บะบุยนะแขร เดี๋ยวขากลับซื้อกระดูกมาให้น้า” ทิ้งคำพูดสุดท้ายชวนให้ต้องเสกอะไรสักอย่างใส่มันจริง ๆ เลย ผัวเมียคู่นี้เป็นอะไรที่ทำให้ฮยอกแจปวดตับได้มากที่สุดตั้งแต่มาที่โลกมนุษย์เลยให้ตายสิ

     

                เจ้าของผมสีบลอนซ์เดินทำหน้าเหนื่อย ๆ เข้าไปในบ้านเพื่อหาอะไรกินต่อจากเมื่อเช้า บอกได้เลยว่าเหนื่อยใจกับรีแอคชั่นที่แสดงออกมาของทั้งสองคนมาก แทนที่จะกลัวกันพากันเก็บตัวอยู่บ้านแล้วให้เขาทำภารกิจสำเร็จอย่างว่าง่าย กลายเป็นว่าออกไปแรดข้างนอกให้เขากังวลมากกว่าเดิมซะงั้น

     

                อย่างนี้ต้องบำบัดด้วยการกิน

     

                ฮยอกแจหยิบขนมจากในตู้เย็นมาเคี้ยวอย่างเมามันส์ไม่ได้มีความเกรงใจเจ้าของบ้านที่ซื้อมาตุนไว้กินเพื่อเพิ่มไขมันในร่างกายเลยสักนิด เอาเถอะยังไง ถึงซีวอนจะร่ายเวทไม่ได้ก็อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาก็การร่ายเวทครั้งแรก แต่เขาก็ยังไม่เห็นเคสที่มนุษย์ธรรมดาแล้วมีพลังเวทเลยนี่นะ อาจจะต้องพิสูจน์กันต่อไป... แต่เขามีเวลาแค่วันนี้วันเดียวเนี่ยสิ ให้ตายเถอะ ซวยจริง ๆ เลยฮยอกแจเอ้ย

     

                คิดแล้วก็เพลียใจ เอาเถอะ ซีวอนอาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็คงต้องออกเดินทางกันอีกรอบล่ะนะ ว่าแล้วก็จกขนมกินพลางในหัวคิดไปด้วยว่าควรเอายังไงกับชีวิตต่อไปดี

     

                โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีบุคคลหนึ่งลอบมองจากอีกมุมของเสาไฟฟ้า....

     

    ............................

     

                “คยูฮยอนนา”

     

                “ ? ” คยูฮยอนเลิกคิ้วมองเจ้าของเสียงเรียกประมาณว่ามีอะไร ซีวอนยิ้มกริ่มก่อนจะเดินลั้ลลาเข้ามาควงแขนแล้วชะโงกหน้าไปถามเสียงร่าเริงประหนึ่งนางเอกเอ็มวี

     

                “ถ้าฉันเป็นผู้คุมกฎ หรือ ผู้ครอบครองพลังอะไรนั่นจริง ๆ คยูฮยอนจะทำยังไง”

     

                “อย่าพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไห้มั้ย หมาหน้าหมู่บ้านนายยังวิ่งหนีมันไม่พ้นเลย”

     

                “ง่ะ สมมติสิครับสมมติ” เบ้ปากรอบที่ล้านเก้าใส่ไปด้วยความน้อยใจอีกรอบ ทำไมคิดว่าคนอย่างซีวอนทำอะไรไม่เป็นสักอย่างด้วยนะ ไม่อยากจะอวดว่าหญ้าเกรียน ๆ หน้าบ้านน่ะฝีมือเขาเองแหละ (เล็มกินทุกวัน (ถุย))

     

                “ฉันจะรีบถีบนายส่งกลับไปโลกของนาย”

     

                “ไม่คิดจะห่วงกันบ้างเลยดิ”

     

                “เหอะ”

     

                “ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย” ลากเสียงยาว ๆ พลางกอดแขนนุ่มนิ่มนั่นแน่นไปอีกแล้วเบ้ปากอย่างน้อยใจ ทำไมคยูฮยอนชอบพูดอะไรทำร้ายจิตใจกันหน้าตายแบบนี้เนี่ย มันเจ็บปวดที่กลางใจเหมือนมีมีดมาปัดสิบเล่ม ฮอล ๆ

     

                “ปล่อยได้แล้วจะถึงป้ายรถเมล์แล้ว” คยูฮยอนสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมแล้วเดินนำไปยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน ซีวอนมองตามไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลง ๆ เอาเถอะ คยูฮยอนก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่นะ บางทีเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าความรู้สึกเต็มร้อยที่เขาให้ไปเขาได้รับมันกลับมาจากคยูฮยอนถึงครึ่งหรือเปล่า

     

                น้อยใจ

     

                มันเป็นความรู้สึกที่อดไม่ได้จริง ๆ คิดดูสิ เขาทั้งยอมทำตัวน่ารักน่าหยิกไม่แคร์สายตาคนรอบข้างตั้งหลายครั้งเพื่อเพื่อนตัวขาวคนนี้แต่ดูคยูฮยอนสิ ชอบพูดเรียบเฉยกับเขาเสียทุกทีเลยอ่ะ พอมาคิด ๆ ดูแล้วคยูฮยอนให้อะไรเขากลับมาบ้างกันนะ ก็แค่...เป็นเพื่อนกินไอติมตอนอากาศหนาว ๆ  ทำกับข้าวให้กินเวลาแม่ไม่อยู่บ้าน บ่นบ้างตอนโดนเขาลากไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน ทำงานแทนเขาตอนซีวอนไม่สบาย ดูแลตอนป่วย แถมยังมีอยู่เป็นเพื่อนตอนแม่ไม่อยู่บ้านอีก ไหนจะยังช่วย...เออ...เยอะเลยว่ะ...

     

                อืม...จริง ๆ แล้วคยูฮยอนอาจจะให้เขากลับมาเกินร้อยเสียด้วยซ้ำแหะ

     

                บทสนทนาที่ควรจะโหวกเหวกบนรถเมล์ที่ทุกทีจะเกิดจากเพื่อนตัวสูงตอนนี้มันเงียบสงัด ซีวอนอยู่ในความคิดตัวเองพลางมองคยูฮยอนที่ยืนโหนรถเมล์มองออกไปนอกรถด้วยท่าทีปกติ วันนี้ดูเหมือนคนจะเยอะเป็นพิเศษแหะ น่าน...มนุษย์ป้ายังมาเบียดคยูฮยอนของเขาอีกเดี๋ยวเถอะเดี๋ยว คยูฮยอนยิ่งทรงตัวไม่ดีอยู่นะ

     

                หมับ

     

                “ด้านในยังว่างนะครับป้า เชิญครับ” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปจับเอวคยูฮยอนไว้ไม่ให้เพื่อนตัวขาวเสียการทรงตัวไปมากกว่า พลางชี้ทางสว่างให้มนุษย์ป้าไปยังที่นั่งที่คนลุกด้านหลังพอดี ซึ่งนางได้แต่ยิ้มหน้าบานก่อนจะเดินไปนั่ง แต่เสียใจด้วยนางเจอมนุษย์ยายตัดหน้าไปซะแล้ว ซีวอนได้แต่ยิ้มกรุ่มกริ่มมองนางที่ยืนหน้าเสียอย่างอารมณ์ดี

     

                “ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” ซีวอนบอกคยูฮยอนพลางยิ้มหน้าบานเหมือนเดิม เอาเถอะ ถึงจะน้อยใจอยู่บ้างกับท่าทางเฉยชาของคยูฮยอนแต่ก็อย่างว่า คยูฮยอนน่ารักกับเขาเสมอแหละ ชาตินี้เขาจะหาเพื่อนที่ดีอย่างคยูฮยอนได้ที่ไหนอีกครับ คิดแล้วก็เขิน แอร้ย

     

                ซีวอนใช่หนังสือเล่มบาง ๆ ที่ตัวเองถืออยู่มาพัดให้คยูฮยอน เพราะวันนี้มีเรียนแค่สองตัวเท่านั้นทั้งสองคนเลยเดินตัวปลิวออกจากบ้านโดยมีของติดมือมาน้อยนิด เป็นอุปกรณ์ชิ้นดีในการคลายร้อนตอนนี้ เพราะซีวอนรู้ว่าคยูฮยอนเป็นคนขี้ร้อนขนาดไหน เหงื่อที่ไหลเต็มหน้าเป็นตัวบ่งบอกได้ดี

     

                คนที่ถูกพัดให้ยังคงเงียบใส่เหมือนเคยแต่ก็ไม่ได้ทำท่าทีโกรธซีวอน ก็แค่ท่าทางปกติของเจ้าตัวนั่นแหละ เอาเถอะ ปลงแล้วดีกว่าคยูฮยอนโกรธนั่นแหละนะ ว่าแล้วก็มองไปที่ข้างหน้าที่ดูเหมือนอีกไม่นานก็จะถึงมหาลัยอีกไม่ไกล เผลอมองทางไปจนไม่ได้สังเกตคนที่หันมาพูดด้วยหน้าแดง ๆ เลยสักนิด

     

                “ต้องตามไปอยู่แล้ว”

     

                “หืม ? ว่าไงนะคยูฮยอน” เสียงคยูฮยอนเอ่ยมาเบา ๆ ทำให้ซีวอนต้องเงี่ยหูฟัง รถที่ใกล้จอดเข้าป้ายทำให้ซีวอนกับคยูฮยอนต้องเตรียมตัวลงได้แล้ว ในรถนี้ก็มีนักศึกษามหาลัยเดียวกันกับเขาอยู่มาก ทำให้ทั้งคู่โดนเบียดอีกครั้ง

     

                เบียดหาพี่หรอครับบบ เดี๋ยวก็ได้ลงเหมือนกันนั่นแหละ

     

                “นายไปอยู่ที่ไหนฉันก็จะตามไปทุกที่นั่นแหละ เพราะคนแถวนี้ต้องโวยวายเอาตัวรอดไปไม่ได้แน่ ๆ ”

     

                “....”

     

                “ถ้าไม่ห่วง...จะอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้ทำไมล่ะ โง่” ด่าแล้วคนตัวขาวก็เป็นฝ่ายเบียดคนซะเอง แล้วก้าวลงรถไปฉับ ๆ ซีวอนที่ยืนอึ้งอยู่กับคำพูดของคยูฮยอนไม่ได้ใส่ใจที่จะไปเบียดลงกับคนอื่นเลยสักนิด

     

                หัวใจที่เริ่มพองโตขึ้นเรื่อย ๆ แถมมีจังหวะถี่ขึ้นจนมันแทบหลุดออกมาจากหน้าอก ซีวอนกำหน้าอกแน่นก่อนจะยิ้มอยู่กับตัวเอง เมื่อกี้คยูฮยอนว่าไงนะ ? นี่ซีวอนไม่ได้หูฟาดใช่มั้ย ? เขาไม่ได้ตาฟาดไปใช่มั้ยที่เห็นหน้ากับหูแดง ๆ ของคนที่เขาเพิ่งน้อยใจไปเมื่อกี้ ?

     

                อ่า...เต้นแรงเกินไปแล้วหัวใจ

     

                “ไอหนุ่ม ไม่ลงหรอไง” คนขับรถที่เห็นท่าทางเหม่อลอยของหนุ่มมหาลัยยืนจับราวยิ้มล่องลอยประหนึ่งคนบ้า ทำให้คนระแวงไม่ใช่น้อย แต่ก็ได้แต่ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง แถมจอดนานไม่ได้เสียด้วย

     

                “ลุงครับผมไม่ได้ฝันอยู่ใช่มั้ย”

     

                “อะไรของเอ็งเนี่ย จะลงมั้ย”

     

                “เมื่อกี้ลุงไม่ได้ขับแหกโค้งพาคว่ำใช่มั้ย”

     

                “หว่ะ ปากเอ็งนี่น่าถีบจริง เออ!! ไม่ได้ฝัน ตกลงเอ็งจะลงมั้ย”

     

                “ผมว่าผมเหมือนจะไม่สบายใจผมเหมือนจะหลุดออกมาเลย แต่ทำไมผมยิ้มล่ะ นี่ผมเป็นอะไร ทำไมเขาน่ารักขนาดนี้ล่ะ ผมเป็นอะไรทำไมหยุดยิ้มไม่ได้เลย ลุง นี่ผมไม่ได้เป็นบ้าใช่มั้ย ฮื่อ” คนอะไรหน้าตาดีเรียนดีแต่เผือกเป็นบ้า ลุงแกทนไม่ไหวเลยลุกจากที่นั่งมาพาตัวซีวอนลงจากรถให้ไปยืนเอ๋อข้างล่างแทน แล้วรีบดริฟออกไปทันที สังคมสมัยนี้มันอยู่ยากจริง ๆ เล้ย

     

                คนหล่อที่โลกไม่เข้าใจได้แต่ยืนยิ้มตรงป้ายรถเมล์จนคนได้แต่มองด้วยความระแวง ไม่นานก็โดนคยูฮยอนที่เดินลงมาก่อนเข้ามาลากเข้ามหาลัยไปทั้งที่หูยังแดง ๆ อยู่เลย ซีวอนแอบเห็นนะขอบอก โอ้ย อยากจะกลิ้งตัวไปบอกแม่จังเลยคับ คนนี้เท่าไหร่กันน่ะ ขอซื้อได้มั้ย ชเวไม่ไหวล้าว

     

                “ยืนเอ๋ออยู่ได้ ไปเรียนกันได้แล้ว”

     

                ครับ...

                ผมบอกแล้วไงคยูฮยอนน่ะ...น่ารักที่สุดในโลกเลย !!!

     

    …………………………………

     

                เวลาผ่านไปจนถึงตอนบ่ายของวัน ท้องฟ้านี่ก็เป็นใจกับเวลาซะเหลือเกิล แดดเปรี้ยงขนาดนี้ แร่เนื้อชเวไปย่างแดดเดี่ยวรับรองว่าอร่อยเหาะไม่ต้องง้อครัวคุณแต๋วกันเลยครับ รับรองความอร่อยจากเนื้อติดมันเน้น ๆ จากตัว แอร้ย

     

                “ร้อนจริง ๆ เลย” เสียงคนข้าง ๆ ตัวพึมพำทำให้ซีวอนหันไปมองแล้วเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าเบ้ ๆ ของคยูฮยอนที่นาน ๆ จะเห็นสักที เพื่อนตัวขาวขี้ร้อนขนาดไหนเขารู้ดี ขนาดวันไหนแดดไม่แรงแต่ไม่มีลมพัดมาสักแอะนี่เตรียมตัวหาทิชชู่มาซับเม็ดเหงื่อหยดโต ๆ ของคยูฮยอนได้เลย

     

                “เดี๋ยวบังให้” คิดแล้วก็ฟิน แค่คิดถึงภาพที่คยูฮยอนหลบแดดอยู่ในอ้อมแขนของชเวก็รู้สึกได้ถึงความแมนยกกำลังสิบแล้วครับ แอร้ย ณ จุดนั้นก็บอกได้เลยว่าชเวคงจะฟินนาเล่มั่ก ๆ

     

                “อย่ามาละคร”

     

                “คยูฮยอนนา”

     

                “รีบกลับบ้านเถอะ ป่านนี้ไอเหลืองนั่นกวาดหมดบ้านแล้วหรือยังก็ไม่รู้”

     

                “อ่า....เขาคงไม่กินจุขนาดนั้นหรอกมั้ง” แต่จะคิดอย่างนั้นก็ไม่ได้ซะทีเดียว...ดูจากปริมาณขนมที่ลดลงฮวบฮาบยิ่งกว่าตอนหุ้นตกแล้วบอกเลยว่าชเวเครียด แบบว่านั่นน่ะ มันเสบียงที่เขาตุนไว้กินเป็นเดือน ๆ เลยนะ แต่ไอเหลืองนี่มากินวันเดียวเกือบหมด เป็นลม

     

                “รีบกลับเถอะ ร้อน” ซีวอนยิ้มกับประโยคของคยูฮยอนหน่อย ๆ  ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของคยูฮยอนไว้แล้วเดินไปด้วยกัน แหม่...ไม่ขัดขื่นแบบนี้รออะไรอยู่ล่ะครับ ชเวก็เป็นเพียงคนหล่อคนนึงที่ต้องการจับมือนุ่ม ๆ ของคยูฮยอนเท่านั้นแหละ -..- คิดแล้วก็เขินดูสิคนมองกันใหญ่ นี่คยูฮยอนของเขานะเว่ย อย่ายุ่ง เข้าใจ๋ ?

     

                ครืน ครืน

     

                เสมือนท้องฟ้าวิกฤต แปรปรวนทันใด ~ ชเวได้แต่มองท้องฟ้าแล้วก็ทอดถอนใจ สรุปประเทศที่เขาอยู่วันนึงจะมีครอบสามสี่ฤดูเลยหรือไง เมื่อตอนเช้ามืดก็โคตรหนาว พอพระอาทิตย์ขึ้นหน่อยก็โคตรร้อน แถมตอนเที่ยงนะครับ ตอนเที่ยง !! แดดนี่เปรี้ยงที่กลางกบาลไม่พอยังสะท้อนเข้าเรติน่าจนรู้สึกแสบตาไปหมด แล้วเสียงฟ้าร้องคืออะไรครับ หืมมม

     

                “ฝนจะตกหรือไงเนี่ย”

     

                “ป่าวหรอก”

     

                “อ่าว แล้วเสียงอะไร”

     

                “ท้องฉันเอง” คนพูดเสหน้าไปทางอื่นทั้งกูแดง ๆ ทำให้ซีวอนเผลอหลุดขำออกมาหน่อย ๆ แม่ครับ ไม่ไหวแล้ว ชเวจะเป็นบ้าแล้ว ทำไมเขาน่ารักจังครับ แงงงงง

     

                “งั้นรับกลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวมื้อนี้พี่ซีวอนจะลงมือเองครับผม”

     

                “ตัดเต้าหูให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”

     

                “คยูฮยอนนา...”

     

                สองชีวิตจูงมือกันขึ้นรถเมล์ที่มาจอกเทียบท่าพอดี ดีหน่อยที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่แต่ที่ว่างก็ไม่ได้มากพอที่จะให้เดินฟินนาเล่เลือกนั่งได้ มองไปก็เห็นที่นั่งแถวยาวด้านในสุด อืม...นั่งท้ายสุดเป็นอะไรที่ทำให้หัวของคนสติดีกลายเป็นคนเอ๋อได้นะครับ บอกเลยว่าไม่เซียนจริงนี่มีอ้วกแน่นอน แถมรถขับดีที่ไหน ยิ่งกว่าแข่งแรลลี่อีกขรั่บ

     

                ซีวอนเลือกที่จะสงสายตาอ้อนวอนแทบจะกราบกรานคยูฮยอนว่าขอนั่งข้างหน้าต่างเถอะ ไม่งั้นมีเอฟเฟ็กกระจายแน่ ๆ ซึ่งคยูฮยอนผู้ซึ่งแกร่งยิ่งกว่าสิ่งใดก็ได้แต่พยักหน้ารับด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย อะไรรรรร ก็บอกแล้วไงว่าเค้าเป็นผู้ชายบอบบางเจอแค่นี้ก็เวียนหัวเอนลงซบเธอได้แล้วนะ งื้อ

     

                “ง่วงก็ซบเค้าได้นะตัว”

     

                “นั่งเงียบ ๆ ไปเถอะ”

     

                “คนน่ารักมักใจร้าย” ตามสเต็ปว่าคยูฮยอนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง แล้วสะบัดบ็อบหนีซีวอนไปมองวิวจากหน้าต่างที่อยู่ไกล ๆ อีกด้าน เอาเถอะ ซีวอนขอสรุปเอาเองว่าคยูฮยอนเขินรึกันนะ แอร้ย

     

                ระหว่างทางที่สภาพอากาศดูจะสดใสตลอดทั้งวันไม่มีแววว่าฝนจะตกเลยสักนิด ถือเป็นเรื่องที่ดีในชีวิตมั่ก ๆ แดดเปรี้ยง ๆ ที่ส่องมาชเวไม่คิดจะเอาม่านปิดเหมือนชาวบ้านเขาหรอกครับ เนี่ย ไม่ต้องไปอาบแดดไกลถึงทะเลให้แลดูดี นั่งรถเมล์เราก็ผิวสีแทนได้นะครับผม ทำไมคนเราชอบทำอะไรให้มนยุ่งยากอย่างการไปอาบแดดให้เสียตัวเสียตังเสียเวลาที่ทะเลด้วยนะ ชเวไม่เข้าใจจริม ๆ

     

                 เมื่อคิดจะยกเข่าขึ้นมากอดด้วยความมุ้งมิ้งในจิตใจก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบในกระเป่า คลำ ๆ ไปแล้วก็เจอกับแท่งไม้ที่เขาได้รับฝากไว้หนึ่งวันเพื่อพิสูจน์พลังในตัวเขา ดีล่ะ...วันนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมดวันนี้ไปเขาก็จะเป็นไทและใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจอเรื่องประหลาดอีกแล้ว โอเย ~ ปรบมือสิครับรออะไรอยู่

     

                วิวข้างทางเป็นอะไรที่น่ามองสำหรับซีวอนเสมอ เพราะชเวเป็นคนที่หล่อทั้งหน้าตาและจิตใจครับ พระอาทิตย์วันนี้แรงดีจริง ๆ ซีวอนรู้สึกได้ถึงความร้อนลึกเข้าไปถึงผิวหนังชั้นในเลยก็ว่าได้ เหม่อมองทองฟ้าก็เห็นเมฆปุยสีขาวเหมือนสำลีก้อนโต ๆ ลอยอยู่เต็มฟ้า ซีวอนรู้สึกเพลิดเพลินกับทัศนียภาพข้างทางเสียจริง

     

                ชิ้ง

     

                “...” ซีวอนถึงกับหยุดชะงักเมื่อกำลังมองวิวเพลิน ๆ ก็รู้สึกถึงสายตาหนึ่งที่สะท้อนเข้ามาในกระจกทำให้เขาหันไปมองโดยอัตโนมัติ    

     

                “คะ..คยูฮยอน คยูฮยอนนนนนน” ทันทีที่สายตาปะทะเขากับบุคคลอันตรายที่เพิ่งเดินขึ้นรถเมล์มาทำให้ซีวอนสกิดคยูฮยอนรัว ๆ จนคนที่นั่งสัปปะหงกอยู่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาแบบงง ๆ ก่อนจะส่งสายตาสงสัยปนรำคาญไปให้ซีวอนที่ตอนนี้ทำท่ารนเมื่อโดนน้ำร้อนลวก

     

                “อะไรของนาย ทำหน้าเหมือนเห็นผี”

     

                “ยอมเห็นผีดีกว่าจ้ะ มองตามนิ้วชเวนะคะ”

     

                “...นั่นมัน” คยูฮยอนเบิกตากว้างเมื่อมองตามนิ้วซีวอนที่ชี้ไปก็เห็นกับบุคคลที่เพิ่งสู้กับฮยอกแจเมื่อคืนกำลังเดินแสยะยิ้มร้ายกาจตรงมาที่พวกเขาอย่างช้า ๆ ทงเฮเดินเข้ามานั่งที่ข้าง ๆ คยูฮยอนที่พยายามทำหน้านิ่ง ๆ เก็บอาการไว้ กับซีวอนที่ตอนนี้เหงื่อแตกพลั่กเหมือนนั่งลุ้นบอล

     

                เพราะอะไรไม่รู้ล่ะ แต่รู้สึกได้ว่าชิบหายรัว ๆ

     

                อืม...ชิบหายก็ต้องหาสินะ

                ……..

                ….

                ถุย

     

                คยูฮยอนรีบคว้ามือซีวอนที่กำลังคิดอะไรไร้สาระในสมองควาย ๆ ไม่เลิกราไว้ก่อนทำส่งสายตาไปเชิงบอกว่าให้ลงป้ายที่ใกล้ที่สุดซึ่งชเวผู้ซึ่งมีสมองไว้กั้นหูทั้งสองข้างก็ได้แต่หน้าแดงขวยเขินที่โดนคยูฮยอนจับมือแน่นแถมยังส่งสายตากรุ่มกริ่มให้จน คยูฮยอนต้องพูดปากเปล่าให้ควายตัวนึงเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้บ้าง

     

                พรึ่บ

     

                ร่างโปร่งลุกนำซีวอนก่อนจะจูงมือเดินทั่ก ๆ ไปที่ประตูอย่างไวก่อนจะก้าวลงทั้ง ๆ ที่รถยังจอดไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ คยูฮยอนและซีวอนต่างก้าวเร็ว ๆ เหมือนหนีตายอะไรสักอย่างอยู่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเหตุผลที่ต้องหนีทงเฮแต่การอยู่ใกล้อีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน ถึงจะแต่งตัวและทำตัวเหมือนมนุษย์ธรรมดามากแค่ไหนยังไงการที่เห็นทงเฮในเมื่อวานมาแล้วยังไงการให้มองเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา

     

                 “ไกลพอแล้วมั้งคยูฮยอน อีกอย่างนะเราก็ไม่จำเป็นต้องหนีด้วย”

     

                “เมื่อคืนนายก็เห็นแล้วว่านายนั่นโหดแค่ไหน ถ้าเขารู้ว่าฮยอกแจอยู่กับเรา หรือรู้เรื่องเกี่ยวกับนายล่ะก็มันก็ไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก”

     

                “ไม่หรอก เมื่อเช้าก็พิสูจน์แล้วนี่นาว่าฉันไม่ใช่ผู้คุมกฎอะไรนั่น”

     

                “แล้วมันรู้กับนายด้วยมั้ยล่ะ ขนาดฮยอกแจยังรู้สึกว่าเป็นนาย คนอื่นก็รู้สึกได้เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องหนีแต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ใกล้คนอันตรายแบบนั้นเหมือนกัน”

     

                “ใจร้ายจังเลยนะ ไม่รู้จักกันแท้ ๆ ว่าหาว่าเป็นคนอันตรายเฉยเลย”

     

                “ !!! ” เสียงที่ข้างหูทำให้คยูฮยอนขนลุกซู่ ก่อนที่ซีวอนจะเบิกตากว้างเมื่อข้างตัวคยูฮยอนค่อย ๆ ปรากฏร่างของคนที่พวกเขาหนีลงรถเมล์มาเมื่อกี้ยืนอยู่ข้าง ๆ คยูฮยอน  ร่างโปร่งยืนนิ่งเมื่อถูกมือของอีกฝ่ายบีบเข้าที่หน้าแรง ๆ และโน้มหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนซีวอนที่จับมือคยูฮยอนอยู่ต้องกระชากตัวออกมาแล้วยืนบังเอาไว้มั่น

     

                “นายต้องการอะไร ?”

     

                “สวัสดี ข้าชื่ออีทงเฮ ดูเหมือนเจ้าจะมีของดีอยู่นะ ชเว ซีวอน”

     

    .................................

     

                “เราไม่มีอะไรทั้งนั้น” คยูฮยอนที่โดนซีวอนเอาตัวบังไว้อยู่พูดเสียงแข็งก่อนจะจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง ซีวอนได้มองไปด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าอีกฝ่ายจะเกิดอาการมือลั่นใส่เพื่อนเขาได้ ไปจ้องเขาอย่างนั้นทำไมลูกกกกก หนูเป็นแค่มนุษย์ธรรมดานะคะถ้ามันโกรธขึ้นมาเสกหนังควายเข้าท้องหนูจะทำยังไงคะ โถว...

     

                “สายตาใช้ได้เลยนี่เจ้าน่ะ”

     

                “ขอบใจ”

     

                “หึปากดีเสียจริงเด็กนี่  ข้ารู้ว่าเจ้าโย่งนี่มีพลังแห่งราชันอยู่ ส่งตัวมันมาให้ข้า !! ” เสียงแข็งกร้าวตลาดลั่น โชคดีเหมือนกันที่ตอนนี้แดดร้อนเปรี้ยงเลยทำให้ไม่มีคนออกจากบ้าน แถมที่ที่เขายืนอยู่ตรงนี้เป็นลานกว้างใครจะมาบ้ายืนตากแดดปะทะฝีปากกันแบบนี้ไม่มีอีกแล้วครับ ไม่ถึกจริงทำไม่ได้นี่พูดเลย โถวววว...ไอโหดเอ้ยทำเป็นเข้ม คนอย่างชเวกลัวที่ไหนกับเสียงดัง ๆ ...อ่าว แล้วเขามีอยู่หลังคยูฮยอนได้ไงว่ะ

     

                “เราไม่รู้ว่านายพูดเรื่องอะไร แล้วกรุณาหลีกทางด้วย”

     

                เปรี้ยง

     

                “น่าเบื่อจริง ๆ พวกชอบทำตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องเนี่ย” ซีวอนและคยูฮยอนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่เมื่อมีแสงสีดำพุ่งมาเข้าที่ข้างตัวเฉียดไปเพียงไม่กี่มิล พื้นที่เป็นรูทำให้ซีวอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ นี่กะจะฆ่ากันเลยหรอครับบบ บอกแล้วไงว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่อะไรทั้งนั้น พูดไม่รู้เรื่องหรอ ต่อยกับพี่กูป่าวววว นั่น ยังมีหน้ามาชูนิ้ววนเป็นวง ๆ ทำให้ให้เวทสีดำน่ารังเกียจนั่นกลายเป็นวงเล็ก ๆ อยู่บนนิ้วมือนั่น บอกเลยว่าไม่ว่าเป็นแบบไหนมันก็น่ากลัวพอ ๆ กัน

     

                คยูฮยอนที่บังตัวซีวอนไว้อยู่มือร่างสูงไว้แน่นแล้วจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา เหงื่อเม็ดโตที่ไหลลงมาตามขมับทำให้ซีวอนรู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองคงเข้าไปในเขตอันตรายแล้วจริง ๆ เพียงเสี้ยววินาทีคยูฮยอนรีบคว้าเอาหนังสือในมือซีวอนมาแล้วปาใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างจัง

     

                ปึ้ง !!

     

                “ วิ่ง !!! ” พื้นที่แตกเป็นหลุมเล็ก ๆ จากวิถีเวทที่ถูกบิดเบือนโดยคยูฮยอน คยูฮยอนรีบฉุดซีวอนให้วิ่งตามในนาทีที่ทงเฮเสียหลักเพราะคยูฮยอนปาหนังสือใส่อย่างแรง พวกเขาจำได้ว่าคือทงเฮที่สู้กับฮยอกแจเมื่อคืนแน่นอน แถมดูเหมือนจะมีความคิดว่าซีวอนเป็นผู้คุมกฎเหมือนฮยอกแจซะด้วย บ้าเอ้ย นี่เขาโดนจ้องจะฆ่าอีกแล้วหรอว่า ขอเป็นคนหล่อที่มีคุณค่ามากกว่าคนหล่อที่คนฆ่าได้ไหมครับ กรี๊ด

     

                “เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องหาที่หลบ ที่ไม่ใช่ชุมชนแบบนี้” ซีวอนที่โดนคยูฮยอนจับมือวิ่งอยู่พยักหน้ารับก่อนเข้าไปในร้านขายของชำที่มีอาเจ็คนั่งชันขาพัดตากพัดลมอยู่อย่างสบายใจซีวอนพยายามส่งสายตาหมาน้อยไปเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นสายตาที่มองด้วยความสงสัย อ่านสายตาที่มองมาได้แทนคำพูดประมาณว่า อากาศร้อนจะตายห่า ทำไมพวกเอ็งต้องวิ่งเหมือนหนีตายขนาดนั้น เก๊กฮวยสักแก้วหน่อยมั้ย  โถ..เจ็คไม่เข้าใจแต้ว

     

                “นั่นไง ตึกร้างตรงนั้น” เหมือนจะหลุดพ้นเขตชุมชนมาได้แล้ว คยูฮยอนก็ชี้ไปยังตึกเก่า ๆ ที่มองมุมไหนก็เป็นตึกร้างบวกกับหญ้าที่ขึ้นเต็มอาณาบริเวณนั่นทำให้ความ horror คูณสองเข้าไปอีก ชเวถึงกับหน้าซีดเผือกกับความคิดของคยูฮยอนทันที น้องแน่ใจอย่างนั้นหรอครับบบบ

     

                “ไม่เอานะคยูฮยอน ถ้าผีโผล่มาจะทำไง”

     

                “ไหนบอกเจอผีดีกว่าเจอไอนั่นไง”

     

                “เค้าปด เค้าขอโทษ เค้าผิดไปแล้ว”

     

                “อย่าพูดมาก รีบ ๆ วิ่งมาเร็ว”

     

                “ม่ายยยยยยยยย” แหกปากเหมือนโดนเชือด อยากจะร้องเพลงคุกเข่าแล้วสไลด์ไปกับพื้นให้ดูน่าสงสารจริง ๆ  ทำไมคยูฮยอนแรงความแบบนี้ว่ะเนี่ย นี่เขาว่าตอนนี้ไขมันที่สะสมมาเนินนานได้ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาพอสมควรแล้วนะ คยูฮยอนยังมีแรงลากควายตัวนึงไปได้สบาย ๆ แบบนี้อีกหรอ ไม่แน่นะ ภายใต้เสื้อนักศึกษาตัวนั้นอาจจะมีมัดกล้ามเรียงตัวกันอย่างสวยงามก็เป็นได้ (ลูบ)

     

                เปรี้ยง

     

                “อย่าทำให้มันยากนักเลย ข้าไม่อยากนำร่างไร้วิญญาณของเจ้ากลับไปหรอกนะ” เหมือนตอนโดนสายฟ้าไล่ตามไม่มีผิด !! แต่ตอนนี้ซีวอนรู้สึกว่ามันอันตรายคูณร้อยเข้าไปเลยก็ว่าได้ การมีเวทสีดำทมิฬน่าขยะแขยงแบบนี้ไล่ตามฆ่า ซีวอนยอมโดนฟ้าผ่าสักล้านรอบดีกว่าครับ แหวะ (ล้อเล่น)

     

                “ชู่” เหมือนจะได้ที่หลบแล้วแหะ คยูฮยอนดันซีวอนเข้าไปข้างในสุดของซอกตึกร้างที่พวกเขาเข้ามาแอบกัน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ชั้นที่สามของตึกคิดดูสิครับว่าวิ่งสู้ชีวอนขนาดไหน คนหล่อที่โลกไม่เข้าใจถือไม้กายสิทธิ์ของฮยอกแจไว้ในมือแน่น อย่าคิดว่าเขาจะคิดเอาไปร่ายใส่คนโฉดแบบนั้นเด็ดขาด เปลี่ยนความคิดซะเถอะ ชเวแค่กลัวมันหักจากการนั่งกอดเข่าต่างหากครับ

     

                “จริง ๆ ฉันควรเป็นฝ่ายอยู่ด้านนอกบังคยูฮยอนไม่ใช่หรอ”

     

                “อยู่ข้างในมืด ๆ กลมกลืนกับผิวไปนั่นแหละดีแล้ว”

     

                “คยูฮยอนนา...”

     

                “ชู่” จีบกันได้ไม่ถึงนาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาไกล ๆ ทำให้ซีวอนรีบรูดซิบปากไว้แน่น คยูฮยอนที่นั่งหันหลังให้ข้างนอกหันหน้ามาหาเขาใกล้มากเรื่อย ๆ จนชเวรู้สึกเขินอายไม่น้อย แอร้ย ๆ ระยะใกล้ขนาดนี้จะทำอะไรเค้าน่ะ บ้าหรอ หน้าสิวหน้าขวานอยู่นะ คยูฮยอนบ้า ๆ ๆ

     

                “เลิกคิดอะไรพิเรนทร์ ๆ ได้แล้ว” ง่ะ... อีกแล้ว ทำไมคยูฮยอนชอบทำเหมือนอ่านคามคิดเขาได้ทุกทีเลย ชเวได้แต่เบ้ปากอย่างชัดใจเมื่อโดนเจาะลูกโป่งในจินตนาการเข้าอย่างจัง คยูฮยอนเลยทนไม่ไหวต้องเอามือไปปิดปากมันแรง ๆ เผื่อจะได้เลิกเพ้อเสียที เข้าใจสถานการณ์บ้างว่าเวลานี้มันไม่ใช่เวลามาคิดอะไรไร้สาระ

     

                ตึก ตึก ตึก

     

                “อยากเล่นซ่อนหาสินะ” เสียงทุ้มของอักฝ่ายดังก้องไปทั่วตึก ซีวอนจับแขนคยูฮยอนไว้แน่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ร่างสองร่างกอดกันกลมแทบจะเป็นคนเดียวกันตอนนี้ต้องทำให้ตัวเองดูตัวเล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ ชเวได้แต่พึมพำในใจขอให้พี่โหดโปรดให้อภัยในสิ่งที่โดนคยูฮยอนกระทำมา นี่ไม่ใช่กูแล้วครับ มึงจำผิดแล้ว ไปเถอะ ได้โปรด ขอร้องงงงง

     

                แกร๊ง

     

                เสียงของอะไรบางอย่างตกลงพื้นจากอีกด้านหนึ่งทำให้ทงเฮที่กำลังเดินตรงไปยังที่ที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่หันควับไปมอง ซีวอนกับคยูฮยอนกัดฟันแน่นอย่างลุ้นระทึกให้ทงเฮเดินไปทางนั้น จะด้วยเพราะลมแรงหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ แต่นับว่าพวกเขาอาจจะยังมีบุญอยู่บ้าง... เสียงฝีเท้าที่วิ่งไกลออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คยูฮยอนหันหลับกลับไปชำเลืองมองอย่างหวาดระแวง

     

                “โอเค เคลียร์” ถอนหายในเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ ก้มตัวคลานออกมาจากหลืบที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่อย่างเบามากที่สุด คยูฮยอนที่โผล่ออกมาคนแรกดูต้นทางซ้ายขวาดีแล้วก็หันไปบอกคนในหลืบที่ดูเหมือนจะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นคนบ้าอยู่ไม่เลิกไม่รา

     

                “ออกมาได้แล้ว”

     

                “เมื่อกี้ตัวเองกอดเค้าด้วยอ่ะ เค้าเขิน”

     

                “อย่าเพิ่งมาออกอาการบ้าตอนนี้ได้มั้ย รีบ ๆ ออกมาเราต้องหนี...อั่ก !!!!

     

                “คยูฮยอน !!!” ซีวอนร้องลั่นเมื่อเห็นคยูฮยอนที่นั่งอยู่ตรงปากทางเข้าช่องแคบ ๆ ที่เขาอยู่ตอนนี้ใบหน้ากังวลที่กำลังเรียกเขาออกมาเมื่อกี้...กำลังแนบกับพื้นของตึกที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างแรงโดยมีรองเท้าหนังคู่ใหญ่ของทงเฮเหยียบกดไว้อยู่ที่กลางหัว ภาพที่ทำให้ซีวอนใจร่วงลงไปที่ตาตุ่มเมื่อเห็นเลือดเริ่มไหลออกมาเป็นลงกว้างที่พื้นสกปรกนั่น ตรงที่ศีรษะคยูฮยอนแนบอยู่ต้องมีหินอยู่แน่ ๆ

     

                “หึ คิดว่านั่นจะทำให้ข้าหลงกลงั้นหรอ”

     

                ปั่ก !!

     

                “คยูฮยอน !!!” เท้าที่กระทืบซ้ำไปที่หัวของคยูฮยอนทำให้ซีวอนกำลังจะสติแตก มือสั่น ๆ ของคยูฮยอนพยายามจะยันตัวขึ้นมาแต่ก็ไร้ผลเมื่อโดนทงเฮเน้นน้ำหนักลงมาจนเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ซีวอนได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่ในหลืบแคบ ๆ ที่เขาซ่อนตัวอยู่ ทำอะไรสักอย่างสิชเวซีวอน คิดสิคิด

     

                “คิดจะขี้ขลาดอยู่ในนั้นดูเพื่อนตัวเองตายหรือยังไง ใจร้ายจังเลยนะ”

     

                “ปล่อย..ปล่อยคยูฮยอนนะ”

     

                “นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะยอมมากับข้าดีดีหรือเปล่า” ข้อเสนอที่ถูกยืนมาให้ทำให้ซีวอนเม้มปากแน่น เขาไม่ควรลังเลในเวลาแบบนี้ คยูฮยอนกำลังเจ็บ ซีวอนทนไม่ได้ทนไม่ได้จริง ๆ ร่างสูงกำไม้กายสิทธิ์ของฮยอกแจในมือไว้แน่นอย่างหวาดกลัว เขากลัวว่าคยูฮยอนจะได้รับอันตรายไปมากกว่านี้ แต่อีกความกลัวหนึ่ง..ก็กลัวอนาคตที่จะเกิดขึ้นถ้าเขาไปกับทงเฮ

     

                ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะกลัวไม่ใช่หรือไงกันล่ะ...

     

                “นะ..หนีไป..ซีวอน.. อ๊ากกกกก”

     

                “เป็นคนเจ็บก็อย่าพูดมากสิ” เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของคยูฮยอนดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อทงเฮใช้มือบีบทีขมับคยูฮยอนไว้แล้วยกขึ้นสูงจนตัวของคยูฮยอนลอยเหนือพื้น ซีวอนส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้กับภาพตรงหน้า น้ำตาแห่งความกลัวหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ไม่ไหวแล้ว รับไม่ไหวอีกแล้ว ทำไมทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับเขาด้วยทำไมกัน

     

                สายตาที่ปรือมองมาจากคนที่เลือดอาบหัวไม่ได้ทำให้ซีวอนเขินบิดตีลังกาไปสามตลบเหมือนทุกที นัยน์ตาสะท้อนออกมาด้วยสติสัมปชัญญะที่กำลังจะขาดในไม่ช้า แต่หากริมฝีปากสีซีดนั่นก็ยังพึมพำให้เขาหนีไป... นี่เขายังลังเลอะไรอยู่ ? กลัวตายงั้นหรอ แล้วกับคยูฮยอนที่สภาพร่อแร่แบบนี้ล่ะ ไอบ้าเอ้ย

     

                “คิดได้แล้วสินะ ว่าควรจะทำยังไง”

     

                ตุบ

     

                “คยูฮยอน !!” ทงเฮปล่อยมืออกจากกระหม่อมบาง ส่งผลให้ร่างของคยูฮยอนที่อยู่เหนือพื้นในตอนแรกร่วงลงมากระทบพื้นอย่างแรงจนซีวอนต้องรีบถลาเข้าดูอาการของคยูฮยอนที่ตอนนี้หน้าซีดไปหมดแล้ว ... มือแกร่งไล้ตามโครงหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสีสดอย่างนึกใจหาย มองไปที่พื้นก้เห็นหินก้อนหนึ่งที่มีเลือดอาบอยู่ จริง ๆ ด้วย เมื่อกี้ที่พื้นมีหินอยู่จริง ๆ เพราะไม่งั้นคยูฮยอนคงไม่เลือดไหลเวอร์ขนาดนี้ คยูฮยอนเจ็บตัวขนาดนี้แล้ว เขาลังเลอะไรอยู่ว่ะ แค่ไปกับมันก็จบแล้ว บ้าเอ้ย !!

     

                “ทำใจดีดีไว้นะคยูฮยอน อย่าเป็นอะไรนะ”

     

                “หนี ...หนีไปซีวอน”

     

                “จะบ้าหรือไง ฉันจะทิ้งคยูฮยอนได้ยังไงล่ะ โง่” คยูฮยอนปรือตามองซีวอนที่กุมมือเขาไว้แน่นก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ กับความดื้อดึงของเพื่อนตัวสูง ร่างที่สภาพร่อแร่อยู่ที่พื้นมองไปทางอีกคนที่เดินแสยะยิ้มมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาสมเพท

     

                “ลำลากันให้เสร็จรึกัน ไหน ๆ ก็จะตายกันอยู่แล้ว”  ริมฝีปากที่เม้มแน่นอย่างขัดใจเพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ... ซีวอนกุมมือคยูฮยอนแน่นก่อนจะนำมาแนบแก้มตัวเองไว้ และพึมพำบางอย่างเหมือนคนเสียสติ

     

                “ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดนะรู้มั้ย คยูฮยอนต้องกลับบ้าน คยูฮยอนต้องไปหาแม่ฉัน คยูฮยอนต้องกลับไปหาครอบครัวนะ อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเป็นอะไร...”

     

                “เราจะรอดไปด้วยกัน...” รอบยิ้มอบอุ่นถูกส่งมอบมาให้ ทำให้ซีวอนใจชื้นขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น แต่ยังไงล่ะ...ในเมื่อพวกเขาไม่มีเวทมนต์เหมือนฮยอกแจ ไม่มีอะไรสักอย่างแล้วจะสู้กับคนแบบนี้ได้ยังไงกัน

     

                “นั่นน่ะ...ลองมันอีกครั้งได้มั้ย” เสียงแหบ ๆ ของคยูฮยอนส่งมาพร้อมกับสายตาที่เบนไปทางไม้กายสิทธิ์ที่เขาวางทิ้งไว้ข้างตัวตอนถลาเข้ามาดูคยูฮยอน ซีวอนส่ายหน้ารัวเมื่อรู้ผลลัพธ์ของมันอยู่แล้ว

     

                “ไม่...ไม่มีทางหรอกคยูฮยอน เมื่อเช้าก็เห็นแล้วนี่”

     

                “ลองมันอีกครั้งนะ มันเป็นทางเดียวที่เราจะ..จะรอด”

     

                “ฉันยอมไปกับมันก็ได้เพื่อให้คยูฮยอนรอด”

     

                “แต่ฉันไม่ยอมให้นายไปกับมันเพื่อให้ฉันรอด” สายตาจริงจังของคยูฮยอนทำให้ซีวอนเผลอใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ไอบ้าเอ้ย หน้าสิวหน้าขวานยังมากล้าใจเต้นแรงอีกหรอว่ะ มึงเป็นสาวน้อยวันแรกแย้มหรือไงชเวซีวอน โถ... ร่างสูงลังเลอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบไม้ที่อยู่ข้างตัวมา

     

                “ถ้าสำเร็จ นั่นหมายความว่า...ฉันคือคนที่ครอบครองพลังนั่นและต้องไปที่โลกโน้นกับฮยอกแจด้วยนะ”

     

                “ช่างสิ บอกแล้วไงว่าไม่มาจะเป็นตัวอะไรก็จะอยู่ด้วยกัน”

     

                “...”

     

                “ฉันจะอยู่ข้างนายเสมอ”

     

                “สัญญานะ”

     

                “อื้อ...สู้เพื่อฉันนะซีวอน” รอยยิ้มบาง ๆ ที่ถูกส่งมาให้ทำให้พลังใจเต็มเปี่ยม ซีวอนประทับริมฝีปากไปที่หน้าผากมน สายตาของคยูฮยอนปรือลงเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด คาดว่าคยูฮยอนได้หมดสติไปอีกไม่ช้าแน่ ๆ ไม่ได้แล้วล่ะ ต้องรีบแล้ว.... ซีวอนลุกขึ้นยืนพร้อมซ่อนไม้กายสิทธิ์ไว้หลังมือก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปหาทงเฮ

     

                “ลำลากันนานเหลือเกินนะ”

     

                “แต่คงไม่ซึ้งเท่านายกับฮยอกแจหรอก”

     

                “หึ...เจ้านั่นเล่าให้ฟังด้วยสินะ ดีเลย อย่างนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเจ้าคือผู้คุมกฎจริง ๆ ถึงจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแต่มันก็เป็นการดี จะได้ไม่มีการเสียเลือดกันอีก” ทงเฮแสยะยิ้มก่อนจะปรายตามองร่างที่นอนนิ่งของคยูฮยอนแล้วเดินนำซีวอนออกไป ร่างสูงที่เดินตามหลังคนที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยกำไม้กายสิทธิ์ในมือแน่น ก่อนจะตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีโจมตีทงเฮจากด้านหลัง

     

                พรึ่บ

     

                ไม้ที่ถูกตวัดชี้ไปที่อีกฝ่ายทำให้มือคนที่ถือมันอยู่สั่นเทา...เหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิดเลย โธเว่ย... ปฏิกิริยาจากคนข้างหลังทำให้ทงเฮหันกลับมามอง ก่อนจะกระตุกยิ้มทันทีเมื่อเห็นของดีในมือของซีวอน

     

                “เห...มนุษย์ธรรมดามีของแบบนี้ด้วยหรือไง คิดจะลอบกัดแบบนี้ เห็นที่ต้องแสดงอะไรให้ดูสักหน่อยแล้ว”

     

                “อะ..อ๊ากกกกกกกกก”

     

                “คยูฮยอน !!! ” ทงเฮยกมือขึ้นชูกลางอากาศอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของคยูฮยอนที่สติใกล้จะดับลอยวืดมาอยู่ในกำมือทงเฮ ร่างโปร่งที่ไร้เรี่ยวแรงพยามยามแงะมือที่บีบแน่นอยู่ที่คอตัวอย่างแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะตอนนี้ตนเองอ่อนแรงเต็มทน ซีวอนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งคือการยืนดูเฉย ๆ และทำอะไร...ไม่ได้เลย

     

                เขาทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

     

                “แค่ก ๆ แค่ก อึ่ก !!

     

                ทำอะไรไม่ได้เลย...สักอย่าง

     

                “ดูซะชเวซีวอน นี่แหละคือสิ่งที่คนอ่อนแอควรได้รับ คนที่แข็งแกร่งต่างหาที่จะอยู่รอด”

     

                ปล่อยนะ เอามือสกปรกนั่นออกไป

     

                “แค่ก..หนี..หนีไป...”

     

                ปล่อยคยูฮยอนเดี๋ยวนี้...       

     

                “ไปโทษเพื่อนของเจ้ารึกันที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้”

     

                พอได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้นะ...

     

                “อึ่ก อั๊ก...”

     

                หยุดเดี๋ยวนี้นะ...       

     

                “หึหึ ”  

     

                .....

                ...

                “ปล่อยคยูฮยอนเดี๋ยวนี้  !!!

     

     

                เปรี้ยง !!!!!!!

     

                “อ๊ากกกกกกกกกกกก” แสงสีเหลืออำพันพุ่งตรงไปที่มือทงเฮอย่างแรงจนทะลุเป็นรูโหว่ เสียงกรีดร้องลั่นของทงเฮพร้อมกับร่างของคยูฮยอนที่ร่วงลงพื้นมาอีกครั้ง ร่างของคนโหดเหี้ยมทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับกุมมือตัวเองไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด พร้อมจ้องเขม็งมาที่ซีวอนที่ถือไม้ค้างไว้พร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาไม่ขาดสายกับความประหลาดใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

     

                “อะไรกันพลังนี่...นี่เจ้า.... !!!

     

                “ทำ..ทำได้แล้ว...คยูฮยอน คยูฮยอน...” คนตัวสูงทรุดลงไปกับพื้นเพราะหมดแรงก่อนจะตะเกียกตะกายเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งกับพื้นอีกครั้ง มือสั่น ๆ ตบแก้มคยูฮยอนเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ใบหน้าซีดเซียวของคยูฮยอนยิ่งกว่าสีกระดาษกับร่างนิ่ง ๆ ทำให้ซีวอนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก

     

                “แค่ก ๆ ”

     

                “คยูฮยอนนา...” ร่างสูงคว้าคยูฮยอนเข้ามากอดแน่น โดยคนเจ็บหลับตาพริ้มรับอ้อมกอดตรงหน้าอย่างหมดแรง

     

                “ทีนี้นายก็ไม่ใช่แค่ชเวซีวอนคนธรรมดาแล้วนะ”

     

                “อื้ม”

     

                “หึ...เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้เสียแล้ว คงต้องพาร่างเจ้าแบบไม่สมบูรณ์กลับไปให้นายท่านสินะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ซีวอนหันขวับไปมอง มือทงเฮที่เป็นรูจากการกระทำของเขาตอนนี้มันเริ่มสมานกันเรื่อย ๆ จนปิดสนิท ซีวอนเม้มปากแน่นอีกครั้งเมื่อรู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเอง ถ้าเขาปล่อยคยูฮยอนไว้คนเดียวต้องโดนแบบเมื่อกี้อีกแน่ แถมเจ้าตัวดันสลบไปเสียแล้ว

     

                “อย่าเข้ามานะ” มือหนึ่งโอบคยูฮยอนไว้แนบกาย ส่วนอีกมือถือไม้กายสิทธิ์ตั้งท่าเตรียมพร้อม ทงเฮแสยะยิ้มกับท่าทางนั้นจนซีวอนได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

     

                “คิดว่าเวทแบบเมื่อกี้จะเล่นงานข้าได้อีกรึไง”

     

                “อย่างน้อยก็ทำให้นายบาดเจ็บได้”

     

                “มันจะไม่มีการพลาดอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ยอมรับว่าพลังเวทของเจ้าไม่ธรรมดา คงจะมาจากพลังแห่งราชันสินะ” ใบหน้าแสยะยิ้มของทงเฮทำให้ซีวอนขนลุกได้ไม่น้อย ทงเฮค่อย ๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ซีวอนไม่คิดจะแบกร่างของคยูฮยอนวิ่งหนีเพราะมีแต่จะทำให้คนเจ็บเจ็บหนักกว่าเดิม

     

                ซีวอนกำไม้ไว้แน่นตั้งท่าเตรียมพร้อม ขอร้องเถอะพระเจ้า...ขอให้ลูกทำได้อีกสักครั้งหนึ่งเถอะ...สายตาสั่นระริกมองสีหน้าเหมือนกำลังเล่นสนุกของอีกฝ่าย จะปฏิเสธว่าไม่กลัวก็คงไม่ได้ แต่ซีวอนจะไม่ลังเลที่จะตัดสินใจอีกแล้ว เขาไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลัง ไม่อยากเห็นใครเจ็บตัวเพราะเขาอีกแล้ว

     

                ถึงจะกลัวแต่เขาจะสู้กับทงเฮ

     

                “ไม่นะ...” ซีวอนเบิกตากว้างมองสิ่งที่ทงเฮเรียกออกมา ดาบสีดำทมิฬที่เขาเคยเห็นมันตอนที่ใช้สู้กับฮยอกแจ เดี๋ยวสิ... ถ้าการใช้เวทมือเปล่ากับการใช้อาวุธเฉพาะตัวของจอมเวทเป็นการใช้เวทจากในร่างกายโดยที่ทำให้มีผลสูงกว่าการใช้ตัวกลางอย่างไม้กายสิทธิ์... การที่ฮยอกแจใช้อาวุธประจำกายแล้วแพ้ให้กับทงเฮล่ะก็...การที่เขาใช้ไม้ของชาวบ้านโดยมีพลังที่มาจากไหนของตัวเองไม่รู้มาสู้มันก็...

     

                แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ...

     

                คนขี้ขลาดหลับตาแน่นชะตากรรมที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า มือที่ถือไม้เตรียมร่างเวทร่วงลงไปอยู่ข้างตัวโดยไม่รอสมองสั่งการ ร่างกายที่สั่นเทาไปด้วยความกลัว ไม่ไหว แต่คิดจะยกไม้ขึ้นมาร่ายอะไรใส่เขาก็ไม่มีแรงแล้ว แค่คิดว่าต้องสู้กับอาวุธที่น่ากลัวแบบนั้น...เขาก็ไม่ไหวแล้ว ได้แต่กอดคยูฮยอนที่มีเลือดไหลเป็นทางอยู่ที่ศีรษะลงมาถึงปลายคาง กอดไว้แน่นที่สุดให้เท่ากับความขี้ขลาดที่เขามีในตอนนี้

     

                ขอโทษนะคยูฮยอน...

     

                “หึ...ลาก่อน”

     

     

    TO BE CONTINUE

    CHAPTER 5 :: -


    สอบเสร็จแล้ว เป็นไทแล้ววววววววว

    รู้สึกตอนนี้ภาษาเมา ๆ มั้ย ... ส่วนนึงเราก็ผิดเองด้วยที่วางพล็อตหลวมเกินไป
    มาช่วงหลังเราแต่งไม่ค่อยลื่นทุกคนคงรู้สึกได้

    เจอกันแชบหน้าค่า อยากเมาส์อยากเม้นท์เชิญที่หน้าฟิคและ #ฟิคจอมเวท ได้ค่า

               

     

     

     

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×