ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC WONKYU] THE ZAUBERER

    ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 3 :: POWER OF THE KING

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 57


    CHAPTER 3

    :: power of the king

     

     

                    “เชื่อเถอะ..ข้าชื่อลีฮยอกแจ เป็นคนที่จะมาคุ้มกันท่านระหว่างที่ท่านครอบครองพลังแห่งราชัน”

                    …..

                    …

                    ซีวอนแทบจะแงะขี้หูที่ไม่แคะมาสามชาติเศษออกมาเต้นระบำ อะไรนะ เขาเนี่ยนะครอบครองพลังแห่งราชัน ? มันคืออะไรชเวยังไม่รู้เลยครับอยากจะก้มลงกราบถามเป็นภาษาสเปนก่อนว่านี่มันคือเรื่องอะไร ถ้าซีวอนไม่ได้ฝันไปก็ช่วยชี้แจ้งให้ควายตัวนึงเข้าใจทีเถอะ

     

                    “เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ”

     

                    “อ่า...แต่ตอนนี้ท่านเลือดออกนะ ขอโทษด้วยที่ทำให้โดนลูกหลงจากการสู้กันเมื่อกี้” เจ้าของผมสีอ่อนยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเอามือยีหัวตัวเองเบา ๆ อย่างเคอะเขิน เดี๋ยวนะครับ ไปการทำลายข้าวของบ้านชาวบ้านแถมยังทำเขาเจ็บตัวนี่มันมีอะไรน่าเขินว่ะ ถึงแม้ว่าเลือดที่ปากเขาจะได้มาจากการกระทำของเขาเองก็เถอะ แล้วไงล่ะ ตอนนี้ชเวเหมารวมหมดแหละ

     

                    “หยุด หยุดเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน นายช่วยอธิบายก่อนได้มั้ย คือเมื่อวันก่อนฉันเพิ่งโดนเด็กสายฟ้าตามล่าแทบตายห่ามาแล้วมาวันนี้ก็มาเจอนายไฝว้กับไอโหดนั่นอีก แล้วนี่อะไร ? นายมาบอกว่าฉันครอบครองพลังแห่งขุนเขาอะไรนั่นหรอ ?!

     

                    “พลังแห่งราชัน”

     

                    “เออ นั่นแหละ”

     

                    “ก็ตามนั้นแหละ”

     

                    “...” ครับ ตอนนี้ถ้าบอกว่าอยากทำอะไรมากที่สุดคงเป็นการเตะปากเด็กหัวทองตรงหน้าเขา

     

                    ซีวอนกลายเป็นคนที่ถอนหายใจเยอะแทนคยูฮยอนไปแล้วเมื่อเห็นไอเด็กนี่เดินเข้าไปอีกมุมหนึ่งของสวน ร่างสูงรีบวิ่งตามเข้าไปพยายามเมินไปรูกำแพงบ้านที่ทะลุเป็นรูใหญ่จนน่ากลัวแน่ล่ะว่าซีวอนหมดข้อจะแก้ตัวกับเรื่องกำแพงเอาเป็นว่าถ้าใครถามก็บอกไปว่าหน้ามืดวิ่งชนกำแพงก็น่าจะฟังขึ้น...ล่ะมั้ง

     

                    “นี่ อธิบายมาก่อนดิว่ะเหลือง”เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนทิศทำท่าจะเดินเข้าไปในบ้าน ซีวอนก็แทบจะถลาตัวเข้าไปคว้าไว้แทนไม่ทัน ทำความผิดแล้วคิดชิ่งนี่ไม่ใช่แล้วครับ อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น

     

                    “เหลืองบ้าอะไรน่าเกลียด ข้าคือฮยอกแจ”

     

                    “นั่นแหละจ้ะน้องแขร บอกพี่มาเถอะว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะคะนะ”

     

                    “ข้าชื่อฮยอกแจ”

     

                    “นะจ้ะแขรจ๋า”

     

                    “ข้าหิว”

     

                    “เดี๋ยวพี่ยกตู้เย็นให้แล้วไปเครียร์กับแม่พี่เองเลยค่ะ” ฮยอกแจมองซีวอนที่มองอ้อนวอนมาตาปริบ ๆ เหมือนลูกหมาตัวโต ๆ ไม่มีผิดเลย ร่างที่เตี้ยกว่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะควักเอาไม้...ใช่ มองยังไงซีวอนก็มองมันเป็นเพียงกิ่งไม้แห้ง ๆ ที่ใกล้หักเต็มทีอันนึงเท่านั้นแหละ

     

                    แต่มันไม่ธรรมดานะครับท่านผู้ชม

     

                    ฟึ่บ

     

                    “...” แดกจุดกันอิ่มอร่อย ซีวอนมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึงรอบที่ล้านแปด ยังไงเขาก็ไม่ชินกับเรื่องเหนือธรรมชาติเกินมนุษย์มะนาพวกนี้สักที...กิ่งไม้แห้งในมืออีกฝ่ายถูกกวัดแกว่งไปรอบ ๆ พร้อมกับข้าวของที่แตกละเอียดค่อยๆ กลับมาประติดประต่อกันใหม่ ไหนจะลอยกลับไปที่เดิมอีกกต่างหาก แม่โจ้...

     

                    “ยังไงข้าก็ยังสงสัยว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาอย่างท่านถึงครอบครองพลังแห่งราชันได้ แต่เชื่อเถอะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตท่านไม่ปลอดภัยอีกอีก” คนผมทองพูดไปก็แกว่งไม้ไปเรื่อย ๆ ส่วนชเวน่ะหรือ จะทำอะไรได้นอกจากยืนเอ๋อรับประทานอยู่ที่เดิม  นี่ ทำไมพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดากันจังเลยว่ะ นี่ชีวิตชเวแขวนอยู่บนคีย์บอร์ดนะเว่ยยย ทำไมพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คล้าย ๆ กับว่า ยินดีด้วยนะชเวคุง ชะตานายใกล้ขาดแล้วล่ะ อย่างนั้นแหละ...

     

                    “จะบอกว่าฉันมีสิทธิ์จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นหรอ”

     

                    “เยส”

     

                    “ไม่ตลก”

     

                    “โอ๊ะ ขำจังเลย ฮ่า ๆ ๆ ” ซีวอนอยากจะกระโดนงับคอไอเด็กหัวทองโทษฐานกวนติงไม่ได้ดูเวล่ำเวลา แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่เขาจะได้รู้สตอรี่ความเป็นไปได้ที่จะอยู่รอดของชีวิตต่อไปล่ะครับ ฮึก

     

                    “นี่ซีเรียส”

     

                    “เอาน่า เดี๋ยวขอเก็บซากบ้านเจ้าก่อนรึกัน เดี๋ยวคนที่อยู่ในบ้านเจ้ามาเห็นได้เป็นลมตายพอดี”

     

                    “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

     

                    “ใช่ ๆ คยูฮยอนถึกเกินควายนี่พูดเลย” ซีวอนพยักหน้าเห็นด้วย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาคยูฮยอนไม่เคยป่วยนอนซมจนเขาต้องหามส่งโรงพยาบาลหรือห้องพยาบาลเลยสักครั้ง แถมยังไม่เคยไข้ขึ้นหรืออะไรเถือก ๆ นั้นจนต้องไปเยี่ยมให้เสียเวลาทำมาหากิน นับว่าเป็นร่างกายที่บึกบึนและถึกทึนมากจนซีวอนต้องยอมรับ

     

                    แต่เอ๊ะเดี๋ยวนะ เสียงคุ้น ๆ ....

     

                    “โย่ว คนในบ้าน”

     

                    “คยูฮยอนนา...” ซีวอนหันขวับไปมองเจ้าของเสียงที่ตัวเองโต้ตอบเมื่อกี้ที่กำลังทำสีหน้าแมวโกรธสุดขีด ถึงใบหน้าบึ้งตึงนั่นมันจะเข้ากับชุดนอนลายแมวเหมียวนั่นจนซีวอนอยากจะวิ่งสี่คูณร้อยเข้าบ้านไปเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปอัพลงอินสตาร์แกรมก็เถอะ แต่เห็นอารมณ์ของอีกฝ่ายตอนนี้บอกได้เลยว่าขาด...

     

                    ชะตาซีวอนเนี่ยแหละครับ...

     

                    “จัดการกับซากพวกนี้ให้เรียบร้อย และรีบเข้าบ้าน เรามีเรื่องต้องคุยกัน..เยอะ!!

     

                    แม่โจ้วววววววววววววววว...

     

    ....................................

     

                    “อาหารที่โลกมนุษย์นี่มันอร่อยจริง ๆ ง่ำ ๆ  ๆ ”

     

                    “...เอ่อ แขรคะ”

     

                    “สักคำมั้ยท่าน”

     

                    “หยุดเขมือบแล้วมาเครียดเป็นเพื่อนกันหน่อยเร้ว” ซีวอนแทบจะก้มกราบจริง ๆ เมื่อคนที่ตั้งแต่เข้าบ้านมาก็จัดการลื้อขนมออกมาจากตู้เย็นแล้วสวาปามมันมาได้เกือบครึ่งชั่งโมงแล้ว แถมมีคยูฮยอนนั่งประกอบฉากการกินสุดฟินของนางด้วยท่านั่งกอดอกมาดขรึม อะโหย ทำเป็นเข้มนะครับ

     

                    แล้วมือนี่สั่นทำไมหยุด !

     

                    “อิ่มรึยัง” เสียงเข้ม ๆ ของคนตัวขาวที่ตีหน้าพิโรธวาทังอย่างรุนแรง และอีกไม่นานซีวอนต้องสัลลาปังคพิสัยออกมาแน่ ๆ  ซีวอนเหลือบสายตาไปมองฮยอกแจที่ตอนนี้คุณเธอได้สวาปามขนมห่อที่ยี่สอบเอ็ดหมดเรียบร้อยแล้ว และแน่นอน นั่นหมายถึงเสบียงทุกอย่างในบ้านหมดด้วยเช่นกัน ฮอล

     

                    “ขอบคุณที่เลี้ยง” ได้ข่าวว่าเดินไปหยิบเองครับ ซีวอนขอแย้ง

     

                    “จะเล่าได้รึยัง ถ้าไม่ก็ไสหัวไป” แม่โจ้...เป็นไงล่ะคะ เจอน้องยอนขาโหดไปทีตั๊นเลยอ่ะดิ โหววว

     

                    ซีวอนหันไปมองหน้าคนตะกละตะกลามที่ยังคงนั่งทำสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยสักนิด หนำซ้ำยังใช้นิ้วปาดเอาคราบช็อกโกแลตที่ติดอยู่ที่ถุงมาดูดเข้าปาดอีก เลียเลยมั้ย ชเวไม่ถือครับ ตามสบาย นมัสเต

     

                    “ทำไมแฟนท่านดุงี้ล่ะ”

     

                    “ลืมพาไปฉีดยาน่ะ โทษที”

     

                    “ชเวซีวอน”

     

                    “รีบ ๆ เล่ามาดิว่ะแขร อย่าให้หงิด!!” ซีวอนรีบหันไปบอกฮยอกแจเสียงเข้มทันที โหย ขอฉวยโอกาสแซะคนทำเป็นเข้มหน่อยก็ไม่ได้ อยากจะบอกเหลือเกินว่าใบหน้าขาว ๆ กับตาโต ๆ เวลาทำท่าทางเข้มหงุดหงิดแบบนั้นมันทำให้อดคิดระหว่างหงุดหงิดที่ไอหัวเหลืองไม่ยอมเล่าเรื่องอะไรสักทีหรือหงุดหงิดที่โดนแย่งกินขนมจนหมดตู้เย็นกันแน่

     

                    แต่ยังไงก็น่าร๊ากกกกกก หมดน่ะแหละ *ยิ้มโรคจิต*

     

                    แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวหรอก บุ้ย (เบ้ปาก)

     

                    “เราไม่ใช่แฟนกัน และนาย...เล่ามาได้แล้วว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่” คยูฮยอนยังคงนั่งกอดอกอย่างเคร่งเครียด ฮยอกแจยกน้ำส้มขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อจะปาดคราบน้ำที่ติดอยู่ที่ปากออกและวางกล่องน้ำผลไม้รสอร่อยดังปั่ก

     

                    “เจ้าเห็นอะไรบ้างล่ะ”

     

                    “ตั้งแต่ต้น”

     

                    “โหย อะไรอ่ะ คยูฮยอนซุ่มอยู่ตั้งนานแล้วไม่ออกมาอยู่เป็นเพื่อนกันบ้าง กลัวจนขี้แทบเล็ดเลยนะรู้ป่าว ทำไมทำนิสัยงี้ งอนอ่ะ”

     

                    “เงียบ ส่วนนาย..เล่ามา ไอบ้าที่ทำสวนพังนั่นเป็นใคร ? แล้วพวกนายเป็นตัวอะไรกันแน่ ?” ซีวอนแทบจะสต็อปมายเมาส์ตัวเองแทบไม่ทันเมื่อเจอสายตาเหวี่ยง ๆ ใส่ แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่โดนคยูฮยอนทำเสียงดุใส่รอบที่ล้าน ทำไมอ่ะซีวอนผิดตรงไหน ทำไมต้องดุเค้าด้วย คยูฮยอนใจร้าย (เบ้ปากเป็นรูปตูด)

     

                    ฮยอกแจมองคนตัวขาวที่นั่งกอดอกตรงหน้าสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างไร้ข้อจะแก้ตัว ก็หลักฐานมันคาตาเลยนี่นา แถมยังทำความเสียหายให้บ้านเขาอีกเป็นใครก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดาว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเจอกับเรื่องบ้าอะไรอยู่

     

                    “พวกเราเป็นจอมเวท และเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณสามสี่เดือนก่อน...”

     

    ...............................

     

                    “ฮยอกแจ วันนี้เจ้าเข้าเวรรึเปล่า” เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยของรุ่นพี่คนสนิทเรียกมาจากด้านหลังของเจ้าของผมสีบลอนซ์ที่เดินถือเอกสารรายงานในมือพะรุงพะรัง คนถูกเรียกหันไปยิ้มให้ก่อนจะทำหน้ามุ่ยทันทีเมื่อคำตอบที่เขาต้องตอบออกไปนั่นช่างไม่ตรงกับใจเขาเหลือเกิน

     

                    “ไม่อ่ะ แต่ถึงได้เข้าก็คงต้องฝากเพื่อนไป รายงานก็ยังเขียนไม่เสร็จเลย”

     

                    “เจ้าอยู่ปีสี่แล้วนี่นา ทนหน่อยน่าเดี๋ยวก็จบแล้ว จะได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ สักที”

     

                    “ข้าก็หวังอย่างนั้น ถ้าไม่ไปตายเอาตอนปีสุดท้ายน่ะนะ” เจ้าของผมสีทองตอนรุ่นพี่คนสนิทไปทั้งที่หน้าขาว ๆ นั่นมู่ทู่เต็มทน จนรุ่นพี่ทนไม่ได้ต้องส่งมือไปยีหัวทอง ๆ นั่นอย่างเอ็นดู

     

                    “ทนหน่อยสิ ได้รับใบรับรองเมื่อไหร่เจ้าก็สบายแล้ว พ่อแม่เจ้าต้องภูมิใจมากแน่ ๆ ”

     

                    “อิจฉาท่านจัง เรียนจบภายในไม่กี่ปีเอง”

     

                    “นั่นมันเพราะข้ามีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด”

     

                    “น่าอิจฉาจังน้า พวกที่เกิดมาจากตระกูลใหญ่เนี่ย”

     

                    “ไม่ต้องมาแขวะข้าเลย ต่อให้เจ้าเป็นลูกแม่ค้าที่ตรอกแต่ถ้าเจ้าได้รับการศึกษาเจ้าก็สามารถเก่งขึ้นได้และนำความภาคภูมิใจมาสู่ตระกูลได้เหมือนกัน”

     

                    “ครับ ๆ ท่านพูดกรอกหูข้ามาตลอดสี่ปี เบื่อแล้ว” ฮยอกแจหน้ามุ่ยพลางเดินไปตามทางของเท้าของชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน ที่ไม่ต่างกับที่หมู่บ้านที่เขาเกิดและโตมาเสียเท่าไหร่ เพราะฮยอกแจสอบเข้าที่โรงเรียนสอนเวทมนต์แห่งเดียวที่อยู่ใกล้กับพระราชวังได้ เมื่อสี่ปีที่แล้วเขาเลยต้องเนรเทศตัวเองออกจากหมู่บ้านอันเป็นที่รักแล้วมาอาศัยอยู่ที่หอพักของทางโรงเรียนซึ่งมันเป็นกฎอยู่แล้ว และพ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไรด้วยหนำซ้ำยังภูมิใจที่เขาสอบเข้าโรงเรียนสอนเวทมนต์มหาโหดนั่นได้อีก

     

                    โรงเรียนสอนเวทมนต์ที่อยู่ใกล้กับพระราชวังที่อยู่ทางตอนเหนือของโลกเวทมนต์ เป็นโรงเรียนที่สอนการใช้เวทมนต์และการใช้ชีวิตอยู่รวมกับจอมเวทจำนวนมากจนถึงได้รับการฝึกฝนเพื่อเป็นจอมเวทระดับสูงแน่นอนระดับนี้ถ้าไม่แกร่งจริงบอกเลยว่าโบกมือบายกันตั้งแต่เรียบจบห้าปีแล้วล่ะ แน่นอนโลกเวทมนต์นี้ไม่ได้บังคับให้เด็กทุกคนเข้าเรียนแต่หากเป็นพวกเด็ก ๆ ต่างหากที่ต้องพยายามสอบเข้าให้ได้ถึงจะได้เรียน

     

                    ทุกคนมีเวทมนต์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะรู้วิธีใช้มันในทางไหน และยังไง แน่นอนนั่นจึงเป็นเหตุให้จอมเวทเด็ก ๆ ใฝ่ฝันที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนสอนเวทมนต์ที่เป็นโรงเรียนแห่งเดียวในโลกแห่งนี้

     

                    “แต่ก็ดีแล้วล่ะที่วันนี้เจ้าไม่มีเข้าเวร อยู่ในหอพักผ่อนทำรายงานไปนะ”

     

                    “แปลกแหะ ทุกทีท่านจะต้องวิ่งแจ้นไปบอกศาสตราจารย์ให้ลงชื่อข้าให้เข้าเวรเสียทุกที”

     

                    “ข้าเป็นห่วงเจ้าบ้างไม่ได้หรือไงลีฮยอกแจ”

     

                    “ข้าเห็นความตอแหลในนัยน์ตาเจ้านะอีทงเฮ” แม้จะแอบดีใจกับประโยคเมื่อกี้ของรุ่นพี่คนสนิทแต่หากฮยอกแจก็คือฮยอกแจไม่มีทางทำท่าทางขวยเขินใส่คนตรงหน้าไปได้หรอก มันน่าอายจะตาย เลยได้แต่ทำหน้าตาหยอกล้อใส่คนตรงหน้าว่าเชื่อถือไม่ได้

     

                    “เรียกให้มันเหมือนรุ่นน้องเรียกรุ่นพี่บ้างไม่ได้หรือไงกัน เจ้าเด็กคนนี้หนิ”

     

                    “ไว้ท่านทำตัวน่าเคารพกว่านี้แล้วค่อยมาคุยกัน”

     

                    “เห้อ เจ้าเด็กนี่...เอาเถอะ ยังไงก็อยู่ที่หออย่าออกไปไหนนะรู้มั้ย”

     

                    “ทำไม ท่านจะแอบย่องเข้าห้องข้าหรือไง”

     

                    “ถ้าเจ้าอนุญาต ข้าก็จะทำมากกว่าย่องเข้าห้องเจ้าก็ได้นะ” ไม่ว่าเปล่ายังโน้มหน้าหล่อ ๆ นั่นลงมาหาคนที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยจนแทบแนบชิด ฮยอกแจกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ก่อนจะรีบใช้ปึกรายงานดันตัวอีกฝ่ายออกไปพร้อมความร้อนที่เริ่มปกคลุมใบหน้า

     

                    “เจ้าคนโรคจิต” ว่าแล้วก็สะบัดก้นเดินหนีรุ่นพี่ที่ใช่คำพูดหน้าอาบกับเขาได้หน้าตาเฉยไปทันที โดยมีเสียงหัวเราะหึหึในลำคอของอีกฝ่ายดังตามมาจนน่าเจ็บใจ เหอะ อย่าให้ฮยอกแจเอาคืนบ้างรึกัน

     

                    เขินเว่ยยยยย

     

     

     

                    ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก

     

                    ปวดหัวจริง ๆ เลย

     

                    เจ้าของผมสีบรอนซ์ยังคงง่วนกับการปั่นรายงานจนตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไปถึงเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่หากในเมื่อร่างกายเขายังไหว มือก็ต้องเขียนมันต่อไปส่วนตาก็มองหนังสือเล่มใหญ่ที่เขาใช้มาอ้างอิงเป็นส่วนประกอบในรายงานที่ศาสตราจารย์สั่งไม่มีความเมตตานักเรียนเลยสักนิด

     

                    “เห้อ” ว่าแล้วความเหนื่อยล้าก็เข้าครอบงำ ฮยอกแจปล่อยมือจากปากกาขนนกสีขาวก่อนจะเสียบมันเข้ากับที่เก็บแล้วผละออกมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ หมุนคอไปมาและเอามือนวด ๆ ที่ไหล่และคอเพราะเขานั่งที่โต๊ะนี้มาเกือบห้าชั่วโมงแล้ว

     

                    มองไปทางรูมเมทหวังว่าจะหาเพื่อนคุยแก้ง่วง กลับกลายเป็นว่าเจ้ารูมเมททั้งสองได้หลับคอพับไปเสียแล้ว ไหนบอกจะช่วยปั่นรายงานต่อถ้าฮยอกแจไม่ไหวแล้วไง เจ้าพวกไม่รักษาคำพูดเอ้ย ว่าแล้วก็เดินเข้าไปห่มผ้าให้รูมเมททั้งสอง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปหาอะไรแก้ง่วงในห้องครัวของหอพัก

     

                    หวังว่าแม่ครัวจะเอาอะไรใส่ตู้ไว้บ้างนะ

     

                    ห้องครัวของหอพักเป็นอะไรที่ฮยอกแจเข้าออกบ่อยรองจากห้องพักของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะทุกคนต่างเอ็นดูเจ้าเด็กขยันที่ทำรายงานหามรุ่งหามค่ำจนต้องลงออกมาหาของกินบ่อย ๆ ฮยอกแจเลยได้รับอภิสิทธิ์ส่วนตัวได้เข้าห้องครัวได้ทุกเวลาเป็นที่เรียบร้อย บอกเลยว่าได้มาจากความเอ็นดูของพวกแม่ครัวใจดีล้วน ๆ

     

                    แน่นอนเขาได้รหัสเข้าห้องครัวมาด้วยล่ะ เจ๋งไปเลย

     

                    กริ๊ก

     

                    ฮยอกแจหยิบไม้กายสิทธิ์ของตัวเองขึ้นมาร่ายคาถาซึ่งเป็นรหัสของห้องครัว มันจำเป็นต้องตั้งรหัสไว้ไม่งั้นล่ะก็พวกเด็กคนอื่น ๆ ก็เข้ามาแย่งของกินเขาหมดน่ะสิ ฮ่า ๆ ๆ

     

                    หลังจากฟาดขนมนมเลยที่แม่ครัวเหมือนจะรู้ใจเหลือไว้ให้เขาเต็มตู้ก็แทบกราบขอบคุณพวกเธอเหมือนกัน ฮยอกแจปาดคราบนมและเค้กเนยที่เลอะปากออกก่อนจะเดินออกจากหัวครัวของหอโดยไม่ลืมจะร่ายรหัสล็อกประตู

     

                    พรึ่บ

     

                    “!!!

     

                    ฮยอกแจสะดุ้งเฮือกเพราะระหว่างที่เขาหันหลังก็มีเงาตะคุ้มผ่านหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว เจ้าของผมสีบลอนซ์มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฟาดไปแน่ ๆ เขาเดินตามสัญชาตญาณเพื่อตามเงานั่นไป แน่นอนว่าจอมเวททุกคนต้องมีสิ่งนี้ เพราะต้องเรียนวิชาการต่อสู้มาหลายรูปแบบเจ็บตัวมาก็เยอะ ถ้าไม่มีเซนส์เรื่องพวกนี้ไว้ก็มีแต่ต้องถูกส่งตัวกลับไปอยู่บ้านหรือไม่ก็ต้องเรียนอะไรที่ไม่จำเป็นต้องเจองานไฝว้

     

                    ตามมาเรื่อย ๆ จนออกมานอกหอพักจนถึงน้ำพุที่อยู่หน้าหอไกลมาไม่กี่เมตร นี่ถ้าประธานหอรู้นี่เขาโดนทำโทษแน่ ๆ แต่ทำไงได้ในเมื่อความรูสึกเขามันบอกว่าเงาที่ตามมานั้น...

     

                    “เจ้าจริง ๆ ด้วย อีทงเฮ” ว่าแล้วเชียว

     

                    “บอกแล้วไงว่าให้อยู่ในหอ” คนที่ถูกจับได้หยุดที่จะหนีก่อนจะเดินมาหารุ่นน้องที่ไม่ฟังคำของเขาซะบ้างเลย ดื้อจริง ๆ

     

                    “ก็ข้าหิว”

     

                    “เจ้าก็หิวตลอดเวลานั่นแหละ“

     

                    “ท่านหาว่าข้าตะกละหรอ”

     

                    “ข้าไม่ได้พูดนะ”

     

                    “ท่านมันนิสัยไม่ดี ว่าแต่ท่านมาที่หอทำไม มาหาประธานหรอ ?” ฮยอกแจที่แม้จะทำหน้างอนิดหน่อยเพราะถูกอีกฝ่ายหาว่าตะกละ แต่หากความสงสัยก็มีมากกว่า ในเมื่อทงเฮจบไปนานแล้ว และจะกลับเข้ามาที่หอพักทำไม ป่านนี้ต้องทำงานอยู่ในวังโน้น

     

                    “มาดูว่าเด็กอย่างเจ้ายังเชื่อฟังข้าอยู่มั้ย และก็เป็นอย่างที่คิด เจ้ามันดื้อ”

     

                    “ความพยายามเป็นเลิศ ไปทำงานของท่านดีกว่ามาสนใจรุ่นน้องอย่างข้าไม่ดีกว่าหรือไง”

     

                    “เพราะข้าสนใจเจ้าไงเลยต้องมา”

     

                    “....” แดกจุดสิครับ ฮยอกแจนี่ไปไม่เป็นเลย ถึงจะไม่เคยแสดงท่าทางเขินอายอะไรออกไปจนออกนอกหน้าให้อีกฝ่ายจับได้แต่เชื่อเถอะว่าเจอพูดไปแบบนี้...เขาก็แอบคิดอยู่เหมือนกันนะ

     

                    “มานี่มา” ทงเฮกวักมือเรียกรุ่นน้องที่สวมเพียงเสื้อยืดตัวบางกับกางเกงขายาวสบาย ๆ ให้เข้ามาหาตัวเอง ซึ่งเจ้ารุ่นน้องตัวดีก็เดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อทงเฮถอดเสื้อคลุมสีดำตัวหนาให้มาคลุมกายเพราะอากาศเย็นในตอนกลางคืน

     

                    “รับปากข้าว่าจะอยู่แต่ในหอ”

     

                    “มีเรื่องอะไรรึเปล่าท่านถึงต้องย้ำข้านักหนาตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้ว แถมยังตามมาดูข้าอีก”

     

                    “ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้อากาศมันเย็นเดี๋ยวใครบางคนจะเป็นหวัดจนทำงานไม่ได้”

     

                    “ทำไมข้าไม่รู้สึกถึงความจริงในประโยคนั่นเลยนะ ท่านปิดบังอะไรข้าอยู่นึเปล่า” ว่าแล้วก็ส่งสายตาจับผิดเล่น ๆ ไปทำเอาทงเฮหัวเราะกับสายตาตลก ๆ นั่น เอื้อมมือไปยีหัวของอีกฝ่ายอย่างเคยชินจนมันฟ่องฟู

     

                    “รับปากข้าก่อน”

     

                    “เหลือรายงานอีกตั้งครึ่งเล่มข้าไม่ออกไปเถรไถลที่ไหนหรอก อิฉันจะอยู่แต่ในหอตามพระบัญชาของท่านเลยเจ้าค่ะ” ราชาศัพท์แปลก ๆ ของเด็กหัวทองทำให้ทงเฮเขกหัวไปทีกับท่าทางเล่น ๆ ของรุ่นน้อง ฮยอกแจบุ้ยปากก่อนจะกอดอกแน่นเมื่อลมหนาวพัดมากระทบ

     

                    “ข้าเข้าหอแล้วนะ หนาวอ่ะ ท่านก็ระวังตัวไว้ล่ะ โดดงานบ่อยจะโดนท่านเสนาเล่นงานเอานะ ฝันดีราตรีสวัสดิ์” ยิ้มน้อย ๆ บอกอีกฝ่ายก่อนจะเดินหันหลังกอดตัวเองแน่น

     

                    หมับ

     

    แต่พอก้าวไปได้สามสี่ก้าวเท่านั้น ก็รู้สึกถึงแรงกอดรัดจากข้างหลังแน่น ไออุ่นที่ถูกส่งมาทำเอาฮยอกแจเผลอใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา เห้ย เดี๋ยวดิเดี๋ยว

     

    “หันหน้ามานี่หน่อย” เสียงอ้อน ๆ ของทงเฮ ทำให้คนถูกกอดทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันไปสบตากับเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่เขามองกี่ทีก็บอกได้เลยว่ามันน่าค้นหาและน่าหลงใหลเป็นที่สุด

     

    “ดะ..เดี๋ยวดิ ทำไรเนี่ย ข้าขนลุกนะ”

     

    “งั้นก็ทนขนลุกอีกรอบรึกัน” ไม่รอให้ทันตั้งตัว  สัมผัสอุ่น ๆ ก็จรดลงที่หน้าผาก ทำเอาฮยอกแจตัวแข็งทื่อโดยไม่ต้องพึ่งสายลมเย็น ๆ ของค่ำคืนนี้เลยสักนิด

     

    สัมผัสอุ่นร้อนของริมฝีปากอีกฝ่ายที่จรดอยู่เนิ่นนาน ทำให้ฮยอกแจรู้สึกอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกกลับกัน...ความรู้สึกโหวง ๆ นี่มันคืออะไร คนที่รู้สึกไม่ดีกับลางสังหรณ์ตัวเองเริ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจก่อนที่อีกฝ่ายจะผละออกแล้วจ้องเข้ามาในนัยน์ตาที่สั่นไหวของเขาด้วยสายตามุ่งมั่นกับคำพูดที่ทำให้เขาใจเต้นแปลก ๆ เพราะมันทั้งมาจากความร้อนที่แผ่ซ่านบนในหน้า กับความรู้สึกไม่ดีที่เขาก็ยังไม่เข้าใจมัน

     

    “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชื่อใจข้านะ ฮยอกแจ”

     

     

    นอน – ไม่ – หลับ !!

     

    ฮยอกแจพลิกตัวไปมารอบที่ล้านแปดบนเตียง สาบานได้ว่าเขาทำอย่างนี้จนเวลาล่วงเลยมาตีสองแล้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย คนกินง่ายนอนง่ายอย่างลีฮยอกแจทำไมต้องมามีปัญหาชีวิตอย่างการนอนไม่หลับด้วยฟร้ะ

     

    ไม่ไหวแล้ว เพราะไอรุ่นพี่บ้านั่นแท้ ๆ

    มาทำเขาใจเต้นแล้วก็หายไปเฉย ๆ เลย!!!

     

    ฮยอกแจตัดสินใจแก้ปัญหาชีวิตด้วยการออกไปยืนรับลมหน้าระเบียงห้อง ถึงมันจะหนาวเหน็บแต่เชื่อได้ว่าถ้าเขาโดนลมหนาว ๆ ซัดหน้าเข้าให้จัง ๆ มันอาจจะทำให้ลดความกังวลในตอนนี้ลงไปได้บ้างก็ได้

     

    เขาไม่เข้าใจคำพูดของทงเฮเลยสักนิด

     

    ทงเฮเป็นรุ่นพี่ที่เขารู้จักตั้งแต่เข้ามาอยู่ตอนปีหนึ่งรู้สึกตอนนั้นทงเฮอยู่ปีสองจึงเป็นธรรมดาที่ต้องเจอกันเพราะบททดสอบของปีหนึ่งทั้งหลายปีสองเป็นคนจัดการทั้งหมดโดยมีพี่ปีสามปีสี่คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ แต่ไม่เข้ามายุ่ง ตอนแรกฮยอกแจโดนทงเฮแกล้งสารพัดแต่พอจบงานเท่านั้นแหละก็ได้รับความเอ็นดูอย่างเปี่ยมล้นของรุ่นพี่ตัวเองด้วยการแกล้งเขาสารพัด แต่ไม่ได้จริงจังอย่างตอนทดสอบหรอกนะ

     

    ไม่รู้ด้วยว่าทงเฮเก่งหรือมีความสามารถ(ต่างกันตรงไหนหว่า) ทำให้รุ่นพี่ของเขาจบหลักสูตรโดยไม่ต้องเรียนถึงห้าปีหรืออย่างมากก็เจ็ดปีอย่างจอมเวททั่วไป ฮยอกแจนี่อึ้งไปเลยเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะทงเฮเป็นคนที่มาจากทางตระกูลใหญ่เลยได้รับการยอมรับเป็นพิเศษล่ะมั้ง เพราะเขาก็เห็นเคสนี้มีบ่อย ๆ เหมือนกันสำหรับพวกขุ่นนางชั้นสูง ที่มีลูกหลานสืบเชื้อสายมาอยู่แล้วแต่ส่งเข้ามาเรียนเพื่อให้ดูมีการศึกษาและจบออกไปภายในเวลาไม่กี่ปีเพราะความสามารถเปี่ยมล้นและอาจจะเป็นเพราะทางตระกูลก็คงมีการถ่ายทอดให้เหมือนกัน

     

    แต่ฮยอกแจแค่ลูกชาวนาที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ เนี่ยสิ แค่ค่าเล่าเรียนทุกวันนี้ยังต้องใช้ทุนอยู่เลย ถึงที่นี่ทุกคนจะมีเวทมนต์ให้ใช้กันหมด แต่ถ้าไม่อยากง่อยรับประทานล่ะก็คนส่วนใหญ่ก็มันจะใช้แรงของตัวเองมากกว่าใช้เวทมนต์เพื่อให้ตัวเองสะดวกสบาย

     

    แถมฮยอกแจคิดว่าการที่ทำอะไรด้วยตัวเองมันออกมาดีมากกว่าใช้เวทมนต์ทำเสียอีก

     

    เห้อ ว่าแล้วก็คิดถึงบ้าน...

     

    ตู้ม !!!

     

    คิดอะไรอยู่เพลิน ๆ ฮยอกแจก็สะดุ้งเฮือกกับเสียงระเบิดรุนแรงที่มาจากทางด้านปราสาทที่อยู่ห่างจากโรงเรียนไปหลายกิโลแต่ก็นับว่ายังมองเห็นอยู่ ก่อนตาจะเบิกกว้างแทบจะถลนออกมาจากเบ้าเมื่อ...

     

    ปราสาทกำลังลุกเป็นไฟ...

     

    อะไรกันเนี่ย!!!

     

    ฮยอกแจไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปในห้องแล้วหยิบเสื้อคลุมประกายมาใส่ทันที โดยไม่ลืมจะหยิบเสื้อของทงเฮที่ตนสวมเมื่อกี้ติดมือมาด้วย เพราะทงเฮถอดของตัวเองมาให้เขาแสดงว่าตอนนี้เจ้าตัวต้องไม่มีอะไรป้องกันตัวแน่ ๆ เสื้อคลุมของแต่ละคนก็เป็นเกราะป้องกันชั้นดีชิ้นนึงเพราะมันทำมาจากใยชนิดพิเศษสามารถป้องกันเวทได้แต่ก็ไม่มากนักหรอก

     

    “พวกนายรีบจัดการตัวเองให้เสร็จ แล้วไปที่ปราสาทด่วนเลย!!” ฮยอกแจบอกเพื่อนทั้งสองที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงระเบิดเหมือนกัน ดีหน่อยที่ทั้งสองตั้งสติได้ก่อนจะรีบลุกไปคว้าเสื้อคลุมของตนมาพร้อมไม้กายสิทธิ์ แต่หากมันคงไม่ทันฮยอกแจที่พุ่งออกจากห้องไปเสียแล้ว

     

    ไม่ให้ฮยอกแจรีบได้ยังไง

     

    ทงเฮอยู่ที่ปราสาทนั่นนะ!!

     

    เจ้าของผมสีทองเห็นประธานหอที่วิ่งออกมาเหมือนกันและอีกหลาย ๆ คนที่วิ่งตามออกมาพร้อมไม้กวาดในมือ ตอนนี้เป้าหมายทุกคนคงมุ่งตรงไปที่ปราสาท ไม่มีการติดต่อมาให้ช่วยเหลือแสดงความตอนนี้ที่ปราสาทคงยุ่งน่าดู และอีกเหตุผลหนึ่งคือปราสาทกำลังถูกโจมตี

     

    จากใครกันล่ะ ?!

     

    ฮยอกแจที่รีบออกมาจนไม่ได้หยิบไม่กวาดของตัวเองออกมาด้วย แต่เขาสนเจ้าของใช้หอยทากนั่นที่ไหนกันล่ะ ร่างบางร่ายเวทสีเหลืองประจำตัวของตัวเองออกมา ก่อนที่ร่างของตัวเองจะลอยขึ้นและมุ่งตรงไปที่ปราสาททันที

     

                    จริงอยู่ว่าการไม่ใช้ตัวช่วยอย่างพวกไม้กายสิทธิ์และไม้กวาดจะทำให้เหนื่อยง่ายเพราะมันเป็นการใช้เวทที่เกิดจากร่างกายโดยตรง แต่เขามั่นใจในตัวเองว่าคงไม่หมดแรงง่ายขนาดนั้นเพราะเรียนมาก็ตั้งสี่ปีแล้วความสามารถก็จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ  แถมมันก็มีประสิทธิ์ภาพมากกว่าถ้าใช้สื่อกลางอย่างของพวกนั้นมาช่วยในการใช้เวท แน่นอนว่านาทีนี้ฮยอกแจไม่พึ่งมันหรอก เขากังวลจนคิ้วขมวดไม่คลายสักที

     

    ที่ทงเฮพูดมันหมายถึงเรื่องนี้รึเปล่า ?

     

    ทำไมลางสังหรณ์ไม่ดีของเขาไม่จางหายไปสักที

     

    เพียงไม่นานฮยอกแจก็มาถึงที่ห่างจากตัวปราสาทประมาณสามกิโลก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกมา นี่ขนาดอยู่ไกลขนาดนี้ยังรู้สึกถึงความร้อนได้เลยแสดงว่าตรงนั้นต้องมอดไปเยอะแล้วแน่ ๆ แล้วจอมเวทระดับสูงหายไปไหนกันหมด !!

     

    “เร็วเข้าฮยอกแจ รีบหาราชาให้เจอ” เสียงหนึ่งที่ดังมาจากข้างหลังทำให้คนที่ยืนมองปราสาทที่มอดไหม้ด้วยความตกใจหันไปมอง ฮยอกแจมองประธานขอที่มาด้วยวิธีเดียวกันกับเขา ตอนนี้สีหน้าอีกฝ่ายเครียดมากจนฮยอกแจไม่กล้าเถียงไปเหมือนทุกที

     

    “ประธาน ข้าไม่เห็นจอมเวทระดับสูงสักคน”

     

    “บ้าเอ้ย” ประธานสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะพุ่งนำฮยอกแจเข้าใกล้ปราสาทมากขึ้น ฮยอกแจที่ตามมาติด ๆ ต้องยกเสื้อคลุมมาคลุมตัวเองมากกว่าเดิม เมื่อเวทไฟนี่มันไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

     

    “เอาเป็นว่าไม่ว่ายังไงเราต้องหาราชาให้เจอก่อน แล้วเรื่องดับไฟค่อยว่ากัน ประธานหออื่น ๆ กำลังตามมาสมทบ” ผู้เป็นประธานสั่งอย่างเฉียบขาดก่อนที่ฮยอกแจจะพยักหน้ารับ และแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่ง

     

    ร่างบางบินไปเรื่อย ๆ รอบประสาทที่กว้างใหญ่เพื่อหาพระราชา ทุกคนเคยเห็นพระราชามาแล้วในวันที่ได้เข้าเป็นนักเรียนใหม่ แน่นอนว่าเขายังไม่มีวันลืมผู้ที่น่าเกรงขามภายใต้ใบหน้าที่แสนงดงามจนรู้สึกถึงพลังอำนาจที่มากมายมหาศาลนั้นได้ ราชาที่เป็นที่เคารพและยึดเหนี่ยวจิตใจจอมเวทอย่างพวกเขา

     

    ราชาคังยู....

     

    “บ้าเอ้ย ทำไมเราต้องมองหาไอรุ่นพี่บ้าก่อนด้วยเนี่ย!!” สมองก็สั่งอยู่ว่าให้ตามหาราชาให้เจอแต่หากสายตาเขากลับสอดส่องหารุ่นพี่ที่เขาคุ้นเคยอย่างดีซะนี่ เจ้าสายตาไม่รักดี แต่หากฮยอกแจก็ยังปล่อยให้มันนอกลู่นอกทางต่อไป ได้แต่ขอโทษพระราชาในใจอย่างรู้สึกผิด

     

    ถ้าใครรู้ความคิดเขาตอนนี้เขาต้องถูกตัดหัวแน่ ๆ

     

    ไอรุ่นพี่บ้ามันอยู่ไหนเนี่ย

     

    บินวนมารอบปราสาทแล้วก็ไม่บนตัวคนที่ตามหาสักที แต่หากต้องตกใจเมื่อเจอศพทหารที่เฝ้าวังเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด บ้างเป็นเพื่อนที่เขาเห็นในชั้นเรียนบางจนฮยอกแจน้ำตาซึมมือป้องปากตัวเองโดยอัตโนมัติอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครทำแบบนี้ ?!!

     

    ตู้ม !!

     

    เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ฮยอกแจไม่รอให้มันดังไปมากกว่านี้ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครทำเรื่องเลว ๆ แบบนี้ ปราสาทที่เกิดไฟไหม้ไปทั่วเหมือนทะเลเพลิงไม่มีผิด ร่างบางมุ่งตรงไปทางต้นเสียงของเสียงระเบิด เขามั่นใจว่ามันไม่ได้เกิดจากการประทุของไฟที่ไหม้แต่เสียงแบบนี้ต้องเกิดจากการกระทำของจอมเวทแน่ ๆ

     

    ไอบ้าเอ้ย

     

    พรึ่บ

     

    ฮยอกแจเรียกเคียวอันใหญ่มาไว้ในมือเพื่อเตรียมพร้อม ถ้าไม่จำเป็นเขาไม่อยากใช้มันเลยสักนิด ถึงแม้ฮยอกแจจะไม่ได้เรียนจบเร็วเหมือนพวกลูกขุนนางทั่วไปแต่ด้วยการเป็นนักเรียนทุน ความสามารถของเขาจึงต้องห้ามตกเป็นรองใคร ไม่งั้นโดนเนรเทศออกนอกโรงเรียนแน่ ๆ

     

    เคียวนี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เกิดจากความแข็งแกร่งของเขาเหมือนกัน

     

    “ท่านคังอิน...” ทันทีที่บินมาถึงที่หมาย ฮยอกแจก็หลบหลังตึกแถวนั้นแทบไม่ทัน เมื่อพบกับบุคคลที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีเพราะเป็นรุ่นพี่ที่จบไปหลายปีที่อยู่หอเดียวกัน แน่นอนว่าเรื่องความสามารถไม่ต้องพูดถึงเป็นที่เลื่องลือมากจนน่ากลัว

     

    จอมเวทแห่งสงคราม คังอิน...

     

    “ทำไม...”

     

    ท่านคังอินกำลัง...ปล่อยเวทไฟใส่ปราสาท !!

     

    จอมเวทแต่ละคนจะมีระดับที่ต่างกัน อย่างฮยอกแจถึงจะมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ได้มากถึงขนาดได้เข้าร่วมเป็นจอมเวทชั้นสูง และแน่นอนในบรรดาจอมเวทชั้นสูงน่ะมีไม่กี่คนนักหรอกทำให้ฮยอกแจพอจำได้บ้าง หนึ่งในนั้นก็คนตรงหน้าเนี่ยแหละ

     

    ทำไมท่านคังอินถึงทำแบบนี้

     

    “เจ้าไม่ลองบ้างหรือไง ปลดปล่อยพลังออกมาซะบ้าง”

     

    “ข้าไม่ขัดอารมณ์สนุกของท่านหรอก เชิญตามสบาย” คังอินหันไปถามคนข้าง ๆ ตัวเองที่ยืนมองทุกอย่างนิ่ง ๆ บนอากาศ แต่มันจะไม่ทำให้ฮยอกแจช็อกจนแทบตกลงพื้นโลกเลยถ้าคนคนนั้นไม่ใช่...

     

    “อะไรกัน เพิ่งกวาดพวกทหารไปแท้ ๆ ยังมาทำพูดดีนะ อีทงเฮ” คังอินพูดขำ ๆ แต่เหมือนคนข้าง ๆ จะไม่ได้ขำด้วยเลยสักนิด สีหน้านิ่ง ๆ มองคังอินทีร่ายเวทไฟออกมามาก ๆ และส่งมันไปยังซากปราสาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

    “ไม่คิดว่าการยึดปราสาทจะง่ายขนาดนี้นะเจ้าว่ามั้ย”

     

    “นั่นเพราะพวกหลอกคนในวังจนได้รับความเชื่อใจและทำลายมันย่อยยับเมื่อไม่กี่นาทีนี้ไม่ใช่หรือไง”

     

                    “ฮ่า ๆ หนึ่งในนั้นก็มีเจ้าด้วยนะทงเฮ เสียดายที่ราชาและจอมเวทบางคนหนีไปได้ซะก่อน แต่ชางมินก็คงไม่ปล่อยไปเฉย ๆ หรอกนะ” ชื่อของทงเฮถูกย้ำอีกครั้งทำให้ฮยอกแจที่แอบอยู่ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ความรู้สึกหนึ่งคือดีใจที่ราชายังมีชีวิตอยู่ และเขามั่นใจว่าคนพวกนี้คงไม่ปล่อยราชาไปและเพราะอะไรเขารู้ดี.. ส่วนอีกความรู้สึกหนึ่งคือเสียใจ

     

                    ว่ารุ่นพี่ที่เขาเห็นว่าแสนดีตลอด เป็นคนฆ่าทหารและทำลายปราสาทจนย่อยยับ

     

                    “ฮึก”

     

                    “โอ๊ะโอ..เหมือนตรงนั้นจะมีแมลงอยู่ตัวนึงนะ” ฮยอกแจนึงโทษตัวเองที่มาอ่อนแอเอาเวลาแบบนี้ เขารีบปาดน้ำตาแห่งความเสียใจและรีบกระชับเคียวในมือไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ย่องเดินเข้าไปในตึกที่เต็มไปด้วยไฟของราชวังที่ถูกเผาไหม้

     

                    “เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ทงเฮบอกคังอินก่อนจะมุ่งตรงไปที่เสียงเป้าหมาย ฮยอกแจรีบหาซอกที่จะหลบตัวทันที แม้มันจะร้อนมากจนเขารู้สึกเหมือนจะตายแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอ่อนแอ เขารู้ฝีมือของทงเฮดีและการปะทะตรง ๆ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ แม้ตอนลองให้อีกฝ่ายฝึกซ้อมให้ทงเฮจะออมมือให้ แต่ครั้งนี้เขาไม่แน่ใจ...

     

                ว่ารุ่นพี่ที่เขารู้จักยังมีหัวใจดวงเดิมอยู่รึเปล่า

     

                    “ออกมาเถอะ อย่าทำให้มันยากเลย” ทงเฮเดินเข้ามาตามทางเรื่อย ๆ โดยไม่ได้แคร์ไฟที่ลุกโชนพวกนี้เลยสักนิด เขาเดินผ่านมันอย่างกับว่ามันเป็นเพียงอากาศ ไม่มีความร้อน ไม่มีความเจ็บปวดซะอย่างนั้น ฮยอกแจยิ่งทำให้ตัวเองตัวลีบมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาจะถึงจุดที่เขาซ้อนตัวอยู่เรื่อย ๆ

     

                    กริก...

     

                    บ้าเอ้ย

     

                    ระหว่างกำลังถอยหลังก็เหมือนจะไปเหยียบอะไรเข้าทำให้เกิดเสียงดังแข่งกับเสียงเพลิงไหม้ที่ลุกโชน ทงเฮที่กำลังเดินไปอีกทางเบนเป้าหมายมาทางเขาทันที ฮยอกแจเหงื่อตกก่อนจะกำชับเคียวในมือให้มั่นพร้อมเข้าปะทะ

     

                    “ฮยอกแจ”

     

                    “ย่าห์!!” ฮยอกแจออกแรงฟาดฟันคนตรงหน้าเต็มที่ แต่อีกฝ่ายกลบเบี่ยงตัวหลบและมองฮยอกแจมาด้วยสายตาตกใจปนสงสัย

     

                    “นายมาได้ยังไง บอกให้อยู่ที่หอไง”

     

                    “ไม่มาแล้วจะได้เห็นคนทรยศหรือไง หลอกกันมาตั้งนาน สนุกมากมั้ยล่ะ” น้ำเสียงประชดประชันที่ถูกส่งมาทำเอาทงเฮพูดไม่ออก เพียงเสี้ยวเดียวฮยอกแจเห็นแววตาเศร้าของอีกฝ่ายก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนฮยอกแจรู้สึกชาไปทั้งตัว

     

                    แก้ตัวสิทงเฮบอกว่าเจ้าถูกพวกมันบังคับ

     

                    “รู้แล้วก็ดี ข้าไม่ชอบอธิบายอะไรให้มากความ” เหมือนโลกพังตรงหน้าทั้ง  ๆ ที่เขายังยืนอยู่กับที่ปกติ มือเรียวกำเคียวแน่นจนมันสั่นเทาไปหมด ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งนั้น... น้ำสีใสที่ออกมาจากตาสวยโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว ไม่ได้ทำให้ร่างของทงเฮเข้ามาปลอบเหมือนที่เคยเป็น

     

                    “ท่านทำแบบนี้ทำไม...”

     

                    “ทำสิ่งที่ถูกต้อง”

     

                    “เผาปราสาท ฆ่าทหาร ตามล่าราชานี่หน่ะหรอ!!!

     

                    “ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราควรได้ไม่ใช่พวกมัน” น้ำเสียงเย็นชาที่ถูกส่งมาราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่อีทงเฮที่เขารู้จัก คำว่าพวกมันถูกใช้แทนราชาทำเอาฮยอกแจขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ภายในหัวกำลังประมวลเรื่องทุกอย่างกับความรู้ที่เล่าเรียนมาถึงสี่ปีที่กำลังถูกนำมาใช้

     

                    หรือว่า

     

                    “พวกเจ้าคือ...”

     

                    “ใช่ ถ้าเจ้าตั้งใจเรียนวิชาประวัติศาสตร์คงได้ยินชื่อพวกข้าอยู่บ่อยครั้ง”

     

                    “จอมเวทแห่งความมืด”

     

                    “ข้าล่ะไม่ชอบชื่อนี้จริง ๆ ใช่ตายเถอะ” อีทงเฮสบถไปทางอื่น ก่อนจะหันหน้ากลับมามองอดีตรุ่นน้องที่ตอนนี้น้ำตาไหลอาบแก้มจนเลอะเทอะ แต่ก็ยังไม่วายสงสัยตาตัดพ้อปนไม่เข้าใจมาให้เขาไม่เลิก

     

                    “ทำไมล่ะ ในเมื่อทุกคนทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันได้แล้ว พวกท่านต้องการอะไรอีก...”

     

                    “อำนาจ ทุกอย่างที่พวกข้าควรได้ ระบบการปกครองของคังยูช่างน่าสะอิดสะเอียน ระบบแบบนั้นมีใช้แค่กับโลกมนุษย์อ่อนแอนั้นก็พอแต่ต้องไม่ใช่พวกเรา!!

     

                    “เจ้ามันบ้าไปแล้ว...” ฮยอกแจพึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ จอมเวทที่ถูกปราบไปเมื่อเกือบร้อยกว่าปีที่แล้วตอนนี้ลูกหลานของพวกมันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ฮยอกแจไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด

     

                    “ข้าไม่อยากฆ่าเจ้า มากับข้าซะ”

     

                    “เจ้าทำแบบนี้ทำไม ก่อนหน้านี้เราก็ดีนี่ พวกเจ้าก็อยู่กันได้ แถมได้มีตำแหน่งใหญ่โต แล้วทำไม...”

     

                    “มันไม่พอหรอกสำหรับความแค้นของพวกเราที่ต้องโดนขับไล่”

     

                    “แต่การที่เจ้าทำแบบนี้มันไม่ถูก!!!” ฮยอกแจตวาดเสียงดังแข่งกับเสียงไฟไหม้ ตอนนี้ร่างบางแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว ความจริงที่ได้รับรู้ทำเอาร่างกายเหนื่อยล้าไปหมด เขายังยืนอยู่ได้โดยอาศัยเคียวอันใหญ่คู่กายนี่เป็นตัวช่วยค้ำจุน

     

                    “ไม่ มันถูกต้องที่สุดแล้ว เจ้าพวกที่ยอตัวเองว่าเป็นพวกจอมเวทบริสุทธิ์ควรได้รับความแปดเปื้อนซะบ้าง ให้มันได้รับรู้ความเจ็บปวดของพวกเรา มากับข้าเถอะฮยอกแจ มาช่วยกันทำให้พวกมันเจ็บปวด”

     

                    “เจ้ามันบ้าไปแล้ว!!!” ฮยอกแจรีบถอยร่นออกห่างจากทงเฮทันทีเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะเดินเข้ามาหา ในมือกระชับเคียวไว้แน่นพร้อมปะทะกับอีกฝ่าย ทงเฮแสยะยิ้มมองตัวของฮยอกแจที่ตั้งท่าพร้อมสู้ แต่หากมันสั่นทึ่มเสียจนอดขำไม่ได้

     

                    น่าสมเพท

     

                    “ตัวสั่นขนาดนั้นจะสู้กับข้าไหวหรอ”

     

                    “ข้าจะฆ่าเจ้า”

     

                    “หืม ตัวกะเปี๊ยกกับพลังระดับเจ้าน่ะหรือเด็กน้อย”

     

                    เคร้ง

     

                    คำดูถูกเป็นเชื้อเพลิงให้ความพิโรธของฮยอกแจเป็นอย่างดี เขารู้ดีถึงฝีมือตัวเองดีว่าไม่สามารถสู้ทงเฮได้ แต่ถ้าตอนนี้เขาไม่ทำอะไรสักอย่างก็ไม่ต่างจากลูกนกที่หนีเรื่อย ๆ รออีกฝ่ายมาฆ่า เคียวอันใหญ่ถูกเจ้าของมันใช้ด้วยการฟาดฟันอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง คนเคยเป็นรุ่นพี่ก็ตั้งรับทันด้วยการเรียกดาบประจำตัวออกมาเพียงเสี้ยววินาที

     

                    ดาบที่แผ่รังสีสีดำทมิฬออกมาทำให้ฮยอกแจจิ๊ปากอย่างขัดใจในความโง่ของตัวเองอีกครั้ง ทำไมเขาไม่นึกเอะใจตอนเห็นดาบนี่ครั้งแรก เขาแค่คิดโง่ ๆ ตามภาษาเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเจ้าดาบนี่คงเป็นของดีของตระกูลทงเฮที่สืบทอดมาหลายรุ่น คงมีพลานุภาพมากเป็นแน่ ไม่นึกเอะใจเลยว่าคือดาบของพวกจอมเวทแห่งความมืด

     

                    ไอโง่เอ้ย

     

                    “นึกเจ็บใจอยู่หรือไงที่รู้ตัวช้า”

     

                    “หุบปาก!!!

     

                    เคร้ง

     

                    ดาบปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้งก่อนจะผละออก ฮยอกแจยกเคียวขึ้นจนสุดแขนก่อนจะเกิดไฟกลมสีเหลืองใสขึ้นที่ปลายคมของเคียวและตวัดใส่อีกคนอย่างรุนแรง ก่อนจะใช่จังหวะนั้นรีบพาตัวเองหนีออกมาจากตึก ไม่อย่างนั้นฝ่ายเสียเปรียบเห็นจะเป็นเขา

     

                    เขาต้องไปหาทุกคนก่อนที่จะมีการสูญเสียไปมากกว่านี้

     

                    “จะหนีไปไหน”

     

                    ฉึก

     

     

                    “ฮู่ว...” ฮยอกแจถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่หลบหลีกแสงสีดำที่คมดั่งกริชตามมาด้านหลังและหลบมันได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะเร่งความเร็วตัวเองมากยิ่งขึ้นเพื่อหนี ด้วยความที่ตัวเล็กกว่าชาวบ้านเขาจึงเน้นความสามารถของตัวเองไปที่ความเร็วและการหลบหนีมากกว่าจะเข้าปะทะตรง ๆ แน่นอนถ้าคู่ต่อสู้ไปใช่จอมเวทระดับสูงเขาอาจจะมีเปอร์เซ็นจะชนะอยู่บ้าง

     

                    แต่ประมวลจากสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองตอนนี้บอกได้เลยว่าเปอร์เซ็นเป็นศูนย์...

     

                    “จะหนีไปไหนดีล่ะ ทางไหน ทางไหนดี” เขาจะปล่อยให้ตัวเองบินอยู่บนฟ้าในที่โล่งแจ้งแบบนี้ไม่ได้ เขาต้องหาที่หลบต้องหาที่หนี ต้องไปที่ไหนสักแห่งที่ทงเฮจะหาไม่เจอชั่วคราว ตอนนี้ทงเฮไม่เหมือนเดิมแล้ว เขารู้สึกได้เลยว่าทงเฮพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ

     

                    ตู้ม !!!

     

                    “อ๊ะ ปะ..ประธาน!!!” ขณะที่กำลังสับสบกับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็เกิดเสียงระเบิดตู้มใหญ่ที่ด้านหลังทำให้ฮยอกแจหันไปมองก็พบกับร่างของประธานหอพักที่ร่วงหล่นลงไปพื้นโลกอย่างแรงจนฮยอกแจตาเหลือกรีบบินลงไปหาร่างนั้นทันที

     

                    หรือจะ...เอาตัวมาบังช่วยเขาไว้..

     

                    “ประธาน ประธาน!!!” เมื่อเท้าแตะถึงพื้นฮยอกแจรีบวิ่งเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นท่ามกลางซากปรักหักพัง ก่อนจะประคองร่างของประธานหอพักที่มีเลือดออกมาจากมุมปากมากซะจนเขาใจหาย

     

                    ไม่นะ...

     

                    “ฮยอกแจ..นายรีบ...เอาฮู้ดคลุมหัวนายไว้..เร็ว...” เสียงแหบพร่าที่ใกล้จะหมดแรงทำให้ฮยอกแจทำตามคำขอโดยง่ายดาย เขารีบประคองร่างของประธานหอไว้ก่อนจะตบหน้าเพื่อเรียกสติเบา ๆ

     

                    “ประธาน!! ประธานอย่าเป็นอะไรนะ เอาตัวมารับไว้ทำไม อยากตายหรือไง !!!” เขาไม่สนแล้วว่าคนตรงหน้าจะมีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ ตวาดไปอย่างไม่กลัวโดนทำโทษเลยสักนิด ประธานหอที่สภาพร่อแร่เต็มทนยิ้มมาให้ก่อนจะยื่นมือที่สั่นเทาของตัวเองไปตรงหน้าของคนข้างหน้า

     

                    “ล่องหนไปสักพักนะ”

     

                    “ไม่นะประธาน เดี๋ยวดิ” ไม่ทันจะได้แย้งอะไรก็รู้สึกว่าตัวเองโปร่งใสไปซะแล้ว ฮยอกแจน้ำตาไหลพรากอีกครั้งเมื่อเห็นประธานนอนสภาพสะบักสะบอมอยู่ตรงหน้า พร้อมกับทงเฮที่บินลงมาที่พื้นแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรอยู่

     

                    ทำไมฮยอกแจจะไม่รู้ว่าทงเฮหาเขาอยู่

     

                    “ฮยอกแจอยู่ไหน !!” ทงเฮเดินมาทางร่างที่นอนสภาพร่อแร่ แต่คนที่นอนอยู่ได้ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดกลับยิ้มกวน ๆ ส่งไปจนทงเฮทำสีหน้าน่ากลัวกว่าเดิม

     

                    “ไม่รู้สินะ ....อยากได้...ก็หาเอาเองสิ”

     

                    “จะตายอยู่แล้วยังจะอวดดี”

     

                    “หึ คงติดเจ้ามาล่ะมั้ง...เพื่อน” ฮยอกแจรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดี ประธานหอพักอย่างซอลทังที่เป็นเพื่อนกับทงเฮและคงได้จบด้วยกันถ้าหากทงเฮไม่เรียนจบออกมาเสียก่อน แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอเพราะทงเฮมักมาหาที่หอบ่อย ๆ ฮยอกแจเห็นความสนิทสนมของพวกเขาทั้งสองดี แต่ภาพตรงหน้า..มันไม่ใช่ภาพที่ฮยอกแจอยากเห็น

     

                    ภาพที่เพื่อนคนนึงกำลังมองเพื่อนอีกคนด้วยความสมเพท

     

                    “หึ ปากยังดีเหมือนเดิม”

     

                    “อั่ก!!!

     

                    “แต่เสียใจด้วยที่ข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” ฮยอกแจปิดปากพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากด้วยความสงสารซอลทังที่โดนทงเฮกระทืบเข้าอย่างจังที่หน้าท้องจนอีกฝ่ายตัวโยน สภาพร่างกายจากที่โดนพลังเวทมหาศาลของทงเฮเข้าไปก่อนหน้านี้แทบจะตายทั้งเป็น ฮยอกแจไม่อาจทนมองภาพนี้ได้อีกแล้ว อยากจะเข้าไปช่วยแต่ตอนนี้เขาล่องหนอยู่อีกอย่างถ้าเข้าไปตอนนี้ความพยายามของประธานจะสูญเปล่า

     

                    ขอร้อง ไปสักทีเถอะ

     

                    “ข้ารู้นะว่าเจ้าอยู่แถวนี้ฮยอกแจ”

     

                    “...”

     

                    “ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน”

     

                    “...”

     

                    “แต่ยังไงเจ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอกเด็กน้อย” จบคำพูดสุดท้ายร่างของทงเฮก็หายตัวไป คนที่ตัวโปร่งใสเริ่มมีตัวตนขึ้นมา และรีบถลาตัวเข้าหาซอลทังทันที

     

                    “ประธาน ไม่นะ ไม่เอาแบบนี้ ทำใจดีดีไว้ ข้าจะรักษาให้” ว่าแล้วก็ทาบมือทั้งสองข้างลงบนตัวของซอลทังทันทีแสงสีเหลืองนวลออกมาจากมือขาวได้ประมาณสามวิ แต่คนเจ็บกลับจับมือของฮยอกแจไว้เชิงห้าม

     

                    “ไม่ เจ้าต้องเก็บพลังเวทไว้เดินทางต่อ”

     

                    “ไม่ เราต้องรอดไปด้วยกัน ท่านจะทิ้งข้าหรอ ไม่เอานะ” ว่าแล้วก็พยายามขยับมืออกจากการเกาะกุมแต่ไม่รู้คนเจ็บเอาแรงมาจากไหนถึงได้จับมือเขาไว้ได้แน่นขนาดนี้ ซอลทังส่ายหน้าพร้อมยิ้มอ่อน ๆ ให้ก่อนเปิดปากอีกครั้ง

     

                    “ข้าได้เจอกับท่านเสนามา...ท่านบอกว่าเราต้องลงไป..ทางใต้ พวกเราหลายคนกำลังเดินทางไปซ่อนตัวที่นั่น ราชาก็น่าจะไปที่นั่น เจ้าต้องไปฟื้นตัวที่นั่น และไปปกป้องพลังแห่งราชัน ตอนนี้ท่านเสนาก็กำลังไปอยู่เหมือนกัน”

     

                    “ไม่เอา ไปด้วยกัน” ฮยอกแจเริ่มจะกลายเป็นเด็กงอแงเข้าไปทุกทีเมื่อประธานไม่ยอมให้เขารักษา เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้เรียนเวทรักษามาแบบสายตรงแต่ก็พอทุเลาความเจ็บปวดได้บ้างก็ยังดี...แถมยังพูดเหมือนจะให้เขาหนีไปคนเดียวอีก ใครจะไปทำแบบนั้นได้ ไม่เอาหรอก

     

                    “ข้าแค่ขอพักตรงนี้ แล้วจะตามไป” เสียงแหบพร่าบอกพลางยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าเด็กหัวทองที่ดื้อไม่ยอมขยับไปไหน

     

                    “ไม่เอา ต้องไปด้วยกัน”

     

                    “เจ้าพวกนั้นต้องการพลังแห่งราชัน เจ้ารู้มั้ยนั่นหมายถึงอะไร ”

     

                    “รู้สิ พลังแห่งราชันคือสามารถครอบครองและสั่งทุกอย่างได้อย่างใจนึก ซึ่งราชาคังยูครอบครองมันอยู่แต่พระองค์กลับไม่ใช้มันและเก็บรักษามันไว้อย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้คนอื่นนำไปให้ในทางที่ผิด แต่ว่า..เป็นพลังที่ข่อนข้างรุนแรงถ้าใช้ไม่ถูกทาง หรือ พลังไม่ยอมรับล่ะก็ ผู้ใช้อาจถึงตายได้เลย” เจ้าของผมสีบลอนซ์ตอนอย่างฉะฉานตามในตำราที่เรียนมาเป๊ะ ๆ

     

                    “แต่ตอนนี้พลังนั่น...ไม่ได้อยู่กับราชา”

     

                    “ยะ... อย่าบอกนะว่าพวกมันได้ไปแล้ว”

     

                    “เปล่า มันอยู่กับคนที่เก็บรักษามันได้ดีกว่าราชา”

     

                    “ใครกัน ?”

     

                    “เราเรียกเขาว่าผู้คุมกฎ” ฮยอกแจเบิกตากว้างเมื่อได้ยินถึงชื่อในตำนานอีกชื่อหนึ่ง

     

                    ผู้คุมกฎ เป็นกลุ่มคนที่ไม่ขึ้นตรงต่อใคร และจะเป็นผู้รักษาพลังแห่งราชาในวันที่ราชาหมดอำนาจหรือในช่วงที่ตำแหน่งราชายังคงว่างอยู่ กลุ่มคนพวกนี้จะทำหน้าที่รักษาพลังแห่งราชาไว้ไม่ให้ผู้ใดครอบครอง ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองเองจนกว่าจะเจอคนที่รับตำแหน่งราชาคนต่อไปเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคือใครหรือเป็นใครบ้าง ในตำราบอกว่าจะอยู่กันอย่างเงียบ ๆ ปะปนกับจอมเวททั่วไปแต่เมื่อใดที่เกิดปัญหาคนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างจากฮีโร่เลยสักนิด

     

                    ไม่ขึ้นตรงต่อใครและรักษาไว้ซึ่งความถูกต้อง

     

                    “ถ้ามันอยู่กับพวกเขา แสดงว่าราชาสละอำนาจเองอย่างนั้นหรือ”

     

                    “ท่านเสนาบอกว่าผู้คุมกฎมานำพลังแห่งราชันไประหว่างท่านกำลังพาราชาหนีเพราะท่านแทบไม่มีพลังเวทจะต่อสู้ต่อแล้ว เขาอาสาเป็นตัวล่อให้และสัญญาว่าจะไม่ยอมให้พลังตกไปอยู่ในมือพวกนั่นแน่นอนซึ่งราชาเองก็ยินยอม”

     

                    “เขาหรอ..มีแค่คนเดียวเองหรอ”

     

                    “ไม่รู้สิ ท่านเสนาเล่าให้ข้าฟังห้วน ๆ ก่อนจะรีบแยกกันเพราะกลัวศัตรูจะเจอตัว”

     

                    “ถ้างั้นเราต้องไปช่วยผู้คุมกฎรึเปล่า”

     

                    “นั้นแหละที่ข้าอยากจะบอกเจ้า”

     

                    “ตามหาพลังแห่งราชันให้เจอ และปกป้องผู้คุมกฎไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่เจ้ามี”

     

    ....................................

     

                    “เรื่องก็ประมาณนี้แหละ” ฮยอกแจพูดพลางยักไหล่ ก่อนจะลงมือกินขนมตรงหน้าต่อ ซีอวนที่ตอนนี้ถึงกับเหงื่อแตกพลั่กนั่งลุ้นเรื่องราวจากปากของฮยอกแจถึงกับกำหมัดแน่นอย่างอัดอัน ไม่ไหวแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว...

     

                    ซีวอนจะไม่ทนอีกต่อไป...

                    ....

                    ..

                    “ปวดขี้อ่ะ เดี๋ยวมาโวยวายนะ แปปนึง” ว่าแล้วร่างหล่อ ๆ ของคนจังไรก็รีบลุกขึ้นวิ่งรี่ไปทางห้องน้ำที่มีรูจากการปะทะของฮยอกแจกับใครอีกคนเมื่อกี้นี้ เย็นตูดสิครับงานนี้ ซีวอนบอกได้เลยว่าฟินนาเล่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

     

                    “ท่านดูยังไม่หายสงสัยนะ”

     

                    “นายรู้ได้ไงว่าพลังแห่งราชาอะไรนั่นอยู่ที่ซีวอน”

     

                    “เซนส์น่ะ” ร่างบางพูดพลางยักคิ้วใส่คยูฮยอน ร่างโปร่งที่นั่งกอดอกอยู่ถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำให้ฮยอกแจแอบเบ้ปากคิดตามกับการกระทำแบบนี้แล้วว่าต้องไม่เชื่อที่เขาเล่าแน่ ๆ

     

                    “ข้าพูดจริงนะ”

     

                    “อืม เหมือนนิทานที่ฉันเคยอ่านอยู่บ้านแต่ก็ประยุกต์เรื่องได้ดี”

     

                    “นี่ เจ้า!! เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าข้าทำอะไรได้บ้าง ทำไมยังไม่เชื่อกันอีก”

     

                    “เป็นการแสดงที่ตระการตาดี ว่าง ๆ สอนหน่อยสิ”

     

                    “ได้ แล้วจะสอน.. ถุยเถอะ ข้าไม่ขำด้วยนะ ตอนนี้โลกเวทมนต์กำลังตกอยู่ในอันตรายและทางเดียวที่จะช่วยได้คือการพาท่านซีวอนไปที่นั่นเพื่อนำพลังกลับไปให้ราชา”

     

                    “ยัง ยังไม่เลิกเล่นอีก”

     

                    “ข้าพูดจริงนะ“ อยากจะกรี๊ดใส่หน้าไอหน้าขาวนี่จริง ๆ ไม่รู้ว่าท่านซีวอนทนอยู่กับไอคนน่ารำคาญแบบนี้ได้ไงกันนะ เป็นฮยอกแจล่ะจะเสกหนังควายเข้าท้องมันไปแล้ว ดูทำหน้าเข้าสิ หึ๋ย คิดว่าเก๋าหรือ โด่...

     

                    “งั้นไหนล่ะท่านประธานจาจังของนายน่ะ ไม่มาด้วยหันหรือไง”

     

                    “เขาชื่อซอลทัง”

     

                    “เหมือนกันนั้นแหละ” คยูฮยอนตอบส่ง ๆ ก่อนจะส่งสายตาพยักพเยิดเอาคำตอบ ฮยอกแจกลับมานั่งเม้มปากแน่นเหมือนโดนจี้ใจดำ ร่างหัวทองกำมือแน่นเหมือนคิดอะไรอยู่ในหัวและเหมือนจะเจ็บใจอะไรบางอย่างอยู่

     

                    “เขาไม่มา”

     

                    “หมายความว่าไง นายทิ้งเขาหรอ”

     

                    “ไม่ใช่นะ เขาพาข้าวาร์ปมาที่นี่ต่างหาก ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

     

                    “อืม มีวาร์ปด้วยแหะ” เมื่อคนตรงหน้ายังทำท่าทางไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น ฮยอกแจก็เหนื่อยใจจะอธิบายแล้ว ป่านนี้คงคิดว่าเขาเป็นเด็กมีปัญหามาสร้างเรื่องโกหกให้ฟังแน่ ๆ เจ้าคนใจแคบเอ้ย

     

                    “ข้าเหนื่อยจะอธิบายแล้ว”

     

                    “งั้น คนที่มาสู้กับนายที่หลังบ้านจนมันเละไปหมดก็คือรุ่นพี่ที่นายปิ๊ง ๆ กันที่ชื่อทงทงงั้นสิ”

     

                    “เขาชื่อทงเฮ แล้วก็ไม่ได้ปิ๊งอะไรทั้งนั้น”

     

                    “ก็เมื่อกี้เห็นนายเล่าว่า...”

     

                    “อ้า...โล่งงงงงงง” เสียงกดชักโครกดังขึ้นไล่ตามมาด้วยเสียงฟินนาเล่ของซีวอนที่ตามมาพร้อมกับร่างสูงที่เดิมเอามือเช็ดชุดนอนลายสิงโตที่ไม่รู้ไปเปลี่ยนมาตอนไหน แต่ดูท่าทางมันจะมุ้งมิ้งเกิลไปและ... ทำให้คนที่กำลังเถียงกลับได้แต่นั่งเงียบ ๆ เพราะซีวอนแท้ ๆ ช่วยให้ฮยอกแจรอดจากการสืบสวนของไอบ้าที่บอกป่าว ๆ ว่าไม่เชื่อ แต่กลับมาถามเขาเรื่องทงเฮเสียอย่างนั้น

     

                    ไม่เสียท่ายอมรับง่าย ๆ หรอกเว่ยยยย

     

                    ชเวซีวอนเดินเอามือเช็ดเสื้อนอนอย่างไม่รู้สึกรู้สามานั่งข้างคยูฮยอนก่อนจะจัดการเอาหัวทุย ๆ พิงไหล่คยูฮยอนให้ทดลองเป็นหมอนสักพัก ซึ่งคนรับกรรมก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรเพราะชินกับความปัญญาอ่อนของไอเพื่อนตัวโย่งแล้ว

     

                    “ท่านซีวอน ท่านต้องเชื่อข้านะ”

     

                    “นายจะบอกว่าฉันเป็นผู้คุมกฎอะไรนั่นหรอ ?!!

     

                    “ก็..อาจจะ ไม่รู้สิ ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขา” ฮยอกแจตอบก่อนจะยักไหล่ว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นยิ่งสร้างความงุนงงให้ความเป็นควายของชเวอย่างมาก แล้วอย่างนี้น้องเอาอะไรมาแน่ใจกลับว่าเป็นพี่ น้องเอาอะไรมาแน่ให้บอกว่าพี่ชะตาใกล้ขาดในไม่ช้า น้องเอาอะไรมาแน่ใจจจจจ

     

                    “บ้าไปแล้ว แค่เซนส์ ทำให้นายแน่ใจได้ยังไง” ไม่ว่าเปล่าตัวยังค่อย ๆ เลื้อยไปกอดเจ้าตุ๊กตามีชีวิตที่นั่งนิ่งมองเขาเถียงกันฮยอกแจฉอด ๆ ช่ะ ๆ ๆ ไม่ขัดขื่นด้วยเว่ย งั้นพี่ซีวอนจะสรุปเองว่าน้องยอนสมยอมนะครับ งุงิ

     

                    “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจมหาศาลบางอย่างได้จากตัวท่าน อาจจะเพราะทงเฮยังไม่เจอท่านตรง ๆ เลยยังสัมผัสไม่ได้ หรือไม่ก็ตัวท่านอาจจะกำลังบิดเบือนให้คนพวกนั้นหาตัวท่านไม่เจออยู่ก็ได้”

     

                    “นายอาจจะเข้าใจผิดรึเปล่าพลังอำนาจอะไรนั่นฉันไม่มีหรอกนะ แต่ถ้าขนจั๊กแร้บอกเลยว่าเพี๊ยบ” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะถลกแขนเสื้อโชว์ป่าใต้วงแขนให้อีกฝ่ายดูแต่กลับโดนคยูฮยอนตีป้าบเข้าที่หัวอย่างแรง จนรู้สึกได้ถึงหมูหมากาไก่มาวิ่งวนบนหัวได้เลยทีเดียว

     

                    เค้าทำอะไรผิดดดด

     

                    “เจ็บนะ” นี่แหนะ เบ้ปากใส่ไปเยอะ ๆ เลยให้รู้ว่าเจ็บจริง แหนะ ยังอีก ยังมาขำ นี่ไม่ได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำกับชเวเลยใช่มั้ย พี่เศร้า...

     

                    “น่าเกลียด”

     

                    “ข้าว่าบางทีเซนส์ข้าอาจจะพลาดก็ได้นะ แบบว่าผู้คุมกฎคงไม่เพี้ยนขนาดนี้ ไม่งั้นประเทศคงล่มจม”

     

                    “ฉันเลยไม่เชื่อนายไง”

     

                    “ตอนนี้ข้าก็เริ่มไม่เชื่อตัวเองแล้วล่ะ” ทั้งสองต่างมองไปยังคนสติออบซอที่ตอนนี้กำลังพันแข้งพันขาอยู่กับตัวคยูฮยอนด้วยท่าทางแสนงอนที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนาว่ามันน่ารักน่าหยิก แต่ยังไงคยูฮยอนก็ขอยืนยันครั้งที่ล้านแปดว่ามันน่าถีบมากกว่า!

     

                    “อะไรทำไมมองเค้าแบบนั้น เค้าเขินนะ แอร้ย” เหมือนความง่วงจะเริ่มเข้าครอบงำไอตัวโย่งหรืออย่างไรไม่รู้ หรือเมื่อตอนเย็นคยูฮยอนเผลอทำอะไรตกลงไปในกับข้าวหรือเปล่ามันถึงได้เมาขนาดนี้ ในขณะเดียวกันฮยอกแจก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าระหว่างสู้กับทงเฮนั้น มีอะไรกระแทกไปโดนหัวท่านซีวอนหรือเปล่า

     

                    ไม่อยากจะเชื่อเลย

     

                    ว่าคนแบบนี้คือ ผู้ครอบครองพลังแห่งราชันในตอนนี้ !

     

                คยูฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะมองคนตัวสูงที่ตอนนี้พันแข้งพันขากับเขาไว้ทั้งตัวแล้วหลับตาพริ้มไปแล้ว ฮยอกแจได้แต่มองคนที่เขามองว่าเป็นผู้ครอบครองพลังแห่งราชันด้วยความรู้สึกเวทนาพาธี... นี่คือคนที่ทำให้เขาต้องทิ้งประธานที่ตอนนี้ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แล้วเสียเวลาตามหามันตั้งสามสี่เดือนเลยหรือ นี่คือสิ่งที่เขาควรได้รับจากการโดนอีทงเฮไล่เฉือนหรือไง ว่าแล้วก็หันไปมองคยูฮยอนที่นั่งเป็นตุ๊กตานิ่ง ๆ ให้ตุ๊กวอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยคำถาม

     

                    “ในเมื่อท่านไม่เชื่อข้าก็จนใจจะโน้มน้าว แต่ข้าก็ยังยืนยันว่าข้าต้องพาท่านซีวอนกลับไปโลกเวทมนต์ไม่ช้าก็เร็ว”

     

                    “ฉันก็อยากเชื่อเพราะภาพที่เห็นเมื่อกี้มันก็ตอบทุกอย่างอยู่แล้ว แต่นายคิดว่าคนแบบนี้จะครอบครองพลังที่มีแต่คนแย่งชิงได้กันได้หรือไง” คยูฮยอนตอบหน้าจริงจัง พลางเสตาไปมองคนที่นอนกอดเขาในท่านั่งหลับคอพับแบบจริงจังไปซะแล้ว แถมยังมีหน้ามากรนอีก เดี๋ยวเถอะ เมื่อกี้เกือบตายอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาหลับสบายใจ

     

                    “แล้วจะให้ข้าทำยังไงกันล่ะ ในเมื่อข้าตามาหามาเป็นเดือน ๆ ก็มีเพียงท่านซีวอนที่ข้าสัมผัสพลังได้อยู่คนเดียว แล้วตอนนี้บ้านข้าก็กำลังอยู่ในอันตรายข้าคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ไหนจะราชาและจอมเวทที่หลบหนีกันอีก ไม่รู้จะถูกเจอตัวกันหรือยัง” ความกังวลถูกพรั่งพรูออกมาจนคยูฮยอนนั่งมองด้วยสายตานิ่งเรียบ เขาเอื้อมมือไปลูบหัวซีวอนเบา ๆ เหมือนใช้ความคิดสักพัก ก่อนจะถอนหายใจและพูดประโยคที่ทำให้ฮยอกแจหลุดยิ้มออกมาบาง ๆ

     

                “พักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้มาพิสูจน์นิทานของนายกันลีฮยอกแจ”

     
     

     

    TO BE CONTINUE...

    NEXT ; CHAPTER 4 :: -

    อย่าคาดหวังกับงานเขียนของชะนีอายุ16มากเลยนะคะเพราะท่านอาจจะต้องผิดหวังกับงานเขียนกะโหลกกะลาของเราก็ได้ กราบ 555555555555

    ตอนนี้ยาวมาก ไม่คิดว่าจะเขียนแล้วหาจุดจบไม่เจอแบบนี้ ฟาดไปเกือบหมื่นคำ ยาวสุด ๆ ไปเลย

    พรุ่งนี้สอบค่ะ บาย  

     

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×