ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC WONKYU] ALEATORY LOVE┃Ft.DONGHAE

    ลำดับตอนที่ #3 : ►Lesson 2 :: เขาประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 58


    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r

    .


    Lesson 2

    :: เขาประหลาด

     

                ถ้าหากรักนั้นนำมาซึ่งความเจ็บปวด...

                ทำไมคนเราถึงโหยหาที่จะรักกันนักนะ ?

     

                “เอาล่ะ... วันนี้พอแค่นี้ อย่าลืมเรื่องงานกลุ่มชีวะที่ต้องส่งกันเดือนหน้าด้วยนะ ปรึกษากันดีดีล่ะ อาทิตย์หน้าส่งแผนงาน ส่วนชิ้นงานก็ส่งวันที่ครูกำหนด แค่นี้ครับ”

     

                เสียงครูบอกเลิกคราสหน้าห้องทำให้นักเรียนหลายคนที่ฟุบกับโต๊ะไปกับบทเรียนเรื่องพืชของเทอมนี้ที่แสนน่าเบื่อค่อย ๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเก็บกระเป๋า ซึ่งหนี่งในนั้นก็มีมนุษย์แว่นนามว่าคยูฮยอนอยู่ด้วยเช่นกัน

     

                “อาจารเขาสั่งว่าอะไรบ้างว่ะ ? บอกเลยว่ากูหลับยาว เรื่องพืชนี่ขอทีเหอะ กูไม่ใช่น้องเนยกูไม่ใช่ไอเขียวรักโลกกูเหนื่อยกูเพลียกูอยากตายยยย” หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโต๊ะเดียวกันโอดครวญขึ้นมาก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้งจนอีกสี่คนในกลุ่มขำออกมาน้อย ๆ

     

                “เออออออ แน่นอนมึงได้ตายสมใจแน่ถ้าอีกหนึ่งอาทิตย์ไม่มีงานไปส่งเฮียแก ”

     

                “แต่เมื่อกี้กูก็ไม่ได้ฟังเหมือนกันว่ะ เขาสั่งว่าไงบ้างว่ะ ?”

     

                “ไว้ไปถามเพื่อนในห้องก็ได้มั้ง”

     

                “ไม่ต้องหรอก นี่เลยกูเห็นไอคยูมันจดอยู่ยิก ๆ ”

     

                คนโดนพาดพิงที่กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมไปเรียนวิชาต่อไปที่จะเริ่มในอีกห้านาทีเงยหน้าขึ้นมองตาปริบ ๆ ก็จริงที่เขาก็ฟุบหลับกับบทเรียนที่แสนน่าเบื่อนี่เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ได้หลับสนิทหรอกพอถึงตอนสั่งงานเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจดนิดหน่อยแล้วก็ฟุบต่อ

     

                “อ่า... ก็จดไว้บะ...”

     

                “งั้นดีเลย!!! แผนงานให้คยูมันทำไปก็รึกัน “ ยังพูดไม่ทันจบเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก็โพล่งขึ้นมา คยูฮยอนหันไปมองอย่างงง ๆ และไม่นานมันต้องมีเหตุผลมาอ้างได้แน่นอน “พอดีเราแต่งคำพูดไม่เก่งอ่ะ ยังไงคยูทำส่วนนี้ไปรึกัน ส่วนชิ้นงานเดี๋ยวค่อยว่ากันเนอะ”

     

                ค่อยว่ากันนี่คือ...

              ไม่ได้หมายความว่าคยูฮยอนต้องมานั่งคิดชิ้นงานให้อีกหรอกนะ

     

                “แต่แผนงานช่วยกันคิดมันจะ...”

     

                “โอ๊ยยยยยยยยยยยย ไม่เป็นไรเลยคยู นายคิดอะไรก็ดีไปหมดและ ได้ท็อปวิชานี้ด้วยไม่ใช่หรือไง น่านะ...ช่วยพวกเราหน่อย ทุกวันนี้ก็เรียนพิเศษจนไม่มีเวลาทำอะไรแล้วอาจารย์ยังมาสั่งงานใหญ่อีก เฮ้ออออ” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาก่อนจะตบบ่าปุ ๆ แล้วเดินหัวเราะออกจากห้องไปหน้าตาเฉย พร้อมกับอีกสามคนก็เช่นกัน

     

              อ้อ...งั้นเหรอ

              แล้ว...คิดว่ากูว่างมากหรือไงว่ะ -_-

     

                คยูฮยอนมองตามเดอะแก๊งที่เขาเกาะหนึบพวกมันเป็นปรสิตอยู่ตั้งแต่ม.4ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ม.5แล้ว ประสบการณ์การทำงานกลุ่มโดยตรงตลอด1ปีเต็มบอกเลยว่าแย่ คยูฮยอนก็อยากจะออกมาจากแก๊งเฮงซวยนี่เหมือนกัน

     

                แต่เข้าใจชีวิตเด็กมัธยมปลายมั้ยครับ ? คุณอยู่คนเดียวมันเท่ากับคุณไม่มีเพื่อนคบ คนอื่นจะมองคุณเหมือนเป็นขยะสังคมชิ้นหนึ่ง ซึ่งมันเป็นค่านิยมส้นตีนสุด ๆ

     

                ใช่ว่าในโรงเรียนจะไม่มีบุคคลที่อยู่คนเดียวนะ คยูฮยอนก็เห็นอยู่บ้างน่ะแหละ เคยลองเข้าไปคุยด้วยเผื่อมันจะทำให้คยูฮยอนผละออกมาจากกลุ่มนรกนี้ได้ แต่ผลก็คือคุยกันไม่รู้เรื่อง ยิ่งคุยยิ่งงง ไม่รู้ใครงงใคร คยูฮยอนเลยต้องพับแผนเก็บไปโดยปริยาย

     

                เพื่อนในกลุ่มที่คบกันอยู่ที่พอคุยกันได้เพราะมีความชอบเหมือนกันอยู่บ้าง แต่ถามว่าสนิทกันขนาดชวนไปไหนไปกันมั้ย ? ก็คงไม่ ความสัมพันธ์มันค่อนข้างอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกันมากกว่า แน่นอนว่าพวกแม่งก็พึ่งแต่คยูฮยอนอย่างเดียวซะด้วย

     

                ก็นะ...มันไม่ใช่เด็กประถมแล้วว่าจะวิ่งร้องไห้งอแงฟ้องครูว่าไอเชี่ยนี่ไม่ช่วยทำงาน หรือโดดงานโดยใช้เหตุผลควาย ๆ มาอ้าง

     

                “ช่างแม่งเหอะ” หลายครั้งที่คำ ๆ นี้ถูกใช้เป็นคำพูดให้ตัวเองปลงซะเถอะ ชีวิตแม่งก็บ้าแบบนี้แหละ

     

                แต่เชื่อเถอะแม่งเป็นคำพูดที่รู้สึกแย่ที่สุดเลย

     

    .

    .

     

                “วันนี้มึงไปเรียนป่ะอ้อย ?”

     

                “อือ”

     

                “ไหวมั้ยเนี่ย สภาพมึงน่าจะไปเข้าโลงมากกว่าไปเรียนว่ะ”

     

                “เออกูก็ว่างั้น” ว่าแล้วก็ปล่อยให้หน้าตัวเองฟุบลงกับโต๊ะหินอ่อนอย่างหมดแรง

     

                เพราะจู่ ๆ อาจารย์ชีวะคนดีก็บอกว่าอยากได้แผนร่างวันนี้ ขอแค่พอร่าง ๆ ก็ได้ยังไม่ต้องพิมพ์จริงจังมาส่ง ซึ่งนั่นเป็นช่วงพักกลางวันที่กลุ่มเพื่อนของเขาแม่งไปหาแดกอยู่ตรงส่วนไหนของโรงเรียนก็ไม่รู้ ! คยูฮยอนเลยต้องนั่งปั่นแม่งคนเดียวจนพักกลางวันไม่ได้กินอะไรเลย แถมพอจะให้มันช่วยกันคิดต่อในคาบเรียนก็อ้างไปอีกว่าเรียนก่อนค่อยว่ากัน

     

                เออดี..ดีมากสุดท้ายคยูฮยอนก็ต้องทำแม่งเองทุกอย่าง ไอซั๊ซ

     

                “แดกข้าวยังเนี่ย ?” ฮยอกแจถามพร้อมเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ของมันเพื่อมองหน้าอิดโรยของคยูฮยอน

     

                “สภาพกูดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอว่ะ ?”

     

                “เออออ มึงเหมือนไอด่างแถวบ้านกูที่แม่งอดข้าวมาเป็นวัน ๆ ”

     

                “มึงมันเลวรู้ว่าหมามันไม่ได้กินอะไรมึงยังไม่หาอะไรให้มันกินอีกหรอ ไอคนใจหมา”

     

                “กูแค่เปรียบเทียบได้ไหมล่ะ สัดนี่ นอนไปเลย” ไม่ได้เถียงออกไปเหมือนก่อนหน้านี้ พลังชีวิตของคยูฮยอนกำลังลดลง หลอดเลือดของเขากำลังต้องการอะไรมาเติมเต็ม แต่นี่มันก็เย็นมากแล้วร้านค้าในโรงอาหารปิดหมดแล้ว

     

                และสาเหตุที่คยูฮยอนลากสังขารตัวเองไปเซเว่นที่อยู่ข้าง ๆ โรงเรียนก็เพราะ...

     

                “ขอโทษทีนะ รอนานมั้ย ?”

     

                รอสิ่งที่คยูฮยอนแอบรักเขาอยู่ข้างเดียวเนี่ยแหละ !

     

                “รีบ ๆ ลากมันไปหาอะไรใส่ท้องด้วยนะทงเฮ มันกำลังจะกลายร่างเป็นซอมบี้อยู่แล้ว”

     

                “คยูหิวหรอ ?”

     

                “มันยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่กลางวัน เพราะฉะนั้นรีบลากมันไปหาอะไรกินแล้วไปเรียนกันได้แล้วครับพวกอนาคตของชาติทั้งหลาย” ฮยอกแจลุกขึ้นตามทั้งสองคนก่อนจะเดินแยกอกไปซึ่งคยูฮยอนก็ได้แต่มองตามไปตาละห้อย

     

                การอยู่กับอีทงเฮสองคนในสภาพที่โคตรแย่แบบนี้มันไม่ไหวอ่ะซาร่า

     

                “ไหวมั้ยเนี่ย ?”

     

                “นี่ใคร ? คยูฮยอนเชี่ยวนะครับ”

     

                “แล้วคยูฮยอนป่วยไม่เป็นหรือไงครับ  ทำไมวันนี้ไม่กินข้าว ถึงว่าไม่เห็นในโรงอาหาร” นั่นไงนั่นไงงงงง

     

                ประโยคชวนให้คยูฮยอนคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว พูดแบบนี้นี่มันหมายความว่าอีทงเฮมองเขาทุกวันเลยหรือไง ไม่สิ โรงอาหารมันใหญ่ที่ไหนอีทงเฮอาจจะเห็นเขาที่ร้านป้าอิ่มใจเจ้าประจำที่เขากินตามทงเฮก็ได้

     

                จริง ๆ คยูฮยอนแม่งก็คือคนบ้าดีดีนี่เอง

     

                “ร่างแผนงานชีวะ”

     

                “อ๋อ ที่จารย์เพิ่งสั่งอ่ะนะ”

     

                “อือ”

     

                “ทำคนเดียวอีกแล้วล่ะสิ ” คยูฮยอนแอบนิ่งไปนิด นี่หน้าเขามันแสดงออกขนาดนั้นเลยหรอว่ะว่าคบเพื่อนเหี้ย ร่างโปร่งได้แต่ยู่หน้าเป็นคำตอบแล้วเดินตามทงเฮไปเงียบ ๆ บอกเลยว่าวันนี้ค่อนข้างจะหงิดกับเรื่องนี้พอสมควร

     

                แต่ก็ได้แต่บอกตัวเองในใจว่าช่างแม่งเถอะ

     

                “งั้นเดี๋ยวเราช่วยรึกัน”

     

                “ได้ไง ทงเฮไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเราซะหน่อย”

     

                “ไม่ใช่ หมายถึงพวกเพื่อนนายต่างหาก” คยูฮยอนนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง ที่ว่าช่วยนี่คือยังไงว่ะ ทงเฮคงไม่ไปกระชากคอเสื้อพวกมันให้มาช่วยงานเขาหรอกนะ

     

                “ยังไง ?”

     

                “ถ้ามันยังไม่ช่วยนายทำงานนะ เรานะซัดมันให้กระเด็นเลย !” พูดพร้อมโชว์หมัดของตัวเองขึ้นมากลางอากาศ คยูฮยอนอ้าปากค้างทันทีที่เห็นแววตาเอาจริงของอีกฝ่าย “ล้อเล่นน่ะ ดูทำหน้าเข้าสิ”

     

                “ก็หน้านายดูเอาจริงขนาดนั้น...”

     

                “น่า... ถ้าพวกนั้นไม่ช่วยเราจะช่วยเองก็ได้ เพราะยังไงเพื่อนก็แบ่งงานให้เราน้อยอยู่แล้ว” ทงเฮยิ้มมันทำให้คยูฮยอนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

     

                เพราะทงเฮเป็นแบบนี้ไงเขาเลยรู้สึกชอบบรรยากาศที่เราเดินไปเรียนพิเศษด้วยกันสองคนแบบนี้ บางทีสิ่งธรรมดา ๆ มันอาจจะพิเศษมาก  สำหรับใครบางคนก็ได้ใครจะไปรู้

     

                “ไหวแน่นะ ?” ทงเฮถามอีกครั้งเมื่อคยูฮยอนมัวแต่โดนลัทธิอีทงเฮเข้าครอบงำจนเกือบไถลลงไปใช้ก้นช่วยเช็ดบันไดสะพายลอย

     

                “... สบายมาก”

     

                “พูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้นายเกือบสะดุดบันไดเนี่ยนะ”

     

                “แต่เราก็ไม่ได้ตกลงไปนี่”

     

                “เพราะเราจับนายไว้ทันต่างหาก”

     

                “คร้าบบบบบ ขอบคุณมากครับอีทงเฮอปป้า” โป๊ก... และเขาก็ได้มะเหงกมาอีกลูกที่หัวฟู ๆ ของตัวเองอีกแล้ว

     

                คยูฮยอนชอบความธรรมดาแบบนี้...เลิกเรียนก็ถ่อสังขารข้ามสะพานเลยสองสะพานเป็นเส้นทางในการไปขึ้นรถเมล์ไปเรียนพิเศษกับอีทงเฮ วันนี้เจ้าตัวไม่ได้โดดไม่ได้มีกิจกรรมเพื่อประชาชนหรืออะไรทั้งนั้น ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลให้ไอเตี้ยล่ำที่ชื่ออีทงเฮมีเดินอยู่ข้างเขาในวันนี้

     

                “ชอบนักล่ะเรื่องล้อเลียนเนี่ย”

     

                “ไม่ได้ล้อสักหน่อย ถ้านายสังเกตดีดีรอบ ๆ เนี่ยมีแต่ผู้หญิงจ้องจะกินนาย” คยูฮยอนแยกเขี้ยวใส่พลางพยักพเยิดไปให้ทงเฮมองรอบ  ๆ ซึ่งมันเป็นความจริงว่ามีผู้หญิงโรงเรียนดังหลายกลุ่มยืนเม้าส์ซุบซิบนินทาแถมหน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ กำลังส่งสายตาหยาดเยิ้มมาทางนี้

     

                “กินเราทำไมเราไม่อร่อยหรอก”

     

                “นั่นสิ เตี้ยก็เตี้ย”

     

                “เกี่ยวอะไรเนี่ย ? “

     

                “ไม่เกี่ยวแต่จะพูดมีอะไรไหมล่ะ” อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ติดหงิดมาจากเพื่อนเฮงซวยหรืออาจจะเป็นเพราะคยูฮยอนรู้สึกสบาย ๆ กับการอยู่กับอีทงเฮมากกว่าทุกวันทำให้วันนี้คยูฮยอนไม่เงียบใส่ทงเฮเหมือนทุกที แต่ดูจะต่อล้อต่อเถียงมากขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีที่เขาสามารถกำจัดความเงียบของเราสองคนได้แล้ว

     

                “วันนี้พูดมากจัง” ป๊อก... นั่นไง อีทงเฮดีดหน้าผากเขาอีกแล้ว !

     

                “ถ้าเราสิวขึ้นเพราะมือสกปรกของนายเราจะเรียกค่าเสียหายเม็ดละพัน”

     

                “โอ๊ะ..โอ.. ส่งสัยเราจะได้หมดตัวแน่ ๆ เลย” ป๊อก... ยังมันยังไม่หยุดอีก

     

                “ย่าห์อีทง...”

     

                “งั้นเอาตัวเราไปชดใช้แทนค่าเสียหายก่อได้มั้ย ?”

     

                “....”

     

              จ้า... ดีดอีกสิ ดีดเลย คยูฮยอนยอมแล้ววววว แพ้ราบคาบเลย ฮืออออ

     

              คนตัวขาวได้แต่ย่นจมูกใส่แล้วหันหน้าหนีไปมองชะเง้อหารถบนถนนแทน แน่ล่ะ ถ้าไม่หันหน้าหนีล่ะก็อีทงเฮต้องจับได้แน่ ๆ ว่าเขากำลังเขิน ! ทำไมชอบพูดอะไรหน้าตายให้คนฟังเขาคิดไปเองด้วยล่ะ ไอคนนิสัยไม่ดี !

     

                “หูแดงหมดแล้ว โกรธหรอ ?” โกรธบ้าอะไร กูเขินเว่ยยยยย

     

                “เปล่า...ระ..รถมาแล้วไปกันเถอะ” คยูฮยอนชี้ให้เห็นรถคันสีเหลืองสดใสที่มีเลขโชว์หราอยู่ว่าเป็นสายที่เขารอคอย ไม่รอให้อีทงเฮได้พูดอะไรต่อคยูฮยอนก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยและรีบจ้ำอ้าววิ่งตามรถที่แม่งไม่เคยจอดตรงป้ายสักวันตามหลังอีกคนไป

     

                ความจริงมันอาจจะดีก็ได้ที่มันจอดไม่เคยตรงป้ายและมีอีทงเฮวิ่งนำเขาไปแบบนี้

     

                เพราะคยูฮยอนกำลังเขินจะบ้าตายกับมือที่จูงเขาวิ่งไปขึ้นรถด้วยกัน...

               

     

    .

    .

     

     

                วันนี้คยูฮยอนปฏิญาณไว้แล้วว่าจะตั้งใจเรียน

     

                แต่...

     

                ทำไมในสายตาเขาเห็นแต่มือตัวเองว่ะ งง ?

     

                งงบ้าอะไร ต้นเหตุมันเกิดจากไอคนที่นั่งแถวหน้าสุดฝั่งตรงข้ามต่างหาก  กล้าดียังไงมาจับมือเขาพากับลากขึ้นรถเมล์แบบนั้น แถมพอขึ้นรถแล้วยังไม่ปล่อยอีกนะ เพราะรถที่ขึ้นวันนี้คนแน่นเอี๊ยดอีทงเฮเลยสมนาคุณคนแอบชอบอย่างคยูฮยอนด้วยการจับมือไว้โดยใช้เหตุผลว่ากลัวเขาเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

     

                บ้าเอ๊ย แบบนี้มันยิ่งทำให้คยูฮยอนเป็นลมไม่ใช่หรือไง

     

                ความรู้สึกร้อนยังติดอยู่ที่มือ คยูฮยอนรู้สึกว่ามือของอีทงเฮโคตรนิ่ม ฮื่ออออ ฟินยันชาติหน้าวันนี้คยูฮยอนจะไม่ล้างมือ

     

                อี๋

     

                สุดท้ายคยูฮยอนก็ยังไม่ได้เอาอะไรยัดใส่ปากแม้แต่น้ำสักอึก เพราะกว่าจะมาถึงเวลามันก็ล่วงเลยมาหลายนาที คยูฮยอนเลยวิ่งนำทงเฮที่ยังคงยื้อตัวไปทางเซเว่นข้างตึกเพื่อให้คยูฮยอนหาอะไรรองท้องไปก่อน แต่คนอย่างคยูฮยอนจะไม่ยอมไปสายเด็ดขาด

     

                ในที่สุดคยูฮยอนก็ชนะ...แล้วยังไงต่อ ?

     

                มานั่งปวดท้องอยู่นี่ไง

     

                “โอยยย...” โอดครวญออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอามือไปกุมท้องไว้ข้างหนึ่งซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยอะไรไม่ได้หรอก

     

                สายตาที่มองจอแก้วที่ห้อยลงมาจากเพดานอยู่ละจากมันมามองนาฬิกาข้อมือเหมือนทุกที เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีแล้ว คยูฮยอนอยากจะบันไซให้ความอดทนของตัวเอง แต่มันก็อาจจะเท่ากับว่าตอนนี้ในกระเพาะเขาอาจจะเป็นหลุมขนาดใหญ่ให้โดเรม่อนมันลงจอดไทม์แมชชีนแล้วโผล่ตัวฟ้า ๆ กลม ๆ ของมันออกมาได้แล้วก็ได้

     

                ( “วันนี้ค้างไว้ที่หน้านี้นะคะ...กลับบ้านดีดีนะลูก...” )

     

                เสียงสวรรค์ทำงานอีกครั้ง คยูฮยอนยกยิ้มแล้วรีบยัดทุกอย่างลงกระเป๋า เขาต้องหาอะไรมาอุดหลุมอากาศในท้องอย่างรวดเร็ว คยูฮยอนหิวจนแทบจะกินอีทงเฮที่แม่งมายืนทำหน้าหล่อรอเขาเหมือนทุกวันได้อยู่แล้วววว (จ้ะ)

     

                “ไปหาอะไรกินกัน”

     

                “แต่มันดึกแล้วนะ”

     

                “ไม่มีแต่แล้วคยู นายยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่กลางวัน นายใช้ออกซิเจนรอบตัวไปเป็นพลังงานให้ตัวเองหรือไง มาเร็ว !” นั่น..ทำมาทำเสียงดุ

     

                คยูฮยอนยู่ปากก่อนจะลุกตามอีทงเฮที่เดินออกไปรอหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งจัดการพับโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนที่หางตาจะหันไปสังเกตอีกฝั่งที่วันนี้มันดูว่างผิดปกติ

     

                จะว่าไป...

     

                ...วันนี้เขายังไม่เข้าเรียนเลยนี่นา

     

                อะไรนะ ? ทำไมไม่เรียกชื่อน่ะหรอ ?

     

                บอกแล้วไงว่าคยูฮยอนลืมไปแล้วว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตัวสูงหน้าหล่อเข้าใจยากชื่อ ชเว ซีวอน

     

                คยูฮยอนยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายขึ้นหลังแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ออกไปหาทงเฮที่ยืนรออยู่

     

     

     

     

                “จะกินอะไรดีล่ะ ?”

     

                “แล้วแต่คนหิวสิ”

     

                “ไม่เอา แล้วแต่คนเลี้ยงดีกว่า”

     

                “เฮ้ เราบอกตอนไหนว่าเราจะเลี้ยงนาย”

     

                “เพราะทงเฮลากเรามากิน นายก็ต้องเลี้ยงเราสิ” ว่าแล้วก็ยิ้มแพรวพราวตบท้ายไปอย่างผู้มีชัยชนะ ส่งผลให้หน้าผากตัวเองถูกดีดเป๊าะเข้าให้ คยูฮยอนยู่หน้าแล้วลูบหน้าผากตัวเองปอย ๆ ทำไมอีทงเฮชอบใช้ความรุนแรงกับเขาเรื่อยเลย

     

                แต่ก็บอกแล้วไงว่าคยูฮยอนเป็นพวกมาโซ

     

                “ผัดไทยมั้ย ? เดินผ่านมาทุกคืนยังไม่เคยลองเลย “ ทงเฮเสนอเมนูที่อยู่ในสายตาตัวเองตอนนี้ คยูฮยอนมองตามไปก็พบว่าเป็นร้านผัดไทยหอยทอดที่อยู่ข้าง ๆ ตึกเรียนจะขายตอนดึก ๆ ซึ่งมันเข้าทางเด็กหิวโซที่เรียนดึกอย่างพวกเขาพอดี

     

                “เอาสิ คนเยอะดี น่าจะอร่อย” ร่างโปร่งยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินตามทงเฮไปนั่งที่นั่งที่มันว่างพอดี ส่วนใหญ่เขาจะซื้อกลับไปทานที่บ้านกันเสียมากกว่า แหงล่ะ นี่มันดึกมากแล้วนี่นา

     

                “เอาผัดไทยสองจาน จานนึงไม่เอาถั่วงอกกับพริก และก็หอยทอดอีกหนึ่งจานครับ” ทงเฮหันไปสั่งพนักงานอย่างฉะฉาน ซึ่งคยูฮยอนก็ได้แต่มองอึ้ง ๆ

     

                “รู้ได้ไงว่าเราไม่กินถั่วงอก”

     

                “ฮยอกแจสปอยมาน่ะ ว่ามีเพื่อนเลือกกิน”

     

                “ก็มันไม่อร่อยนี่นา”

     

                “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ขมวดคิ้วอีกแล้ว” คิ้วเป็นปมถูกทำลายโดยนิ้วของอีทงเฮและรอยยิ้มขี้เล่นที่ถูกส่งมามันทำให้คยูฮยอนหายใจลำบาก บางทีร้านนี้ก็ควรติดพัดลมดูดควันดูกลิ่นนะ แบบนี้มันแย่อ่ะ

     

                โอเค ... ให้เขาหาข้ออ้างในการเขินอีทงเฮหน่อยเถอะ นะ

     

                โครม !!!

     

                นั่งบิดได้ไม่นานโต๊ะที่ตัวเองใช้เท้าแขนเล่นเกมจ้องตากับทงเฮอยู่ก็หายวับไปกับตา คยูฮยอนเกือบหน้าทิ่มแล้วเหมือนกันถ้าไม่ติดว่าตัวเองทรงตัวทัน ร่างโปร่งได้แต่มองตาทงเฮปริบ ๆ อย่างงงวยว่ามันเกิดส้นตีนอะไรขึ้น

     

                ใครทำลายบรรยากาศสีชมพูรมควันผัดไทยของคยูฮยอนนน

     

                “อั่ก!” เสียงสำลักที่ดังอยู่ตรงปลายเท้าตัวเองทำให้คยูฮยอนก้มมอง เขารู้แล้วว่าโต๊ะมันหายไปไหน มันกลายไปเป็นที่นอนให้คนที่ตอนนี้มีแผลเต็มใบหน้าพร้อมกับเลือดที่ไหลซึมตรงมุมปากจนน่ากลัว

     

                และคยูฮยอนจะไม่ตกใจเลยถ้านี่มันไม่ใช่...

     

                “...ชเว ซีวอน..?”

     

                “มึงจำไว้นะ อย่ามายุ่งกับผู้หญิงของกูอีก ! ไม่งั้นกูเอามึงตายแน่ไอสัด !!” น้ำลายถูกส่งออกมาจากปากของคนที่ยืนสบถด้วยคำหยาบคายรดหัวซีวอน ก่อนจะเดินจากไปโดยมีคนรอบ ๆ นั่งมองกันอย่างอยากรู้อยากเห็น

     

                “ขะ..ขอโทษ...นะครับ ” ซีวอนค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะก้มหัวขอโทษขอโพยเจ้าของร้านที่ถือตะหลิวค้างไว้ในมืออย่างอึ้ง ๆ แกคงว่าอะไรไม่ลงเพราะดูจากหน้าของร่างสูงนี่แล้วก็ค่อนข้างยับเยิน

     

                ร่างโปร่งยืนมองซีวอนที่ก้มหัวขอโทษพร้อมกับควักเงินตัวเองส่งให้เจ้าของร้านเป็นค่าเสียหายจำนวนหนึ่งแล้วเดินโซเซออกจากตรงนั้นไปทางลานจอดรถ คยูฮยอนสะดุ้งเมื่อถูกทงเฮคว้ามือไว้แล้วสะพายกระเป๋าให้เสร็จสรรพ

     

                “เป็นอะไรหรือเปล่า ? บาดเจ็บตรงไหนมั้ย ?” ไม่พูดเปล่ายังส่งสายตาเป็นห่วงมาสอดส่องดูตามตัวคยูฮยอน คนที่สติหายไปตอนไหนไม่รู้และเพิ่มกลับเข้ามาเมื่อกี้ส่ายหน้าหน่อย ๆ แต่สายตากลับมองตามหลังคนตัวสูงที่เดินโซซัดโซเซออกไป

     

                “กลับกันเถอะ มีเรื่องในที่แบบนี้นี่แย่จริง ๆ ไว้เดี๋ยวซื้ออะไรให้กินในเซเว่นรึกัน ทนหน่อยนะ” ทงเฮยิ้มอ่อนมาให้คยูฮยอน มองจากสภาพแล้วคยูฮยอนคงยังตกใจเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่หาย ร่างหนาทำได้แค่คว้าข้อมือของคยูฮยอนและรีบเดินออกมาจากตรงนั้นเผื่อพวกมันจะมีเรื่องกันอีก

     

                กึก

     

                “...มีอะไรหรอ ?” การเดินเร็ว ๆ ถูกหยุดโดยคยูฮยอนที่ยืนเม้มปากเหมือนสับสนอยู่ ทงเฮมองหน้าคยูฮยอนอย่างพยายามหาคำตอบ

     

                “คะ..คือ...”

     

                “...?”

     

                “เรา..เราลืมของไว้...บนตึกน่ะ”

     

                “งั้นกลับไปเอา...”

     

                “ไม่!!! ไม่ต้อง...เราจะไปเอง..เอ่อ...ทงเฮกลับบ้านไปเถอะ” คยูฮยอนค่อย ๆ บิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีทงเฮ ร่างหนาของคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่คยูฮยอนกลับส่งรอยยิ้มโง่ ๆ กลับมาให้เขาแทน

     

                “มีอะไรหรือเปล่า ?”

     

                “เปล่าหรอก เราแค่ลืมของ...ทงเฮกลับไปก่อนเถอะ”

     

                “แต่เรารอดะ...”

     

                “นะ...” สายตาอ้อนวอนถูกส่งมาให้ทำทงเฮนิ่งไป ร่างหนายังคงมองกลับไปอย่างไม่เข้าใจคนตรงหน้าอยู่ดี แต่คยูฮยอนกลับยิ้มแห้ง ๆ กลับมาให้เขาแล้วยืนโบกมือบ๊ายบายบอกฝันดีเหมือนทุกทีแล้วเดินกลับเข้าไปในตึกโดยมีทงเฮยืนมองตามหลังไป

     

                ไม่สิ ไม่ใช่ในตึก

     

                “ลานจอดรถ...?”

     

     

    .

    .

     

     

                แฮ่ก แฮ่ก

     

                เสียงหอบหายใจพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปทั่วลานจอดรถที่ใต้ตึกเรียนพิเศษ ร่างโปร่งหอบหายใจหนักก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลานจาดรถที่เปิดไฟสลัว ๆ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมฉากลานจอดรถต้องเปิดไฟให้วันดูวังเวงน่ากลัวด้วย ทั้ง ๆ ที่หลอดไฟก็ติดเต็มเพดานไปหมด !

     

                “อยู่ไหนนะ” ยกมือขึ้นยันเขาตัวเองเพื่อพักหายใจพร้อมกับกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็คยูฮยอนเห็นว่าเดินเข้ามาในนี้นี่นา

     

                ร่างโปร่งตัดสินใจพักแรงด้วยการเดินหาตามหลังรถแต่ละคัน สภาพแบบนั้นเดินได้ก็เก่งแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นที่คนอย่างชเวซีวอนจะโดนอัดน่วมขนาดนั้น จะว่าไปก็ได้ยินคนสถุนนั่นพูดนี่นาว่าอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงของมัน

     

                เฮ้...หล่อเลือกได้อย่างซีวอนเนี่ยนะไปยุ่งกับผู้หญิงของไอกุ๊ยแบบนั้น -_-

     

                “แฮ่ก แฮ่ก” นี่ไม่ใช่เสียงหอบของคยูฮยอน !

     

                ร่างโปร่งนึกขอบคุณที่ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างเขา คยูฮยอนไม่รู้ถึงสาเหตุที่ตัวเองมาวิ่งหาคนที่รู้จักกันแค่ชื่อหรอก รู้ตัวอีกทีคยูฮยอนก็บิดมือจากอีทงเฮแล้ววิ่งออกมาเสียแล้ว

     

                บางทีเขาก็ควรจะไปตรวจเช็คประสาทว่าบ้าหรือเปล่าที่ทิ้งโอกาสงาม ๆ แบบนั้น ฮื่อออ

               

     

                คยูฮยอนที่วิ่งตามเสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายมาก็มาหยุดลงที่หน้ารถสีขาวคันหนึ่งร่างโปร่งก้าวช้าลงก่อนจะค่อย ๆ โผล่หน้าออกไปให้พ้นจากท้ายรถ แต่ก็ต้องตกในนิดหน่อยเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายจ้องมาอย่างเตรียมพร้อมจะไฝว้

     

                อ่า... คงคิดว่าเขาเป็นพวกมันแน่ ๆ เลย

     

                “....”    

     

                “...เออคือ...”

     

                “อยากรู้เรื่องของเราอีกหรือไง ?” ร่างสูงที่นั่งชันเข่าพิงกับกำแพงแค่นหัวเราะใส่คยูฮยอนเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าหนีไม่สนใจเขาอีกต่อไป ซึ่งมันก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าคนคนนี้ไม่ได้ลืมเขาเหมือนคราวก่อน

     

                “...เปล่าสักหน่อย..” คยูฮยอนบ่นอุบอิบก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ แล้วชำเลืองมองหน้าอีกคนที่แผลเต็มหนาไปหมด จากที่คยูฮยอนสังเกตโดยรวมก็สาหัสพอสมควร

     

                อืม... หางคิ้วนี่เลือดไหลเป็นทางแต่ก็ไม่ใช่แผลใหญ่อะไร ที่หน้าก็เป็นแผลนิดหน่อย แต่ตรงเบ้านี่ม่วงเชียว ปากก็แตกด้วยแหะเลือดไหลอยากกับไปจกไส้กินมา... คยูฮยอนใช้เวลาพิจารณาใบหน้าอีกฝ่ายสักพักก่อนจะลุกขึ้น

     

                “นาย...เอ่อ..ชเวซีวอน รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

     

                “...ทำไมเราต้องฟังนายด้วย ?”

     

                “ถ้าไม่อยากได้แผลเพิ่มก็นั่งตรงนี้เฉย ๆ เถอะครับ !” คยูฮยอนงับปากใส่อีกฝ่ายก่อนจะจัดการวางสัมภาระของตัวเองไว้ข้าง ๆ ซีวอนและหยิบอะไรบางอย่างติดตัวไปด้วย เหมือนจะเป็นสัญญาณบอกว่าร่างโปร่งจะกลับมาที่นี่อีก

     

                แต่ก็ช่างเถอะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับชเวซีวอนเลย

     

                ร่างสูงนั่งชันเข่าเหม่อมองออกไปมองด้านนอกที่ตอนนี้เข้าสู่ความมือเรียบร้อยแล้ว เสียงรถยนต์ดังมาจากท้องถนนด้านนอกเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เกือบจะสี่ทุ่มอยู่แล้ว... จริง ๆ มันก็สมควรเป็นเวลากลับบ้านของเด็กมัธยมปลายได้แล้วล่ะ

     

                “นี่ ! บอกแล้วไงว่าอย่าไปไหนน่ะ” ซีวอนทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อกลับบ้าน แต่หากก็มีเสียงหนึ่งหวีดมาจากทางอีกด้าน ร่างสูงหันไปมองคนที่สั่งให้เขานั่งอยู่เฉย ๆ ที่เดินเข้าเร็ว ๆ โดยมีถุงสีขาวห้อยข้อมือมาด้วย ถ้ามองดีดีก็จะพบว่ามันเป็นถุงของร้ายขายยาในย่านนี้

     

                คิดจะทำอะไรของเขาเนี่ย

     

                “จะทำอะไรของนาย ?”

     

                “ชวนนายเล่นตบแปะ”

     

                “เราเล่นไม่เป็น”

     

                “เดี๋ยวสอนได้ไม่เป็นไร” ช่างรับส่งมุกกันดีเหลือเกิน... ซีวอนมองไปที่เด็กตัวขาวที่เขาเจอมาตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังทำตัวประหลาด...ยิ่งวันนี้ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่

     

                “อ้าปาก” มือเรียวที่มียาเม็ดสีขาวกับสีเหลืองกลมถูกแบมาอยู่ตรงหน้าซีวอน ร่างสูงมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมรับยามาแต่โดยดี แต่ในขณะนั้นมือเรียวนั่นกลับเบี่ยงหลบและตามมาด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ ของคนตัวขาว

     

                “อะไรของนาย ?”

     

                “เราบอกให้อ้าปากไง”

     

                “เรากินเองได้”

     

                “มือนายสกปรก”

     

                “มือนายก็...”

     

                “เราขอพี่เภสัชเขาล้างมือแล้ว” จนใจจะเถียง... ซีวอนยอมอ้าปากรับยาเข้าปากก่อนจะดูดน้ำที่ยื่นมาให้อย่างถูกจังหวะไม่ให้เขาสำลักความขมของยาไปเสียก่อน

     

                “ขอบใจ...” ถึงจะงง ๆ กับเจ้าคนตัวขาวนี่แต่ซีวอนก็ควรขอบคุณไว้ก่อนที่อุตส่าห์วิ่งไปหายูกยามาป้อนเขาถึงที่

     

                “หันหน้ามาหน่อยสิ”

     

                “ไม่เป็นระ...”

     

                “นายอยากให้คนตกใจตอนนายขึ้นรถเมล์กลับบ้านหรือไง สาบานได้เลยว่าเขาต้องเอาขวานเฉาะหน้านายเหมือนใน The walking dead แน่ ๆ -_-” อืม... ถึงจะอยากเถียงว่าวันนี้ซีวอนขับรถมอไซค์มาเองก็เถอะแต่เหมือนไอคนตัวขาวนี่จะไม่ฟังเลยแหะ ซีวอนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจและเริ่มมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง

     

                “นี่...ถามอะไรหน่อย”

     

                “ว่ามา” คนตรงหน้ายังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาแต่หากยังคงคุ้ย ๆ ถุงสีขาวนั่นเหมือนพร้อมหยิบขวดอะไรบางอย่างออกมาอ่านฉลากอย่างตั้งใจ

     

                “นายแอบชอบเราหรือไง”

     

                แกร๊ง

     

                ขวดแก้วในมือถูกปล่อยลงพื้นทันที โชคดีที่ระยะมันไม่สูงมากเลยทำให้มันไม่แตก ร่างโปร่งลนลานเก็บมันขึ้นมาก่อนจะจ้องหน้าซีวอนเหมือนแมวตกใจ

     

                “เปล่า..เปล่าชอบ..”

     

                “แล้วทำแบบนี้ทำไม ? รู้ไหมว่าถ้าพวกนั้นกลับมาเล่นงานเราอีกและเห็นว่านายอยู่กับเรานายจะซวยไปด้วยนะ” ให้ตายสิ เห็นสีหน้าตกใจคูณสองของอีกฝ่ายแล้วมันน่าขำชะมัด... ร่างสูงมองอีกฝ่ายที่หันซ้ายหันขวาว่ามีใครอยู่ตรงนี้หรือเปล่า เห็นแล้วมันก็น่าตลกดี “ถ้ากลัวก็กลับบ้านไปได้แล้ว และไม่ต้องมายุ่งกับเราอีกนะ”

     

                ซีวอนมองร่างโปร่งที่ขมวดคิ้วเป็นปมลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินหายไปไหนอีกรอบไม่รู้ ร่างสูงถอนหายใจออกไปก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นบ้าง จริง ๆ เขาก็ควรกลับบ้านและเตรียมคำแก้ตัวสวย ๆ ให้ไอแผลบนใบหน้าพวกนี้เหมือนกัน

     

                “ไม่เห็นมีใครเลย... นายโกหกเราหนิ”

     

                “...”

     

                แปลก...

              แปลกคนจริง ๆ เลย...

     

                ซีวอนมองอีกคนที่เริ่มอ่านฉลากยาอีกรอบทั้งยังขมวดคิ้วเครียดกว่าเดิมด้วย ให้ตายสิ คนปกติถ้าโดนขู่แบบนี้ต้องเผ่นแนบไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมเด็กคนนี้ยังมานั่งอยู่ตรงนี้ แถมยังน่าอ่านฉลากยาเทใส่สำลีหน้าตาเฉยอีก

     

                “หันหน้ามานี่หน่อยสิ” ร่างสูงหันไปอย่างว่าง่าย เขาก็สงสัยอยู่หรอกว่าคนคนนี้ทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า แต่สภาพเขาตอนนี้ก็ควรนั่งเชื่อง ๆ ให้อีกฝ่ายทำแผลให้คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

     

                สำลีชุ่มด้วยแอลกอฮอล์ถูกแตะมาที่มุมปากอย่างแผ่วเบา มันคงเป็นโอกาสดีที่ทำให้ซีวอนได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ จริง ๆ น้องแว่นนี่ก็ค่อนข้างหน้าตาดีอยู่หรอกนะ หน้าอิ่ม ๆ ขาว ๆ กับคิ้วที่ขมวดอยู่อย่างยุ่งเหยิงตอนทำแผลให้เขามันแสดงถึงความตั้งใจ ซึ่งมันน่าหมั่นเขี้ยวแปลก ๆ

     

                “ไปทำอีท่าไหนถึงถูกยำเละมาแบบนี้เหรอ”

     

                คยูฮยอนเห็นแผลแล้วอดเจ็บแทนไม่ได้ ถ้าเป็นคยูฮยอนนะ...จะวิ่งหนีป่าราบเลยล่ะ มันไม่มีเหตุผลที่เราต้องเอาหน้าไปรองรับตีนพวกนักเลงแบบนั้นนี่นา วิ่งหนีเนี่ยแหละทางออกที่ดีที่สุด

     

                “ขอเหตุผลดีดีที่เราต้องบอกนายหน่อยสิ”

     

                “...ไม่อยากรู้ก็ได้” ตบปากตัวเองทันมั้ย... คยูฮยอนเผลอหลุดปากออกไปแล้วว่าตัวเองเป็นตัวขี้เสือกขนาดไหน -_- คยูฮยอนได้ยินเสียงคนไข้ของเขาหัวเราะนิด ๆ ด้วยล่ะ น่าอายชะมัด !

     

                “ตอนนี้เราอยู่ในสถานะคุณหมอกับคนไข้” ซีวอนพูดขึ้นมาทำให้คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองอย่างงง ๆ “งั้นคนไข้จะบอกที่มาของแผลนี้ให้ฟังนะครับ”

     

                อืม... รัก..ยิ้ม

     

                เฮ้ย ไม่ดิไม่ใช่...ลักยิ้มต่างหาก

     

                คยูฮยอนรู้สึกสมองมึนเบลอไปนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายยิ้มมาให้ไม่เหมือนทุกที จะว่ายังไงดีล่ะ มันดูจริงใจกว่าทุกทีรึเปล่า แถมเวลายิ้มเขามีลักยิ้มที่แก้มด้วยอ่ะ โอโห... คนอะไรน่าอิจฉาที่สุด

     

                “นายจำผู้หญิงที่ตบหน้าเราได้หรือเปล่า ?”

     

                “อือ...ชื่อไอรีนรึเปล่า”

     

                “หน่วยก้านเรื่องสอดรู้สอดเห็นดีเยี่ยม”

     

                “...ด่าว่าขี้เสือกก็ได้ แต่เราบังเอิญไปได้ยินเองนี่นา”

     

                “โอ๊ยยยยย เจ็บนะ” เหมือนจะลนลานไปหน่อยที่โดนอีกฝ่ายแซะเลยพลั้งมือกดสำลีแรงไปหน่อย ตอนนี้คยูฮยอนทำแผลตรงคิ้วให้ซีวอนอยู่ครับ อยากจะเปลี่ยนตำแหน่งไปทำที่ปากก่อนจริง ๆ ปากหมาอ่ะ -_-

     

                “นั่นแหละ...ก็ไม่มีอะไรมากก็แค่ชอบ” ซีวอนยักไหล่ก่อนจะเสตาออกไปมองวิวของรถที่วิ่งตามถนน ทำไมคยูฮยอนถึงรู้สึกว่าตาคู่นั้นมันมีประกายจังเลยนะ

     

                “แล้ว... ชอบมันเป็นสาเหตุให้ได้เลือดบนหน้านายได้หรือไง”

     

                “กำลังเล่าอยู่นี่ไง ทำไมหมอพูดมากจัง”

     

                “อื้อ อย่าดีดหน้าผากเรานะ” คยูฮยอนรีบยกมือขึ้นปิดหน้าผากของตัวเองทันทีเมื่อเห็นซีวอนทำท่าจะเอื้อมมือมาดีดหน้าผากเขา ไม่ได้หรอก การกระทำโดยใช้ความรุนแรงที่หน้าผากโดยตรงแบบนี้คยูฮยอนสงวนสิทธิ์ไว้ให้อีทงเฮเท่านั้น !

     

                “หวงตัวซะด้วย”

     

                “ไม่เปลืองตัวให้คนอื่นยำตีนเล่นแบบนายหรอก”

     

                “อ้อ ย้อนหรอ”

     

                “อื้อออออเราเวียนหัวนะ !!” มันไม่ดีดหน้าผากคยูฮยอนแล้วครับ แต่เปลี่ยนมาโยกหัวเขาเป็นเกียร์รถแทน เฮ้..คยูฮยอนยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่กลางวันเลยนะ ยิ่งมึน ๆ อยู่ด้วย

     

                “จะฟังต่อมั้ยคุณหมอ ?”

     

                “นายก็เลิกแกล้งเราแล้วเล่ามาสักทีสิ” คยูฮยอนกระโดดหลบออกมาหนึ่งไม้บรรทัดทันทีเมื่อมือใหญ่นั่นจะคว้าที่หัวเขาอีกแล้ว คยูฮยอนแลบลิ้นใส่โดยมีซีวอนชี้นิ้วอย่างคาดโทษก่อนจะค่อย ๆ ย่องเข้าไปทำแผลที่คิ้วให้อีกฝ่ายต่อ

     

                “เราชอบไอรีน...แต่ไม่รู้ว่าเธอมีแฟนแล้วเพราะเจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรเลยระหว่างที่เราตามจีบ” ซีวอนยักไหล่ก่อนจะเบ้หน้านิด ๆ เมื่อนึกถึงมัน “จนมาเมื่อวันก่อนน่ะแหละที่เธอมาบอกว่าเรารำคาญเรา เลิกยุ่งกับเธอสักที ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเธอยังนัดเราไปกินขนมร้านแพงอยู่เลย”

     

                ซีวอนพูดพลางแค่นหัวเราะเหมือนมันเป็นเรื่องน่าตลกปนน่าสมเพทในเวลาเดียวกัน คยูฮยอนได้แต่นั่งเงียบทำแผลให้ซีวอนไป เขาไม่ควรจะพูดอะไรออกไปตอนนี้สินะ ดู ๆ แล้วซีวอนน่าอึดอัดกับเรื่องนี้พอสมควรเลย

     

                มันก็น่าสงสารอยู่หรอกนะ ชอบเขาแต่เขาดันมีแฟนแล้วอย่างนี้มันเท่ากับหลอกให้รักหรือเปล่า ?

     

                “เสียใจมากเลยหรอ ?”

     

                “ตอนแรกก็ไม่เข้าใจนะว่าจู่ ๆ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไป แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ชัดเจนดี โดนต้มจนเปื่อยเลย” ร่างสูงยังคงพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ทำไมคยูฮยอนรู้สึกว่าแววตานั้นดูเจ็บปวดยังไงไม่รู้แหะ

     

                บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเงียบลงเล็กน้อยเหมือนเข้าสู่โลกของตัวเอง ซีวอนก็นั่งเงียบ ๆ ให้คยูฮยอนทำแผลไปเรื่อย ๆ คยูฮยอนก็เกร็งนิดหน่อยที่บรรยากาศมันเงียบแบบนี้ แถมคนไข้เขายังไม่ร้องสักแอะแบบนี้จะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำหนักมือไปหรือเปล่า

     

                “อ่า... ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำนะ แต่ทางที่ดีเราแนะนำให้ไปโรงพยาบาลอีกทีดีกว่า” คยูฮยอนตบลงบนผ้าก๊อตที่คิ้วเบา ๆ ก่อนจะจัดการรวมอุปกรณ์เหลือทิ้งทุกอย่างลงถุงให้เรียบร้อย ซีวอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจเช็คผลงานบนหัวตัวเองก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

     

                “ทำแผลเก่งนี่”

     

                “พอดีมีคนชอบไปหาเรื่องเจ็บตัวให้มาทำแผลให้บ่อย ๆ น่ะ”

     

                “แฟนนายที่นั่งอยู่ด้วยกันน่ะหรอ ? ดูเขาไม่น่าจะใช่คนบู๊อะไรขนาดนั้นนะ” ทันทีที่ซีวอนพูดจบ หนุ่มแว่นก็หน้าขึ้นสีทันที ร่างโปร่งรีบยกมือขึ้นส่ายไปมาปฏิเสธแทบไม่ทัน

     

                “มะ..ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แฟน”

     

                “เอ๋...แต่เห็นมองตากันหวานขนาดนั้น ถ้าจูบกลางร้านผัดไทยได้นี่ทำไปแล้วมั้ง”

     

                “จะ..จูบบ้าอะไรของนายน่ะ !” คนเขินได้แต่ทำตัวน่าแกล้งต่อไป ท่าทางลนลานแบบนั้นมันทำให้ซีวอนมองออกทะลุปรุโปร่งเลยล่ะว่าเรื่องราวของทั้งสองคนมันเป็นยังไง

     

                “นายดูออกง่ายชะมัดเลยอ่ะ”

     

                “หา ?”

     

                “แอบชอบเขาใช่มั้ยล่ะ ผู้ชายคนนั้นน่ะ”

     

                “....”

     

                อึ้ง – แดก...

     

                อีกครั้งที่ซีวอนทำให้คยูฮยอนอยู่เฉย ๆ แล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเอ๋อ  ๆ ได้ เขาดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอว่ะ ? นี่หรือว่าทงเฮก็รู้เหมือนกันว่าเขาแอบชอบมัน หรือบางที... โอ๊ยยย ตายแล้วตายแล้วววว

     

                “อย่าทำหน้าเหมือนโลกจะแตกแบบนั้นสิ”

     

                “ก็...ขนาดนายยังรู้แล้วถ้าทงเฮรู้...”

     

                “อ้อ...ผู้ชายคนนั้นชื่อทงเฮหรอกหรอ”

     

                “ถ้าทงเฮรู้จะทำยังไงล่ะ..” ตอนนี้พยาบาลจำเป็นของซีวอนทำหน้าเหมือนอยากตายแทนซีวอนที่เพิ่งโดนตีนมาเสียแล้ว ร่างสูงมองอีกฝ่ายที่เบะปากพลางทำสายตาเหมือนจะร้องไห้อยู่รำไร

     

                “เขาก็ดู...ชอบนายเหมือนกันไม่ใช่หรอ ?” ไม่รู้อะไรเป็นเหตุให้ซีวอนพูดออกไปแบบนั้น คงจะเป็นตากลม ๆ ที่ดูน่าสงสารนั่นล่ะมั้งที่ทำให้ซีอวนเลือกจะใช้คำพูดปลอบใจอีกฝ่าย

     

                “ไม่หรอก ทงเฮก็ทำแบบนี้กับทุกคนนั้นแหละ”

     

                “อย่ามองโลกในแง่ร้ายแบบนั้นสิ นายอยู่กับเขาตลอดหรือไงถึงได้รู้ว่าเขาทำแบบนี้กับทุกคน ?”

     

                “เปล่า”

     

                “งั้นก็อย่าคิดมาก บางทีเขาก็อาจจะชอบนายเหมือนกันก็ได้” คำพูดของซีวอนไม่ได้ทำให้คยูฮยอนรู้สึกดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ ร่างโปร่งเม้มปากก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้ซีวอนนิด ๆ

     

                “ขอบจะ...”

     

                โครก คราก

     

              “...”

     

                “...”

     

                คยูฮยอนที่ยิ้มออกมาได้เพียงเสี้ยววินทีก็เบะปากอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงกุมท้องตัวเองเมื่อน้ำย่อยทำตามหน้าที่ของมันอย่างดีอีกครั้ง ซีวอนเห็นแบบนั้นก็ขำออกมาเล็กน้อย ถึงว่า...เห็นนั่งกินข้าวกับทงเฮทั้ง ๆ เรียนเสร็จแล้วก็ควรจะตรงกลับบ้านเลย แถมดูเหมือนจะทิ้งคนที่ตัวเองแอบชอบวิ่งตามมาทำแผลให้เขาอีก

     

                รู้จักกันหรือเปล่าก็ไม่ แต่เจ้าแว่นนี่ชอบอยู่ใกล้เขาเวลาเจ็บตัวทุกที

     

                “เอาอย่างนี้มั้ย... เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล เราจะเลี้ยงข้าวนาย”

     

                “เฮ้ย ไม่เป็นระ...โอย..” ยังไม่ทันพูดจบประโยคมันก็เล่นงานเขาอีกครั้งหนึ่ง คยูฮยอนเบ้หน้าทันที มันเป็นภาพที่ทำให้ซีวอนอดขำไม่ได้ เมื่อแกร่งยื่นไปตรงหน้าคยูฮยอนที่มองมาตาแป๋วก่อนจะระบายยิ้มให้จนคนมองรู้สึกได้ถึงแสงสว่างจ้า

     

                “ไปกันเถอะ โจว คยูฮยอน”

     

                อ่า... เอาอีกแล้ว...คนคนนี้ชอบมีอะไรมาให้เขาอึ้งอยู่เรื่อย

     

                ชเว ซีวอนรู้ได้ยังไง ?

     

                รู้ชื่อของเขาได้ยังไง คยูฮยอนยังไม่ได้บอกเลยนี่นา...

     

     

     

    TO BE CONTINUE…

    ทำไมอีนี่ฟินกับเฮคยูจังเลยคะ งง

    เขาเลี้ยงข้าวกันแล้วอ่ะแกกกก มาดูความสัมพันธ์ของทั้งคู่กันต่อดีกว่า

    ถามว่าทำไมต้องฟีตพี่ทงด้วย รักสามเศร้าหรอ ?

    ไม่มีอะไรมากค่ะ เรื่องนี้ไม่ต้องต้มมาม่ากินอะไรกันทั้งนั้น

    มันเกิดจากความหลงใหลในมนุษย์อีทงเฮของไรท์เตอร์ล้วนล้วนนนน

    อย่าเพิ่งเบื่อกันนะที่ทุกตอนต้องมีฉากเฮคยู ยังไงวอนคยูเขาก็ต้องได้กันอยู่แล้วอ่ะ

    เชื่อใจเรานะ *สบตาไขว้นิ้ว*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×