ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC WONKYU] THE ZAUBERER

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAPTER 2 :: SURPRISE

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ย. 57


    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r


    CHAPTER 2

    :: surprise


                    แฮ่ก แฮ่ก

     

                    ท่ามกลางความมืดมิด ท้องฟ้าจากที่สดใสกลายเป็นสีรัตติกาลของเวลากลางคืน ร่างของคนในชุดคลุมสีดำสนิทปิดหน้าปิดตา วิ่งไปตามหลังคาบ้านเรือนไว้ประหนึ่งสายลมที่พัดผ่าน เวลากลางคืนของเมืองนี้มีบรรยากาศที่เย็นสบายน่าภิรมย์พระจันทร์สีเหลืองนวลกลมโตเด่นตระง่านอยู่บนฟากฟ้า แต่ตอนนี้...เขาไม่มีเวลาน่านั่งชมจันทร์สบายใจหรอกนะ

     

                    บึ้ม!!

     

                    “บ้าเอ้ย” ร่างในเสื้อคลุมสีดำสบถเบา ๆ เมื่อมีหลังคาบ้านหลังหนึ่งเสียหายเพราะเขาเสียแล้ว ส่ายตาสอดส่องหาที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่ เขาไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

     

                    “คิดจะหนีไปไหน หืม”

     

                    เปรี๊ยะ

     

                    แสงเวทสีดำทมิฬเฉียดกายเขาเป็นเพียงหนึ่งมิล ร่างที่พยายามหลบหนีหันกลับไปมองร่างของคนที่ส่งกระแสเวทรุนแรงมาอย่างไม่ปราณี นี่กะจะเล่นกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยสินะ ร่างในชุดคลุมแสยะยิ้มก่อนจะออกตัววิ่งอีกครั้งโดยเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกเท่าตัว แต่มีหรือที่เจ้าของเวทสีทมิฬจะตามความเร็วนั้นไม่ทัน

     

                    แน่ล่ะ เขากลับเห็นว่าเป็นแค่การวิ่งของเด็กตัวน้อย

     

                    เคร้ง

     

                    เพียงเสี้ยววินาที ร่างในบทบาทของผู้ตามล่าก็เรียกดาบที่มีแสงสีดำทมิฬล้อมรอบออกมาหมายจะฟันเข้าที่ร่างที่พยายามหลบหนีให้ขาดวิ่น แต่หากคนที่อาศัยความเร็วก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที เรียกเคียวประจำตัวขนาดสามเมตรที่ดูจะเกินขนาดตัวของตนเองไปเสียหน่อย แต่หากเจ้าของมันกลับใช้มันได้ดีทีเดียว

     

                    “อย่าคิดว่าจะฆ่าข้าได้ด้วยดาบนั่น”

     

                    “เจ้าก็อย่าคิดว่าจะหนีพ้นข้าด้วยความเร็วอันน้อยนิดของเจ้าและเคียวนั่นเช่นกัน”

     

                    เคร้ง

     

                    ทั้งสองผละออกจากกันเพื่อตั้งหลักเพียงไม่กี่วิเพื่อตั้งหลัก แต่กลับเข้ามาปะทะกันอีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้และเต็มไปด้วยจิตสังหาร ร่างใช้เคี้ยวที่ดูจะด้านกว่าด้านขนาดตัวและพละกำลัง แต่หากแก้ไขจุดด้อยของตนด้วยการใช้ความเร็วเป็นตัวช่วย เขาสปีดตัวเองเข้าฟาดฟันอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละด้วยอาวุธประจำตัว แต่หากผู้ใช้ดาบก็สามารถตั้งรับได้โดยไม่เสียท่าเช่นกัน

     

                    แน่ละ กับท่าต่อสู้พวกนี้ผู้ใช้ดาบรู้จักมันเป็นอย่างดี

     

                    “ทำไม ทำไมเจ้าถึงต้องทำแบบนี้!!!” การปะทะที่ไม่มีการลดละจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดแรง ผู้ใช้เคียวถามออกไปเสียงดังด้วยน้ำเสียงพิโรธปนผิดหวัง แต่หากถ้าเขาสังเกตเห็นสักนิดดวงตาของศัตรูที่อยู่ตรงหน้ามันฉายแวววูบไหวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนมาเป็นแสยะยิ้ม

     

                    “เพราะเรามันต่างกันยังไงล่ะ”

     

                    เคร้ง

     

                    กลับกลายเป็นผู้ใช้เคียวที่ต้องเปลี่ยนมาตั้งรับแทน เมื่อดาบสีดำทมิฬกลมกลืนกับเวลาสีรัตติกาลยามนี้เปลี่ยนกลับมาฟาดฟันเขาแทนเมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบวิถีเคียวของเขาก่อนจะกระโดดหมุนตัวและเปลี่ยนวิถีดาบมาใส่เขาแทน ผู้ใช้เคียวตั้งรับด้วยกันยกเคียวประจำตัวที่มีทับทิมสีเหลืองสดใสประดับอยู่มารับวิถีดาบไว้ไม่ให้มาโดนตัวเอง

     

                    ถ้าเขายกเคียวขึ้นมาไม่ทันล่ะก็ ตัวคงขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว

     

                    ผู้ใช้เคียวกัดฟันแน่นเมื่อแรงดาบที่กดลงมานั่นมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้จากขาเขาที่เลื่อนไปข้างหลังเรื่อยๆ  จากแรงกดดาบของอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่ได้ก้าวเองเลยสักนิด ...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้ใช้ดาบอออมมือให้เขาอยู่กันล่ะ จะไม่ให้เขารู้สึกสับสนได้ยังไงในเมื่อดาบนั้นมันไม่ได้หันดาบคมเข้าหาเขาเลยสักครั้งเดียว

     

                    ทำไม...ทำไมกัน

     

                    แกร๊ง

     

                    เพียงเสี้ยววินาทีที่สติหลุดลอยไปกับความคิด ผู้ใช้ดาบก็ใช้เท้าตวัดเอาเคียวที่อยู่ในมือเล็ก ๆ นั่นออกไป ส่งผลให้มันตกไปอยู่ยังพื้นด้านร่าง คนที่อาวุธหลุดมือหมายจะลงไปเก็บอาวุธแต่หากต้องล้มลงเมื่อโดนถีบเข้าที่หน้าอกอย่างจัง ก่อนจะตามมาด้วยดาบแหลมคนที่จ่ออยู่ที่คอเขา

     

                    “กลับไปกับข้าเถอะ จะได้ไม่ต้องมีการเสียเลือด นายท่านคงไม่อยากให้เกิดการสูญเสียมากนักหรอก”

     

                    “เอาเลยสิ ฆ่าข้าเลย ในเมื่อถ้าไม่มีข้านายของเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ขึ้นเป็นราชาเหมือนกัน!

     

                    “หึ อย่าคิดว่าข้าไม่กล้านะ”

     

                    “เอาเลยสิ อย่างน้อยก็ให้ข้าตายด้วยมือเจ้า” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขม็งเข้าไปในนัยน์ตาสีรัตติกาลที่ใช้ดาบคมยาวจ่อมาที่คอเขาอยู่อย่างท้าทาย แต่หากมันกลับคลอไปด้วยน้ำสีใสทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เจ้าของดาบนัยน์ตาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนคมดาบออกมาและเก็บดาบด้วยวิธีเดียวกับที่เรียกมันมา

     

                    เจ้าของร่างที่เสียเปรียบยันตัวเองขึ้นมายืนโซเซและเรียกเคียวมาไว้ในมือก่อนจะมีลมมาล้อมรอบร่างกายตนไว้และหายไปอีกครั้งกับคำพูดที่ทิ้งไว้ให้เจ้าของนัยน์ตาสีรัตติกาล

     

                    “เจ้ามันขี้ขลาด”

     

    .............................

                   

     

                    จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

     

                    เสียงนกร้องยามเช้าเป็นเสียงปลุกให้คนที่นอนอย่างสุขอุราบนเตียงได้เป็นอย่างดี แต่หากตรงกันข้ามบางทีมันก็เป็นเสียงที่น่ารำคาญมากได้เหมือนกัน

     

                    คนจะนอน ร้องอะไรนักหนา

     

                    ร่างสูงที่นอนอืดอยู่บนเตียงขมวดคิ้วพลางคิดในใจอย่างหงุดหงิดก่อนที่มือจะทำงานโดยอัตโนมัติอย่างการควานสะเปะสะปะไปทั่วเตียงนอนแล้วคว้าเอาหมอนที่กระจายอยู่ใกล้ที่สุดมาอุดหูไว้อย่างสุดจะทน นอกจากเสียงนาฬิกาปลุกและเสียงคุณนายแม่ บอกเลยว่าเสียงที่ซีวอนเกลียดคือเสียงนกเนี่ยแหละ

     

                    ร้องหาอะไรกันตั้งแต่ฟ้ามืดว่ะ !

     

                    นอนพลิกไปพลิกมาได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกถึงน้ำหนักของอะไรบางอย่างมากดทันลงที่ขาจนเขาพลิกไม่ได้อย่างที่คิด เห้ย แต่ใช่ว่าชเวจะเป็นคนนอนดิ้นครับ อยู่นิ่ง ๆ ซีวอนก็นอนได้เถอะ อย่าคิดจะให้มุกผีอำให้ซีวอนลืมตาตื่นมาโวยวายครับไม่มีวัน ทีขนาดเจอฟ้าผ่าจนเขาชาทั้งตัวยังรอดมาได้เลย...

     

                    หือ...

                    .........

                    .....          

                    ...

     

                    “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!” คิดได้ดังนั้นเจ้าตัวก็เด้งตัวขึ้นมาทั้งที่ขายังโดนทับอยู่ก่อนจะแหกปากลั่นไม่เกรงใจอาม่าข้างบ้านเลยสักนิด แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน เพราะเหมือนซีวอนจะเจออะไรที่ทำให้เขาตกใจกว่า

     

                    ปริบ ปริบ

     

                    “คยูฮยอน” ซีวอนเอ่ยเรียกเจ้าของน้ำหนักที่นั่งทับขาเขาอยู่แถมยังส่งสายตาปริบ ๆ มาให้หน้าตาเฉยอีกต่างหาก นี่คยูฮยอนคิดว่าตัวเองเบาเป็นปุยนั่นหรือไงถึงได้มานั่งทับขาเขาหน้าตาเฉยบนเตียงแบบนี้ แต่เดี๋ยวนะ จะว่าไปก้นคยูฮยอนนี่ก็นุ่มดีแหะ โอเคให้อภัย เชิญนั่งตามสบายครับชเวจะไม่โวยวายแยะ

     

                    “แหกปากลั่นบ้านอย่างกับโดนเชือด”

     

                    “คยูฮยอนนา...ฉันเจอคนแปลก ๆ ด้วยแหละ แบบว่าฟังนะไปหลบฝนแล้วเจอฟ้าไล่ผ่าแถมยังเจอคนประหลาดมีใช้เลือดเป็นอาวุธมาช่วยด้วยนะ แล้วพวกนั้นก็สู้กันจนไอสายฟ้าตายต่อหน้าต่อตาเลยอ่ะ แล้วจากนั้นฉันก็สลบ....เอะ เดี๋ยวนะแล้วฉันกลับมาบ้านได้ยังไงเนี่ย...โอ๊ยยยยย เจ็บนะคยูฮยอนนา...”

     

                    “เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว นี่นอนมากไปจนเพี๊ยนแล้วแน่ ๆ ”

     

                    “คยูฮยอนนา...ก็ฉันเห็นแบบนั้นจริง ๆ นะแถมอยู่ในสถานการณ์ด้วย”

     

                    “เพ้อเจ้อ นอนไปเลยไปสมองจะได้กลับมาปกติสักที” คยูฮยอนย่นจมูกใส่ซีวอน พลางหลักหัวอีกคนให้ล้มลงไปนอนที่เตียงอีกครั้ง คนถูกผลักก็ว่าง่ายนอนมองคยูฮยอนย้ายมานั่งอยู่ข้างเตียงตาแป๋ว

     

                    “นี่ฝันจริง ๆ สินะ”

     

                    “ก็ใช่สิ คนบ้าอะไรจะมีแสงออกมาจากมือ ไม่ใช่ดราก้อนบอลสักหน่อย นอนต่อไปเลยแล้วเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว” คำตอบของคยูฮยอนทำเอาร่างสูงเริ่มคลายความกังวล เอาเถอะ...เขาคงจะฝันจริง ๆ นั่นแหละ คนบ้าอะไรจะปล่อยแสงออกจากมือได้แถมยังบังคับสายฟ้า อ้อ มีการเอาเลือดมาทำเป็นอาวุธอีก พยายามคิดแบบนั้นแต่หากปมคิ้วก็ยังขมวดอยู่เมื่อฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

     

                    “แล้วคยูฮยอนมาทำไมแต่เช้ามืดแบบนี้ล่ะ”

     

                    “ใครว่า มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหาก”

     

                    “จริงดิ?! อายุเท่านี้แอบเข้าห้องผู้ชายตอนเขาหลับแล้วหรอ ช่ะ ๆ ๆ”

     

                    “จะบ้าหรือไง ก็โทรมาแล้วคุณน้ารับบอกว่านายนอนอืดตั้งแต่กลับเรียกมาทานข้าวก็ไม่ตอบ เลยให้ฉันมาช่วยดูหน่อยเพราะท่านจะออกไปทำธุระต่างจังหวัด”

     

                    “โห อะไรไม่เห็นบอกกันสักคำเลย”

     

                    “ก็ใครมันมัวแต่ฝันเพ้อเจ้ออยู่จนไม่ยอมตื่นล่ะ นอนได้แล้ว”

     

                    “แต่ที่คยูฮยอนมาก็เพราะเห็นห่วงกันใช่มั้ยล้า~

     

                    “ไม่”

     

                    “ปากแข็ง”

     

                    “ใครจะไปหะ...เห้ยยยยย!!!” ยังไม่ทันจะปฏิเสธจบประโยค คยูฮยอนก็โดนแขนแกร่งเอื้อมมาดึงตัวเองให้นอนลงข้าง ๆ ก่อนจะกอดแล้วซุกหน้าลงที่ซอกคอขาวไว้แน่น แถมยังเอาขาเกี่ยวไว้จนอีกฝ่ายดิ้นไม่หลุดอีกต่างหาก เอาดิโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ ชเวขอสวมวิญญาณเป็นปลาหมึกหนึ่งวัน

     

                    “นอนกันนะ นอนกัน”

     

                    “ปล่อย”

     

                    “ไม่เอา ติดหมอนข้าง”

     

                    “ก็นั่นไง หยิบสิมันโดนนายถีบไปตกอยู่ข้างเตียง”

     

                    “ไม่เอาขี้เกียจ”

     

                    “ปะ...”

     

                    “นอนกันนะคยูฮยอนนา~” ว่าแล้วก็กระชับอ้อมแขนให้กอดแน่นขึ้นกว่าเดิม จนคนที่ดิ้นไปดิ้นมาตอนแรกเริ่มหยุดให้คนตัวสูงนอนกอดนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นสัญญาณที่บอกซีวอนได้กลาย ๆ ว่าคนตัวขาวยอมแพ้แล้วเหมือนจะเป็นคำพูดประมาณว่า อยากจะทำอะไรก็เรื่องของมึงเลยชเว กูเพลียใจแต่ซีวอนก็ขอยืนยันคำเดินในใจว่าคยูฮยอนไม่มีทางหยาบคายแบบนั้นแน่นอน ว่าแล้วร่างสูงที่ซุกซอกคอขาว ๆ นอนยิ้มกริ่ม

     

                    “ฝันดีนะคยูฮยอนนา”

     

                    “อืม” ตอบไปเสียงเบาก่อนที่ทั้งห้องจะตกอยู่ในความเงียบ เนิ่นนานจนลมหายใจของคนที่สวมกอดร่างขาวอยู่เริ่มหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจนคยูฮยอนแน่ใจว่าซีวอนเข้านิทราไปอีกรอบแล้ว มือขาว ๆ ลูบมือของซีวอนที่กอดเขาอยู่เบา ๆ  ตากลมสวยมองไปข้างหน้าที่มืดสนิทอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และจับมือของซีวอนไว้แน่นก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราบ้าง

     

                    เสียงลมหายใจที่เริ่มเข้าออกสม่ำเสมอของคนในอ้อมกอดทำเอาคนที่(แกล้ง)หลับไปแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ซีวอนมองเรือนผมนิ่มที่เขาฝังหน้าไว้อยู่ด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะหลับตาแน่นเมื่อเขาฉุกคิดอะไรบ้างอย่างได้

     

                    อะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้พูดออกไปแต่คยูฮยอนกลับพูดมันออกมา

     

                    ก็ใช่สิ คนบ้าอะไรจะมีแสงออกมาจากมือ ไม่ใช่ดราก้อนบอลสักหน่อย นอนต่อไปเลยแล้วเลิกเพ้อเจ้อ

     

                ซีวอนไม่ได้พูดออกไปสักคำ

                ว่าคนที่เขาเจอมีแสงออกมาจากมือ

     

    ………………………..

     

     

                    “บอกแล้วไงว่าอย่านอนต่อ!

     

                    “คยูฮยอนนา..ตื่นตอนฟ้าสางแล้วนอนต่อใครมันจะไปหลับได้แค่ครึ่งชั่วโมงกันล่ะ”

     

                    “พูดมาก วิ่งเร็วสิ” คยูฮยอนวิ่งนำซีวอนลงมาจากรถเมล์ที่แสนแออัด ก่อนจะจ้ำใส่เกียร์หมาจนคนขายาวกว่าวิ่งตามแทบไม่ทัน คยูฮยอนไปอัพสกิลวิ่งเร็วมารึเปล่า หรือช่วงนี้ชเวเอาแต่กินแล้วก็นอนทำให้ไขมันที่พุงมันถ่วงน้ำหนักจนพักหลังเริ่มรู้สึกว่าหกห่อที่บำรุงมาตั้งนานนมจอนนี้มันเริ่มเหลือแค่ห่อเดียวบวม ๆ ซะล่ะ โถไม่น่าเลยหกห่อของพ่อ

     

                    “คยูฮยอนนา...ไม่เห็นต้องรีบเลยยังไงก็ไม่ทันอยู่ดี ดูนี่นะ มันเลยเวลาเข้าเรียนมายี่สิบนาทีแล้ว”

     

                    “มันเพราะใครกันล่ะ” เหมือนคนที่วิ่งนำไปจะสำเหนียกได้เหมือนกันว่าวิ่งให้เปลืองแรงก็มีค่าเท่ากัน ร่างโปร่งของคนตัวขาวจึงหยุดวิ่งแล้วรอซีวอนที่วิ่งเหยาะ ๆ ตามมา ร่างสูงยิ้มร่าก่อนจะยื่นแขนไปคว้าคออีกฝ่ายแล้วเดินไปด้วยกันประหนึ่งเพื่อนสาวที่รักกันปานจะกลืนกิน

     

                    “แวะกินอะไรกันก่อนมั้ย ยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลยนะ”

     

                    “เห็นว่าฉันไม่รีบตาม เลยคิดจะเถลไถลหรอ”

     

                    “คยูฮยอนนา...หิว”

     

                    “ไม่ ถ้าเข้าคาบสองไม่ทันอีกล่ะน่าดู”

     

                    “คยูฮยอนนา...เรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยนะ”

     

                    “ไม่ก็คือไม่ชเวซีวอน”

     

                    “หิว...ไม่งั้นฉันจะกินคยูฮยอนแทนละนะ อ้ามมมมมม” ไม่ว่าเปล่าไอเพื่อนตัวสูงที่เดินกอดคอเขาอยู่ยังหันหน้ามาหาแถมยังอ้าปากกว้างจนเห็นไปถึงลิ้นไก่หมายจะงับเข้าที่ไหล่คยูฮยอน เอาดิ ไม่ยอมไปกินข้าวกับชเว เขาจะงับให้ไหล่หลุดไปเลย ง่ำ ๆ ๆ

     

                    “เจ็บ!!! ปล่อยเลย”

     

                    “ไปกินข้าวกันก่อน”

     

                    “ชเวซีวอน ถ้านายยังงอแงไม่เลิกฉันจะโทรบอกคุณน้าให้มาบิดหูนาย”

     

                    “คุณนายไปทำงานต่างจังหวัดยังไงก็อีกหลายวัน ไม่เป็นไร ยังมีเวลาทำใจ”

     

                    “ชเวซีวอน!!

     

                    “ก็เค้าไม่อยากให้คยูฮยอนปวดท้องอ่ะ เค้าผิดด้วยหรอ...” ร่างขาวกรอกตามองคนตัวสูงเกินร้อยแปดสิบด้วยสายตาเซ็ง ๆ ขัดกับอีกฝ่ายที่ยืนสงบนิ่งเป็นแม่ชีทะเลทรายอย่างน้อยอกน้อยใจ นั่นไง...มาแล้วครับไอสรรพนามโมเอ้แอ็คแทคของไอคนตัวสูงที่มันคิดเองเออเองว่าน่ารักหนักหนา ทั้ง ๆ ที่ได้ยินกี่ที ๆ คยูฮยอนก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันน่าขนลุกและน่าถีบมากกว่าน่าเอ็นดู

     

                    “ห้ามเกินคาบสอง โอเคนะ”

     

                    และแน่ล่ะ มันกลับทำให้คยูฮยอนใจอ่อนทุกที

                   

     

                    “คยูฮยอนนา...อันนี้อร่อยนะลองกินดู...อ๊ะ แต่ร้านนั้นก็อร่อยนะเคยมากินกับเพื่อนก่อนจบ เอ๋ ร้านนั้นยังเปิดอยู่อีกหรอ คยูฮยอนนา...ไปตรงนั้นกันนนน”

     

     

                    “....”

     

                    พลาด

                คยูฮยอนจะสาบานกับตัวเองรอบที่เก้าพับเก้าร้อยเก้าสิบเก้า..

                ว่าเขาจะไม่ใจอ่อนกับไอเปรตนี่อีกแล้ว!!!

     

                    อะไรคือการที่แค่แวะทานข้าวเช้ากันพอรองท้องไม่ให้ท้องปั่นป่วนเพราะไม่มีอะไรให้น้ำย่อยมันทำหน้าที่ของมัน กลับกลายเป็นตอนนี้ไอตัวตนคิดอย่างชเวซีวอนเดินจูงมือเขาลากไปนู้นไปนี่ในย่านของกินแห่งหนึ่ง จนตอนนี้เวลามันล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์อยู่ตรงกับหัวพอดีเป๊ะแบบนี้

     

                    “คยูฮยอนนา อ้ามมมมมมม” และแน่นอนว่าคยูฮยอนได้ยินเสียงแบบนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบครั้งของวันแล้ว ผู้ชายตัวสูงข้าง ๆ นามว่าชเวซีวอนสรรหาขนมนมเนยมาป้อนเขาจนเคี้ยวแทบไม่ทัน ตอนแรกก็นั่งกินโจ๊กกันดีดีอยู่หรอก แต่พอออกมานอกร้านเท่านั้นแหละ ไอตัวดีมันก็โดนขนมล่อตาล่อใจจนเดินซื้อไปเรื่อย ๆ จนกลายสภาพเป็นแบบนี้แหละ

     

                    “ชเวซีวอน ฉันบอกว่าห้ามเลยคาบสองไง นี่มันกี่โมงแล้ว”

     

                    “คยูฮยอนนา...นาน ๆ ทีจะพักผ่อนบ้าง”

     

                    “พักผ่อนที่หน้านายสิ”

     

                    “คยูฮยอนเครียดเกินไปแล้ว ไม่เอา ๆ ฉันไม่อยากให้นายเหมือนคุณแม่นะ เอ้า อ้ามมมมม” ถ้าแม่บังเกิดกล้ามาได้ยินคงเกิดสงครามขึ้นย่อม ๆ เป็นแน่ คยูฮยอนถอนหายใจออกมารอบที่พันของวันก่อนจะอ้าปากรับทาโกยากิชุ่มซอสที่จ่อมาที่ปาก ก่อนจะเคี้ยวช้า ๆ อย่างระวังเพราะร้อน แต่ดูเหมือนว่าซีวอนจะจัดการเป่าให้มันอุ่นให้แล้วเลยไม่ทำให้ปากเขาพองเพราะมันเหมือนทุกที

     

                    “นายนี่มันจริง ๆ เลย”

     

                    “จัสรีเล็กซ์” ว่าแล้วก็ทำท่าเหมือนพี่หวังในรายการจริงก็อทเจ็ด คิดว่าทำแล้วจะอุบาทเท่าพี่หวังหรอ ไม่หรอกชเวซีวอนคิดผิดแล้ว เพราะมันอุบาทมากกว่าจนคยูฮยอนแทบจะสำลักทาโกยากิตายกับท่าทางต๊อง ๆ นั่น โถ...ไอบ้า ถ้าเขาตายขึ้นมาเพราะเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้คยูฮยอนจะมาบีบคอมันคนแรก

     

                    “เห็นมั้ยคยูฮยอนหัวเราะแล้ว”

     

                    “แค่ก ๆ น้ำ” น้ำแตงโมปั่นที่อยู่ในมือร่างสูงถูกยื่นมาให้ สร้างความสงสัยให้คยูฮยอนไม่น้อยว่ามันไปซื้อมาตอนไหน แต่ก็ช่างเถอะ สำลักจนแทบจะดิ้นเป็นเพลงดิสอิสเลิฟแล้ว ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่เลี้ยงด้วยอะไรทำไมโตมาถึงได้ติ๊งต๊องขนาดนี้กัน

     

                    “คยูฮยอนนี่พ่อแม่ก็ช่างปั่นจังเลยนา~ ทำอะไรก็น่ารักไปหมด” นั่นเอาอีกแล้ว...คงเป็นผลจากการที่เขาไอหน้าดำหน้าแดงเพราะสำลักความบ้าของซีวอนนั่นแหละ ไอตัวสูงเคยเพ้อตอนที่เขาวิ่งไปเข้าเรียนสายเพราะมัวแต่รอซีวอนอ้อยอิ่งกว่าจะอาบน้ำกว่าจะแต่งตัวเสร็จจนหน้าแดงเพราะอากาศร้อน ว่าน่ารักอย่างโน้นอย่างนี้แถมยังหยอกแก้มคยูฮยอนเล่นจนมันแดงกว่าเดิมอีกต่างหาก

     

                    “เลิกพูดแบบนี้สักทีเถอะ” และแน่นอนไม่มีผู้ชายคนไหนจะทนได้กันคำชมว่า น่ารักหรอกนะ คยูฮยอนก็ยังคงโต้ตอบไปด้วยคำพูดเดิม ๆ ที่มันไม่ได้ทำให้คนถูกว่าเลิกคิดเลิกพูดเลิกทำเลยสักนิด

     

                    “ก็มันจริงนี่นา ทำไมคยูฮยอนไม่พาฉันไปหาพ่อแม่นายบ้างล่ะ”

     

                    “บอกแล้วไงว่าอยู่คนเดียว”

     

                    “ไม่เจอกันบ้างเลยหรอ วิดีโอคอลกันไรงี้อ่ะ”

     

                    “ไม่ เวลาไม่ตรงกันน่ะ” คยูฮยอนตอบแบบขอไปทีก่อนจะยกน้ำแตงโมขึ้นมาดูดอีกครั้ง ซีวอนทำปากยู่ทันทีเมื่อเห็นคยูฮยอนดูไม่ค่อยใส่ใจเรื่องครอบครัวสักเท่าไหร่ ถามไปกี่ครั้ง ๆ ก็ตอบแบบปัด ๆ ตลอด ทำไมคยูฮยอนถึงเย็นชาจังเลยนะ ซีวอนไม่เข้าใจจริง ๆ ร่างสูงได้แต่มองร่างคยูฮยอนที่ดูดน้ำแตงโมปั่นจนหมดและเดินไปหาที่ทิ้งขยะ

     

                    ตุ๊บ

     

                    “โอ๊ะ!!!” แต่เหมือนระหว่างที่เดินคิดอะไรเพลิน ๆ เขาจะไม่ดูตาม้าตาเรืออีกแล้ว เมื่อจู่ ๆ ก็มีสิ่งมีชีวิตขนสีบรอนซ์ถลาเข้ามาชนอกเขาอย่างจังจนซีวอนลมลงโดยมีร่างที่เข้ามาชนล้มทับซะงั้น

     

                    “เจ็บ!!!” พูดได้ด้วยเว่ยยยย

     

                    แต่ควรเป็นซีวอนไม่ใช่หรอว่ะที่จะร้องคำนั้น

     

                    ซีวอนมองสิ่งสีชีวิตหัวทองที่ตอนนี้ล้มทับขาอยู่และไม่มีท่าทีว่าจะลุกไปเลยสักนิด ซ้ำยังหลับตาปี๋และคลึงที่หัวเบา ๆ อย่างกับเมื่อกี้มันโข่งพื้นซะอย่างนั้น แต่หากไม่นานซีวอนก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจตามเมื่อร่างเล็ก ๆ นั้นสะดุ้งเฮือกและมองเขาตาแป๋ว ก่อนจะอ้าปากค้างและชี้หน้าเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

     

                    “เอ่อ...ขอโทษนะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ?”

     

                    “ท่าน..ท่านคือ...อ๊ะ ไม่นะ” เหมือนร่างบนซีวอนจะไม่ได้ฟังเขาเลยสักนิด แถมยังตาค้างมองซีวอนได้ไม่นาน เจ้าคนผมสีอ่อนก็หันกลับไปมองด้านหลังอย่างตกใจอีกครั้ง ก่อนจะรีบย้ายตัวเองลงจากซีวอนแล้วโค้งให้หนึ่งทีและมองซีวอนด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปอีกทางอย่างว่องไว เมื่อมองไปอีกทีก็พบว่าร่างเล็ก ๆ นั่นหายไปแล้ว

     

                    อะไรว่ะ

     

                    “มีอะไรหรอ” เสียงของคยูฮยอนเป็นตัวเรียกสติซีวอนกลับมาอีกครั้ง ร่างสูงหันมายิ้มให้คยูฮยอนก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ และจูงมืออีกคนเดินออกจากย่านของกินที่ตัวเองได้สร้างแลนด์มาร์กไว้ครึ่งวันแล้ว

     

                    “ไปกินไอติมหน้าหมู่บ้านกัน”

     

                    “เอาเถอะ ไหน ๆ วันนี้นายก็พาฉันโดดแล้วนี่”

     

                    “เย่!!!” ร่างสูงร้องดีใจเป็นเด็กสามขวบก่อนจะจูงมือพร้อมกับลากคยูฮยอนไปที่ป้ายรถเมล์ทันทีเพื่อกลับบ้าน ถึงคยูฮยอนจะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะว่าในสายตาชเวซีวอนคยูฮยอนเป็นคนที่ใจดีที่สุดในสามโลก อย่างน้อยคยูฮยอนก็จะบ่นแบบเจ็บ ๆ แล้วเลิกไป แต่มารดาที่เคารพเนี่ยสิไม่รู้จะบ่นอะไรนักหนา บ่นทีเหมือนนั่งฟังเทศน์ครบสิบสามกัณฑ์ ซีวอนล่ะนับคือคุณนายแม่จริง ๆ

     

                    นั่งรอรถได้สักพัก รถเมล์สายสายที่ต้องการก็มาจอดเทียบที่ป้ายรถเมล์ ซีวอนจูงคยูฮยอนขึ้นรถเมล์ไปอย่างกระตือรือร้น พลางกวาดสายตามองหาที่นั่งทันทีที่ขึ้นรถได้ เวลาบ่าย ๆ แบบนี้นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่เลิกเรียน(แกมาทำอะไรตรงนี้ชเว)แถมคนก็ยังไม่เลิกงานกันเพราะฉะนั้นมันจึงโล่งมากกก

     

                    ทานไอติมและนั่งโม้กันได้สักพักก็ดูเหมือนเวลามันจะเดินไปเร็วเกินคาด เมื่อพอมองออกไปนอกร้านก็เย็นมากแล้ว พอหันไปมองนาฬิกานี่ยิ่งช็อคเข้าไปใหญ่เมื่อมันบอกว่าเป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว แม่โจ้... นี่เขานั่งกินไอติมอะไรกันเกือบครึ่งวันว่ะ ทำไมเวลามันผ่านไปไวเหมือนแข่งแรลลี่ขนาดนี้

     

                    “กลับได้แล้ว เย็นมากแล้วนะ”

     

                    “คยูฮยอนนา ไม่สนใจเอากลับไปกินบ้านหรอ”

     

                    “ไม่”

     

                    “คยูฮยอนนอนบ้านฉันมั้ย”

     

                    “ไม่”

     

                    “ทำไมอ่ะ! เมื่อคืนเรายังนอนกอดกันอยู่เลยนะ!!” เสียงซีวอนที่เริ่มโวยวายทำให้คนทั้งร้านหันมามองกับพรึ่บ แถมยังส่งเสียงซุบซิบ ๆ กันไม่ขาดปากจนคยูฮยอนต้องส่งมือไปเบิร์ดกะโหลกไอตัวขยายเสียงนี่สักหนึ่งทีโทษฐานพูดอะไรไม่เข้าท่าแถมเสียงดังในที่สาธารณะชน กรี๊ด

     

                    “ไม่เอา ๆ อยู่บ้านคนเดียวฉันกลัวนะ คยูฮยอนก็รู้ว่าชเวซีวอนบอบบางขนาดไหน” ตบหัวไปได้รอบหนึ่งแล้วสงสัยจะอยากมีรอบสอง...คยูฮยอนเดินนำไอเด็กสามขวบในร่างควายออกมาจากร้านก่อนจะเดินนำลิ่ว ๆ เข้าซอย โดยมีซีวอนนั่นแหละเดินง้องแง้งตามมา แถมปากยังพล่ามไม่หยุดหย่อนเหมือนเด็กสามขวบร้องขอขนมจากแม่อีกต่างหาก

     

                    “คยูฮยอนนา~ นอนด้วยกันนะ”

     

                    “ชเวซีวอน”

     

                    “น้า~

     

                    “นี่มันซอยบ้านใคร”

     

                    “บ้านผมคร้าบ”

     

                    “แล้วบ้านฉันอยู่ไหน”

     

                    “บ้านคยูฮยอนต้องนั่งรถเลยไปอีกสองป้ายละก็เข้าซอยที่มีต้นไม้สวย ๆ หน้าซอยสองกระถางไป เดินเข้าไปลึกประมาณสามเมตรก็จะเจอสี่แยกแล้วก็เลี้ยวซ้ายแล้วก็เดินไปจนสุดซอยแล้วก็ถึงเลยบ้านที่น่ารักที่สุดหลังสุดท้าย~” ไอเรื่องไร้สาระนี่จำได้แม่น ลองถามถึงบทเรียนที่เรียน ๆ กันอยู่ทุกวันนี้สิ คยูฮยอนล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ามันจะตอบได้ขนาดนี้มั้ย คยูฮยอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินนำไปเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มเห็นบ้านหลังที่เขาเพิ่งมานอนค้างไปเมื่อคืน

     

                    “จำได้ก็ดี แล้วก็รีบ ๆ เดินซะอยากอาบน้ำนอนแล้ว” ไม่รอให้ซีวอนฉวยมาฟัด คยูฮยอนรีบเดินนำลิ่ว ๆ ไปไขประตูบ้านก่อนจะเดินเข้าไปโดยไม่มองลูกเจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าบ้านจนคนขี่จักรยานผ่านไปได้แต่มองตามด้วยความหวาดระแวงว่าเพื่อนบ้านกูจะเป็นบ้ารึเปล่า

     

                    เห็นมั้ยซีวอนบอกแล้ว

                คยูฮยอนน่ะ น่ารักที่สุดเลยยยยย~

     

    ………………………………

     

                    “โง่”

     

                    “คยูฮยอนด่าฉันทำไม”

     

                    “โง่ทั้งผัวทั้งเมีย”

     

                    “ฉันยังไม่มีเมียนะคยูฮยอน”

     

                    “โง่ชิบหาย เอ้า แล้วนั่นไปรับมันไว้ทำไม นั่นขาคนไม่ใช่ดอกหญ้าจะได้อ่อนตามแรงลม ไอพระเอกโง่!” เออ...เหมือนจะไม่ใช่ล่ะ...

     

                    ซีวอนมองร่างขาว ๆ ในชุดนอนลายแมว(ที่ดูเหมือนคุณนายแม่จะซื้อไวให้ ทำดี)ของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้นั่งแทะป๊อปคอร์นรสหวานเคี้ยวกร๊อบแกร๊บพร้อมกับตากลม ๆ ที่จ้องทีวีที่ฉายหนังไม่วางตา แถมยังสบถออกมานานาคำด่าที่จะสรรหามาด่าพระเอกที่แสนโง่กับนางเอกที่แสนจะอ่อนแอต่อโลกภายนอก จริง ๆ ซีวอนก็สงสัยเหมือนกันว่าใครเป็นคนคิดฉากควาย ๆ แบบนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่มันโคตรจะไร้สาระที่สุดในสามโลก

     

                    แต่มันก็ดีอย่างที่ทำให้ซีวอนได้เห็นคยูฮยอนในอีกมุมล่ะนะ

     

                    ปกติคนตัวขาว ๆ จะนิ่ง ๆ เออออตามไปเรื่อย มีบ่นบ้างแต่ก็ไม่เคยถึงกับด่า แต่เมื่ออยู่หน้าทีวีตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ปากก็เคี้ยวไม่หยุดแถมยังด่าฉอด ๆ ทำให้คนตัวสูงที่นอนเล่นโทรศัพท์บนโซฟาโดยใช้ตักของคยูฮยอนเป็นหมอนหนุนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ

     

                    “จริงจังเกินไปแล้ว มันก็แค่ละคร”

     

                    “มันขัดใจ”

     

                    “คยูฮยอนนา~

     

                    “เอ้า แล้วนั่งร้องไห้หาพระแสงอะไร ไปเอาผัวกลับมาสิเว่ย”

     

                    อืม...สงสัยคงเป็นโลกที่ซีวอนไม่ควรเข้าไปแทรกแหะ...

     

                    ซีวอนเลิกคิ้วใส่อีกคนเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสนใจกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ นิ้วจิ้มเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นนกสีฟ้า ก่อนจะเอานิ้วไล่ทามไลน์เรื่อย ๆ สายตาก็กวาดมองมันไปอย่างเรื่อยเปื่อย ตอนนี้ซีวอนคงยังหาเรื่องอ้อนคยูฮยอนไม่ได้เพราะดูคนตัวขาวจะอินกับละครจัดจัดซะเหลือเกิน

     

                    ซีวอนขออยู่เฉย ๆ ดีกว่าครับ ไว้อ้อนตอนนอนยังไม่สายไป

     

                    โครม !!!

     

                    !!!” เสียงเหมือนของชิ้นใหญ่หล่นทำให้ซีวอนที่กำลังไล่อ่านทามไลน์เพลิน ๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะผละจากหมอนมนุษย์ออกมาโดยอัตโนมัติ และกวาดสายตาไปทางด้านเสียงที่ดังอย่างตกใจปนสงสัย

     

                    “เสียงอะไรอ่ะคยูฮยอน” ซีวอนหันไปถามความเห็นคนข้าง ๆ

     

                    “เออ นั่นแหละ ทำดีแล้วไปสู้ซะ” แต่เหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจ...

     

                    ซีวอนมองคยูฮยอนที่นั่งจ้องละครจิกหมอนอินจัดเมื่อนางเอกมันลุกขึ้นไฝว้กับตัวร้ายบ้างแล้ว ก่อนจะตบเข่าฉาดใหญ่เมื่อมือนางไปตบโดนที่หน้าตังร้ายปากแดงอย่างจัง อืม...จะว่าไปคยูฮยอนนี่ก็คือคุณป้าแม่บ้านติดละครหลังข่าวดีดีนี่เองอย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย... เอาเถอะ ตั้งแต่กลับมาคยูฮยอนก็ทำกับข้าวให้เขากินแล้วไหนจะยืนล้างจานให้โดยไล่เขาไปอาบน้ำแทนอีก เอาเถอะ ให้เจ้าตัวอยู่ในโลกของตัวเองบ้างซีวอนคิดว่าคงเป็นวิธีตอบแทนที่ดีที่สุดล่ะนะ

     

                    “เดี๋ยวมานะ” ถึงแม้จะรู้ว่าคนติดละครไม่ได้ฟังเขาแต่ก็บอกไว้ก่อนรึกัน...ก่อนที่จะย้ายก้นจากโซฟาตัวนุ่มเดินไปทางหลังบ้านที่ก่อนหน้านี้มีเสียงดังโครมใหญ่มา ซี่งซีวอนอยากไปดูให้แน่ใจว่ามันคืออะไร

     

                    ถ้ามีแมวเวรมากระโดดใส่ต้นไม้แสนรักยิ่งกว่าลูกของคุณนายล่ะก็ ซีวอนจะจับมันมาทำผัดเผ็ด

                    แต่เมื่อเปิดประตูหลังบ้านไปก็แทบกรี๊ด...

     

                    “ชิบหายแล้ว...”

     

                    เละ

     

                    ซีวอนบอกได้คำเดียวเลยว่ามันเละมากกกกกกกกกก

     

                    ร่างสูงยืนหน้าซีดเผือกมองสภาพหลังบ้านที่ก่อนหน้าที่เป็นที่จัดเรียงต้นไม้แทนรักของคุณนายของบ้านที่เขาเพิ่งเข้ามารดน้ำให้มันเมื่อสองชั่วโมงก่อน ตอนนี้มันกลับเละไม่เหลือซาก กระถางที่แตงเป็นเสี่ยง ๆ กับลูกรักหลายต้นที่กองอยู่ตรงพื้นกับซากดินอย่างน่าอนาถใจ ชะตาขาดแล้วครับชเว โฮกกก...

     

                เคร้ง

     

                    เสียงเหล็กกระทบกันทำให้ซีวอนหันขวับไปตามเสียง ไหนว่ะ ? ไอนี่แน่ ๆ สาเหตุที่ทำให้เขาต้องโดนคุณนายบ่นหูชาตอนกลับมา ขอสวดแม่งหน่อยรึกัน แต่ไม่ว่าจะหันซ้ายหันขวาหันหน้าหรือหันหลัง ซีวอนก็พบได้แค่ความมืดมิดที่มีแสงสว่างของไฟที่เขาเปิดไว้เป็นตัวนำทาง ไหนว่ะครับ อย่าให้เจอพ่อจะด่าให้เละหรือว่ามันจะหนีไปแล้ว ?

     

                    แกร๊ง

     

                    เสียงที่ชัดขึ้นทำให้ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าจนไม่คิดถึงหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด ก็เสียงมันดังมาจากบนฟ้านี่หว่ากลางหัวเขาเลยเนี่ย มันเลยส่งผลให้เขาต้องหันไปตามเสียงเหล็กกระทบกันอย่างอัตโนมัติ

     

                    และแน่ละ...เขาเจอแล้ว เต็มสองลูกตาเลยครับ

     

                    นี่มันอะไรอี๊กกกกกกกกกกก

     

                    เคร้ง

     

                    ซีวอนมองตาค้างแทบถล่นออกมาจากเบ้ากับภาพตรงหน้า เมื่อเห็นเงามืด ๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนคน เออ คนนั้นแหละ...แต่คนนึงถือเคียวอันเท่าบ้านกับอีกคนถือดาบที่ซีวอนมองแล้วดูสยองไม่ใช่น้อยเพราะมันมีอะไรสีดำ ๆ แผ่ออกมาจากดาบนั้นตลอดเวลา การฟาดฟันบนท้องฟ้าสีมืดที่เหมือนจะฆ่าจะแกงกันให้ตายทำให้ซีวอนทำอะไรบางอย่างที่คิดได้ดีที่สุดตอนนี้

     

                    เพี๊ยะ!!!

     

                    “เชี่ยเจ็บ!!! ไม่ได้ฝันด้วยโว้ย” ร่างสูงที่ตัดสินใจทำการกระทำสิ้นคิดอย่างการตบหน้าตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เห็นเป็นความฝันอีกรึเปล่า ปรากฏว่ามันเจ็บจนเลือดซิบเลยทีเดียว แม่โจ้...นี่มันเรื่องจริงล่ะครับท่านผู้ชมมมม

     

                    เจอคราวที่แล้วเจอคนล่อฟ้าได้นี่ช็อคฉี่แทบแตก คราวนี้มาเจอคนบินได้กำลังไฝว้กันต่อหน้านี่ขี้แทบเล็ด

                    ผมอยากทำบุญจังครับ...

     

                    สายตาคนหล่อยังคงมองสองร่างที่อาศัยท้องฟ้าหลังบ้านเขาเป็นสนามประลองยุทธ์ เอาเลยครับ อยากทำอะไรเชิญชเวจะไม่ห้าม แต่ตอนนี้ขอเขาหลบหาที่ปลอดภัยก่อนเถอะนะ...ว่าแล้วสายตาของคนเอาตัวรอดเก่งเป็นนิจก็หันไปเห็นกองถุงดินที่คุณนายซื้อเป็นเรียงเป็นชั้น ๆ ประมาณห้าหกชั้น โชคดีที่มันยังไม่โดนลูกหลงไปด้วย ว่าแล้วก็ตะเกียดตะกายใช้ท่าเขียดเดินไปยังเป้าหมาย ร่างสูงคิดได้แค่ว่าเราไม่ควรทำตัวให้มีจุดเด่น

     

                    แค่ยืนเอ๋อมองคนแปลกพวกนี้ไฝว้กันได้เมื่อกี้แล้วรอดมาได้ก็ของคุณพระเจ้ามากแล้วครับ

     

                    เคร้ง

     

                    เสียงโลหะทั้งสองยังคงปะทะกันไม่เลิกราและยังไม่มีท่าทีว่าจะลดละกันเลยสักนิด โถ...นี่ก็ยอม ๆ ให้กันบ้างเถอะครับชเวอยากกราบ เพราะทุกทีที่ดาบทั้งสองปะทะกันมันเหมือนจะมีคลื่นพลังงานบางอย่างแผ่ออกมาจนทำลายสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ไปหมด อย่างกระถางต้นไม้ที่ตอนแรกมันก็แตกอยู่แล้ว โดนลูกหลงไอคลื่นนั่นเข้าไปอีกมันกลายเป็นผงเลยก็ว่าได้ ซึ่งนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ซีวอนไม่ยอมออกไปห้ามสงครามคนแปลกพวกนี้เหมือนกัน

     

                    ไม่ได้กลัวนะ แค่ไม่อยากกลายเป็นคนขี้เผือก

                ถุย

     

                    “เมื่อไหร่จะเลิกตามข้าสักที พวกเจ้ามีภารกิจสำคัญมากกว่านี้ไม่ใช่หรือไง!!

     

                    “นั่นเพราะเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสำคัญนั่นเหมือนกันยังไงล่ะ”

     

                    เคร้ง

     

                    “ไอบ้าเอ้ย!!!” ร่างของผู้ใช้เคียวกัดฟันแน่นเมื่อตอนนี้ตนเองกลายเป็นผู้เสียเปลี่ยน ซีวอนรู้สึกเสียวตูดวูบวาบเมื่อจู่ ๆ ผู้ใช้ดาบก็เป็นฝ่ายได้เปรียบและอยู่เหนือกว่าอีกคนที่ดูจะตัวเล็กกว่าเสียแล้ว จะว่าไปจากบทสนทนาซีวอนก็ไม่เข้าใจนักหรอก แต่ก็คงเดา ๆ ได้ว่าคนที่ใช้เคียวเกินขนาดตัวคงจะถูกตามล่าอยู่แน่ ๆ

     

                    “หึ...เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกเด็กน้อย” ไม่นานนักที่ตกเป็นผู้เสียเปรียบทางพละกำลัง แรงของอีกฝ่ายที่กดแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ใช้เคียวจำใจต้องออกแรงปัดเคี้ยวไปอีกทางก่อนจะเบี่ยงตัวหลบวิถีดาบ ส่งผลให้เคียวอันใหญ่กระเด็นจากมือไปไกลจนตกลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก

     

                    และมันจะไม่มีอะไรเลยนะ...

                ถ้ามันไม่มาทางซีวอน….

                ไอบ้า

     

                    ฉึบ

     

                    เคียวกันใหญ่ที่ปักอยู่ที่ถุงดินที่เขาใช้มันเป็นที่หลบอยู่ จนถุงแตกออกไม่เหลือชิ้นดี แต่ตอนนี้ซีวอนเข่าอ่อนเกินกว่าจะไปสนใจว่าดินมันจะหกมาเลอะเสื้อเขามากแค่ไหน ไม่ไหวแล้วเขาไร้เรี่ยวแรงจะยืนต่อ เมื่อกี้มันเฉียดเขาไปแค่นิดเดียวอีกแล้วนะ ชีวิตซีวอนนี่มันแขวนอยู่บนแป้นพิมพ์ใช่หรือไม่ ฮื่ออออ (ใช่)

     

                    “หนีไม่พ้นแล้ว กลับไปกับข้า!!!

     

                    “ไม่! อั่ก!!!” ซีวอนต้องเปิดตากว้างอีกครั้งเมื่อเจ้าของดาบใช้สันดาปฟาดไปที่คอของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงดับจนทั้งสองลงมาสู่พื้นโลก ฝุ่นของดินที่ฟุ้งตลบทำให้ซีวอนเห็นภาพไม่ชัดสักเท่าไหร่เพราตนเองก้ได้รับผลกระทบจากการที่ฝุ่นเข้าปากเหมือนกัน(อนาถ) ซีวอนปัดมือไปมาก่อนจะไอค่อกแค่กเสียงดัง บางทีพวกมันอาจจะรู้ถึงการมีตัวตนของเขาแล้วก็ได้

     

                    “กลับไปกับข้า!!!” ทันทีที่ม่านฝุ่นหายไป ภาพตรงหน้าก็ชัดมากขึ้น ร่างของคนสองคนที่มีคนนึงขึ้นคร่อมอีกฝ่ายไว้แล้วกดสันดาบไปที่คออีกฝ่ายแน่น ถึงมันจะไม่สร้างความสยองอย่างทำให้คอขาดหรืออะไรอย่างนี้แต่ซีวอนก็รู้สึกได้เลยว่ามันทำให้อีกฝ่ายที่เสียเปรียบอยู่นั้นหายใจไม่ออกได้เลย

     

                    ถึงเขาจะไม่เห็นเพราะผ้าคลุมสีดำนั่นก็เถอะ

     

                    แต่เดี๋ยวนะ อยู่ใกล้ขนาดนี้แล้วนี่พวกคุณ ๆ ยังไม่เห็นผมอีกหรอครับ นี่ต้องให้ซีวอนเข้าไปจิ้มตาเลยบ่นี่ ...บางทีก็อยากจะถามออกไปด้วยเสียงลั้ลลาประหนึ่งวิ่งฟินนาเล่กลางทุ่งหญ้าว่า เฮลโล่ว เห็นกูมั้ย

     

                    แต่ก็ได้แค่คิดนั่นแหละ โง่คิดฆ่าตัวตายทางอ้อมหรอกครับ วางใจได้

     

                    “แค่ก..ไม่...” เหมือนเพราะเจ้าของผ้าคลุมสีดำจะนอนอยู่เลยส่งผลให้ตอนนี้ฮู้ดที่ปกปิดเรือนผมไว้อยู่มันย่นลงไปนิดหน่อย ทำให้ซีวอนเห็นผมสีอ่อนโผล่ออกมาจากผ้าคลุมนิด ๆ กับสีหน้าของคนที่โดยกระทำที่เหมือนจะทนไม่ไหวกับแรงกดดาบที่คอตนเองอยู่แล้ว

     

                    ว่าแต่ คุ้น ๆ แหะ...

     

                    “อย่าให้ข้าต้องหันคมดาบใส่เจ้า”

     

                    “เจ้าไม่กล้าหรอก”

     

                    “คิดอย่างนั้นหรอ”

     

                    “คนขี้ขลาด” ซีวอนอยากจะวิ่งเข้าไปตบปากไปคนผมสีอ่อนนั้นเหลือเกิน  มึงอวดดีไม่ดูสภาพตัวเองเลย ไม่อยากจะคิดว่าถ้าอีกฝ่ายที่ดูถ้าจะโหดสัสรัสเซียระดับสิบนั่นหันคมดาบเข้าที่คอเล็ก ๆ นั้นเมื่อไหร่สภาพมันจะเป็นยังไง ไม่ครับ ซีวอนจะไม่ยอมเห็นคนตาบรอบสองอีกแล้ว

     

                    เขาต้องทำอะไรสักอย่าง

     

                    ตากราดตามองรอบ ๆ เพื่อหาอาวุธ ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าคนพวกนี้มันไม่ธรรมดาพวกสิ่งของธรรมดาอาจจะทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่หากแค่ช่วยให้เด็กนั่นออกมาจากวิถีดาบได้ก็พอ ติดได้ดังนั้นก็คว้าหินขนาดเหมาะมือที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา

     

                    เอาล่ะนะ ซีวอนจะลองหาเรื่องเอาชีวิตตัวเองไปแขวนบนแป้นพิมพ์บ้างแล้วเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

     

                    สาม...

                    สอง...

                    หนึ่ง...

     

                    พรึ่บ

     

                    “ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน”

     

                    ตุ๊บ….

                …..

                ….

     

                    ปล่อยที่หน้าพี่แกเส้!!!

     

                    ซีวอนอยากจะสไลด์ตัวไปเต้นมูนวอร์กบนดวงจันทร์ ร่างสูงแทบจะอ้าปากค้างกับประโยคที่ไอโหดมันเอ่ยออกมา ปล่อยที่หน้าดิ นี่เขาขว้างหินไปแล้วนะเว่ย โดนพื้นข้าง ๆ มันจัง ๆ ด้วยนะเว่ย มันหันมาสนใจประหนึ่งวงซุปเปอร์จูเนียร์มาเดินแก้ผ้ากลางชายหาดด้วยนะเว่ย

     

                    ไม่รอให้เจอตัวซีวอนที่มีทักษะการเอาตัวรอกยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตสปีชี่ใด ๆ เขารีบกระโดดไปหลบหลังที่ขุดดินขนาดสูงเท่าไหล่ที่อยู่ในมุมมืด ตอนนี้ซีวอนขอใช้ความดำให้เป็นประโยชน์คับ เขากำอุปกรณ์ที่ใช่พลางตัวไว้แน่นก่อนจะหลับตีปี๋ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ช่วยอะไร วิธีที่ทำให้ควายอย่างเขารู้สึกดีขึ้นเท่านั้นแหละครับ

     

                    “ใคร?!

     

                    “ก๊า ก๊า ก๊า~~” ไอซีวอน ไอบ้าไอสิ้นคิด !! แม่ให้มึงกินอะไรตอนเกิดมาว่ะห้ะ!!!

     

                    ซีวอนอยากจะตบปากพร้อมกับใช้หน้าตัวเองไปไสกับพื้นแทนที่ขุดดิน ใช้มุกแมวร้องยังดูน่าเชื่อถือกว่าร้องเสียงกาออกไปตอนนี้  นี่คิดว่าตัวเองเป็นปาร์มมี่อยู่หรือครับชเวถึงร้องออกไปแบบนั้น กาบ้าอะไรจะมาร้องตอนนี้ แถมกาบ้านกูนี่ปาหินได้ด้วยนะขอบอก โคตรแอดวานซ์...

     

                    ไอโง่เอ้ย...

     

                    “หึ ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่นกลบเกลื่อนความขี้ขลาดของเจ้าหรอก”

     

                    “สงสัยจะอยากโดนฆ่าจริง ๆ สินะ”

     

                    “ก็ทำสักทีสิ อย่าดีแต่ปาก!!!

     

                    “ข้าแค่ไม่อยากรังแกเด็ก”

     

                    “เจ้าพูดอย่างนี้มาห้าครั้งแล้วนะ!!” ซีวอนสะดุ้งเฮือกอีกทีเมื่อเสียงแหลม ๆ ของฝ่ายที่เสียเปรียบหวีดลั่น ก่อนที่เจ้าตัวที่หลุดจากการพันธนาการจะลุกขึ้นมาดิ้นประหนึ่งอยู่ในเท็กซ์แต่มันต่างกันตรงที่ตรงนี้ไม่มีเพลงให้ดิ้นนอกจากจะให้เสียงร้องให้(ในใจ)ของซีวอน อยากจะสวอนเลคขอบคุณพระเจ้าเหมือนกันที่เสียงการ้องมันได้ผลเมื่อสองคนไม่สนใจที่เขาแล้ว

     

                    แต็งก๊อดดดด

     

                    แต่ตอนนี้เหมือนมีอีกเรื่องที่ทำให้เขาต้องสนใจกว่า

     

                    อะไรคือการที่คนที่ไล่ฆ่ากันจะเป็นจะตายเมื่อกี้นี้ผละออกจากกันโดยที่ไอคนโหดสัสรัสเรียนั่นยืนกอดอกยิ้มหัวเราะชอบใจ เดี๋ยว ๆ รู้นะว่าหล่อ แต่พอนึกไปถึงความโหดของพี่แกเมื่อกี้ซีวอนก็รู้สึกขำตามไม่ลง กับอีกคนที่ดูเหมือนจะไม่กลัวตายเมื่อกี้ก็ลุกขึ้นมาทำหน้าไม่พอใจกระทืบเท้าไปมาเหมือนเด็ก ๆ มือขาว ๆ นั่นกระชากเอาฮู้ดที่คลุมตัวเองอยู่หมิ่น ๆ ออกก่อนจะเผยให้เห็นผมสีอ่อนที่สว่างรับกับแสงจันทร์ และแน่นอนมันทำให้ซีวอนถึงกับเบิงตากว้าง

     

                    เด็กคนนั้นนี่หว่า!!

     

                    “ทำเป็นโวยวาย ไม่ดีใจหรือไงที่ข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอยู่”

     

                    “ข้าจะดีใจกว่านี้ถ้าเจ้าฆ่าข้าทิ้ง ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย เป็นโรคหรือไง ข้าจะกรี๊ด” คนตัวเตี้ยกว่าได้แต่ทึงหัวโวยวายกับพฤติกรรมชวนบ้าของอีกฝ่าย ผ้าคลุมสีดำที่หลุดออกจากการปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าขาวใสผมสีอ่อนของอีกฝ่ายที่สีแสงจันทร์ชวยขับความสว่างของมัน ซีวอนวอนที่ตอนนี้รับบทเป็นอีกาไร้ตัวตนชั่วคราวยืนเอ๋อแดกอยู่ตรงนั้น บางทีนะบางที...

     

                เขาก็อยากให้นี่เป็นฝันมากกว่า...(ร้องไห้)

     

                    “เจ้ามันบ้า คอยดูนะ ถ้าข้าหาตัวท่านเจอเมื่อไหร่จะให้สาปเจ้าซะ”

     

                    “ถ้าเจ้าไปหาเขารับรองเลยว่าไม่ช้านายท่านจะได้ขึ้นเป็นราชา”

     

                    “โว่ยยยยยยยไอประสาทข้าจะหนี หนี ๆ ๆ  เจ้าให้สุดล่าฟ้าเขียวเลยคอยดู” เจ้าของผมสีบลอนซ์โวยวายที่ทำอะไรไม่ได้ก่อนจะเสกเวทสีเหลืองใสออกมาใส่ไอคนกวนประสาทอย่างอารมณ์เสีย แต่หากเจ้าของนัยน์ตาสิรัตติกาลกลับหัวเราะในลำคอชอบใจและเบี่ยงตัวหลบอย่างคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก

     

                    ร่างสูงหลบหลีกเวทสีเหลืองอย่างว่องไวก่อนจะค่อย ๆ ใช้การเคลื่อนที่ระหว่างหลบหลีกเลื่อนตัวเข้าหาอีกฝ่ายเรื่อย ๆ จนเข้าใกล้ในระยะประชิด เขารวบมืออีกฝ่ายที่ร่ายเวทออกมาไม่หยุดหย่อนขึ้นจนเวทครั้งสุดท้ายที่ไปโดนกำแพงบ้านซีวอนพอดีทำเอาคนแอบดูอยู่ถึงกับกรี๊ดออกมา ไม่ใช่เพราะกำแพงบ้านพังนะ ฉากตรงหน้านี่ต่างหาก

     

                    เอาแล่ว ๆ  ๆ *กำเสียมแน่น*

     

                    “ไอบ้าปล่อยนะเว่ย เจ้าบอกเองนะว่ามันไม่เหมือนเดิม เราต่างกัน เพราะฉะนั้น ปล่อย!!!

     

                    “ถึงเจ้าพูดว่าจะหนีข้ายังไงแต่ข้าก็จะพูดแบบเดิมเหมือนกัน”

     

                    “...”

     

                    “ยังไงเจ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอกเด็กน้อย”

     

                ซีวอนอยากจะลุกขึ้นปรบมือรัว ๆ ประหนึ่งละครจบแล้วด้วยประโยคคราสสิกของพระเอกที่ไอโหดนั่นพูดออกไป  จะว่าไปไอโหดนั่นก็จัดว่าหน้าตาดีอยู่ แต่น้อยกว่าซีวอนไปนิดนึงละนะ (ถุย) ซีวอนต้องแทบจะกรี๊ดออกมาอีกรอบเมื่อร่างของไอโหดนั่นหายไปแล้ว แม่โจ้...หายตัวได้ด้วยเว่ย เหลือเพียงร่างของเจ้าของผลสีอ่อนที่ยืนกำหมัดแน่นทำหน้าเจ็บใจอยู่อย่างนั้น นี่น้องไม่ดีใจหรอครับที่ไม่โดนฆ่าเจ็บใจขนาดนั้นเชียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ซีวอนจะอยากจะสวอลเลคตัวเข้าไปเค้นถามด้วยรักและนกแก้วจริง ๆ

     

                    พรึ่บ

     

                    เฮือก

     

                    คนที่อยู่กับความคิดบ้าบอของตัวเองถึงกับสะดุ้งเมื่อดวงตาของข้าวของผมสีบรอนซ์หันขวับมาทางนี้พอดิบพอดีหันมาทำไมมมม กามันไปแล้วนะเอ็งในนี้ไม่มีอะไรหรอก เอ็งตาฟาดแล้ว ยัง..ยังจะเดินเข้ามาอีก ออกไป๊

     

                    ซีวอนถึงกับหน้าสั่น ตอนนี้เขาอยู่ตรงมุมมืดที่ไม่มีที่ให้ซ่อนไม่มีที่ให้หนีนอกจากมุดดิน และแน่นอนกว่าจะชุดดินเอาตัวควาย ๆ ลงไปซ่อนทั้งตัวเสร็จก็คงกินเวลาน่าดู ถึงตอนนั้นเจ้าของเคียวยักษ์ก็คงเดินมาหักคอเขาไปต้มยำทำแกงเรียบร้อยแล้ว ซีวอนได้แต่ยืนปลงสังขารอยู่ตรงนั้นพยายามระลึกถึงพระคุณมารดาที่เบ่งและหล่อเลี้ยงควายตัวนึงมาจนหล่อได้ขนาดนี้ ซีวอนอยากจะขอก้มกราบงาม ๆ สักหนึ่งที

     

                    “เฮ้”

     

                    เฮือก

                    มือที่แตะเข้าที่บ่าทำให้ซีวอนสะดุ้งจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างออกมาเต้นอาโกโก้ ร่างสูงเหลือบมองคนตรงหน้าเพื่อย้ำถามกับตัวเองว่าใช่คนเดียวกับที่ชนเขาตอนกลางวันหรือเปล่า เพราะที่เขาเดินชนตอนกลางวันดูตัวเล็กบอบบางน่าเก็บไปฟัดที่บ้าน แต่คนตรงหน้านี่ดูแข็งแกร่งแม้ขนาดตัวจะเตี้ยกว่าเขามากก็เถอะ แต่ถ้าเทียบกับสถานการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ ซีวอนมันก็แค่เด็กอนุบาลหมีควาย

     

                    “สั่นทำไม กลัวข้าหรือ”

     

                    “เออ” ไม่มีการอ้อมค้อมอ้อมโลกให้เสียเวลาหรอกครับ ตอนนี้ความรู้สึกหลัวคือของจริงโดนล้อว่าป๊อดก็ยอมเลยอ่ะเอาดิ

     

                    “ท่านไม่ต้องกลัวข้าหรอก ท่านซีวอน ถึงแม้เมื่อกี้ท่านจะเกือบถูกฆ่าเพราะเสียงกานั่นน่ะนะ” นั่นไงกูว่าแล้วว่ามันแปลก ๆ ...กาบ้าอะไรปาหินได้ล่ะครับ โถ..ซีวอนมันบ้าเองที่นึกชมตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะ

     

                    “รู้จักฉัน ?”

     

                    “อื้ม ถึงจะเพิ่งรู้จักเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนก็เถอะ” อีกฝ่ายตอบก่อนจะยักไหล่เหมือนเห็นว่ามันเป็นเรื่องสบาย ๆ  ...สบายพ่อง นี่ซีวอนกลัวขี้แทบเล็ดนี่สบายหรอครับ จิตใจคุณทำด้วยอะไร

     

                    “นายเป็นใคร ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”

     

                    “คนที่ชนท่านเมื่อตอนกลางวันไง”

     

                    “อย่ากวนติง ถึงจะกลัวแต่ตีนลั่นได้ขอบอก”

     

                    “เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาและยังจะอวดดี” คนตัวเตี้ยกว่าเขย่งตัวมาจนเท่าซีวอนก่อนจะใช้กำปั้นเล็ก ๆ นั้นเขกเข้าที่หัวซีวอนหนึ่งที เดี๋ยวสิครับเดี๋ยว นี่เล่นหัวเล่นหางกันแล้วหรอ เพิ่งเจอกันเองนะครับน้อง ณ จุด ๆ นี้บอกได้เลยว่าซีวอนกริ้วนะครับแต่ไม่แสดงออก

     

                    “นี่...”

     

                    “จำข้าไม่ได้หรือไง”

     

                    “จำได้จะถามมั้ย นี่ซีเรียส”

     

                    “แล้วถ้าแบบนี้ล่ะจำได้มั้ย” ข้าวของผมสีทองตรงหน้าเอื้อมมือมาแตะที่มุมปากซีวอนที่มีเลือดออกจากการกระทำควาย ๆ ของตัวเอง ก่อนจะกางมือออกตรงหน้าซีวอน ทันใดนั้นเลือดหยดเล็ก ๆ ก็จับตัวกันเป็นผลึกแหลมคมแบบเดียวกับที่ซีวอนเคยประสบพบเจอมา ร่างสูงอ้าปากข้างก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     

                    เดี๋ยวดิเดี๋ยว

     

                    “นาย..นายคือคนเมื่อวาน..”

     

                    “ใช่แล้ว”

     

                    “บ้าน่า..มันไม่น่าจะใช่...”

     

                    “เชื่อเถอะ..ข้าชื่อลีฮยอกแจ เป็นคนที่จะมาคุ้มกันท่านระหว่างที่ท่านครอบครองพลังแห่งราชัน”

     

    TO BE COUTINUE…

    NEXT ; CHAPTER 3 :: -

    เอ้า...ปรบมือสิครับรอเหี้ยอะไรอยู่

    *ปรบมือเป็นจังหวะสามช่า*
    +

    มีคำผิดบอกได้นะคะ พิมพ์เสร็จก็อัพเลยตรวจแค่รอบเดียวเอง
    เผื่อเบลอ ๆ เนอะ ขอบคุณค่า


     

                   

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×