คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท
ณ เมืองปลายฟ้า รัชสมัยของพระเจ้าเนตรสีเพลิง(กษัตริย์องค์ที่56) ประมาณพุทธศักราช 400
ท่ามกลางเปลวเพลิงและร่างกายที่ไร้ลมหายใจของเหล่าข้าราชบริพารในพระเจ้าเนตรสีเพลิง มีเพียงคนผู้หนึ่งเท่านั้นที่ยังสามารถมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าได้ มือของคนผู้นั้นกระชับดาบยาวในมือแน่น บนตัวดาบอาบไปด้วยโลหิตสดๆ บ่งบอกว่าผ่านการสังหารคนมามากมาย อีกมุมหนึ่งของห้องที่ดูเหมือนจะเคยเป็นท้องพระโรงขนาดกลางปรากฏร่างของชายวัยกลางคน ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่ชายคนแรก ริมฝีปากเม้มแน่น แสดงถึงความโกรธแค้นจนสุดบรรยาย
ชายคนแรกค่อยๆเดินผ่านกองศพเข้าไปหาอีกคนหนึ่ง ด้วยแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างพอดี จึงทำให้เห็นใบหน้าและดวงตาที่โดดเด่นของชายอีกคนชัดเจน ดวงตานั้นมีสีแดงดุจเพลิง ใบหน้าแม้เข้าสู่วัยกลางคนก็ยังดูคมคายแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้กลับมีสีหน้าแห่งความเคียดแค้น พระองค์คือพระเจ้าเนตรสีเพลิงแห่ง นครปลายฟ้า
ทันทีที่พระองค์เห็นชายอีกคนเดินเข้ามาจึงตวาดเสียงดังก้อง
“พ่อข้าชุบเลี้ยงเจ้ามา ไว้ใจเจ้า ให้เป็นถึงอัครมหาเสนบดี เหตุใดเจ้าจึงกระทำการชั่วช้าสังหารคนนับพัน ”
ชายอีกคนชะงักฝีเท้า รอยยิ้มยิ่งเด่นชัดบนใบหน้าตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่า
“เสด็จพ่อของพระองค์ เป็นเพียงคนโง่ ที่ไว้ใจข้า...กว่าสิบปีที่ข้าส่องสุมกำลังและคิดครอบครองบัลลังก์นั้น แต่ก็ไม่มีโอกาสจะได้ทำ จนกระทั่ง มันตายและทิ้งมงกุฎนั้นเอาไว้ให้เจ้า ......ผู้ซึ่งต้องเผชิญกับโรคร้ายที่มันส่งทอดมาให้”
เนตรสีแดงคู่นั้นแสดงอาการทั้งตกใจระคนหวาดกลัว แต่ก็เพียงชั่วครู่สักพักจึงแปรเปลี่ยนเป็นแววตาแห่งความเคียดแค้นดังเดิม
“เจ้ารู้.... นั่นคือเหตุผลที่เจ้าเลือกลงมือวันนี้สินะ บัดซบ!! เลวยิ่งกว่าสุนัข”
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งฟังพระองค์กล่าววาจาเยี่ยงนี้ก็ได้ เพียงข้าสะบัดข้อมือนิดเดียว หัวของพระองค์จักต้องหลุดจากบ่า และมงกุฎนั้นจะต้องเป็นของข้า”
“ไม่มีทาง! บัลลังก์ของเมืองปลายฟ้า ล้วนถูกครอบครองด้วยผู้สืบสายเลือดศักดิ์สิทธ์จากสวรรค์ ไม่มีทางที่คนอย่างเจ้าจะได้นั่งมันเด็ดขาด”
พระเจ้าเนตรสีเพลิงชักดาบสีเงินออกจากฝัก กระชับแน่นไว้ในหัตถ์ที่สั่นเทา ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวต่อบุคคลที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นเพราะโรคร้ายที่พระองค์กำลังเผชิญอยู่ ชายอีกคนพุ่งตัวเข้าใส่อย่างแรง ดาบยาวบนมือตวัดด้วยความเร็ว ดาบสีเงินของพระเจ้าเนตรสีเพลิงถูกฟันหักครึ่ง พริบตาปลายดาบยาวก็จ่ออยู่บนหน้าอกของพระเจ้าเนตรสีเพลิง
“ก่อนจะตาย ขอพระองค์โปรดบอกข้า ว่าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่รู้ ว่าเจ้าพูดถึงอะไร”
ปลายดาบถูกกดลงแน่น โลหิตสีแดงฉานๆค่อยๆไหลออกมาตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“เร็ว!! ก่อนที่มันจะปักทะลุหัวใจพระองค์”
“หยุด!!!” มีเสียงๆหนึ่งตวาดก้อง ไม่เพียงแค่เสียงมีเงาสีดำลอยข้ามห้องมายืนอยู่ข้างๆคนทั้งสอง เป็นผู้ชายชุดเขียวแต่งตัวแบบทหาร มือทั้งสองถือดาบที่สลักว่า ภักดีชั่วนิรันด์
“องครักษ์จิน” พระเจ้าเนตรสีเพลิงหันไปทางชายชุดเขียว ๆพยักหน้าเล็กน้อยก่อน ฟาดดาบทั้งสอบใส่ชายอีกคน แต่กลับฟันได้เพียงชายเสื้อคลุม
“ท่านสุยหยางตี้..ฝีมือของท่านไม่สามารถต่อกรกับข้าได้หรอก”
องครักษ์จินชี้ดาบไปที่สุยหยางตี้ ๆเผยอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ง้างดาบบนมือ พุ่งเข้าใส่คนทั้งสองเปิดฉากเริ่มการปะทะอีกรอบ
เสียงดาบกระทบกันดั่งสนั่น พระเจ้าเนตรสีเพลิงหลบฉากเข้าไปหลังบัลลังก์ใหญ่สีทอง พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในเสื้อ วางของสิ่งหนึ่งไว้ใต้ประตูกลหลังบัลลังก์ พระองค์ค่อยๆทรุดตัวลง ก้มลงมองรอยแผลที่โดนดาบยาวทิ่ม แม้โดนทิ่มเพียงเล็กน้อย แต่โลหิตกลับไหลไม่หยุดทั้งปากแผลยังเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าดาบนี้ต้องลงอาคมเอาไว้
ด้านคนทั้งสองที่สู้กัน ดาบคู่ขององครักษ์จินถูกฟันหักครึ่ง จึงต้องสู้ด้วยมือเปล่า ตามร่างกายเกิดรอยแผลมากมาย ส่วนสุยหยางตี้กลับไม่มีแม้แต่รอยข่วน
“เจ้า เล่นสกปรกนัก ดาบนี้ต้องอาคมดำ ส่วนตัวเจ้าก็ ...”
องครักษ์ไม่ทันได้พูดจบก็ทรุดตัวลง โลหิตสีดำไหลออกจากแผลตามร่างกาย ดวงตาเหลือกโพลง ร่างกายกระตุกเล็กน้อยก่อนจะสิ้นลมหายใจ สุยหยางตี้เตะร่างขององครักษ์กระเด็นไปชนบัลลังก์ข้างหน้า เสียงหัวเราะแหบๆดังลั่นไปทั่วท้องพระโรง พลางเดินไปหลังบัลลังก์
พระพักตร์ของพระเจ้าโลหิตสีเพลิง ขาวซีดราวกับคนตาย ก็คงไม่ผิด เพราะพระองค์เสียโลหิตมากเกินพระองค์จะทนไหวอีกต่อไป มีเพียงเสียงพูดแผ่วเบาเท่านั้นที่คงบ่งบอกว่าพระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่
สุยหยางตี้ เห็นอย่างนั้นจึงโยนดาบยาวทิ้งค่อยๆทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าพระเจ้าเนตรเพลิง ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆตั้งใจฟังสิ่งที่พระองค์พูด
“…..เจ้า....วัน....ได้ครอบครองบัล....ลังก์” ดวงตาสีแดงเพลิงเบิกโพลงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสีแดงจะค่อยๆเลือนหายไปจากดวงตา ร่างของพระองค์สลายกลายเป็นธุลีธาตุลงไม่เหลือแม้เพียงฉลองพระองค์ไว้ให้สุยหยางตี้ได้แตะต้องอีกต่อไป
สุยหยางตี้กัดริมฝีปากเนื่องด้วยตัวเองยังไม่ได้รู้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนเองประสบความสำเร็จในด้านหนึ่งไปแล้วจึงค่อยยันตัวขึ้นยืน เดินไปเบื้องหน้าบัลลังก์ สักพักมีทหารนับสิบคนวิ่งเข้ามาในท้องพระโรงแต่ละคนผูกผ้าสีม่วงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ สุยหยางตี้ ทหารคนหนึ่งรายงานว่า เหล่าข้าราชบริพารนางกำนัลรวมถึงพระสนมพระมเหสีเชื้อพระวงศ์ในพระเจ้าเนตรสีเพลิง ตายหมดสิ้นแล้วทุกคน คำรายงานนี้ทำให้สุยหยางตี้ยิ่งหัวเราะชอบใจ หัวเราะด้วยเสียงแหบพร่าดังลั่น ก่อนจะชะงัก ด้วยทหารคนเดิมรายงานว่า มีทหารหลวงคนหนึ่งพาคนสวมเสื้อคลุมสีดำหนีออกไปได้ก่อนการกบฏจะเกิดขึ้น และไม่ทราบว่าคนในเสื้อคลุมนั้นคือใคร สุยหยางตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้ทหารตรวจสอบทุกศพให้แน่ใจว่าคนในราชวงศ์ตายหมดสิ้นแล้ว
นางกำนัลชุดม่วงคนหนึ่งเดินถือเสื้อคลุมสีทองปักลายมังกร อันเป็นฉลองพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ส่งให้สุยหยางตี้ๆรับเอาไว้แล้วสวมทันที
“ทหาร!!ทำความเคารพ พระราชาองค์ใหม่ของพวกเรา!!!”
สิ้นคำของทหารนายหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำ ทหารทุกคนคุกเข่าคารวะสุยหยางตี้ๆ ยิ้มกระหย่องพลางเดินไปข้างหน้าหมายจะนั่งบนบัลลังก์ ฉับพลันก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง พื้นดินรอบๆบัลลังก์แยกออกลงไปเป็นหลุมลึกมองไม่ข้างล่าง เสาค้ำท้องพระโรงก็เกิดรอยร้าว เศษอิฐและปูนหล่นกราวลงบนพื้น สิ่งก่อสร้างกำลังจะพังลงมา สร้างความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวกับทุกๆคนที่อยู่ในที่แห่งนี้
สุยหยางตี้กัดริมฝีปากแน่น ดวงตายังมองไปที่บัลลังก์เบื้องหน้าด้วยความอาลัยอาวรณ์ สิ่งที่ตนต้องการอยู่ข้างหน้านี้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถจะครอบครองได้
พสุธายังคงสั่นไม่หยุดทั้งยังทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ทหารต้องพาตัวสุยหยางตี้ออกจากท้องพระโรงโดยด่วน
อัครมหาเสนาบดี สุยหยางตี้ ผู้ที่หวังจะขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองปลายฟ้ากลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่ฟ้าดินที่ไม่เป็นใจมอบบัลลังก์นั้นให้ ฤ นี่จะเป็นคำสาปของราชวงศ์พิสุทธิ์นภาที่สืบทอดกันมานานถึงพันปี
**********************************************************************************
/>
2-3วันต่อมา ณ เมืองปลายฟ้า
หลังจากข่าวพระเจ้าเนตรสีเพลิงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคบางอย่างรั่วไหลออกนอกวังหลวง มีข่าวลือสองอย่างที่ชาวบ้านต่างร่ำลือกันไป หนึ่ง คือเรื่องพระราชาที่จะขึ้นครองราชย์เป็นองค์ถัดไป สอง คือเรื่องสาเหตุการสิ้นพระชนม์ที่แน่ชัดของพระเจ้าเนตรสีเพลิงบ้างก็ว่าเป็นโรคไข้ทรพิษ บ้างก็ว่าไหลตาย แต่หากหมู่บ้านใดร่ำลือว่า มีการก่อกบฏ หมู่บ้านนั้นจะโดนเหล่าทหารจับขุมขังไว้ทั้งหมด
แผนของสุยหยางตี้สำเร็จผลทุกประการ เนื่องด้วยคิดการณ์มาหลายปี หลังจากก่อกบฎแล้วก็ให้เจ้ากรมกลาโหมสั่งการไปยังทหารปิดวังหลวงหนูตัวเดียวก็เล็ดรอดเข้าหรือออกไปไม่ได้ ทั้งยังจัดการกับข่าวลือเรื่องกบฏชนิดที่ว่าแทบไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดถึง
วันนี้นับว่าเป็นวันมหามงคลที่ทางการติดประกาศว่าจะมีพระราชทูตเดินทางมาจาก ตมะคูหา
“วันนี้จะมีราชทูตเดินทางมาจากตมะคูหางั้นหรือ....เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ประเทศของเราติดต่อกับตมะคูหาสนิทสนมถึงปานนี้”
คนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้น เพราะหมวกและผ้าคลุมทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ข้างๆเป็นชายหนุ่มแต่งกายแบบทหารแต่สวมหมวกปิดบังใบหน้าเอาไว้
“องค์...ขออภัย คุณชาย เรารีบเดินทางกันเถิด”
“เราเฝ้าสังเกตการณ์ในเมือง มาถึงสามวัน กลับไม่มีข่าวคราวในวังเลย แสดงว่าพี่น้องพ่อและแม่ของเราล้วนตายกันหมดแล้ว”
“ถอยไป!!นี่เป็นขบวนเสด็จของพระราชทูตจาก ตมะคูหา ถอย!!”
ขบวนรถม้านับสิบตัวค่อยๆเดินผ่านชาวเมืองไปช้าๆ เหมือนจะให้ชมความงดงามของขบวนเสด็จนี้ ม้าแต่ละตัวตกแต่งด้วยทองคำที่หัวและผ้าแพรชั้นดีที่อานหลัง เหล่าผู้นำเสด็จก็แต่งกายด้วยทองคำประดับพลอยสีต่างๆมากมาย ลวดลายล้วนแปลกตาสำหรับชาวเมืองปลายฟ้า
สำหรับเกี้ยวเสด็จนั้นยิ่งตระการตา ด้วยตัวเกี้ยวทำจากแร่สีเงินฉาบทาด้วยสุวรรณธาตุ วิสูตรก็ร้อยด้วยอัญมณีหลากสีทอเป็นตาข่ายห่างๆพอให้เห็นคนที่อยู่บนเกี้ยวได้
คนในชุดคลุมสีดำมองผ่านวิสูตรเข้าไปข้างใน เผอิญได้สบตากับผู้ที่อยู่ในเกี้ยวพอดี แต่แทนที่คนในชุดคลุมสีดำจะตกใจ ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวกลับมีท่าทีตกใจมากกว่า
ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านคนทั้งสองไปจนลับตา คนทั้งคู่จึงเดินทางออกนอกเมือง
วังหลวง เมืองปลายฟ้า เที่ยงวัน
ดวงตะวันแผ่รัศมีเจิดจ้าอยู่เหนือตำหนักน้อยในวังหลวง ขณะนี้ในวังมีการเตรียมรับเสด็จพระราชทูตจาก ตมะคูหา การตกแต่งในวังไม่ได้ใหญ่โต มีเพียงธงทิวประดับเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ทั้งสุยหยางตี้เองก็ออกรับพระราชทูตในฐานะ ผู้สำเร็จราชการ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าครองเมือง
เหล่าขุนนางบางส่วนที่เหลือรอดและข้าราชบริพารของสุยหยางตี้ ต่างก็เดินทางมาร่วมงาน
เสียงแตรค้อนและสังข์ดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ขบวนเสด็จมาถึงแล้ว ประตูตำหนักน้อยเปิดออกต้อนรับ ภาพของขบวนม้าสีทอง ปรากฏแก่สายตาขุนนางและข้าราชบริพาร
สุยหยางตี้ที่ลุกขึ้นต้อนรับขบวนเสด็จก็ยังทึ่งในความอลังการของขบวน พลางคิดในใจว่า แค่พาหนะเดินทางยังขนาดนี้ การเป็นอยู่ในวังของตมะคูหา จะขนาดไหน
เกี้ยวประทับถูกวางลงอย่างระมัดระวังที่สุด ไม่ช้าประตูเกี้ยวก็เปิดออก
“นี่คือ เจ้าหญิงแห่งกุหลาบพันดอก ธิดาในสมเด็จราชาอูกูและพระมเหสีปาราวตีแห่งตมะนคร พระราชทูตแห่งเมืองปลายฟ้า”
ภาพของหญิงสาววัยแรกรุ่นในอาภรณ์สีแดงสด สวมศิราภรณ์ทองคำทรงสูงยอดเป็นรูปดอกกุหลาบบาน ผมยาวสีดำขลับตัดกับริมฝีปากอิ่มเอิบสีแดง คิ้วบางถูกกันได้รูป จัดเป็นหญิงงามเมืองทีเดียว
เจ้าหญิงแห่งกุหลาบพันดอก ดำเนินช้าๆผ่านพรมสีกุหลาบที่ปูบนพื้น ไปหยุดอยู่หน้าเก้าอี้สีทองที่สุยหยางตี้ยืนอยู่
“ท่านอัครมหาเสนาบดี พระยุพเรศฝากข้ามาแสดงความยินดีที่ท่านจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ในไม่ช้าทั้งยังนำของกำนัลมาให้ท่านด้วย”
ผู้ตามเสด็จนางหนึ่ง น่าจะเป็นนางกำนัลนำม้วนกระดาษซึ่งบรรจุอยู่ในแท่งยาวสีทอง มายื่นให้สุยหยางตี้
สุยหยางตี้รับไว้เตรียมทำท่าจะเก็บเข้าในอกเสื้อก็โดนเจ้าหญิงขัดว่า “เป็นราชโองการ” จึงจำต้องคลี่ออกอ่านในทันที
“ยุพเรศต้องการให้ข้าพระองค์อภิเษก กับองค์หญิงกระนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” น้ำเสียงขององค์หญิงฟังดูราบเรียบแต่ถือตัว
เหล่าข้าราชสำนักพอทราบว่า ว่าที่พระราชาองค์ใหม่จะได้อภิเษกกับองค์หญิงแห่งตมะคูหาต่างก็กล่าวแสดงความสรรเสริญยินดี สุยหยางตี้ไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไรจึงวางหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น
เหตุเพราะที่สุยหยางตี้ติดต่อกับตมะคูหาเพื่อต้องการยืมกำลังมาใช้ในการก่อกบฏ จึงเสมือนกับว่าสวามิภักดิ์ให้กับตมะคูหาโดยทางอ้อม ลึกๆแล้วสุยหยางตี้ก็วิตกว่าการที่ตนต้องมีมเหสีเป็นชาวตมะคูหาจะเป็นการเสียเปรียบต่อยุพเรศรึเปล่า แต่ก็จำต้องตัดความคิดนี้ทิ้งไปก่อน เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาของการวิตกกังวลโดยใช่เหตุ ทว่าเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและเตรียมความพร้อมสำหรับการ ราชาภิเษก ในอีก1เดือนข้างหน้า
******************************************************************************
ความคิดเห็น