คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : sweet kiss 1
ร่างบางได้แต่นั่งถอนหายใจเมื่อยามที่เครื่องสำอางถูกแต่งแต้มบนใบหน้าสวยหวานราวกับผู้หญิงดวงตากลมโตเข้ากับใบหน้าเรียวเล็กที่ล้อมกรอบด้วยผมสีบลอนซ์ทองขับให้ใบหน้าดูขาวใสมากยิ่งขึ้นไล่ลงมาที่จมูกโด่งรั้น รวมถึงริมฝีปากบางสีแดงสดธรรมชาติที่มีเสน่ห์จนทำให้ใครที่ได้มองต่างพากันหลงใหล ใบหน้าที่สวยหวานตอนนี้กำลังนั่งขมวดคิ้ว ริมฝีปากก็ยู่เข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์
"คุณลู่หานคะอย่าทำหน้าบึ้งแบบนั้นสิคะ"
"ก็ผมไม่อยากแต่งนี่"
เสียงเล็กตอบออกไปอย่างหงุดหงิดเขาเป็นผู้ชายนะถึงแม้ว่าเขาจะมีใบหน้าที่เหมือนผู้หญิงแต่มาถูกจับให้แต่งตัวเป็นผู้หญิงแบบนี้เขาไม่ชอบเลย ถ้าไม่ใช่คำสั่งของผู้เป็นพ่อ เขาจะไม่ยอมมานั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้คนมาจับโน่นแต่งนี่ให้หรอก
"แต่วันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณนะคะยังไงก็ต้องแต่งค่ะ"
"เฮ้อ"
เสียงถอนหายใจรอบที่ร้อยของวันดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะยอมนั่งนิ่งๆให้ช่างแต่งหน้าและทำผมให้ตัวเองต่อพลางนึกย้อนถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถาพแบบนี้
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วลู่หานกลับมาจากงานเลี้ยงฉลองวันเรียนจบเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม พอเข้ามาในตัวบ้านก็เจอกับผู้เป็นพ่อที่นั่งทำหน้านิ่งอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก
'นั่งลงก่อนสิ'
'มีอะไรหรือเปล่าฮะ'
ลู่หานขมวดคิ้วสงสัย รู้สึกแปลกๆที่วันนี้พ่อของตัวเองมานั่งรอตนที่ห้องรับแขกเพราะปกติเวลานี้ท่านจะอยู่ในห้องทำงาน แล้วไหนจะหน้าเครียดๆนั่นอีก
'พ่อมีเรื่องอยากให้ช่วย'
น้ำเสียงที่ดูจริงจังบวกกับใบหน้าที่เคร่งเครียดทำให้ลู่หานยิ่งเป็นกังวล ท่าทางแบบนี้ลู่หานเคยเห็นแต่ตอนที่ท่านเครียดเวลางานเท่านั้น แต่เวลาที่อยู่กับตนเพียงลำพังท่านจะยิ้มแย้มตลอด แสดงว่าต้องมีเรื่องไม่สบายใจจริงๆ
'ทำหน้าเครียดแบบนี้เดี๋ยวแก่เร็วนะ'
ลู่หานเอ่ยแซวหวังจะให้พ่อของตนเลิกทำหน้าเครียด แต่ท่านก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆจนเหมือนเป็นการฝืนยิ้มมากกว่า มันมีเรื่องที่ต้องเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ
'พ่อจะให้ลูกแต่งงานกับลูกชายของตระกูลอู๋'
'O.O!'
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างจริงจังไม่มีการล้อเล่นแต่อย่างใด ลู่หานจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าเขาจะตกใจกับเรื่องที่พ่อของเขาบอกแต่ด้วยนิสัยที่ไม่ใช่คนขี้โวยวาย จึงได้แต่นิ่งเงียบโดยไม่โต้เถียงใดๆเพราะลู่หานเชื่อว่าพ่อของเขามีเหตุผลที่มากพอก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรต้องผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบครอบแล้ว และถ้าเขาเดาไม่ผิดเหตุผลของการแต่งงานคงหนีไม่พ้นเรื่องของธุรกิจ
'พ่อรู้ว่าลูกลำบากใจ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับธุรกิจ หวังว่าลูกจะเข้าใจ'
เรื่องที่ได้ยินเป็นดั่งที่ลู่หานคาดเดาไว้ เพราะเขาได้ยินมาแว่วๆเหมือนกันว่าพ่อของเขามีแผนจะไปลงทุนทำธุรกิจที่ประเทศจีน คนที่จะมาแต่งงานกับลู่หานแน่นอนว่าจะต้องเป็นคนในตระกูลที่ต้องทำธุรกิจร่วมกัน และตระกูลที่ว่าก็คือตระกูลอู๋ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ทั้งในเกาหลีและก็ในจีน ซึ่งลู่หานไม่เคยได้เจอตัวจริงของลูกชายตระกูลอู๋เลยเขาเคยเห็นแต่ในทีวีเวลาที่เปิดดูข่าวในแวดวงธุรกิจ
'งานแต่งจะจัดขึ้นภายในเดือนนี้ เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ ความจริงพ่อได้ให้เราหมั้นกับฝ่ายนั้นตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่พ่อต้องการให้ลูกสนใจแค่เรื่องเรียนจึงไม่ได้บอกจนกว่าลูกจะเรียนจบ ฝ่ายนั้นเขาก็เห็นด้วย'
หมั้นเหรอ หมั้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวเนี่ยนะ พ่อทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ ลู่หานไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย พอรู้อีกทีก็เป็นวันที่ต้องแต่งงานไม่ใช่แค่หมั้น ลู่หานตัวแข็งทื่ออยู่ในสถานการณ์ที่โต้แย้งอะไรไม่ได้ คำพูดของพ่อเป็นดั่งประกาศิตที่ไม่สามารถคัดค้านได้เลย เขารู้จักนิสัยพ่อของเขาดี ถ้าท่านตัดสินใจทำอะไรไปแล้วคงยากที่จะหาข้ออ้างมาขัดแย้งได้ แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะแต่งงานแต่เมื่อเป็นคำสั่งของผู้เป็นพ่อเขาก็ต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
"ลู่หานๆ เสี่ยวลู่"
เสียงแหลมๆพร้อมกับแรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ลู่หานหลุดจากห้วงความคิดและหันไปมองร่าางเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มที่สะกิดตนเมื่อกี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพยอนแบคฮยอนเพื่อนสนิทของเขา พอมองดูรอบๆห้องก็พบว่าช่างแต่งหน้าและช่างทำผมได้ออกจากห้องไปแล้ว
"เสียงดังทำไมเนี่ย แบคฮยอน"
"ฉันเรียกตั้งนานแล้วแต่นายไม่ได้ยิน เอาแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ คิดอะไรอยู่เหรอ"
"เปล่า"
"แน่นะ"แบคฮยอนเหล่ตามองอย่างจับผิด เขารู้ว่าลู่หานกำลังไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อยากจะซักไซร้ให้มากความ ถ้าเจ้าตัวอยากบอกก็คงจะบอกเอง เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีดูแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าลู่หานมีเรื่องกลุ้มใจอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นเรื่องแต่งงานนี่แหละปกติลู่หานเป็นคนที่ร่าเริงสดใสแต่ในระยะสองอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากที่รู้ว่าตัวเองจะได้แต่งงานก็ชอบนั่งเหม่อเป็นประจำ เขาชวนลู่หานออกไปเที่ยวแต่ก็เหมือนไปแต่ตัวไม่ได้เอาวิญญาณไปด้วยเห็นท่าทางของเพื่อนแบบนี้แบคฮยอนเองก็สงสารแต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง เบื้องบนสั่งมาแบบนั้นคงขัดคำสั่งไม่ได้
"ไม่มีอะไรหรอก ฉันคิดอะไรเพลินๆน่ะ"ว่าแล้วสีหน้าก็หม่นลงไปอีกจนแบคฮยอนทนไม่ไหว ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เขาก็อยากให้ลู่หานพูดออกมาไม่ใช่เก็บเงียบไว้คนเดียวแบบนี้
"ลู่หาน ฉันรู้นะว่านายกลุ้มใจเรื่องแต่งงาน ฉันเป็นเพื่อนของนายนะมีอะไรก็บอกฉันสิ เห็นนายเงียบแล้วก็เอาแต่เหม่อลอยแบบนี้ฉันก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย"แบคฮยอนระบายออกมาอย่างอัดอั้น เขาเคยถามลู่หานหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานแต่เจ้าตัวก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกนะ แต่ท่าทีของลู่หานที่แสดงออกมามันทำให้เขาเชื่อไม่ลง
"แบคฮยอน ฮึกๆๆ"น้ำตาที่ลู่หานพยายามกลั้นเอาไว้ไหลออกมาอย่างง่ายดายเมื่อได้ยินคำพูดของแบคฮยอน ก่อนจะโผลเข้ากอดแบคฮยอนแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
"ฉันขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะแบคฮยอน ฉันแค่ไม่อยากให้นายไม่สบายใจเพราะเรื่องของฉัน"
"ฉันพร้อมจะฟังนายเสมอ"แบคฮยอนดันไหล่ของลู่หานออกแล้วจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาก่อนที่จะเช็ดมันออกไปอย่างเบามือ ยิ่งแบคฮยอนทำแบบนี้ลู่หานก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องเป็นห่วง
"พ่อของฉันบอกให้ฉันลองเปิดใจให้คริส ลองศึกษาดูใจเขาดู แล้วรู้ไหมว่าตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันเจอหน้าเขาแค่สามครั้ง แต่แค่สามครั้งมันก็ทำให้ฉันรู้ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางที่จะรักเขาได้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันไม่มีทางที่เราจะรักกันได้ คริสเขาดูเป็นคนปิดกั้นตัวเองจนฉันไม่กล้าที่จะคุยกับเขา ถ้าแต่งงานกันไปแล้วมันจะมีความสุขเหรอ คนเราจะอยู่ด้วยกันได้มันต้องมีพื้นฐานของความรัก แต่สำหรับฉันกับคริสแค่ความเป็นเพื่อนยังเป็นไปได้ยากเลย ฉันไม่อยากแต่งแล้วอ่ะแบคฮยอน"
เรื่องที่ลู่หานระบายออกมามันทำให้แบคฮยอนเข้าใจทันทีว่าทำไมลู่หานถึงอึดอัดใจได้มากขนาดนี้ แบคฮยอนก็พอจะรู้จักคริสอยู่บ้างเพราะแม่ของเขาชอบพร่ำเพ้อถึงสรรพคุณของคริสแล้วก็ชอบเอารูปคริสในนิตยาสารต่างๆมาให้เขาดู บอกว่าดีอย่างงั้นดีอย่างนี้ แต่เท่าที่เขาฟังลู่หานพูดมาแล้วเขารู้สึกว่าคริสเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้เลย
"ใจเย็นๆนะลู่หาน ฉันว่าบางทีคริสอาจจะยังไม่ชิน แต่พออยู่ด้วยกันไปนานๆเขาอาจจะดีขึ้นก็ได้"
"ไม่หรอก"ลู่หานพูดออกมาพร้อมกับเบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกรอบจนแบคฮยอนต้องห้ามเอาไว้ ไม่มีทางหรอกมันไม่มีทางดีขึ้นกว่านี้เพราะการแสดงออกของคริสมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่อยากอยู่ใกล้เขา
"ฉันก็ไม่รู้จะช่วยนายยังไงดี เฮ้อ ไม่ร้องไห้แล้วนะถ้านายร้องฉันจะร้องตาม"
แบคฮยอนเช็ดคราบน้ำตาออกจากหน้าลู่หานจนหมดแล้วเติมเครื่องสำอางลงไปใหม่ เห็นตาบวมๆของลู่หานแล้วเขาก็อดที่จะขำไม่ได้ ตอนร้องไห้นี่เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิดเลย
"ขำอะไรแบคฮยอน"
"ก็ขำหน้านายนะสิ ฮ่ะฮ่ะ ตลกชะมัด"
"ฉันเครียดอยู่นะ"
ถึงลู่หานจะพูดแบบนั้นแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าตัวก็ทำให้แบคฮยอนสบายใจขึ้นมานิดนึง
"ฉันเชื่อว่าคนดีๆแบบนายจะต้องเจอแต่เรื่องดีๆ"
"ขอบใจนะแบคฮยอน"
ไม่ว่าลู่หานจะเคยมีเรื่องทุกข์ใจแค่ไหนพอเล่าให้แบคฮยอนฟังเขาก็จะรู้สึกสบายใจทุกครั้งแบคฮยอนคือคนที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ เหมือนกับตอนนี้ที่พอเล่าเรื่องที่ติดอยู่ในใจให้แบคฮยอนฟังเขาก็รู้สึกโล่งใจ และเขาก็เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นอย่างที่แบคฮยอนบอกกับเขา
(Luhan says)
แบคฮยอนเดินมาส่งผมให้กับคริสที่ยืนเด่นอยู่หน้าแท่นพิธี วันนี้คริสใส่สูทสีขาวยิ่งส่งผลให้เขาดูดีขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรกก็คิดว่าเขาดูดีแล้วแต่พอมาเจอวันนี้ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีกเหมือนพระเอกนิยายที่หลุดออกมาจากนิยายหลายๆเรื่องที่ผมชอบอ่าน
"ได้เวลาแล้วขอเชิญคู่บ่าวสาวมายืนตรงนี้ด้วยครับ"
เสียงพิธีกรของงานเรียกผมและคริสให้ไปยืนตรงแท่นพีธีซึ่งมีบาทหลวงรออยู่เมื่อได้เวลาบาทหลวงก็พูดอวยพรแก่คู่บ่าวสาวจนถึงช่วงเวลาสำคัญที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องจูบกันเพื่อเป็นสัญญาในการครองรักกัน และก็เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจบพิธี
"เชิญเจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้"สิ้นเสียงของบาทหลวงคริสก็ก้มหน้าลงมาใกล้ผมเรื่อยๆจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา ผมได้แต่หลับตาปี๋อย่างกลัวๆ ไม่เอานะผมยังไม่พร้อม
ตึก ตัก ตึก ตัก
"กลัวขนาดนี้เลยเหรอ"เสียงนุ่มทุ้มกระซิบถามผมเหมือนจะรู้ว่าผมกลัว
"ปะ ..เปล่า"ผมตอบกลับเสียงสั่น มือก็เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
"เฮ้อ นายนี่นะ"เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับที่ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม
จุ๊บ
"///"ผมลืมตาทันทีที่คริสผละใบหน้าออก ดีนะที่เขาทำแค่หอมแก้มผม ถ้าโดนจูบจริงๆคงเป็นลมไปแล้วแน่ๆ ถึงจะไม่ได้รักกันแต่ผมก็รู้สึกประหม่าได้ ก็ตลอด22ปีที่เกิดมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลยนี่นา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนผู้ชายหอมแก้ม
"ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกจูบจริงๆหรอก"โดนแซวแบบนี้ทำให้ผมอดที่จะหน้าแดงไม่ได้ ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้คริสดูผ่อนคลายมากกว่าวันก่อนๆที่ผมเจอ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่แบคฮยอนบอกกับผมก็ได้ ว่าคริสอาจจะยังไม่ชินก็เลยทำตัวไม่ถูก เรื่องมันเริ่มดีขึ้นอย่างที่แบคฮยอนบอกกับผมจริงๆด้วย
"เอาล่ะครับ เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว ขอเชิญทั้งคู่บ่าวสาวลงไปพักผ่อนได้แล้วครับ ขอให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านสนุกกับงานในวันนี้นะครับ"เสียงพิธีกรพูดจบคริสก็จูงมือผมลงจากเวที แล้วพาไปทักทายแขกภายในงาน
"นายดูเหนื่อยๆนะ ไปพักผ่อนก่อนเถอะเดี๋ยวฉันรับแขกเอง"ร่างสูงเอ่ยอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นผมหน้าซีดๆ
"จะดีเหรอ"ปล่อยให้เขารับแขกคนเดียวมันจะดูน่าเกลียดไปหรือเปล่านะแต่ผมก็รู้สึกเพลียๆคงเป็นเพราะผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า
"ดีสิ เดี๋ยวนายเป็นลมแล้วจะยิ่งแย่"คริสยืนยันหนักแน่น
"ก็ได้ งั้นฉันไปล่ะ"ผมบอกคริสก่อนที่จะหันหลังให้เขาแล้วเดินเข้าไปพักผ่อนในบ้านอย่างที่เขาบอก
ตลอดทางที่ผมเดินจากสวนหย่อมบริเวณที่จัดงานแต่งจะเข้าไปในตัวบ้านผมรู้สึกเหมือนมีคนตามผมมาแต่พอหันไปมองหลายครั้งก็ไม่เจออะไร
"คิดมากไปหรือเปล่าเรา"ผมพยายามไม่คิดมากแล้วรีบเดินต่อ
ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงเหมือนฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆทำให้ผมแน่ใจว่ามีคนตามผมแน่ๆผมจึงเปลี่ยนจากเดิน
เป็นวิ่งแทน แต่....
อุบ
"อื้อๆๆ"จู่ๆก็มีมือปริศนายื่นผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูกผมไว้ ผมพยายามขัดขืนเต็มที่แต่เหมือนเรียวแรงของผมจะมีไม่มากพอเพราะผมไม่สามารถทำอะไรบุคคลปริศนานี้ได้เลย ผมรู้สึกเหมือนสติของตัวเองกำลังจะหายไป
"คนนี้สินะเสี่ยวลู่หาน"เสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นพร้อมกับที่สติของผมที่ดับวูบไป
.............................................................................
เป็นฟิคเรื่องแรก เราแต่งเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
ฝากติดตามด้วยนะคะ จุ๊บๆ////
hunhan forever
...........................................................................
ก่อนอื่นเราต้องขอโทษคนที่อ่านไปแล้วนะคะ
เรามาย้อนอ่านแล้วมันรู้สึกแปลกๆ
ก็เลยแก้ไขอ่ะค่ะ
อย่าว่ากันนะ เราขอโทษ
ปล.อันที่แก้ใหม่อาจจะแปลกยิ่งกว่าเดิม
ความคิดเห็น