ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลังม่านราตรี [จบ] [E-BOOK]

    ลำดับตอนที่ #2 : ✥ Monochome ✥ 01 ✥ คำทักท้วง ✓

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.63K
      322
      24 ม.ค. 67


    คำเตือน อย่าอ่านตอนกลางคืน
    เพราะมัน มืด!

    ✥ EP.01✥  


    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!

    เสียงกรีดร้องน่าสะพรึงหวีดดังลั่นรถ ทำเอาผู้คนรอบข้างพากันสะดุ้งโหยงขวัญหนีดีฟ่อ อุทานตาเถนหกตาเถนแหก นู่นนี่นั่นตกแตกตามกันเป็นแถวๆ แม้แต่ลุงคนขับยังเผลอกระตุกเบรกดังกึก!

    เอี๊ยด!! โป๊ก!!

    ยี่หวาหน้าทิ่ม! หัวกระแทกเบาะคนนั่งด้านหน้าดังโป๊ก!

    เธอสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา ลูบหัวตัวเองปอยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเหนื่อยหอบ ใจเต้นรัวเร็วราวกับวิ่งหนีสงครามโลกมาหลายกิโลเมตร หลังจากตั้งสติเพราะความเจ็บที่หัวกระตุ้น นัยน์ตาหวานเหลือบหันไปมองโดยรอบ พบว่าตอนนี้ตัวเองยังอยู่บนรถเมล์โดยสาร ไม่มีหัวศพเน่าน่าสะพรึงนั่นแล้ว ท้องไส้ก็ไม่ได้โตผิดปกติ ทุกอย่างอยู่ในภาวะเดิม เธอยังนั่งแห้งอยู่บนรถเมล์  และมันก็แค่ฝันไปเท่านั้น

    แต่รู้สึกว่าที่มันไม่ปกติ คือสายตาพิฆาตหลายคู่ของผู้โดยสารร่วมรถที่กำลังจ้องมาพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือใครบางคนก็วางทาบบนหัวไหล่ เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามอง เห็นว่าเป็นป้ากระเป๋ารถเมล์ที่เข้ามาทัก

    “เป็นอะไรนังหนู กรี๊ดซะลั่นรถ”

    ยี่หวายิ้มเห่ย ทำหน้าเซ่อพักใหญ่ ไม่นานก็เข้าใจในความผิดของตัวเอง

    “หนูฝันร้ายนิดหน่อยค่ะ แหะๆ”

    “ฝันร้าย? หลับบนรถ แถมแดดจ้าเผาหน้าแทบไหม้แบบนี้ยังจะหลับฝันร้ายได้อีกเรอะ”  ป้าแกแซะเบาๆ

    แต่จริงของแก โดยปกติแล้ว คนเราต่อให้เหนื่อยหรืออ่อนล้าแค่ไหน การหลับบนรถที่กำลังวิ่งบนถนน เราไม่สามารถหลับลึกจนเกิดภาพฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะบนรถเมล์เก่าๆ ที่แสนจะแออัด แถมแสงแดดยามบ่ายที่ส่องทะลุเข้ามาทางหน้าต่างยังเผาผิวให้แสบไปครึ่งหน้า อย่างดีก็งีบได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เสียงความวุ่นวาย รถราและผู้คนจะปลุกให้เรารู้สึกตัวเป็นระยะ ต่อให้หลับก็หลับได้ไม่เต็มที่ นี่คือข้อเท็จจริง

    แต่ที่ยี่หวาฝันไปนั้น เธอรู้สึกค่อนข้างนานมาก นานจนเหมือนไม่ใช่ฝัน นานจนรู้สึกกลัว ขนาดเป็นคนจิตแข็งเธอยังอดผวาไม่ได้เลย ภาพศพนั่นยังคงติดในหัว ไหนจะเสียงหัวเราะและคำพูดของมันอีก

    ตาย! มึงต้องตาย!’

    ไม่ตายดี! กูเจอมึงแล้ว!’

    มาอยู่กับกู!!’

    ฟังดูแล้วเหมือนถูกตามจองล้างจองผลาญ แต่จะเอาอะไรมากกับอีแค่ความฝัน

    ยี่หวาคิดว่าเธอไม่เคยไปทำอะไรให้ใคร ไม่เคยไปฆ่าใครตายให้ผีมาทวงแค้นเหมือนในหนังหรือนิยาย ฝันก็คือฝันนั่นล่ะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอฝันเห็นผี  ถ้าโลกนี้ทุกอย่างเป็นจริงเหมือนฝันซะหมด ชาตินี้คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว

    อีกอย่าง..ผีน่ะมีจริงซะที่ไหน มันก็คือจิตที่ปรุงแต่งเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผีในความคิดเด็กสายวิทยาศาสตร์อย่างเธอ มันก็แค่ความฟุ้งซ่านที่เกิดจากสมองทำงานหนักเท่านั้นเอง

    “บางทีหนูอาจจะเหนื่อยมากเกินไป”

    “เออๆ เอาเถอะๆ ตอนแรกข้าก็นึกว่าผีเข้า เขาเงียบกันมาตั้งนานสองนาน จู่ ๆ เอ็งก็ร้องขึ้นมาเสียงหลง ใครบ้างจะไม่ตกใจ เนี่ย! พากันสะดุ้งโหยงไปหมด”

    “ขะ ขอโทษค่ะ”

    “ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว สงสัยจะดูหนังผีมากไปสิท่า หนังผี เรื่องเล่าผีเนี่ยดูพอประมาณก็พอ ดูเยอะเสพเยอะเดี๋ยวก็เก็บไปฝันอีก”

    ป้ากระเป๋ารถเมล์ชี้มาที่หน้าจอมือถือก่อนจะเดินไปเก็บตั๋วคนขึ้นมาใหม่ ยี่หวาหันไปขอโทษทุกคนอีกครั้งที่ทำให้ตกใจ ก่อนจะก้มมองในมือถือตัวเอง พบว่ามันเป็นคลิปหนังสยองขวัญจริง ๆ กำลังผีขาดครึ่งท่อนคลานออกมาไล่ล่าเหมือนที่ฝันเป๊ะเลย

    ให้ตาย! ก็ว่าอยู่ว่าทำไมยังได้ยินเสียงหัวเราะหลอนๆ แว่วเข้ามาในหัว ที่แท้ก็ออกมาจากหูฟังนี่เอง

    ยี่หวาได้แต่ระบายลมหายใจ เสพมากไปก็เก็บเอาไปฝัน เธอกดเลื่อนไปหาเพลงฟังต่อ แม้จะชอบดูชอบฟังเรื่องแบบนี้ แต่คลิปหนังผีเมื่อครู่เธอไม่ได้ตั้งใจดูหรอก  ตอนแรกแค่ฟังเพลงในยูทูปเฉยๆ มันก็แค่รันไปเจอตอนเธอเผลองีบหลับไปเท่านั้น เสียงที่กรอกผ่านหูฟังเข้ามาในสมอง ส่งผลให้เกิดความหลอนจนเก็บไปฝันก็ไม่แปลก

    เห็นไหมว่าทุกอย่างมันมีมูลเหตุ หากไม่ใช่เพราะสมองกำลังประมวลข้อมูลที่ได้รับตอนหลับ เธอก็คงไม่ฝันหรอก

    .

    .

    หลังจากนั่งมาอีกสักพักใหญ่ รถก็เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบท่า ยี่หวาเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่คุ้นชินกับสถานที่ในกรุงเทพ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเดินทางมา แถมยังมาคนเดียวเลยค่อนข้างจะงงๆ

    รถเมล์หมดระยะ ผู้คนต่างพากันทยอยลงจากรถจนหมด เหลือยี่หวาคนสุดท้ายที่ยังนั่งโง่ๆ ไม่แน่ใจ ในเน็ตบอกให้ลงที่อนุสาวรีย์แต่ที่นี่มันไม่ใช่  ป้ากระเป๋ารถเมล์คนเดิมเห็นเธอเก้ ๆ กังๆ เลยเข้ามาช่วยเหลือ

    “รถหมดระยะแล้วนังหนู รถไม่ได้ไปต่อแล้ว”

    “ไม่ได้ไปอนุสาวรีย์เหรอคะ?

    “โอย..อนุฯ เขาเลิกให้ตั้งขนส่งนานแล้ว  รัฐบาลเขาอยากจะจัดระเบียบเมืองใหม่ พวกรถโดยสารเลยพากันย้ายมาหมอชิตนี่ล่ะ เอ็งจะไปไหนล่ะ”

    “ไปรัชดาค่ะป้า หนูเพิ่งเข้ากรุงเทพครั้งแรก มาเรียนน่ะค่ะ ก็เลยงงๆ”

    “อ่อ..เนี่ย เดี๋ยวเอ็งเดินข้ามสะพานไปอีกฟาก ขึ้นรถเมล์สาย 22 136 ไม่ก็ 138 ก็ไปรัชดาได้แล้ว”

    เด็กสาวพยักหน้าพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะคว้าสัมภาระที่เป็นกระเป๋าสามสี่ใบลงจากรถ เพราะกระเป๋ามันใบใหญ่ เลยได้แต่แบกด้วยความทุลักทุเล ตัวเธอก็เล็กนิดเดียว หอบข้าวหอบของพันหน้าพันหลังแบบนี้ มันเลยดูทุเรศไปบ้าง ไม่ได้อยากหอบมาเยอะ แต่ทำไงได้ มีแต่ของที่จำเป็นต้องใช้ทั้งนั้น จะพูดว่าให้ที่บ้านส่งตามมาทีหลังเหมือนลูกบ้านอื่นน่ะเหรอ

    เหอะ! ลืมไปได้เลย

    เธอน่ะ..ไม่เหมือนลูกบ้านอื่นหรอก ไม่มีใครสนใจเธอด้วยซ้ำ

    ขณะที่กำลังคำนวณ ง่วนกับกระเป๋าทั้งสี่ ว่าจะสะพายท่าไหนดีให้ลงตัวและไม่ทุเรศลูกตาจนเกินไป ความยากลำบากในการหอบของลงรถตัวคนเดียวมันช่างหนักหนาสาหัส ดูเหมือนป้ากระเป๋ารถเมล์จะเข้าใจและมองเห็นความน่าสงสาร ยี่หวาลงมาได้ไม่กี่ก้าว ป้าแกก็ตะโกนเรียก

    “นังหนู ของเยอะแยะพะรุงพะรังขนาดนั้นจะหอบไปคนเดียวไหวได้ยังไงกัน เห็นแล้วสงสารจริงๆ”

    ยี่หวาหัวเราะแห้ง “ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละป้า ทำไงได้ ของหนูต้องใช้ทั้งนั้น”

    “ก็แล้วทำไมไม่ให้เพื่อนช่วยล่ะ ป้ายรถเมล์เดินอีกไกลแถมต้องขึ้นสะพาน ตัวก็ยังกับกุ้งแห้ง หอบคนเดียวเป็นลมตายห่าเลย”

    หืม? เพื่อนเหรอ? เพื่อนไหน?

    ป้ารถเมล์เห็นเธอทำหน้าเหรอหรา เลยกล่าวขึ้นพร้อมชี้นิ้ว

    “เพื่อนที่ยืนข้างๆ นั่นไง ช่วยๆ กันหน่อยสิ หรือว่าไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นแฟน?

    …..

    “ไอ้หนุ่ม เอ็งก็ช่วยแฟนเอ็งหน่อย เอาแต่ยืนจ้องตาเป็นมัน แล้วเมื่อไหร่จะไปถึง ป้าเห็นเอาแต่มองมานานสองนานแล้ว”

     ยี่หวาเลิกลักแล้ว!

     แฟนไหนอีก ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยมีแฟนสักคนเลยนะ!

    “เฮ้อเด็กผู้ชายสมัยนี้ ความสุภาพบุรุษมันหายไปไหนหมด หน้าตาก็หล่อดี แต่ปล่อยให้แฟนแบกของคนเดียวได้ยังไงกัน”  ป้าแกส่ายหน้า ลุงคนขับรถที่คาดว่าจะเป็นมนุษย์ผัวอยากมีส่วนร่วม แกพูดแทรกขึ้นมาบ้าง

    “จะบอกให้ สมัยข้าหนุ่มๆ นะ ถึงจะนักเลงหัวไม้อันธพาลไปบ้าง แต่เรื่องสาวนี่เซียนเหมือนเรียนมา อยากจีบเขาก็ต้องสุภาพบุรุษกับเขาด้วยจะได้ใจไปเต็มๆ  เข้าใจป่าว”

    ….

    “เออ เข้าใจก็ดีแล้ว ยังจะมายิ้มใส่ข้าอีก! อย่าดีแต่พยักหน้าแต่ต้องทำให้ได้ด้วย พวกข้าไปละ ชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นกันต่อไป เดินทางกันดีๆ ล่ะ”

    พูดจบก็ลากเมียออกไป  ยี่หวาได้แต่ทำยืนเกาหัว

    เมื่อกี้ลุงแกพูดกับใคร?

    ด้วยความงุนงงเลยหันมองไปรอบข้างอีกรอบ เพื่อนที่ว่า.. ก็ไม่เห็นมีใครนี่ ตอนนี้เธอยืนโง่ๆ อยู่ท่ามกลางฝูงชน คนเดินกันเพ่นพล่าน ขวักไขว่และรีบเร่งตามประสาคนกรุง เหลือบไปข้างหลัง เห็นแต่ผู้ชายร่างสูงใส่แว่นหน้าตาตี๋ๆ หน่อยกำลังยืนก้มหน้าจิ้มมือถือแชทอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้านขวาเป็นลุงแก่ๆ คนหนึ่งกำลังยิ้มเฉิดฉายจัดระเบียบหนวดเคราตัวเองกับกระจก ส่วนอีกข้างก็เป็นแค่กลุ่มนักศึกษาผู้ชายยืนจับกลุ่มแทะกระดูกไก่ปากมันแผล๊บกันเท่านั้น

    แล้วคนหล่อที่ว่าเนี่ยคือใครเหรอ?


    ____________________

    อัพจ้า 

    ปล. เรื่องนี้เป็นแนวเกี่ยวกับความเชื่อและสิ่งที่มองไม่เห็นนะคะ ทุกอย่างล้วนเกินจริงและไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไรท์สร้างขึ้นมาเองในจักรวาลตัวเอง  มีผีและมีการฆาตกรรมเลือดสาด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านจ้า

    ฝากเม้นให้กำลังใจด้วยน้า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×