คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : New family member
Zen Talk
ตอนนี้เวลามันล่วงเลยมามากเกินพอที่จะทำให้เธอเชื่อว่าผมมีใจให้เธอและมันก็กำลังจะจบบทรักที่คนอื่นๆอิจฉาเธอ บทรักที่ผมแกล้งแสดงทำกับเธอมันได้สมบูรณ์ตามที่ผมต้องการแล้ว แม้บทเรียนแห่งความเจ็บปวดของผมที่จะมอบให้เธออย่างไม่ทันได้ตั้งตัวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่นาน และผลลัพธ์ผู้ชนะต้องมีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นแม้ใจไม่ต้องการ
“ทำอะไรเบาๆหน่อยนะ...นั่นมันน้องสาวเพื่อนฉัน”
เมลิกพูดขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และ(เลว)ร้ายกับแผนการของผม อย่าแปลกใจ ใช่! ผมก็พึ่งรู้พร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆเหมือนกันว่ายัยแว่นนั้นคือน้องสาวของเพื่อนสนิทของมันหลังจากที่เธอเดินออกจากคอนโดฯของผมไปสักพัก
หลังจากที่เธอทำความสะอาดครัวในคอนโดฯผมเสร็จเรียบร้อยเธอก็ขอตัวกลับไปคอนโดฯของตัวเองแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอ แต่อยู่ๆบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยปกติเมื่ออยู่ๆคนที่เก็บสีหน้าและอารมณ์ได้เก่งอย่างเมลิกนั่งทำท่าเครียด อึดอัดเหมือนกับว่าทุกอย่างถาโถมมาจนมันรับไม่ไหว
‘เมลิกแกเป็นอะไรวะ’
ผมถามเพื่อให้ความเครียดลดลงไปบ้าง(เหมือนงานจะเข้าผม ผมไม่ชอบเลยที่มันทำหน้าแบบนี้)
‘เซน...ฉันขอร้องอะไรแกหน่อย’
มันพูดแล้วมองมาทางผมด้วยสายตาจริงจังจนผมไม่อยากรู้ประโยคถัดไปของมันเลยแม้แต่สักเสี้ยวหนึ่งของประโยค ผมมองแววตาที่สับสนกับเรื่องมากมายที่ส่งมาให้
‘อะไรวะ?’
‘อย่าทำร้ายต้นอ้อเลยนะ’
‘แกชอบต้นอ้อหรอวะ’
เจโรมถามอย่างตรงประเด็น เพราไอ้เมลิกมันไม่เคยเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกผมแต่ครั้งนี้อยู่ๆมันก็มาออกตัวขอร้องผมแทนเธอ จนผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตกลงเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่
‘เปล่า...ฉันมีเหตุผลของฉัน’
‘เหตุผลอะไรของแกวะ...ถึงออกตัวแทนน้องสาวขนาดนี้’
ลีจุนถามขึ้นอย่างสงสัยในการกระทำของมันเหมือนผมสองคนที่จ้องมองตามันเผื่อจะได้คำตอบบ้าง แต่ทุกอย่างในแววตาของมันดูสับสนวุ่นวายจนผมคิดว่ามันเองก็คงไม่รู้จะหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ยังไงเหมือนกัน
‘เฮ้อ...ฉันก็พึ่งรู้เหมือนกัน’
‘แกรีบๆพูดมาเถอะ...ลุ้นจนตังโก่งแล้วเนี่ย’
ไอ้ลีจุนถึงขั้นกับหัวเสียที่ไอ้เมลิกมัวแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดออกมาสักที จนไอ้คนที่รอฟังอย่างพวกผมอยากจะเข้าไปล้วงคอให้มันพูดออกมาจริง คนกำลังตั้งใจฟังแต่ดันไม่พูดออกมา ให้ตายเหอะ! แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องวะเนี่ย!
‘ฉันพึ่งรู้ว่าต้นอ้อเป็นน้องสาวของต้นสน ก็ตอนหลังจากที่ไอ้วายร้ายแถลงข่าวนั่นแหละ’
‘ต้นสนไหนวะ’
เจโรมทำท่าทางสงสัยกับชื่อของพี่ยัยตัวแสบ
‘ต้นสน...เพื่อนสนิทฉัน’
‘ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่’
ผมตอบบอกปัดอย่างไม่แยแสอะไร ทั้งที่ผมก็พอจะรู้ความรู้สึกของมันเหมือนกันที่ไม่รู้จะทำยังไง ฝั่งหนึ่งก็เพื่อนสนิทอีกฝั่งหนึ่งก็เรื่องส่วนตัวของเพื่อน ถ้าผมอยู่ในสภาวะเดียวกันกับมันผมเองก็คงไม่รู้จะทำยังไง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมให้ยัยนั่นหลุดมือได้ง่ายๆ เพราเกมนี้มันกำลังเข้าในโหมดของความเจ็บปวดที่ผมตั้งใจจะมอบให้เธอไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ กลับมาสู่ปัจจุบันกันเถอะ
‘ฉันขอไม่รับปาก’
ผมบอกมันกลับอย่างไม่สนใจในคำพูดของมันอย่างชัดเจน เพราคนอย่างผมนะ ‘คนจริง’ ไม่มีทางกลืนน้ำลายตัวเองโดยเด็ดขาด!
~ ~ 08:00 ~ ~
พอเพื่อนของผมย้ายร่างของพวกมันกลับไปบ้านใครบ้านมัน ผมก็เลยโทรไปชวนเธอให้มาหาผมที่คอนโดฯ โดยที่ตอนนี้ผมก็กำลังดูดดื่มอยู่กับสาวในสต็อกของผม และผมก็จงใจที่ให้มันเป็นแบบนี้ เพื่อรอดูน้ำตาแห่งความเจ็บปวดของคนอย่างเธอ! นั่นจะเป็นภาพที่ผมสะใจที่สุด!
“ทำไมถึงนัดโมบายมาซะดึกเชียวค่ะ...เดี๋ยวแฟนตัวจริงของคุณจะว่าฉันได้นะ”
โมบายสาวแสนสวยถามด้วยแววตาที่ออดอ้อนไม่ต่างอะไรจากลูกแมวน้อยน่าเอ็นดู โดยไม่รู้ว่าที่ผมเรียกเธอมาถึงคอนโดฯเพื่อมาเป็นเครื่องมือในการที่จะทำให้คนอย่างเธอต้องเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัส
“ไม่ต้องห่วง...เธอไม่กล้าทำอะไรผมหรอก”
ผมตอบกลับอย่างอ่อนนุ่ม ก่อนจะเอามือจับคางของเธอแล้วกดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเธออย่างเร้าร้อน เหมือนกับไม่ได้สัมผัสกับการจูบแบบนี้มานาน ผมกดริมฝีปากบดบี้อย่างไม่ยั้งจนผมจนผมแทบอยากจะบดขยี้เธอให้สลายกลายเป็นผุยผง แต่ทว่า...
ติ๊ง...ต่อง...ติ๊ง...ต่อง...
นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ใช่! เธอมาถึงคอนโดฯของผมแล้ว และฉากต่อไปผมจะแสดงให้ถึงใจ แล้วเธอจะต้องเจ็บปวด!
ติ๊ง...ต่อง...ติ๊ง...ต่อง...
“ไปเปิดประตูก่อนก็ได้...”
เธอเอามือมาปิดปากของผม ขณะที่ผมกำลังจะกดจูบอันร้อนแรงลงไปอีกครั้ง ชิ! กะจะให้เดินเข้ามาเจอช็อดเด็ดซะหน่อย
“ก็ได้ครับ”
ผมจำใจเดินไปเปิดประตูห้องอย่างหัวเสียนิดหน่อย พอผมเปิดประตูออกผมกับเจอช็อดเด็ดกว่าคือ เธอกำลังยืนจูบอยู่กับเจโรมที่กำลังดูดดื่มเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆผละออกจากกันเหมือนกับว่าอยู่กันสองคน ก่อนที่เธอจะทำท่าตกใจเล็กน้อยเมื่อหันมาเห็นผมที่ยืนอยู่ข้างประตู แต่ใจของผมไม่รู้ทำไมมันต้องรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูกจนไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดออกมายังไง ทั้งที่ความรู้สึกแบบนี้ผมต้องการจะมอบให้เธอ แต่ในวันนี้ผมกลับได้รับความรู้สึกที่ผมต้องการมอบให้เธอมาแทน
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ”
ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ไม่เป็นไร...ว่าแต่นายโทรมาหาฉันมีอะไร”
“ตอนแรกอ่ะมี...แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“ทำไมนานจังค่ะ”
อยู่ๆเสียงของสาวในสต็อกของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับเรือนร่างบางๆที่พันด้วยผ้าขนหนูสีขาวมายืนอยู่ข้างๆผม
“ถ้าไม่มีอะไร...ฉันขอตัวก่อนนะๆ”
เธอพูดขึ้นก่อนจะเดินหันหลังกลับไปโดยไม่รอคำตอบจากผม ผมอยากที่จะตามเธอไปแต่ไม่มีสิทธิ์มากพอต่อให้เราทั้งคู่คบเป็นแฟน “จอมปลอม” เพราะทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่เกมเท่านั้น และมันก็เป็นเกมที่ผมเป็นคนเริ่ม!
“แกกะว่าจะทำอะไร”
เจโรมเอ่ยขึ้นเมื่อเธอเดินกลับไปจนสุดสายตา ให้ตายเหอะ! กล้ามากนะที่มาถามคำถามนี้กับผม ทั้งที่ผมควรจะเป็นคนถามคำถามนี้กับมันมากกว่า!
“ฉันต้องถามแกมากกว่านะ”
ผมพูดเหมือนอยากบอกปัด แต่สานตาของผมมองมันอย่างเอาเรื่อง ไม่คิดว่าเพื่อนอย่างมันจะทำกับผมที่เป็นเพื่อนของมันขนาดนี้! แบบนี้มันหยามกันชัดๆ!
“น้องสาวฉัน! ดีนะที่ฉันโทรไปหาเธอ ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้หรอกว่าแกนัดเธอมาที่นี้ตอนดึกดื่นขนาดนี้! เพรานาย ทำให้น้องสาวฉันเกือบโดนไอ้พวกขี้เมาที่อยู่ชั้นเดียวกับแกลากเข้าห้อง! ถ้าฉันมาไม่ทันนายคิดบ้างไหมว่าน้องสาวฉันจะเป็นยังไง!”
มันพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจของมัน และผมคิดว่ามันคงเก็บมานานมากแล้วเพราะมันพูดออกมาอย่างจริงจัง จนผมที่เป็นเพื่อนมันมานานพอสมควร แม้ว่ามันจะแก่กว่าผม 2 ปี (แต่มันไม่ให้พวกผมเรียกมันว่าพี่) แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องนิ่งอย่างไม่รู้ตัวคือมันบอกว่าต้นอ้อเป็น “น้องสาว” ของมัน เพราะตั้งแต่พบเจอทำความรู้จักกับมันมาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีน้องกับเขาด้วย เห็นอยู่กับแม่แล้วก็พ่อเลี้ยง แล้วทำไมมันถึงบอกว่ายัยแว่นเป็นน้องสาวมัน
“เดี๋ยวก่อนนะ...นายว่าไงนะ ยัยแว่นเนี่ยนะน้องสาวแก”
ผมถามมันอย่างข้องใจสุดๆ ที่อยู่ๆมันก็มาบอกว่าเธอคือน้องสาวของมัน อย่าว่าแต่ผมเลยถ้าไอ้เมลิกกับไอ้ลีจุนมันได้ยินอย่างผม มันก็คงอาการไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก
“จะยืนคุยกันอีกนานไหนค่ะ L”
เสียงใสของสาวที่ผมเอามาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้เธอเจ็บปวดในครั้งนี้
“เธอกลับไปก่อน”
ผมหันไปตอบอย่างไม่ตรงคำถาม(แถวบ้านเรียกไล่)
“แต่ว่า...”
“ฉันบอกให้เธอกลับไป!”
“ชิ!”
เธอทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปแต่งตัวแล้วออกจากห้องไปก่อนที่ผมกับไอ้เจโรมจะเดินเข้ามาคุยกันต่อในห้องของผม ไม่ว่ายังไงวันนี้ผมก็จะต้องเค้นหาความจริงจากมันให้ได้ ผมเลยตัดสินใจโทรไปขัดจังหวะการนัดกับสาวๆของไอ้เมลิกและลีจุนเพื่อที่จะมาเป็นพยานว่าผมไม่ได้ฝันไปจริงๆ
“แกจะโทรไปหาไอ้สองตัวนั้นทำไมวะ -*-”
มันทำหน้าเซ็งๆที่ต้องมานั่งรอไอ้สองตัวแสบประจำวงที่ผมโทรตามมันมา
“ฉันแค่อยากมีพยานว่าฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆ”
ติ๊ง...ต่อง...ติ๊ง...ต่อง...
“เปิดเข้ามาเลยไม่ได้ล็อก”
ผมตะโกนไปหาแขกที่ผมรู้อยู่แล้วว่าคือใครเมื่อได้ยินเสียงออดห้อง
“แกจะโทรเรียกฉันทำไมวะ!”
ไอ้ลีจุนเดินเข้ามาก็ออกปากรับการสนทนาเชียว ท่าทางจะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มถึงได้กระฟัดกระเหวี่ยงได้ขนาดนี้ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินมานั่งลงบนโซฟาใกล้ๆกับผม
“ไหนๆก็ไหนๆละ!”
ไอ้เจโรมพูดออกมาเหมือนรู้ว่าต่อให้มันโกหกแทบตายยังไง ถ้าพวกผมไม่เชื่อยังไงมันก็ต้องพูดความจริงทั้งหมดที่อยู่ข้างในอยู่ดี
“คือ...ฉันมีบางย่างอยากจะบอกพวกแก”
“ท่าทางจริงจังอย่างนี้...มีอะไรวะ”
เมลิกถามอย่างสงสัยกับสีหน้ากับท่าทางของมันที่ผิดไปจากปกติอย่างมาก เพราะทุกทีมันจะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งมากๆที่สุดในกลุ่ม
“ต้นอ้อเป็น...น้องสาวฉัน”
“แกอย่ามาอำพวกฉันน่า...”
มันพูดยังไม่ทันจะจบไอ้ลีจุนก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเมลิกที่ตอนนี้ก็นั่งอึ้งจนพูดไม่ออกเหมือนกัน
“ช่วยฟังมันให้จบก่อนดิ”
เมลิกเอ่ยขึ้นหลังจากที่ไอ้ลีจุนพูดแทรกขึ้นและนั่งอึ้งกับเหตุการณ์ไปสักพัก
“คือ...เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันเห็นเธอเดินอยู่กับพ่อฉัน ฉันเลยกลับไปถามแม่ว่าพ่อของฉันจริงๆที่เลิกกับแม่ เพราะไม่อยากที่จะมีฉันจริงๆหรือว่าท่านมีครอบครัวใหม่กันแน่ แม่เลยบอกความจริงว่าพ่อมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่ยังไม่มีฉันด้วยซ้ำ แถมยังโทรตามพ่อเพื่อมายืนยันกับฉันด้วยตัวเอง”
มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่แววตาของมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนความสุขเล็กๆ ถึงแม้ว่ามันจะมีพ่อเลี้ยงแต่ก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอบอุ่นบ้างเลย ผมไม่คิดเลยว่าความจริงแล้วชีวิตมันจะจริงขนาดนี้ ยิ่งผมได้ฟังอย่างนี้แผนของผมก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ทำไมยัยนั่นเหมือนยังไม่รู้เลยว่าเธอยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน ต่อให้มีเรื่องราวอะไรอีกมากมายที่เข้ามาผมก็ไม่มีวันล้มเลิกแผนการนี้เป็นอันขาด!!
TonAo Talk
ทำไมไม่มีใครคิดจะบอกเรื่องนี้กับฉันบ้างเลยแม้แต่พ่อแม่ของฉันเองก็ตาม ถ้าฉันไม่ย้อนกลับมาขอบคุณพี่เจโรมและเอาของมาให้ฉันก็คงไม่รู้เรื่องนี้ ฉันปล่อยของทุกอย่างที่อยู่ในมือทิ้งแล้ววิ่งออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องรู้ความจริงให้ได้ไม่ว่าผลของมันจะดีหรือร้ายแค่ไหนฉันก็พร้อมที่จะรับมันทุกอย่าง ฉันเลยตัดสินใจโทรหาพี่ชาย เพียงไม่นานก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงผู้หญิง เธอคือใครกันทำไมถึงมารับโทรศัพท์ของพี่ต้นสนได้? แล้วพี่ชายของฉันอยู่ที่ไหน
“ไม่ทราบว่ายังอยู่ไหมคะ”
“อ่อค่ะ...ขอสายพี่ต้นสนหน่อยค่ะ”
“ค่ะ”
ฉันอยากรู้จริงๆว่าเสียงของผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่เพียงไม่นานพี่ต้นสนก็พูดสาย
“ว่าไงน้องสาว”
“มารับหน่อย...มีธุระจะคุยด้วย”
“มีธุระอะไร?”
“มารับเหอะน่าเดี๋ยวก็รู้”
“อยู่ไหนล่ะ”
“หน้าคอนโดฯ J”
“ได้เดี๋ยวไป”
ติ๊ด
เฮ้อ...ทำไมชีวิตของฉันมันชั่งวุ่นวายอะไรขนาดนี้ ตั้งแต่รู้จักกับนายปีศาจมาไม่มีวันไหนเลยที่ชีวิตของฉันจะสงบสุข ถ้ารู้ว่าการมารับงานในครั้งนี้มันจะทำให้ชีวิตของฉันวุ่นวายได้ขนาดนี้นะ
“อ้อ...ขึ้นรถ”
เสียงของเจ้าของรถมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบท์สีแดงเพลิงเรียกฉันพร้อมกับเปิดหมวกกันน็อก ใช่! เขาคือพี่ต้นสน พี่ชายแท้ๆของฉันเอง ฉันขึ้นไปซ้อนท้ายเหมือนทุกครั้งที่เราได้ไปเที่ยวด้วยกัน ฉันซบหน้าลงบนหลังพร้อมกับมือที่เอื้อมไปกอดเอวของเขาอย่างอ่อนล้ากับเรื่องราวทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้
~~ ณ คอนโดฯใกล้ตึก K ~~
ฉันเปิดประตูห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาโดยมีพี่ต้นสนเดินตามเข้ามานั่งข้างๆฉัน ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มเรื่องนี้ยังไง แม้มันจะไม่ได้ร้ายแรงอะไรแต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่พูดยากอยู่ดี
“มีธุระอะไรล่ะเรา”
พี่ต้นสนเปิดประเด็นหลังจากที่เราทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่สักพัก
“คือ...เรื่องพ่อน่ะ”
“เรื่องอีกครอบครัวของพ่อใช่ไหม”
“พี่รู้!”
ทำไมเขาถึงรู้ล่ะว่าฉันจะพูดกับเขาเรื่องนี้ หรือว่าเขารู้เรื่องนี้มาโดยตลอดแล้วไม่ยอมบอกฉัน
“ใช่...พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอก”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก หรือว่าตลอดมารู้เรื่องนี้แต่พยายามปิดบังไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องนี้ หรือว่าเขาไม่อยากให้ฉันรู้ว่าความจริงแล้วครอบครัวของเราไม่ได้ดีเลิศอย่างที่ฉันคิดมาโดยตลอด เลยยอมที่จะปิดบังเพื่อให้ฉันสบายใจ เขาทำแบบนี้กันทำไม
“พี่รู้นานแค่ไหนแล้ว”
“รู้มาสักพักพร้อมกับเจโรม”
“แล้วทำไมพี่ไม่ยอมบอก”
ทำไม! ทำไมทุกเรื่องทุกอย่างฉันจะต้องเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องราวด้วย
“พอดีพี่ผ่านไปเจอพ่อกำลังนั่งคุยกับผู้หญิงแล้วก็เจโรม เลยเดินเข้าไปตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอักครอบครัวหนึ่งของพ่อ พอไปถึงพ่อก็เลยเล่าทุกอย่างให้ฟัง และไม่ต้องถามว่าทำไมมันใช้นามสกุล ทาพีลัส”
พี่ต้นสนขัดขึ้นเหมือนกับรู้ว่าฉันกำลังจำถามอะไรพี่เขา
“เพราะแม่ของมันไปมีสามีใหม่เป็นลูกครึ่งไทยสเปนก็เลยให้ใช้นามสกุลของสามีใหม่แทน”
“แล้วทำไมไม่บอกอ้อ”
“ไอ้เจโรมมันขอไว้...กลัวแกไม่สบายใจ”
“ฉันโอเค...โตๆกันแล้ว”
“ดีแล้วงั้นพี่ไปก่อนนะ”
“ขับรถดีๆล่ะ”
ฉันโบกมือลาพี่ชายที่เดินตรงไปยังประตู นี่พี่เจโรมกลัวว่าฉันจะรู้สึกไม่ดีกับเขาขนาดนั้นเลยหรือเนี่ยถึงได้ขอให้ทุกคนช่วยกันปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับกับฉัน จนฉันต้องมารู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองถึงจะยอมปริปากพูดกันออกมาได้ ทำไม! เขาเห็นฉันเป็นคนที่อ่อนแออ่อนต่อโลกใบนี้ขนาดนั้นเลยหรอถึงได้ทำกันแบบนี้...
เช้าวันต่อมา
ฉันเดินเข้ามาทำงานเหมือนกับทุกวัน แต่วันนี้พิเศษเพราะฉันตื่นขึ้นมาทำคุกกี้เพื่อเป็นการต้อนรับพี่ชายของฉันอีกคนหนึ่ง ตอนแรกก่อนที่ฉันจะตัดสินใจทำก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะดีไหม แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีกต่อไปแล้วก็คงต้องยอมรับมัน และฉันก็พร้อมเต็มใจต้อนรับพี่ชายอีกหนึ่งคน เพราะตอนนี้ฉันหวังว่าเราจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันสักครั้งหนึ่งมันคงจะมีความสุขไม่น้อย J
ฉันเดินเข้าไปยังห้องซ้อมของหนุ่มๆเหมือนทุกครั้ง แต่พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอแต่นายปีศาจที่นั่งเล่นสมาร์ทโฟนอยู่คนเดียว ทั้งที่ฉันก็มาสายแล้วทำไมทุกคนถึงยังไม่มากันอีก แปลกจริงๆ
“นี่นายทุกคนไปไหน”
ฉันพูดพร้อมกับเอาของสำภาระไปวางลงบนโต๊ะใกล้ๆกับเขา
“ไม่รู้ไม่ได้เฝ้า”
“ถ้าจะตอบกันแบบนี้หุบปากเงียบยังจะดีกว่า”
อยากบ้าตาย...คิดผิดโครตๆที่ถามนายนี่
“ตีกันแต่เช้าเชียวน้องสาว^^”
เสียงคุ้นหูของพี่ลีจุนที่มีคำเฉพาะเรียกฉันว่า ‘น้องสาว’ ฉันหันหลังไปตามเสียงเรียกก็เห็นทั้งสามหนุ่มถือของกินเข้ามากันคนละอย่างสองอย่าง พอมองไปยังพี่เจโรมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าเขาคือพี่ชายของฉันจริงๆ ตอนแรกฉันก็ดีใจที่มีพี่ชายขึ้นมาอีกหนึ่งคน แต่พอเอาเข้าจริงๆฉันก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าฉันดีใจกับเรื่องนี้จริงหรือเปล่า ทั้งที่ฉันคิดมาตลอดว่าแม่เป็นที่หนึ่งของพ่อ แต่มาวันนี้แม่ของฉันกลับกลายเป็นที่สองเพราะว่าแม่ของพี่เจโรมมาก่อน เอาวะ! มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วเพราะทุกอย่างมันไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป เราต้องยอมรับมัน
“พี่เจโรมคะ...อ้อทำมาฝาก...พี่ชาย”
ฉันพูดพร้อมกับยื่นโหลคุกกี้ที่ฉันตั้งใจลงมือทำมันด้วยตัวเอง หลังจากที่ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะกันหมดแล้ว ทั้งที่ฉันก็ให้เขาไปแล้วแต่ทำไมใจของฉันมันยังหวิวยังไงไม่รู้ แบบนี้มันจะดีหรือร้ายกับฉันกันแน่
“รู้เรื่องแล้วหรอ?”
พี่ชายคนใหม่ถามขึ้นด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจและรู้สึกผิดกับอะไรบางอย่างจนมองดูสับสนจนเดาไม่ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ค่ะ”
“พี่ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...อ้อดีใจซะอีกที่มีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”
“ขอบคุณนะ...ดีเหมือนกันจะได้มีพี่น้องกับเขาบ้าง”
พี่เจโรมยิ้มอย่างมีความสุขทั้งใบหน้าและแววตาที่เป็นไปได้ยากมากที่จะเห็นมัน ฉันอยากขอบคุณที่เขาทำให้ฉันรู้สึกดีกว่าที่ฉันคิด
“แหม...ดีใจกันเข้าไป!”
นายปีศาจพูดแทรกขึ้นขัดเราทั้งสองคนจนพี่ชายคนใหม่ของฉันต้องปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งเหมือนกับปกติของเขา
“เป็นไรวะ...ขัดความสุขเพื่อนเนี่ย”
พี่ลีจุนหันไปมองหน้าของเขาอย่างข้องใจกับการกระทำที่อยู่ๆก็ขัดฟิวจนหมดอารมณ์สุข(มารความสุข)
“แกลแงคิดดูดิคบกับฉันมาเป็นเดือนไม่เคยทำอะไรให้ฉันชิมแม้แต่คำเดียว แต่พอรู้ว่าไอ้โรมเป็นพี่ชายเท่านั้นแหละทำคุกกี้มาให้เป็นโหล ให้ตายเหอะ!”
“ไอ้วายร้ายน้อยใจสาวน้อยว่ะ ฮ่า...ฮ่า...”
พี่ลีจุนได้ทีแซวนายปีศาจอย่างไม่หยุดยั้งอย่างกับว่ารอเวลานี้มานาน จนเขาต้องปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“วันนี้เลิกซ้อมกันเร็วๆแล้วไปฉลองรับน้องสาวคนใหม่ดีกว่า”
พี่เมลิกที่นั่งทำหน้านี่งมาตลอดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ (รู้สึกอะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย)
“ดีเหมือนกัน...ได้กินีมือน้องสาวที่คอนโดฯไอ้เซนยังติดใจอยู่เลย”
พี่ลีจุนพูดอย่างดีใจเหมือนกันเด็กที่ตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวอย่างนั้นแหละ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องดีใจอะไรขนาดนั้น พวกเราทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนกับทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน จะว่าไปการที่ได้มารู้จักพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แถมยังมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเจอกัน...
ความคิดเห็น