ลำดับตอนที่ #19
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : บทที่16
(อินทรชิตหล่อมากกกกกกก!!เอากลับบ้านได้ไหม!?)
เมื่อสิ้นคำของสาวผมขาวอินทรชิตก็ได้ออกจากสมาธิ แล้วหันไปจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตนที่กำลังยกยิ้มอยู่อย่างไม่มีความเกรงกลัวในตัวเขาเลย
แม้แต่ความเคารพก็ไม่มีสักนิด....
"รีบพูดเรื่องของเจ้ามาเสีย"
"หึๆ ไม่ต้องรีบร้อนๆ นางไม่หนีเจ้าไปไหนหลอก ที่ข้าจะมาบอกก็คือ ตอนนี้ทัพของพระรามได้มาถึงฝั่งของกรุงลงกาแล้วอีกไม่นาน พ่อของเจ้าคงจะมาเรียกตัวเจ้ากลับไปช่วยรบเป็นแน่"
อินทรชิตนั่งฟังอยู่โดยไม่ขัด หญิงสาวผมขาวเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็ได้ยกยิ้มอันงดงามของตัวเองขึ้นแล้วพูดขึ้นต่อมาว่า......
"เมื่อนั้นเจ้าก็จะได้โอกาศ แล้วเราก็จักได้เริ่มแผนกัน"
อินทรชิตเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เพียงแค่ยกยิ้มขึ้นมา มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเลห์ และเหมือนกับว่ากำลังเก็บซ้อนแผนการอะไรเอาไว้ในนั้น
"นี้ถือเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่ข้ามอบให้แล้วนะ อย่าทำพลาดอีกละ ไม่งั้น เจ้าก็อด อย่าหาว่าข้าไปเตือนนะ"
"ข้ารู้แล้ว แต่ว่า เจ้าหยุดใช้คำพูดภาษาวิปลาสนั้นเสียที ฟังแล้วขัดใจข้าเสียจริง"
"โอ้ ขออภัยๆ ข้าพูดมันจนติดปากเสียแล้ว ถ้ามันทำให้ท่านละคายหูก็ขออภัย หึๆ"
ถึงแม่หญิงสาวจะขอโทษไปแต่ว่ามันกลับไม่ได้มีความจริงใจอะไรเลยอยู่ในนั้นเลย ทำทีเล่นทีจริงเสียด้วยซ้ำ แถมท้ายคำพูดก็ไม่วายพูดคำที่อินทรชิต ไม่เข้าใจอย่างระคายหู ออกมาอีกจนเจ้าตัวขมัดคิ้วเพราะไม่เข้าใจคำๆนี้ เมื่อเห็นแบบนั้นหญิงสาวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
"หมดธุระก็ไปเสียที เสียเวลาข้า"
"ตายจริงทำให้โกรธเสียแล้วหรือ พอหมดประโยนช์ก็ไล่กันเลยนะ น่าน้อยใจเสียจริงๆ"
"............"
หญิงสาวทำหน้าตาเหมือนจะเสียใจ แต่อินทรชิตกลับมองกลับนิ่งๆก่อนจะหลับตาลงแล้วเข้าสู่สมาธิของตัวเองต่อ โดยไม่สนใจหญิงสาวอีกเลย
เมื่อเห็นว่ายักษ์หนุ่มไม่สนใจตน หญิงสาวก็หันหลังเดินจากไปกลับมาสู่ชายหาด แต่ก่อนที่จะไปนั้นนางก็ได้พูดขึ้นมาเหมือนพูดกับตัวเองว่า
"อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะพระลักษณ์ พอดีข้าอยู่ฝั่งอินทราชิตเขาน่ะ หึๆ"
หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆก่อนที่ร่างกายของนางจะเกิดแสงสีเขียวขึ้นจนบดบังร่างของนางทั้งตัว แล้วเกิดเป็นร่างของพญานาคีตัวใหญ่สีขาวนวน นาคีเผือกเลื้อยกลับลงไปในทะเลแล้วมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งกรุงลงกา
ทางฝั่งยักษ์หนุ่มที่จมอยู่กับสมาธิของตัวเองอยู่นั้นกำลังทำใจให้สงบ แต่เหมือนมันจะยากเหลือเกินเมื่อได้รู้ว่า คู่ครอง ที่ตนนั้นเคยปล่อยให้หลุดมือไปนั้นกลับมาอีกครั้ง มันทำให้ใจของอินทรชิตไม่สามารถสงบใจได้อย่างเต็มที่เลย
แต่ว่าเขาก็ต้องสงบใจตนเองเอาไว้ก่อนตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา เขายังมีโอกาศอยู่ ไหนจะมีนางนาคีตนนั้นอีกที่อยู่ข้างเขา เขามีโอกาศชนะพระลักษณ์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อเขาพร้อมเขาจะรีบไปหานางทันที
ทั้งที่คิดอย่างนั้นแท้ๆ.......
"........"
เปลือกตาลืมขึ้นอีกครั้งให้เห็นถึงนัยน์ตาสีโลหิต ยักษ์หนุ่มหลุดออกจากสมาธิได้อย่างง่ายดาย เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางนาคีพูดเอาไว้ให้เขารู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของนางในดวงใจเขาตอนนี้
เมื่อคิดถึงใบหน้าอันวัยเยาว์อันสดใสน่ารักที่เขานั้นเคยเห็น หัวใจที่แข็งกระด้านของเขามันก็เกิดเต้นผิดจังหวะขึ้นมา ทั้งที่พยายามจะไม่คิดถึงกับอดทนจะรอเวลาที่เหมาะสมจะได้ไปพบแล้วแท้ๆ มือหนายกขึ้นมาจากที่ตักขึ้นมากุมขมับที่หน้าของตนเอง เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่า ใบหน้าของตนนั้นมันร้อนขึ้นมาแปลกๆ
ก่อนที่อินทรชิตจะคิดวิธีที่จะทำให้อาการนี้หายไปได้ขึ้นมา....
"แอบไปดูเสียหน่อยคงมิเสียหาย"
(สุกัญญา)
ณ ค่ายทัพของพระราม
"หือ?"
"มีกระไรรึสุกัญญา?"
"....ปล่าวเจ้าคะ ข้าแค่รู้สึกเหมือนกับมีคนเรียก แต่ดูเหมือนข้าจักคิดไปเองเสียมากกว่า"
เมื่อท่านพิเภกได้ยินอย่างนั้นก็มองตามไปยังทิศทางที่ฉันมองออกไปที่หน้าต่างของศาลา แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างยังคงปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่สภาพอากาศนั้นมันเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
"ทำไมท้องฟ้าถึงมืดมิดลงเร็วอย่างนี้ละเจ้าคะ ข้าว่ามันยังมิน่าจักถึงเวลาครบค่ำเลย"
ฉันว่ามันเริ่มมีอะไรแปลกๆแล้วละ หลังจากที่ฉันพูดไปแบบนั้นท่านพิเภกก็ได้ลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนที่จะเดินไปที่หน้าต่างอย่างร้อนรน จนฉันเองต้องลุกขึ้นตาม
"ท่านพิเภก.....?"
"สุกัญญารีบไปเข้าเฝ้าพระองค์รามกันก่อนเถอะ เหตุที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากทศกัณฐ์ใช้ฉัตรแก้วมาบดบังดวงอาทิตย์"
ท่านพิเภกพูดขึ้นพร้อมกับดันหลังฉันให้รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระองค์ราม เมื่อได้ฟังดังนั้นมันก็ทำให้ฉันนึกออกเกี่ยวกับเรื่องราวในตอนนี้ขึ้นมา
หลังจากที่องคตกลับมาจากส่งสารนั้น ได้ฆ่าเสนายักษ์สี่ตนไปด้วย มันทำให้ทศกัณฐ์รู้สึกอับอาย และแค้นชิงชังมากขึ้น จึงคิดจะหาทางแก้แค้น จึงนึกถึงฉัตรแก้วพิชัยโมลี ซึ่งเป็นฉัตรของท้าวธาดาพรหมผู้เป็นปู่ทวดของตน ที่ได้มาตั้งแต่ตั้งกรุงลงกาขึ้น ไปบดบังดวงอาทิตย์เพื่อไม่ให้ทัพของพระรามเห็นทัพของตน แต่ท่างฝ่ายทัพของทศกัณฐ์จะเห็นทัพของพระรามอย่างชัดเจน
หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าพระราม ท่านพิเภกก็ได้บอกเล่าว่าเหตุที่ท้องฟ้ามืดมิดแบบนี้นั้นเ้ป็นเหตุมากจากอะไร เมื่อได้ฟังดังนั้นพระรามก็ได้สั่งให้ทหารเตรียมตั้งรับเอาไว้ และเป็นท่านสุครีพที่อาสาจะออกไปหักฉัตรแก้วเอง พระรามก็เห็นด้วยจึงได้ส่งท่านสุครีพไปจักการ
ท่านสุครีพได้แปลกกายร่างใหญ่โตเท่าภูเขาเพื่อจะได้กลมกลืนไปกับภูเขา เพื่อไม่ให้ข้าศึกมองเห็น จะได้ไม่เสียการณ์ที่ตั้งใจเพียงหักฉัตร เมื่อไปถึงฉัตรแก้วก็คลายเวทมนตร์ปรากฎตัวขึ้นท่านสุครีพจึงได้ทำการหักฉัตร บริวารของทศกัณฐ์ตกใจหนีกันหมด คงเหลือทศกัณฐ์ต่อสู้กับสุครีพอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็สู้กันไม่รู้แพ้ชนะกันเสียที ท่านสุครีพจึงเป็นฝ่ายถอยเพราะยังไงหน้าที่ที่ต้องทำในการหักฉัตรแก้วนั้นก็สำเร็จแล้ว แต่ก็ไม่วายเอาเท้าขวาคว้ามงกุฎของทศกัณฐ์กลับมาถวายพระรามอีกด้วย
ทันทีที่ฉัตรแก้วถูกหักท้องฟ้าก็กลับมาสว่างเหมือนเดิน พร้อมกับการกลับมาด้วยชัยชนะของท่านสุครีพ
ในคืนนั้นฉันนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่างพร้อมกับนั่งคิดว่าต่อไปอีกไม่กี่วันนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง พอคิดว่าต่อจากนี้จะต้องเจอกับ ไมยราพ ก็ทำให้ฉันทั้งรู้สึกตื่นเต้น และกลัวไปพร้อมๆกันเลย
ไมยราพเป็นอีกตัวละครนึงในรามเกียรติ์ที่ฉันอ่านแล้วชื่นชอบมากอีกตัว เสียแต่แค่ว่าไมยราพ นั้นลืมสิ่งที่ทั้งพ่อทั้งปู่ของตนเองนั้นสั่งเสียใว้ก่อนตายเพียงอย่างเดียว แต่ก็ทำไม่ได้นั้นก็คือ....
อย่ายุ่งเกี่ยวกับทศกัณฐ์....เพราะมันจะนำความชิบหายมาสู่ตนเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉันก็นั่งเอาหัวพิงขอบหน้าต่างแล้วถอนหายใจ ยักษ์ดีๆต้องมาตายลงไปเพียงเพราะทศกัณฐ์ตนเดียวเลยแท้ๆสิ
"เฮ้อ......น่าสงสารพ่อยักษ์มันม่วงนั้นจริงๆ"
ฉันถอนหายใจอีกครั้งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปชมพระจันทร์ เพราะว่ายังไม่ง่วงนอน และไม่รู้ด้วยว่าจะทำอะไรดีเพราะงั้นคิดว่าจะนั่งชมจันทร์อยู่อย่างนี้จนกว่าจะหลับดีกว่า....
5นาทีต่อมา..........
ร่างของหญิงสาวที่หัวพิงกับขอบหน้าต่าง แล้วหลับไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ไม่ได้รู้เลยว่าในตอนนี้นั้นในห้องของเธอไม่ได้มีเพียงเธออยู่คนเดียวอีกแล้ว
นัยน์ตาสีแดงเหมือนโลหิตจับจ้องไปที่หญิงสาวที่หลับอยู่ที่ขอบหน้าต่างอย่างไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเขา
'ช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลยหนา'
อินทรชิตพูดเสียเบา ก่อนที่จะย่างก้าวเข้าไปหาหญิงสาว เมื่อถึงตัวเขาก็ย่อตัวให้อยู่ระดับเดียวกัน ใบหน้าของหญิงสาวที่หลับสนิทนั้น ดูน่ารักน่าชังยิ่งนักยิ่งใบหน้าที่กระทบกับแสงจากดวงจันทร์นั้น ยิ่งทำให้ความงามของนางมากล้นขึ้นไปอีก อินทรชิตคิดว่าใบหน้านี้นั้นมิได้เปลี่ยนไปจากเดิมจากครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้เลยสักนิด
เมื่อนึกถึงแล้ว ก็นึกเสียดายว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงปล่อยในนางนั้นหลุดมือไปได้กันนะ จนถูกพระลักษณ์แย่งไปเสียได้
'ไอ้เจ้าลักษณ์ เราจักได้เห็นดีกัน ที่มาแย่งเจ้าไป เจ้าควรจักเป็นของข้าต่างหากมิใช่มัน'
"..........."
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจอยู่มิน้อย แต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเขาจะเอาคืนพระลักษณ์ให้สาสมเลย
อินทรชิตนึกแค้นพระลักษณ์ในใจก่อนที่จะเลิกคิดไป เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเริ่มมีอาการแปลกๆเหมือนกับไม่สบายตัว ก็แน่ละมาหลับที่ขอบหน้าต่างแบบนี้ โดนลมตอนกลางคืนพัดเข้าใส่เดียวก็ไม่สบายหลอก
อินทรชิตเอามือท้าวคางจ้องมองไปที่ใบหน้าของหญิงสาวก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับยืนมือไปเพื่อที่จะปัดผมที่ลงมาบดปังใบหน้านั้น
แต่ว่ามือเขาก็กลับทะลุผ่านไป นั้นจึงทำให้อินทรชิตนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนนั้นมิสามารถสัมผัสกับร่างกายเนื้อของหญิงสาวได้ เพราะตัวเขาที่อยู่ตรงนี้นั้นเป็นเพียงแค่ร่างจิตเท่านั้น
เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสภาพของตนเองตอนนี้นั้นอินทรชิตก็จิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะถ้าเขามาด้วยร่างจริงละก็ มิวายถูกพิเภกหรือพวกทหารเอกนั้นจับได้ก่อนที่จะเข้าถึงตัวหญิงสาวเสียอีก
'น่าเสียดายจริงๆที่อยู่ไกล้กันถึงเพียงนี้ แต่มิอาดจับต้องเจ้าได้'
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามิอาดจะสัมผัมกันได้ แต่อิทรชิตก็ยื่นใบหน้าเข้าไปไกล้ใบหน้าหวานของหญิงสาว ใช้ปลายจมูกถู และลูบไปตามแก้มของนางอย่างหลงไหล และใช้ริมฝีปากจุมพิตที่ต้นคอเบาๆ ก่อนที่จะเคลื่อนไปกระซิบเบาๆที่ใบหู
'....รอข้าก่อนหนา...แล้วข้าจักมารับเจ้า'
"เฮือก!?"
ฉันสะดุ้งตกใจยกมือขึ้นมาแตะที่หูของตัวเองอัตโนมัติ อยู่ๆก็เกิดรู้สึกเหมือนมีเสียงมากระซิบที่ข้างๆหูของฉัน ฉันหันกลับเข้าไปมองในห้องของตัวเองว่าไม่ได้มีใครอยู่ในห้องนี้นอกจากฉันใช่ไหม แต่ว่าทุกอย่างก็อยู่ในที่ของมัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
'นี่เราหูแว่วไปงั้นหรอ...แต่ว่าเสียงนั้น เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน....'
ในขณะที่หญิงสาวผมสีโอสรกำลังหันไปให้ความสนใจกับเสียงที่ตนเองได้ยินอยู่นั้น เธอนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าที่ข้างนอกหน้าต่างนั้นได้มีคนเห็นเหตุการทั้งหมด
แววตาสีมรตกของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ตัวของมันที่หดเล็กลงมาจากร่างจริงพันเกี่ยวกับบนต้นไม้จ้องมองไปที่หญิงสาวที่เป็นเป้าหมายของมันก่อนที่จะนึกขำในใจ
'ทั้งที่ทำเหมือนไม่สนใจ แต่แอบถอดจิตมาหานางถึงที่แบบนี้......'
"ร้ายมิเบาเลยนะ อินทรชิต"
นางนาคีเผือกหันไปมองข้างๆตนที่ปรากฎเป็นดวงจิตของยักษ์หนุ่มขึ้นมา ที่มานั่งอยู่ข้างๆตนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
อินทรชิตไม่ได้ตอบอะไรกลับนางนาคีเผือกไปสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หญิงสาวผมสีโอสร ที่ครั้งนึงเขาเคยเกือบจะได้ครอบครองนางแล้ว เพียงแต่เขาดันพลาดโอกาศที่จะได้ตัวนางมา จนนางได้ไปพบกับพระลักษณ์ในวัยเยาว์เสียได้
"เป็นไง นางงดงามมากจนอดใจมิไหวใช่หรือไม่ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าเลือกคนมิผิด เพียงแต่เจ้าต้องพยายามหน่อยนะ มิเช่นนั้นก็แหวไป หึๆ"
ในชั่วพริบตานางนาคีก็กลับมาอยู่ในร่างคล้ายมนุษย์อีกครั้งพร้อมกับยกยิ้มอย่างภูมิใจในการเลือกคนของนาง แต่ก็ไม่วายพูดคำแปลกๆออกมาบ้างอยู่ดีจนยักษ์หนุ่มขมัดคิ้วอย่างหมดอารมณ์
"ไม่ต้องให้คนอย่างเจ้ามาบอก...ข้าจักไม่ทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้าน่ะแค่ค่อยช่วยข้าก็พอ"
เมื่อสิ้นคำร่างจิตของอินทรชิตก็หายไปจากตรงนั้นเหลือไว้เพียงหญิงสาวผมขาวที่พูดไล่หลังไปเบาๆก่อนที่นางนั้นก็จะกลับร่างเดิมแล้วเลื้อยหายไปเช่นกัน
"รับทราบ...เจ้าเองก็อย่ารีบชิงตายก่อนที่จักทันได้ครอบครองนางละ"
____________________________________________________________________
แม่นางนาคีเผือกแต่งตัวประมาณนี้ แต่ปล่อยผม และผมเป็นสีขาว
ขอโทษที่หายไปนาน ไม่มีอะไรแก้ตัวนอกจากปัญาหาเดิมๆ คือ ติดสอบกับแก้ มส.อยู่ และรู้ไหม.....
ไรท์สอบติดที่ ช่างศิลป์ แล้วคะ!! มีที่เรียนต่อแล้วบวกกับ ต้องย้ายไปอยู่หอด้วย แต่ว่าก็มิถุนายน นุ่นแหละถึงจะย้ายไปอยู่หอคะ
มีใครอยากย้ายมาอยู่ เรือ อินทรชิต x สุกัญญา บ้างไหม^^
จูบที่สันจมูก หมายถึง เขากำลังให้ความสำคัญในตัวคุณ เอ็นดูคุณอยู่
จูบที่ต้นคอ หมายถึง เขาหลงใหลคุณ อาจถึงขั้นยึดติดก็ว่าได้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น