ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [รามเกียรติ์] สัญญารัก [พระลักษณ์ x oc]

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.4K
      162
      22 ม.ค. 63



    ซ่าาาาา!!!

    "เอ็งเดินให้มันดีๆหน่อยสิว่ะไอ้เฝือกตัณหากลับ!!"


    ซ่าาาาา!!!

    "ไอ้ลิงหน้าอุบาทอย่างเอ็งน่ะหุบปากไปเลย!!"


    ซ่าาาาา!!!

    "เลิกเกี้ยวนางมัจฉานั้นแล้วมาทำงานให้เสร็จสิ้นเสียที ไอ้ลิงหน้าไม่อายเอ๊ย!!"

    "เลิกเป็นก้างขวางคอข้าเสียทีไอ้ลิงหน้าอุบาท!!"


         เสียงด่าทอ และเสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมาตลอดหลายวันไม่ยอมหยุดเป็นอันเนื่องมาจากการทะเลาะฝีปากกันของวานรเฝือกและนิล

    นี่ก็ผ่านมาล่วงเลยจะครบ 7 วันแล้วการจองถนนข้ามทะเลนั้นถึงจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ว่าการทะเลาะกันของวารนทั้งสองนั้นดูเหมือนจะไม่ลดลงไปเลยสักนิดเดียว ที่ถึงแม้สภาพของทั้งคู่จะเหมือนโดยเผาไหม้เกรียมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วก็ตามที

    ขนาดท่านสุครีพที่เป็นคนเสกเชือกนั้นขึ้นมาเพื่อให้หนุมานกับนิลพัทอยู่ติดกันเพื่อว่าจะได้จำและทะเลาะกันน้อยลงแต่ดูเหมือนมันจะตรงกันข้ามเสียมากกว่า

    "ข้าคิดผิดหรือถูกรึปล่าวที่ให้พวกมันสองตัว ตัวติดกันแบบนี้"

    ท่านสุครีพที่มาคุยปรึกษาหารือกับท่านพิเภกที่ศาลา 

    "พวกหนุ่มๆมักจักเลือดร้อนกันแบบนี้มักเป็นเรื่องธรรดา และอีกอย่างเขาว่ากันว่ายิ่งทะเลาะกันยิ่งสนิทกันนะท่านสุครีพ"
    "แต่นี่มันทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวันชั่วยาม เยี่ยงนี้ก็จักเกินไปนะท่านพิเภก"

    ท่านพิเภกทำได้แต่ยิ้มแห้งๆแต่ ท่านสุครีพกลับก้มหน้าอย่างมน์หมองในใจอย่างทำอะไรไม่ถูก หรือจะพูดให้ถูกคือไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้วต่างหากละ ที่จะแก้ยังไงให้หนุมานกับนิลพัทญาติดีกันให้ได้สักนิดก็ยังดี













              ฉันเดินเตร่ๆไปเรื่อยๆในค่ายในยามเช้า เพราะไม่รู้ว่าอยู่ที่ศาลาแล้วจะทำอะไรดีจึงออกมาเดินเล่น

    เมื่อคือฉันฝันแปลกๆอีกแล้ว ฉันเริ่มฝันแบบนี้อยู่บ่อยๆตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ แต่ฉันคิดว่าฝันในครั้งนี้มันเริ่มจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่ในความฝันนั้นมันจะมีแค่ฉัน กับพระลักษณ์ในวัยเด็กอยู่ด้วยกันสองคน แต่ตอนนี้กลับมีบุคคลที่สามโผล่ออกมาเพิ่มให้เห็นด้วย

    ผู้หญิงในชุดไทยโบราณผมสีขาว

    ฉันเริ่มจะฝันเห็นเธอมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่จมน้ำคราวที่แล้ว เธอมักจะโผล่มาในฝันก่อนที่ฉันจะตื่นเสมอ แล้วก็พูดประมาณว่า 'ได้เวลากลับแล้วนะ'

    เหมือนกับว่าเธอมาพาฉันกลับอย่างไงอย่างงั้นเลย


         ยิ่งคิดก็ไม่เข้าใจแต่ว่าฉันเหมือนเคยเจอเธอมาก่อนจริงๆนะ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก พอทีเลิกคิดดีกว่า




    "เอ๋? เสียงนี่มัน..."

    ฉันที่เดินๆอยู่นั้นได้ยินเสียง มันเป็นเหมือนกับเสียงดนตรี มันเป็นเสียงแบบเดียวกับที่ฉันเคยได้ยินเมื่อมาถึงที่นี่ได้ใหม่ๆ ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าใครเป็นคนเล่น

    ฉันเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆจนมาถึง ณ ใต้ต้นใหม่ใหญ่ต้นนึงเสียงเพลงนั้นก็ยิ่งชัดขึ้น ฉันเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นก่อนที่จะมีสายลมพักมาเบาๆทำให้ฉันต้องหลับตาเพราะกลัวว่าจะมีอะไรลอยมาเข้าตา


    แต่พอลืมตาขึ้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉันคือบุรุษกายสีเหลืองอร่าม กำลังนั่งพิงต้นไม้พร้อมกับในมือที่กำลังบรรเลงเครื่องดนตรีอยู่อย่างสงบนิ่ง

    พระลักษณ์ทรงเล่นมันไปเรื่อยๆในขนะที่ฉันได้ยืนภาพตรงหน้าอย่างตกตระลึงเพราะไม่คิดว่าพระองค์จะเล่นเครื่องดนตรีเป็นด้วย มันเป็นบทเพลงที่ไพเราะมากๆบวกกับคนที่เล่นเป็นพระองค์แล้ว ภาพตรงหน้านั้นช่างเหมือนกับเทวดากำลังบรรเลงเพลงอยู่เลย

    ฉันจ้องมองภาพนั้นแล้วจู่ๆก็มีภาพเข้ามาในหัว ภาพของเด็กสองคนที่กำลังวิ่งเล่นไปด้วยกัน ทั้งคู่จับมือแล้ววิ่งเล่นด้วยกันก่อนที่จะมานั่งที่ใต้ต้นไม้ก่อนที่เด็กผู้ชายจะหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาเล่นบทเพลงให้เด็กผู้หญิงฟัง


    เเปะๆ



    'ลักษณ์เก่งจังเลย'
    'งั้นหรอ ดีใจที่เจ้าชอบนะ'

    เด็กผู้หญิงปรบมือให้พร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริง เด็กผู้ชายก็ยิ้มอย่างเขินอายแต่ก็ดีใจ แล้วทั้งคู่ก็นั่งอยู่ด้วยกันแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ






    กึก!

    เมื่อเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงได้เงียบลงไป ทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาก็พบกับพระลักษณ์ที่หยุดเล่นแล้วหันกลับมามองที่ฉันอยู่ก่อนแล้ว

    "ข ขออภัยเพคะหม่อมฉันคงจักมาขัดจังหวะ ขอตัว.."
    "ไม่! ประเดียวก่อนสุกันญญา"

    ฉันถูกพระองค์เรียกเอาไว้ก่อนที่จะเดินจากไป พระลักษณ์ลุกขึ้นพร้อมกับเดินมาจับเข้าที่แขนของฉันเป็นการบอกไม่ให้ไป

    "เจ้ามิได้มาขัดจังหวะกระไรข้าเลย เจ้าช่วยอยู่ตรงนี้คุยเป็นเพื่อนข้าก่อนได้หรือไม่"
    "เอ่อ..เพคะ "

    ฉันพยักหน้ารับ พร้อมกับหันไปมองเครื่องดรตรีที่อยู่ในมือของพระองค์ พระองค์ลักษณ์ทรงยิ้มเบาๆแล้วจึงยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาให้ฉันเห็นได้อย่างพอดี

    "กระจับปี่ นี้น่ะหรือข้าเล่นมันเพื่อทำให้จิตรใจสงบ แล้วก็..หึๆ แอบออกมาเล่นน่ะ"
    "แอบออกมา หรือเพคะ?"
    "ใช่ อย่าไปบอกพระพี่รามเชียวสุกัญญา ข้าต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทรงงานอยู่ที่ศาลา มาตั้งหลายเพลา ไหนๆวันนี้อากาศดีจึงแอบออกมาเล่นมันเสียหน่อย..."

    พระองค์ยกนิ้วชู่ปากแบบเป็นการบอกว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ด้วยใบหน้าที่ดูขี้เล่นของพระองค์ทำฉันไม่กล้าขัดจึงพยักหน้าเข้าใจไป

    จะว่าไปตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ตั้งแต่เริ่มจองถนน โอกาศที่ฉันจะได้พบกับพระองค์ก็น้อยมาก ถึงจะบอกว่าทรงงานอยู่ก็ตาม แต่ว่ามันเยอะขนาดนั้นนิน่า

    "หม่อมฉันเข้าใจเพคะว่าพระองค์ต้องทรงเหนื่อมากแน่ๆ ไหนจักอยู่ในระหว่าศึกสงครามเช่นนี้อีก จักออกมาหาความสุขส่วนตัวบ้างก็มิแปลก และมันช่างเป็นบทเพลงที่ไพเราะมากเพคะ"
    "เจ้าชอบมันหรือ......?"
    "เพคะชอบมาก มันไพเราะทำให้จิตรใจรู้สึกสงบแล้วก็ พระองค์ทรงเล่นเก่งมากๆเลยเพคะ"
    "......"








    "งั้นหรอ ดีใจที่เจ้าชอบนะ"












    (พระลักษณ์)


         มิเปลี่ยนไปเลยจริงๆ ข้ายังคงจดจำมันได้ ทำรอยยิ้มที่แสนน่ารักนั้น ทั้งคำพูดนั้น มันทำให้ข้าแอบดีใจอยู่มิน้อย ที่นางยังมิลืม

    ข้าอดใจไม่ไหวที่จะยืนมือออกไปสำผัสกับใบหน้าของนาง สุกัญญาแลดูแปลกใจเล็กน้อยที่ข้าทำเช่นนั้น แต่นางก็มิได้ปฎิเสธ 

    "อะ เอ่อ...พระองค์.."

    ใบหน้าของนางขึ้นสีระรื่น ชวนให้หน้าหลงไหนน่ามองยิ่งนัก นางกำลังเขินอายทำตัวมิถูก มันช่างเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยๆที่กำลังตื่นกลัวเสียเหลือเกินจนข้านั้นอดใจมิไหว


    สองมือของข้าค่อยๆยกขึ้นมาประคองหน้าของนางให้หันมาสบตากับข้า นัยน์ตาสีโอรสที่ส่องประกายเหมือนกับอัญมณีที่แสนเลอค่า กลิ่งกายหอมอ่อนๆที่ลอยมาช่างเหมือนกับอยู่ในฝันครั้งวันวานที่น่าคนึงหายิ่งนัก

    "สุกัญญา...."

    ข้าค่อยๆดึงตัวนางให้เข้ามาแนบกายข้ามากขึ้น มือทั้งสองข้างของนางยกขึ้นมาเกาะที่อกของข้าแน่น จักผลักออกก็มิผลัก เหมือนกับลังเล แต่สีหน้าของนางนั้นมิได้แสดงเหมือนที่การกระทำของนางกำลังทำเลยสักนิด

    แต่มันกลับยิ่งเชิญชวนให้ข้าอยากสำผัสนางมากขึ้นไปอีก


    "หลายวันมานี้ ข้าคิดถึง และคนึงหาแต่เจ้า แล้วเจ้าละคิดถึงข้าบ้างหรือไม่..."

         มิรอให้นางตอบข้าก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา นางหลับตาน้อมรับอย่างเขินอาย แค่มองยิ่งน่ารักน่าทะนุถนอมจนข้านั้นเกือบจักห้ามใจตัวเองมิอยู่

    "เจ้า...ช่วยตอบให้ข้าชื่นใจได้หรือไม่ ว่าข้านั้นมิได้คิดถึงแต่เจ้าเพียงฝ่ายเดี่ยว"

    ข้าก้มลงไปสูดดมกลิ่มหอมบนเกศาของนางอย่างหลงไหล นางเป็นคนคิดกระไรแล้วมิยอมพูดออกมาตรงๆเท่าไร แต่ถ้าข้าไล่ต้อนนางแบบนี้ไปเรื่อยๆนางก็จักยอมปริปาก


    อย่ามองข้าเยี่ยงนั้นสิ ข้ามิได้ร้ายกาจขนาดนั้นเสียหน่อย แค่อยากแกล้งนางเท่านั้นเอง ให้ลูกแมวน้อยตัวนี้ยอมพูดออกมาก็เท่านั้น



    "พระองค์...ทรงอย่าแกล้งหม่อมฉันแบบนี้สิเพคะ...///"
    "ข้ากล่าวตามจริงมิได้กลั่นแกล้งเจ้าเสียหน่อย ทำไมหรือเจ้ามิเชื่อคำพูดข้าหรือ"
    "ปะ ปล่าวเพคะมิใช่อย่างนั้น หม่อมฉัน....หม่อมฉันแค่มิรู้ว่าควรรู้สึกเช่นไร..."

    จากใบหน้าที่เเดงระรื่น ก็ดูหมองลง เหมือนกับว่านางกำลังคิดอันใดที่ทำให้ตนเองมิสบายใจอยู่อย่างนั้น จนข้าเห็นแล้วก็พลอยอดรู้สึกมิดีไปด้วย


    'นางกำลังกังวลอันใดอยู่'


         ข้าปล่อยมือที่ประคองแก้มของนางลง แต่เปลี่ยนเป็นดึงตัวนางเข้ามาโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของข้า นางดูตกใจมิน้อยแต่ก็มิได้ขัดขืน

    "เจ้ามีเรื่องอันใดมิสบายใจอยู่ ก็พูดออกมาให้ข้าฟังได้หนา ข้ายินดีที่จักรับฟังเรื่องของเจ้า"

    เมื่อคิดย้อนไปครั้งที่เราคุยกันสองคนดูเหมือนกับว่านางจักมีเรื่องมิสบายใจ แต่ก็มิมีโอกาศได้พูดออกมา แต่ก็นะนั้นก็ต้องโทษข้าด้วยที่มิยอมปล่อยโอกาศให้นางได้พูด

    แต่ครั้งนี้ข้าจักตั้งใจฟังมัน และจักพยายามทำให้นางหายกังวลใจ


    "หม่อมฉัน....มีเรื่องที่..คาใจมาสักพักแล้วเพคะ"
    "เรื่องอันใดหรือ?"


    นางเงียบไปเหมืองลังเลที่จักตอบ ข้ามิได้เร่งรัดให้นางตอบข้าเร็วๆ แต่ข้ารอ รอให้นางนั้นพูดออกมาเอง 

    สุกัญญาผลักตัวออกมาข้าเล็กน้อยบนใบหน้าของนางก็ยังคงมิลดความกังวลใจลง แต่นางก็เงยหน้าขึ้นมาสู้หน้าข้า

    "ที่พระองค์ทรงเลือกหม่อมฉัน...เป็นชายานั้น...พระองค์ทรงแน่ใจแล้วจริงๆหรือเพคะ?"

    "เจ้าหมายความว่าอย่างไร...?"

    นางหมายความว่าอย่างไร นางมิมั่งใจเรื่องนั้น หรือว่านางมิมั่งใจในตัวข้ากัน...

    "....ในสักวันนึง พระองค์และพระองค์รามเมื่อทำสงคราม แล้วได้รับชัยชนะแล้วละก็ เมื่อถึงตอนนั้นก็จักมีผู้คนมากมายที่จักเข้าหา และชื่นชมพระองค์ หม่อมฉันเองก็จักเป็นส่วนหนึ่งในคนหมู่นั้นด้วย แต่ว่าเมื่อถึงตอนนั้นหม่อมฉันจักสามารถทำอะไรได้บ้าง จักมีประโยชน์ให้กับพระองค์ได้รึปล่าว....."

    สุกัญญาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แอบสั่น สองมือยกขึ้นมากุมอกของตนเอง 


    ทุกคำที่นางพูดข้าพยายามที่จักตั้งใจฟังมันว่านางต้องการที่จักสืออะไร สิ่งที่นางกำลังกังวลใจอยู่นั้นเป็นเรื่องนางจักมีประโยชน์ให้กับข้ารึไม่ แต่ว่าเรื่องนั้นนางถึงกับเก็บมาใส่ใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

    "แล้วถ้าเกิดว่าหม่อมฉันเป็นตัวถ่วงขึ้นมา พระองค์ยังคงจัก!...จักยอมให้หม่อมฉันอยู่เคียงข้างพระองค์ได้อยู่รึปล่าว มันจักเป็นไปได้จริงๆหรือเพคะ! ยะ ยังมีสตรีอีกมากมายที่คู่ควรกับพระองค์ หม่อมฉันมิมีสิ่งใดที่....คู่ควรได้รับตำแหน่งนี้เสียเลย-"








    "สุกัญญา...."

    ข้าเอ่ยเรียกนาง หลังจากที่ฟังนางพูดมิไหวอีกแล้ว

    ข้าพอจักเข้าใจแล้วว่านางกำลังกังวลใจเรื่องอันใดอยู่กันแน่ ข้ายืนมืออกไปกุมมือของนางให้นางหันกลับมามองหน้าข้าตรงๆ



    "ต่อให้เจ้าไม่คู่ควรกับข้า หรือต่อให้เจ้านั้นทำประโยชน์อันใดมิได้เลย แต่ข้าก็ยืนยันคำเดิมว่า คนเดียวที่ข้านั้นต้องการให้มาเป็นชายาคู่กายของข้านั้น คือเจ้าคนเดียว"


    ข้ามิสนใจดอกว่าตัวนางจะคิดว่าตัวเองนั้นจะไร้ประโยชน์อย่างไร แต่นางคือคนที่ข้าเฝ้ารอคอยมาโดยตลอด นางคือคนที่ข้า....




    "ข้ารักเจ้า   และข้าต้องการให้เจ้ามาอยู่เคียงข้างกายข้า มิว่าจักเกิดอันใดขึ้นนับจากนี้ ข้าก็ต้องการให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ตลอดไป"

    "พระองค์...."

    หยดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตาของนางอย่างห้ามมิอยู่ หรือแม้แต่ตัวนางเองก็มิรู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นกำลังร่ำไห้

    แต่เมื่อรู้สึกตัวนางก็ก้มหน้าลงอยากจักเช็ดน้ำตาออกแต่ก็ทำมิได้ ก็ข้ากุมมือของนางอยู่ แต่นางก็ก้มหน้าเพื่อมิให้ข้าเห็น ข้ายิ้มเอ็นดูนางก่อนที่จักยืนมืออกไปเช็นคราบน้ำตาของนางออกไปอย่างเบามือ

    "แล้วเจ้าละ ต้องการข้าบ้างหรือไม่"

    นางมิได้ตอบกลับข้ามาด้วยคำพูด นางเอาแต่ร่ำไห้ แต่การพยักหน้าขึ้นลงนั้นก็ถือเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้วหนา

    ข้าค่อยๆประคองหน้าของสุกัญญาขึ้นมาอย่างเบามือก่อนที่จักมอบจุมพิตที่ริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา นางมิได้ปฎิเสธแต่กอดรัดข้ากลับมากขึ้น ข้ากับนางต่างมองจุมพิตให้แก่กันก่อนที่จักผลักออก ข้าโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนของข้า นางก็ตอบรับด้วยความเต็มใจ


    'ข้าต้องการเจ้า มิว่าต้องเจอกับสิ่งใดต่อจากนี้ข้าก็จักอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นกัน สุกัญญาของข้า'


















         ภาพของหนุ่มสาวที่กอดกันตัวกลม ต่างมอบความรัก และความต้องการอีกฝ่ายให้แก่กันนั้นช่างเป็นภาพที่แสนวิเศษไปเลย ที่จะได้เห็นความรักที่ยึดมั่นของพระลักษณ์ และความต้องการที่จักอยู่เคียงข้างแม้ตนเองนั้นจักไร้ประโยชน์แต่ก็อยากที่จักอยู่เคียงข้างของสุกัญญานั้น.....


    "ช่างเป็นความรักที่น่าชื่นชมเสียจริง"

    เสียงของหญิงสาวผู้นึงที่นั่งมองดูเหตุการที่เกิดขึ้นอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปพูดขึ้นมา ผมสีขาวที่เป็นเอกลักษณ์พริ้วไหวไปตามสายลม นัยน์ตาจ้องมองไปที่สองหนุ่มสาวด้วยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    "ดูเหมือนจักไปได้สวยดีนิหนาในเรื่องความรู้สึกของทั้งสอง แต่ว่า ชักจักเบื่อแล้วสิ"

    หญิงสาวปริศนาในชุดแม่หญิงไทยโบราณเกาะอกสีเขียว ตามแขน ข้อเท้าต่างประดับประดาไปด้วยเครื่องทรงสีทองอร่าม ที่คดเคี้ยวไปตามตัวที่สวมใส่ ลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้ที่ตนเองนั้นนั่งอยู่

    "คงจักต้องเพิ่มอะไรให้เนื้อเรื่องมันสนุกขึ้นอีกสักหน่อยดีกว่า"

    หญิงสาวยิ้มก่อนที่ร่างกายของนางจักค่อยๆแปลเปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ลงมาจากต้นไม้ก่อนที่จักหายลงไปในทะเล







    ____________________________________________________________________

    หวังว่าจะชอบกันนะ หวานกันให้มดขึ้นไปเลย
    ที่ว่าพระเอกค่าตัวแพงแล้ว พี่ชายพระเอกค่าตัวแพงกว่าอีก หาบทให้ออกมาไม่ได้เลย!

    ตอนนี้ก็มีใครโผล่มาอีกแล้ว ไม่หลอกตอนแรกๆก็โผล่มานิน่า






    เครื่องดนตรีที่พระลักษณ์เล่นหน้าตาเป็นแบบนี้นะ ไรท์คิดว่าใส่มาสักหน่อยน่าจะดีจะทำให้มันดูโรแมนติกและมีเรื่องราวขึ้นมาด้วย






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×