ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พยานรักแฝดหยกโบตั๋น [(ซีเหยา) อาเหยาเป็นผู้หญิง มีลูกแฝดกับพี่ซี]

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 7 แก้ไข้บท

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ย. 65


    วาดเองตัดต่อเองจร้าาา


     

     ในตอนนี้มีการแก้ไขบทตั้งแต่กลางเรื่องไปจนจนบทนี้ ใครที่เคยอ่านมาก่อนที่จะมีการแก้บท ขอให้อ่านใหม่ตั้งแต่ต้นนะคะ ส่วนใครที่เป็นผู้อ่านใหม่ สามารถอ่านต่อไปได้เลย


    ______________________________________________________________________________




    "ทำได้ดีมากอาหยาง หวู่! เกือบไปแล้ว"

     

         มือบางทั้งสองข้างลูบหัวของเจ้าสุนัขดำอย่างเป็นการชมเชยที่มันสามารถช่วยเบี่ยนเบนความสนใจของเหล่าเซียนพวกนั้นจนนางหาทางหลบหนีออกมาได้


     

    ตอนนั้นนางพลาดเอง ที่เผลอขยับตัวจนทำให้เกิดเสียง ทำให้หนึ่งในคนพวกนั้นรู้ตัว ตอนนั้นนางคิดว่านางอาจจะถูกพบตัวเข้าให้แล้ว แต่กลับโชคดีที่อาหยางนั้นเป็นหมาฉลาด มันจึงยื่นหน้าออกไปรับ


    และยังจะโชคดีของโชคดีอีกก็คือ คนที่เข้ามาตรวจดูนั้น เหมือนจะเป็นโรคกลัวหมาจนขึ้นสมอง ตะโกนแหกปากวิ่งหนีอาหยางไปทั่ว ก่อนที่จะปีนหนีขึ้นต้นไม้ไป ในจังหวะนั้นหลานเมิ่งได้อาศัยจังหวะหนีออกมาจากที่ซ่อน และมองกลุ่มเซียนนั้นอยู่ห่างๆ จนอาหยางวิ่งกลับมาหานาง


    "เจ้าคุณชายนั้น ดันเก็บหยกของข้าเอาไว้เสียได้ หึ! ก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาหา ต้องหาจังหวะและไปเอาคืนมา"


    หลานเมิ่งพูดกับตนเองอย่างเจ็บแค้นใจ และคอยมองตามเหล่าเซียนตระกูลหลานที่กำลังมุ่งหน้าไปที่น้ำตก ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกฉงฉีที่ยังเหลืออยู่ในระแวกนี้ 

    นางตัดสินใจกระโดดไปตามกิ่งไม้สูง มองลงมาจากข้างบนนั้นมันง่ายกว่า และมิเป็นที่สังเกตุง่ายกว่าวิ่งตามพื้นที่มีแต่ใบไม้แห้งที่จะก่อให้เกิดเสียงได้

    ส่วนอาหยางนั้นให้มันเดินตามมาช้าๆยังทำให้เกิดเสียงน้อยกว่า เพราะยังไงอุ้มเท้าของสุนัขก็เบากว่าของคนเป็นไหนๆ


     แต่แล้วเหล่าเซียนตระกูลหลานก็หยุดเดินกะทันหัน ทำให้หลานเมิ่งต้องหยุดตาม และแอบมองจากมุมสูง  พอได้เงียบแล้วฟังดูดีๆนางก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบๆนั้นมันเปลี่ยนไป 


    ทุกๆอย่างมันเงียบไปหมด แม้แต่เสียงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่หากินตอนกลางคืนสักตัวก็ไม่ได้ เสียงแมลงก็เช่นกัน และทุกอย่างก็ดูมืดครึ่มไปหมดเพราะเมฆที่หนามากขึ้นจนบดบังแสงจันทร์ และหมอกที่จู่ๆก็หนาขึ้นจนบดบังวิสัยทัศน์


         'แย่ละสิ ทำไมข้าพึ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้นะ!'


    กว่าที่ตนนั้นจะรู้ตัว ว่าได้เข้ามาอยู่ในอนาเขตของสัตว์ร้ายเสียแล้ว.......





    "ข้างบน!!"


    ตูม! โครม!! 



         ฉากการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อฝูงฉงฉีจำนวนมากได้ปรากฎตัวขึ้นแล้วเข้าเล่นงานพวกเหล่าเซียนตระกูลหลาน จนมีคนตกเป็นเหยื่อ และที่เลวร้ายที่สุด เหล่าเซียนนั้นได้มาเจอกับตัวปัญหาใหญ่เข้าให้เสียแล้ว 


         เมื่อเทพอสูรได้มาปรากฎตัวอยู่ต่อหน้า...


    หลานเมิ่งมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากมุมสูงด้วยความรู้สึกที่อธิบายมิถูก นางไม่เคยเจอฝูงฉงฉีที่เยอะขนาดนี้ และมันก็ผิดปกติเกินไปมากๆ เพราะพวกมันเป็นสัตว์รักสันโดด นานๆทีที่จะมารวมฝูงกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อพวกมันมีจ่าฝูงที่มาคอยออกคำสั่ง


    สายตาของนางจับจ้องมองไปที่เจ้าฉงฉีที่เป็นจ่าฝูง หรือก็คือเทพอสูรตนนั้น นางก็เคยได้ยินมาบ้างแต่มิคิดว่ามันจะมีจริงๆ 


    จู่ๆคำพูดของเฒ่าแก่หลินที่เคยพูดเมื่อนานมาแล้วก็ผุดขึ้นมาในหัว



         มันเป็นช่วงที่นางยังเยาว์วัยแล้วพึ่งได้พบกับท่านลุง และได้รับรู้ว่าท่านแม่ของนางนั้นกำลังป่วย จึงต้องหาวิธีมารักษาท่านแม่ เฒ่าแก่หลินเป็นคนที่รู้เรื่องยาดีที่สุด และเป็นคนที่สามารถช่วยได้มากที่สุดในตอนนั้น ว่าจะต้องใช้เลือดของพวกฉงฉี มาเป็นยารักษา


     '....ฟังน่ะโรคร้ายของนางข้าเองก็จนปัญญาจะรักษาให้หายขาดแล้วจริงๆ ทำได้มากสุดก็แค่ไม่ให้อาการมันเลวร้ายไปมากกว่านี้เท่านั้น'


    เฒ่าแกหลินพูดพร้อมกับเดินไปที่ตู้เก็บของ ก่อนที่จะหยิบขวดบางอย่างออกมา แล้วเขาก็เดินเข้าไปหาชายร่างใหญ่ที่มีผิวขาวซีดที่ราวกับศพ 


         'นี่คือเลือดของสัตว์อสูรที่เรียกว่า ฉงฉี เลือดของมันนั้นมีคุณสมบัติในการรักษา แต่ว่า.....เฮ้อ...ถ้าเลือกได้ข้าก็มิอยากใช้เจ้านี่เลยจริงๆนะ'

         'ทำไม?'


    เนี่ยหมิงเจวี๋ยเอ่ยถามขึ้นกับผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปที่ตั้งเตียงที่มีร่างของน้องร่วมสาบานของตนนอนอยู่ และก็เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่เป็นลูกสาวของนาง ที่เขานั้นพึ่งรู้ว่ามี กำลังมองมาทางพวกเขาอยู่



         ในตอนนั้นหลานเมิ่งจำมิได้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน แต่พวกเขาก็พูดคุยกันอยู่สักพักด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด ก่อนที่ท่านลุงจะหยิบขวดที่ใส่เลือดของฉงฉี และตรงมาหาท่านแม่ของนางที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่


    เขาย่อตัวให้มาอยู่ในระดับที่พอเหมาะ และจ้องหน้าท่านแม่อยู่สักพัก ในตอนนั้นหลานเมิ่งมิอาจรู้ได้เลยว่าท่านลุงกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เพราะการกระทำของเขาในหลายๆอย่างมันขัดแย้งกันมากจนนางนั้นมิอาจเข้าใจ  


         'คนอย่างเจ้าน่ะกินของแบบนี้ไปก็ไม่ตายไวขึ้นหรอก'


    น้ำเสียงที่กล่าวมานั้นมันเหมือนกับเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ มือที่ถือขวดยาอยู่นั้นกำจนแน่น จนกลัวว่าขวดนั้นจะแตกคามือเมื่อไร หลานเมิ่งแอบคิดว่าท่านลุงน่าจะโกรธท่านแม่ด้วยเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ จึงทำให้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น


    มือหนาค่อยๆช้อนท้ายทอยของน้องร่วมสาบานให้ลอยขึ้นมาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะค่อยๆกรอกเลือดที่อยู่ในขวดให้นางกิน


    ตอนนั้นหลานเมิ่งสังเกตุเห็น สายตาที่มองมาที่ท่านแม่นั้นมันอ่อนลง ราวกับสงสารและเวทนา หลานเมิ่งคิดว่านั้นไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังโกรธอยู่เลยสักนิด


         'แล้วเลือดนี่จะมีผลอยู่นานแค่ไหน?'


    เขาหันกลับไปถามเฒ่าแก่หลิน ที่จู่ๆก็ทำท่าทางเหมือนกับโล่งอก โล่งใจกับอะไรบางอย่างออกมา เฒ่าแก่คลุ่มคิดอยู่ครู่นึง ก่อนที่จะตอบท่านลุงกลับไป แต่เหมือนว่าคำตอบนั้นจะทำให้ท่านลุงไม่พอใจเสียเท่าไร เฒ่าแก่หลินจึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นกลัว และดังขึ้นจนนางนั้นได้ยินเต็มสองรูหู


         '...ตะ ตะ แต่ถ้าเป็นเลือดของเทพอสูรละก็ อาจจะ- อ้า!ไม่สิ นางต้องหายจากโรคร้ายนี้แน่ๆ!'

         'เทพอสูรงั้นรึ? '

         'ช..ชะ..ใช่! ขอรับ'





         หลังจากนั้นครอบครัวของนางจากที่เคยมีอยู่กันแค่สองคน มีนางกับท่านแม่ ก็ได้มีท่านลุงเพิ่มเข้ามาอีกคน ถึงช่วงแรกๆท่านแม่กับท่านลุงจะคุยกันแต่ละทีแทบนับครั้งได้ แต่พอได้อยู่ใช้ชีวิตไปกันสักพัก ทั้งคู่ก็เริ่มคุยกันเป็นปกติ แบบที่ค่อยสมกับเป็นพี่น้อง(ร่วมสาบาน)ขึ้นมาหน่อย


    และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในชีวิตประจำวันก็คือ การออกไปตามล่าหาฉงฉี เพิ่มนำเลือดของพวกมันมาให้ท่านแม่ แต่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น ท่านลุงออกตามล่าหาเทพอสูรที่ว่านั้นมาโดยตลอด แต่ก็ไร้วี่แววที่จะพบ.....




    แต่ตอนนี้ มันมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว.....



    มือบางหยินคันธนูสีแดงคู่การ พร้อมกับลูกศรขึ้นมาหนึ่งดอกพร้อมกับเล็งเป้าไปที่เจ้าเทพอสูรที่กำลังเข้าปะทะกับศิษย์ตระกูลหลานสองคนอยู่ แต่สองคนนั้นก็ถูกพุ่งกระแทกจนเกาะแตก แล้วกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง..


    "ถ้าข้าได้เลือดมันมาละก็ ท่านแม่ก็จะ...."


         ใบหน้าของมารดาผู้เป็นที่รักฉายชัดขึ้นมา ความทรมารทุกอย่างที่เป็นผลมาจากโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหายได้ มันกำลังจะหายไป ถ้านางสามารถนำเลือดของเทพอสูรตนนี้กลับไปได้ละก็...



         นางเล็งลูกศรไปที่กลางหัวของเจ้าเทพอสูรตนนั้น แต่ยังมิทันจะยิงออกไปนางก็ต้องหยุดมือเอาไว้เสียก่อน เมื่อสังเกตดูดีๆแล้วจากมุมที่นางอยู่นั้น มีใครบางคนมาอยู่ขวางระยะการยิงของนางเสียได้


         'ทำไมถึงไม่หลบ เจ้านั่นอยากจะตายรึไง!?'


    จากมุมของหลานเมิ่งเป็นมุมจากข้างหลังของชายคนนั้นที่ขวางระยะการยิงของนางอยู่ ชายคนนั้นไม่ยอมหลบไป ได้แต่ตั้งค่ายกลขึ้นมากันการโจมตีของเทพอสูรเอาไว้เพียงเท่านั้น แต่ดูจากสภาพแล้วมันแทบจะกันเอาไว้ได้ไม่นานเสียแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นชายคนนั้นก็ยังคงไม่คิดหลบไปอยู่ดี


         'เจ้านั่นมัน คุณชายคนนั้นนี่'


    แต่เมื่อหลานเมิ่งลองสังเกตชายคนนั้นดูดีๆแล้ว ก็ทำให้จำได้ว่านั่นคืนคุณชายหลานคนนั้น ถึงแม้จะมองจากข้างหลังนางก็จำได้ เมื่อรู้แบบนั้นคิ้วของนางขมัวเข้าหากันจนเป็นโบว อดหงุดหงิดไม่ได้เอาเสียเลย


         'เจ้าคุณชายนั้น! ช่างขยันทำแต่เรื่องให้ข้าหงุดหงิดเสียจริง!'


         และไม่ทันไรค่ายกลที่คุณชายหลานตั้งขึ้นมาก็แตกออกทำให้เจ้าเทพอสูรพุ่งตรงเข้าใส่เขาได้ หลานเมิ่งแอบตกใจที่แม้ค่ายกลนั้นจะพังไปแล้วแต่คุณชายคนนั้นก็ยังไม่หลบไป


    "ให้ตายเถอะ! นี่เขาโง่หรือบ้ากันแน่เนี่ย!"


    ฟู่!!



         ชั่วพริบตาลูกศรในมือก็ถูกปล่อยออกไปพร้อมกับพลังปราณสีเหลืองอ่อน ลูกศรนั้นพุ่งผ่านข้างแก้มของคุณชายหลานไป ก่อนที่จะปักเข้าที่กลางหน้าผากของเจ้าเทพอสูรนั่นเต็มๆ


         แล้วนั่นก็เป็นจังหวะที่คุณชายหลานได้หิ้วศิษย์คนนึงติดมือกระโดดออกไปด้วย ส่วนเจ้าเทพอสูรนั้นมันปัดลูกศรที่กลางหน้าผากออกก่อนที่มันจะหันกลับมาสบตาเข้ากับนางเข้าพอดี


    หลานเมิ่งเมื่อสังเกตุเห็นว่าเจ้านั่นหันมาสนใจนางแล้ว ถ้านางล่อมันไปไกลๆละก็ ก็จะสามารถจัดการมันและเอาเลือดของมันมาได้ก็ได้


    นางกระโดดลงจากต้นไม้ ทันพอดีก่อนที่สายตาของคุณชายหลานจะมองกลับไป ถึงที่ตรงนั้นจะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่คุณชายก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ต้องมีคนสะกดรอยตามดูพวกตนมาเป็นแน่



         แต่ว่าตอนนี้เรื่องนั้นคงต้องปล่อยเอาไว้เสียก่อน ตอนนี้เขาต้องจัดการกับเจ้าสัตว์ร้ายตรงหน้าเสียที เจ้าเทพอสูรมันมองหันกลับไปยังทางข้างในป่า ก่อนที่มันจะรีบวิ่งหายเข้าไป เมื่อเห็นแบบนั้นหลานลู่ไม่รอช้ารีบตามไปทันที โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตุเห็นเขาเลย เพราะคนอื่นๆนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการฝูงฉงฉีตนอื่นๆอยู่




         เจ้าเทพอสูรตัวใหญ่วิ่งไปยังเส้นทางในป่าที่รกหนา แต่เพียงแค่ตัวของมันผ่านมาป่าก็แทบราบเป็นนาบกลอง ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ และพละกำลังมากทำให้ต้นไม้พวกนี้ไม่มีผลในการขวางทางมันให้ไล่ตามบางสิ่งไปได้


    หลานลู่ไล่ตามมาจนทันมองเห็นแผ่นหลังของมันอยู่ไกลๆ  จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ที่มันถางป่าราบไปตลอดทางที่มันผ่านมา ทำให้ไม่เสียเวลาในการตามมันมาจนทัน


    แต่สิ่งที่หลานลู่สงสัยก็คือ มันกำลังไล่ตามหาอะไรอยู่ จากที่ตอนแรกมันทำท่าทางจะพุ่งเข้าใส่เขาเสียอย่างเดียว แต่ตอนนี้กลับไล่ตามบางอย่าง


         'หรือว่าจะเป็น เจ้าของลูกศรนั่น...'



    ฟู่!! ปัก!!


    สายตาของหลานลู่มองขึ้นไปยังบนต้นไม้ซึ่งเป็นที่มาของเสียง ก่อนที่สายตาจะเห็นว่ามีลูกศพถูกยิงมาปักเข้าที่กลางลำต้นของต้นไม้ แล้วไม่ใช่แค่ต้นเดียว มีหลายๆต้นด้วยกันราวกับว่าจงใจที่จะยิงมาปักกลางลำต้นของต้นไม้มากกว่าที่จะยิงพลาด


         ยิงผ่านแก้มของเขาไปนิดเดียวแต่ก็เข้ากลางหน้าผากของเทพอสูรได้ขนาดนั้น คงไม่ยิงพลาดมาปักต้นไม้ขนาดนี้หลอก


    และไม่ใช่แค่นั้นถ้าลองตรวจสอบดูดีๆแล้วลูกศรที่ถูกยิงออกมาแต่ละดอกนั้นต่างมีพลังปราณสีเหลืองทองอ่อนๆติดมาด้วย ถึงจะเล็กน้อยก็ตาม แต่หลานลู่กลับคิดว่าตนนั้นรู้จักพลังปราณแบบนี้


          เพราะเขาเองก็สามารถใช้มันได้เช่นกัน....


    มือหนาจับกระบี่อ่อนที่อยู่ข้างกายตนด้วยความรู้สึกที่อธิบายมิถูก เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้อย่างไรดี วันนี้เขารู้สึกแปลกๆเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ได้พบกับเด็กสาวคนนั้น 


    เด็กสาวที่มีใบหน้าคล้ายครึงกับตน แต่แววตานั้นกลับคล้ายคนในกระดาบภาพม้วนนั้น.....



    โฮ่งๆ!"


         สุนัขดำที่แสนคุ้นตามาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า มันส่งเสียงเห่าใส่พร้อมกับมายืนขวางหน้ามิให้เขาไปต่อได้ แววตาคมของหลานลู่จ้องมองมันกลับนิ่งๆ พยายามยืนเฉยๆให้มันเห็นว่าเขามิได้มาร้าย

    จากท่าทางที่ขู่แยกเขี้ยว ดูไม่เชื่องในตอนแรกค่อยๆดูอ่อนลงไปทีละนิด แววตากลมใสดูเชื่องขึ้นมาในทันตา เจ้าสุนัขดำจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า ถึงใบหน้านั้นจะดูเหมือนใบหน้านายของมันมากก็ตาม แต่กลิ่นนั้นต่างกันออกไป เรื่องนั้นมันรู้ดี

    แต่เจ้าสุนัขดำกลับไม่คิดที่จะเข้าเล่นงานเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียอย่างนั้น



    "โฮก!!!!"


         หลานลู่ละออกมาจากเจ้าสุนัขดำ เมื่อกลับมามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง ลูกศรที่ปักอยู่ตามต้นไม้อยู่ก่อนหน้านี้นั้น จู่ๆมันก็ปล่อยออร่าสีเหลืองทองออกมา เมื่อเจ้าเทพอสูรตนนั้นมันวิ่งไล่กลับมายังจุดเดิม เมื่อมันก้าวเท้าเข้ามาในอานาเขตกับดักที่วางเอาไว้ตลอดทางนั้นก็ทำงาน ลูกศรที่ปักอยู่ตามต้นไม้ก็เปลี่ยนเป็นออร่าสีทองพุ่งขึ้นฟ้า ล้อมกันจนกลายเป็นตะข่ายยักษ์ พุ่งลงมากดทับเจ้าเทพอสูรตนนั้นเอาไว้ได้


    หลานลู่มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าที่ดูเข้งครึมมากกว่าเดิม วิธีการวางกับดักนั้นถึอได้ว่าไร้ที่ติ วางแผนมาดีถึงจะในระยะสั้นๆ แต่ก็สามารถตั้งค่ายกลตะข่ายยักษ์ได้แบบนี้ ถือว่าได้รับการสั่งสอนมาดีอยู่...แต่ว่า.....ตอนที่ตะข่ายมันมาบันจบกัน มันทำให้เกิดเป็นรูปสัญญาลักณ์ของลายบุผางาม


         ร่างของเด็กสาวคนนึงพุ่งตัวออกมาจากข้างทางนางยกคันศรขึ้นแล้วเล็งไปที่เจ้าเทพอสูร ลูกศรปักโดนตามตัวของมันอย่างต่อเนื่อง แต่ว่าลูกศรเหล่านั้นกลับไม่เข้าเนื้อมันเลยสักดอก ฉงฉีปกติผิวหนังของมันก็เเข็งมากอยู่แล้ว ขนาดกระบี่ทั่วไปยังแทงแทบไม่เข้า แต่นี่เป็นถึงระดับเทพอสูรคงยากที่จะทำอะไรได้


    เด็กสาวแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา ทั้งที่วางกับดักเอาไว้เป็นอย่างดี จนจับมันได้แล้วแท้ๆ แต่ธนูของนางกลับไม่เข้าเนื้อมันเลยสักนิด


    ฝ่ายเทพอสูรเองหลังจากที่มันโดนกับดักตะข่ายยักษ์กดทับอยู่นั้น ก็ได้ขยับตัวให้หลุดออกจากตะข่าย แต่วินาทีที่มันกำลังจะพังตะข่ายออกมา แผ่นยันต์สองแผ่นก็ถูกปามาเสริมเกาะเข้าไปอีกชั้นเป็นรูปลายเมฆา ทำให้เจ้าเทพอสูรเกิดชะงักไป ด้วยกระแสของพลังที่จะเล่นงานมันทุกครั้งที่ขยับตัว


         กลายเป็นว่า ทั้งโดนกดทับจากตะข่ายบุผา และโดนกระแสพลังโจมตีจากเกาะเมฆา.....


    "นี่เจ้า!?"


         หลานเมิ่งหันกลับมาก็พบว่าข้างหลังของนางนั้นมีคุณชายหลานมาปรากฎตัวอยู่ และไหนจะอาหยางเจ้าสุนัขดำของนางก็อยู่ข้างๆเขาด้วย แต่ว่าทำไมมันถึงไม่กัดเขาล่ะ!?


    "เจ้ามาทำอะไรที่นี่!? แอบตามข้ามางั้นหรอ!?"

    "นั้นควรเป็นคำถามของข้ามากกว่า เจ้าตามพวกเรามา"

    "ใครบอกล่ะ! ข้ารู้เส้นทางป่าแถวนี้ดีอยู่แล้ว แค่บังเอิญโชคดีที่วันนี้ได้เจอเจ้านี่ ที่อุสาตามหามาตั้งนาน"


    นางหันหน้ากลับไปมองเทพอสูรที่ยังคงโดนกักขังเอาไว้อยู่ ถึงนี่จะเป็นโอกาสดีที่จะเอาเลือดของมันก็ตาม แต่ว่าลูกธนูของนางคงทะลุหนังแข็งๆของมันมิได้อยู่ดี จนนางรู้สึกเสียดายที่การออกล่าครั้งนี้มิได้พาท่านลุงมาด้วย ถ้าเป็นดาบใหญ่ของท่านละก็ คงจะแทงหนังของมันได้มิยากเป็นแน่



    นัยน์ตาสวยของหลานเมิ่งหันกับไปเห็นกระบี่สีเหลืองทองที่อยู่ข้างเอวของคุณชายหลาน นางจ้องมองมันอยู่ครู่นึงก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่า ถึงธนูของนางจะมิเข้า แต่ถ้าเป็นกระบี่ของพวกเซียนล่ะ?....


         ใบหน้างามยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัยก่อนที่นางจะค่อยๆเดินไปหาคุณชายหลานช้าๆ ส่วนทางหลานลู่นั้นเมื่อเห็นว่าเด็กสาวดูแปลกๆไป จากที่ตะโกนโวยวายใส่ตนในตอนแรก แต่แล้วจู่ๆก็ยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเข้ามาหาตนช้าๆ แต่ก็มิได้แสดงท่าทีอะไรออกไปยังคงรักษากิริยาสงบนิ่งได้เป็นอย่างดี


    "นี่พี่ชาย...ไหนๆแล้วข้าว่าเรามาทำข้อตกลงกันหน่อยไหม ยังไงซะก็มีเป้าหมายเดียวกันก็คือเจ้าสัตว์ร้ายนั่น"


    นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมกับรอยยิ้มพริมใจแต่หลานลู่ก็ยังคงไม่ตอบสิ่งใดกลับไป นอกจากจ้องมองใบหน้าของนางเช่นเดิม พร้อมกับสังเกตดูนางไปด้วย แต่หูก็ยังฟังสิ่งที่นางพูดอยู่เช่นกัน


    "ข้าแค่ต้องการเลือดของมันนิดๆหน่อยๆไม่ถึงกับตายหลอก หลังจากนั้นท่านจะเอาตัวมันไปก็ได้เพราะข้าหมดธุระกับมันแล้ว....."


    นางยังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร หลานลู่ก็ยังคงไม่ตอบ ใบหน้านั้นจับจ้องมองไปที่ตัวเด็กสาว นอกจากใบหน้าที่คล้ายครึงกับตนแล้ว แววตาคู่นั้นมันช่างเหมือนกันจริงๆด้วย เขาคิด


    "แต่ท่านก็เห็นใช่ไหม ว่าลูกธนูของข้าน่ะแทบไม่เข้าเนื้อมันเลย แล้วแบบนี้ข้าจะเอาเลือดมันได้ยังไงกัน แต่ว่า ท่านสามารถช่วยได้นะ........"


         คราวนี้นางแสดงสีหน้าที่ดูเศร้าเสียใจจนหน้าสงสารออกมา แต่แววตาสวยนั้นมองไปที่กระบี่สีทองอยู่มิวางตา ก่อนที่มือบางจะค่อยๆยื่นออกไปหมายที่จะจับกระบี่เล่มนั้น

    "ถ้าให้ข้ายืมกระบี่ของท่านมา-"


    หมับ!!


    "อย่ามาแตะต้อง...กระบี่ของข้า"


    มือหนาจับเข้าที่ข้อมือเรียวบางเอาไว้พอดีกับที่มือของนางนั้นสัมผัสโดนกระบี่อ่อนของเขาเข้าพอดี หลานลู่พูดกับไปด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ ดวงตาคมนั้นจ้องกลับมาเขม็งจนดูหน้ากลัว จนทำให้หลานเมิ่งเองยังแอบสะดุ้งตัวเป็นมิได้ แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่นางจะกลับมายิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย


    "แหม...หน้ากลัวจังเลยนะพี่ชาย...ก็คิดอยู่แล้วละว่าคงมิง่ายขนาดนั้นน่ะ"


    หวัด!!


    มือบางอีกข้างที่มิได้โดนจับกุมนั้นสวนหมัดขึ้นมา แต่หลานลู่ก็สามารถหลบมันได้ หญิงสาวจึงยกขาขึ้นถีบเขาจนกระเด็น และนางเองก็กระโดดถอยออกมาตั้งหลักเสียก่อน


    "ถ้ามิให้ดีๆก็คงต้องแย่งมาสินะ"

    "........"


    หลานเมิ่งพูดขึ้นยิ้มๆก่อนที่จะพุ่งตัวกลับเข้าไปหาคุณชายหลาน มือบางกำกันจนแน่นก่อนที่จะสวนหมัดเข้าใส่ แต่คุณชายหลานก็สามารถหลบได้ แต่ก็มิได้โต้ตอบนางกลับไป ถึงแม้ในใจนั้นจะรู้สึกโกรธเครืองที่นางนั้นจะมายุ่งกับกระบี่คู่กายที่เขานั้นหวงแหน และดูเหมือนว่าเป้าหมายของนางตอนนี้ก็คือจะเอากระบี่ของตนนั้นไปจัดการเทพอสูรนั่น


    "เจ้าใช้กระบี่ข้ามิได้หรอก"

    "คิดว่าข้าปวกเปียกถึงขนาดจับอาวุธมิได้รึยังไงกัน เจ้านั้นแหละอย่าขี้งกไปหน่อยเลย แค่จะยืมใช้แค่ครุ่เดียวเท่านั้นแหละ!"


         'ไม่ นางไม่เข้าใจ นอกจากข้าแล้ว....ก็ไม่มีใครใช้กระบี่นี้ได้หรอก...'


         หลานลู่มิได้พูดในสิ่งที่ตนคิดออกไปเพราะดูท่าแล้วต่อให้ตนนั้นจะพูดออกไปเด็กสาวตงหน้าก็คงมิเข้าใจอยู่ดี มือหนายกขึ้นมากั้น และปัดมือของเด็กสาวออกไปทุกครั้งที่นางจะสวนหมัดมาใส่ตน แต่หลานลู่ก็มิได้โต้ตอบอะไรกลับไปอยู่ดี มันคงมิคุ้มที่จะชักกระบี่ออกมาจัดการนาง ทั้งๆที่นางก็มือเปล่า เพราะนางอาจจะอาศัยจังหวะที่ว่องไวของนางแย่งกระบี่ไปก็ได้ เช่นนั้นจึงเลือกที่จะตั้งรับมากกว่า


    "ให้ตายสิเจ้านี้ ดื้อด้าน หน้าหงุดหงิดเสียจริง"


    นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจที่เห็นคุณชายหลานมิยอมตอบโต้เอาแต่ตั้งรับการโจมตีของนางอยู่ฝ่ายเดียว ขาเรียวยาวตวัดลงไปที่พื้นอย่างแรงจนทำให้ใบไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นและเศษดินกระจายขึ้นมา


    หลานลู่ที่กำลังยกมือขึ้นมารับหมัดของนางอยู่นั้นมองดูการกระทำของนาง ว่าคิดที่จะทำอะไร แต่ทันทีที่นางตวัดขาลงไปบนพื้น พลังปรานอ่อนๆที่ปล่อยออกมาก็ทำให้ใบไม้ และเศษดินลอยขึ้นมาใส่ตน จนบดบังวิสัยทัศน์ไปครุ่นึง และนั่นก็เป็นจังหวะที่มือของเด็กสาวพุ่งเข้ามาที่กลางลำตัวของเขา


    หมับ!


    แค่เพียงเสี้ยววิที่มือของนางจะจับถึงกระบี่อ่อน คุณชายหลานก็สะบัดแขนไปโดนมือของนางทำให้เป้าหมายของนางพลาดไป ก่อนที่มือหนาจะพุ่งมาผลักเข้าที่ไหล่ของนางเข้าเต็มๆ จนเด็กสาวลอยกระเด็นออกมา


    "โธ่เอ้ย! อีกแค่นิดเดียวเอง!"


    นางพูดขึ้นมาอย่างเจ็บใจที่อีกแค่นิดเดียวนางก็จะกระชากกระบี่ออกมาจากฝักที่ข้างเอวของคุณชายหลานได้แล้ว ทางคุณชายหลานเองมองกลับไปที่นางอย่างมิพอใจ แต่แทนที่นางจะยอมแพ้หรือพุ่งเข้ามาแย่งกระบี่ไปอีก นางกลับแสยะยิ้ม


    "เอาเถอะยังพอมีเวลาอยู่ ไม่เอากระบี่เจ้าก็ได้ไว้ข้าค่อยไปแอบจิ๊กมาจากพวกเซียนคนอื่นๆที่มากับเจ้าก็ได้ อ่อ! แล้วก็....."


         นางชูบางสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นมาให้คุณชายหลานดู จากหน้าตาที่ไม่พอใจในตอนแรกแลดูประหลาดใจไปเพียงเล็กน้อย


    "ขอบใจที่เก็บของๆข้ามาคืนให้นะ ข้าจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเอง"


         หยกโบตั๋นพร้อมกับสายห้อยที่ขาดติดมือของนางมาด้วย ตอนที่นางจะแย่งกระบี่ไป ดวงตาสวยก็สังเกตุเห็นหยกโบตั๋นของนางที่ผูกติดอยู่กับขลุ่ยเซียว แต่ก็มิทันตั้งตัวโดนคุณชายหลานจับได้ จนโดนผลักออกมา


     แต่นางก็มือไวรีบคว้าหยกนั่นออกมาจนสายที่ผูกอยู่กับขลุ่ยจนขาดออก


    "มันมิใช่ของเจ้า"


    หลานลู่ก้มมองขลุ่ยเซียวที่ตนนั้นแนบเอาไว้ที่เอว ตอนนี้มีเพียงขลุ่ยแต่ว่าไร้วี่แววของพู่หยกของตนเสียแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงใจเย็นอยู่ และบอกความจริงนางไปว่านั่นมิใช่หยกของนาง


    "โกหกได้หน้าตายจริงๆนะคุณชาย นี่มันหยกของข้า! ตอนที่เจอกันที่โรงเตี๊ยมข้าทำมันตกเอาไว้ ตอนแรกข้าตั้งใจที่จะกลับไปหามัน แต่ว่ามันกลับมาอยู่กับเจ้า! แล้วยังจะมาโกหกอีกหรอ!?"


    "กฎตระกูลหลาน ห้ามโกหก ข้าพูดความจริงนั้นมิใช่ของๆเจ้า...."

    "ยังจะมา-"



    "หยกของเจ้า ยังอยู่ที่ข้า"


         ก่อนที่หลานเมิ่งจะโต้เถียงกลับมาหลานลู่ก็ได้หยิบหยกโบตั๋นอีกอันออกมาจากในอกเสื้อขึ้นมาให้นางดู เมื่อเห็นแบบนั้นดวงตาสวยของหลานเมิ่งก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับขมัดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ นางมองหยกโบตั๋นในมือตนเองสลับกับที่มือของคุณชายหลาน มันเหมือนกันมากจนเหมือนเป็นอันเดียวกัน


    "อะ...อะไรกัน..ทำไมเจ้าถึง..มีมัน..."

    "ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ว่าทำไมเจ้าถึงมีหยกนี้เหมือนกันกับข้า"


    "โฮ่งๆ!"


        เสียงเห่าของอาหยางที่ยืนมองทั้งคู่อยู่เงียบๆมาเสียนานจู่ๆมันก็เห่าส่งเสียงขึ้นมา หลานเมิ่งหันกลับไปมอง ทางหลานลู่เองก็เช่นกัน แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรต่อ ก็ต้องตกใจยิ่งกว่ากับสิ่งที่ทำให้อาหยางเห่า


    โครม!!  โฮกกกกก!!!!


    ค่ายกลที่เอาไว้ใช้กักขังเจ้าเทพอสูรขาดสะบั้น ปีกขนาดใหญ่กางออกพร้อมๆกับเสียงคำรามที่ดังกึกก้อง ค่ายกลที่ใช้กักขังมันต้านเอาไว้มิอยู่เสียแล้ว


    "หมอบลง!!"


    หมับ!


    ร่างของเด็กสาวล้มลงไปพร้อมๆกับร่างของคุณชายหลานที่พุ่งตัวเข้ามาจับนางกดลงไปกับพื้น ร่างของทั้งคู่นอนหมอบอยู่กับพื้น ทันพอดีกับที่เจ้าเทพอสูรที่พังค่ายกลออกมาแล้วพุ่งทะยานเข้ามาใส่ 


    "ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย!ข้าเจ็บนะ!"

    ".......อ่า ข้ามิน่าช่วยเจ้าเลย เกือบจะตายเป็นวิญญาณเฝ้าป่านี้อยู่แล้วยังมิรู้เรื่องอีก"


    หลานลู่พูดประชดนางกลับไปอย่างเหลืออด ใครบอกว่าคุณชายหลานลู่ผู้นี้นิ่งสงบดุดสายน้ำ เย็นชาดุดแผ่นน้ำเเข็งเช่นเดียวกับผู้เป็นอาของเขาละก็ คงต้องบอกได้เลยว่าคิดผิด เวลาที่คุณชายหลานผู้นี้เหลืออด หรือหงุดหงิดขึ้นมานั้น จะปากร้ายขึ้นมาในทันใด


    หลานเมิ่งเมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจที่ออกมาจากปากคุณชายหลานนั้น แทนที่นางจะรู้สึกโกรธที่โดนพูดแบบนั้นใส่ แต่นางกลับมองกลับไปอย่างมิเชื่อหู ว่าคุณชายที่ดูนิ่งๆหยิ่งๆคนนั้นในสายตานาง จะรู้จักพูดจาร้ายกาจเช่นนี้ด้วย บวกกับสีหน้าที่แสดงออกอย่างมิพอใจแบบสุดๆนั้นอีกล่ะ


         นี่ถ้าทำให้ยิ่งหงุดหงิกให้มากกว่านี้ จะพูดคำร้ายกาจออกมาอีกรึเปล่านะ นางคิดอย่างนึกสนุก....


    แต่ก่อนที่เด็กสาวจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น ทั้งนางและคุณชายหลานก็ต้องมองกลับไปที่เทพอสูรที่ตอนนี้นั้นมันได้ทยานขึ้นไปบนฟ้าเสียแล้ว แววตาสีอำพันของมันมองกลับมาที่ทั้งสอง


         นอกจากออร่าวิญญาณของคุณชายหลานจะน่าลิ้มลองแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีของน่าลิ้มลองขึ้นมาอีกชิ้น


         เด็กสาวที่อยู่ข้างๆนั้นออร่าที่ปล่อยออกมา ก็มีทั้งสีขาวและสีดำที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน...

     

         ในตอนที่มันถูกขังอยู่ในค่ายกลที่มีทั้งพลังของสองคนนั้นมาประสานกัน ถ้าเป็นปกติค่ายกลเพียงแค่นั้นมันก็พังออกมาได้ง่ายๆในพริบตา แต่ว่าครั้งนี้มันต่างออกไป พลังค่ายกลจากพลังของสองคนนั้นเมื่อมันรวมกันแล้วยากที่จะพังออกมาได้ง่ายๆ ขนาดมันที่เป็นถึงเทพอสูรยังต้องใช้เวลากว่าจะพังออกมาได้ ก็ต้องของคุณที่ในช่วงเวลานั้น สองคนนั้นต่อสู้กันเองเสียก่อนมิเช่นนั้นมันอาจจะเสียท่าเอาได้เลยก็ได้


    (ตั้งแต่ตรงนี้ไปมีการแก้ไขบท)

    แก้ไขเมื่อ16/9/65


          เทพอสูรคิด ถ้าเกิดสองคนนั้นร่วมมือกันขึ้นมาตัวมันเองนั้นแหละที่จะเสียท่าได้ ดังนั้นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อมิให้สองคนนั้นกลับมาเล่นงานมันได้อีก!




    "เฮ้ย!!ไม่นะ! เดียวสิแก!"


         หมับ!!


         เพียงชั่วพริบตาขาหน้าที่มีกรงเล็บขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามาจับเข้าไปที่ร่างของเด็กสาวที่มัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรอยู่เอาไว้ ก่อนที่จะทยานขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางสายตาตกใจของคุณชายหลาน


    "ปล่อยนะ! ปล่อยข้าสิ!!"


    นางพูดไปพร้อมกับพยายามทุบไปที่กรงเล็บที่จับนางอยู่ เพราะโดนจับเอาแบบนี้จึงไม่สามารถหยิบคันธนูออกมาใช้ได้ คุณชายหลานที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้นิ่งเฉยชักกระบี่ออกมาก่อนที่จะใช้กระบวรท่าพุ่งเข้าใส่ หวังจะโจมตีที่เหนือขาหน้าเพื่อให้ปล่อยเด็กสาว


    แต่ดูเหมือนเจ้าฉงฉีจะรู้ทัน มันจึงยกเด็กสาวขึ้นมาเป็นโล่เอาไว้ ทำให้หลานลู่ต้องหยุดมือเอาไว้เสียก่อน ฉับผลับหางยาวๆของมันก็ฝาดลงมาใส่เขาจนต้องยกกระบี้ขึ้นมากัน กลับลงไปตั้งหลักที่พื้น


         เทพอสูยยิ้มเยาะ ก่อนที่จะหลังและปินจากไปพร้อมกับเด็กสาวที่ร้องตะโกนเสียงหลง


    เจ้าสุนัขดำที่ยืนมองอยู่ห่างๆไม่อาจเข้าไปในการต่อสู้ได้ มันเห่าเรียกเจ้าน้ายของมันที่ถูกพาตัวไป มันพยายามจะวิ่งตาม แต่ก็หันมาคาบชายผ้าของคุณชายหลานไปด้วย เหมือนพยายามบอกว่าให้ไปช่วยนายของมันหน่อย


    "ข้าช่วยนางแน่ ก็หยกของข้ายังอยู่ที่นางนินะ"


         ต่อให้ไม่ต้องบอกเขาก็คิดเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะพู่หยกโบตั๋นของเขามันอยู่ที่นางนิน่า 


         กล่าวจบคุณชายหลาน และเจ้าสุนัขดำอาหยางก็ออกตัววิ่งตามทิศทางที่เทพอสูรบินหายไป ต่อให้ในบางครั้งจะหาทิศทางที่แน่ชัดมิได้ว่ามันไปทางไหน แต่ก็ต้องขอบคุณอาหยางที่มันจับกลิ่งของเจ้านายมันได้ มันจึงเห่าเรียกเป็นสัญญาให้ตามไป ขณะที่คุณชายหลานวิ่งตามไปเรื่องๆนั้นก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนกับน้ำไหล พร้อมกับได้ยินเสียงร้องของเด็กสาวมาแต่ไกล จึงได้เริ่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึง


         ซึ่งสถานที่ๆเขามาถึงนั้นก็คือ ป่าน้ำตก




    “ซวยแล้ว ซวยแล้ว! ซวยแล้ว!! เจ๋ออู๋จวินเอาพวกเราตายแน่!!”

     

    เสียงของจิ่งอี๋ที่ร้องเสียงหลงดังสนั่นขึ้นมาอย่างเริ่มที่จะสติแตก หลังจากที่ใช้เวลาตามหาคุณชายของพวกตนนั้นมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ไร้วี่แวว นอกเสียจากร่องรอยของเทพอสูร มันถางป่าจนราบตลอดทางที่มันผ่านไป แต่แล้วจู่ๆร่องรอยของมันก็หายไปเสียดื้อๆ รวมถึงร่องรอยของคุณชายก็ด้วย


     ใครๆก็รู้กันว่าประมุขหลานนั้นทั้งรัก และหวงคุณชายมากขนาดไหน ถ้าลูกชายที่เป็นดังแก้วตาดวงใจที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวเป็นอะไรไปขึ้นมาละก็……

     

    หลานจิ่งอี๋มิอยากจะคิดถึงเลยว่าพวกตนนั้น จะโดนอะไรบ้าง

     

    “จิ่งอี๋ใจเย็นๆก่อน คุณชายน่ะต้องมิเป็นอะไรแน่ๆ เขาเอาตัวรอดได้ แต่เราแค่ต้องหาเขาให้พบ”

    “นั้นแหละที่ข้าเป็นกังวลซือจุย! ปกติคุณชายก็มักหาตัวยากอยู่แล้ว แต่นี่เล่นหายไประหว่างออกล่าแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา เรานี่แหละจะซวย!!”

    “ใจเย็นๆก่อนสิ”

     

    ซือจุยก็ร้อนใจมิต่างกันหรอก ก็พอเข้าใจความรู้สึกของจิ่งอี๋อยู่ที่จะหวาดกลัวเช่นนั้น เพราะตั้งแต่เหตุการ์ครั้งก่อน คุณชายก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของประมุขหลานให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป 

         หลานซือจุยเขามิได้คิดว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นมันออกจะเกินความเป็นจริงไปหน่อยหรือไม่ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าหากว่าประมุขหลาน เสียคุณชายไปอีกคนละก็…

     

    ตระกูลหลานคงจบสิ้นที่จะมีทายาทสืบสกุล….

     

      เมื่อนึกถึงประมุขหลานแล้วมันก็อดมิได้ที่ซือจุยจะหลงคิดไปถึงเหตุการ์เมื่อ13ปีก่อน มันก็คือเหตุการ์ที่วัดกวนอิน หลังจากเหตุการ์ในครั้งนั้นมันทำให้ท่านประมุขของพวกตนนั้นราวกับดวงใจสลาย มิเป็นอันทำสิ่งใด เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนเหมันต์ตลอดเวลา

     

         เหตุก็เพราะสตรีเพียงนางเดียว สตรีที่ผู้คนทั่วทั้งยุทธภพต่างรังเกลียด และเรียกนางว่า หญิงชั่ว

     

    แต่ว่า....นอกจากนางจะเป็นคนทำให้ดวงใจของประมุขหลานแตกสลายแล้ว นางก็เป็นผู้มอบดวงใจดวงใหม่ ให้แก่ประมุขหลานอีกเช่นกัน


         หลานลู่ นามรอง หลวนเฉิน  บุตรชายที่ถือกำเนิดจากประมุขหลาน และหญิงชั่วผู้นั้น


    ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน ได้ความงดงามหน้าหลงไหลชวนมองมาจากผู้เป็นบิดา ที่ได้ชื่อว่างามอันดับหนึ่ง แต่แววตาคู่นั้นกลับเหมือนผู้เป็นมารดาที่ให้กำเนิด


    ดวงใจดวงใหม่ ที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้เก็บรักษา และจะปกป้องให้ดีที่สุด





    โครม!!!

     

     

     

    “หวา! เสียงอะไรน่ะ!?”

    “พวกเจ้าตามข้ามา”

     

         จู่ๆก็เกิดเสียงดังสนั่นดังกึกก้อง เว่ยอู๋เซี่ยนรีบวิ่งไปยังต้นตอของเสียง ซือจุย จิ่งอี๋ และเหล่าลูกศิษย์อีกบางส่วนที่ตามพวกเขามาตามหาคุณชาย ต่างพากันวิ่งไปยังต้นตอของเสียง แล้วเมื่อไปถึง ก็พบว่าสถานที่ที่พวกตนนั้นมาถึงก็คือน้ำตกกลางป่า



    (ความจริงมันต้องเป็นตอนกลางคืนนะ)

     


         น้ำตกที่ไหลทอดลงมาจากยอดเขาสูง อากาศเย็นสบาย น้ำใสจนสามารถเห็นพื้นได้อย่างง่ายดายเป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามเป็นอย่างมาก มิว่าผู้ใดมาเห็นกับตาก็คงจะหลงไหล และชื่นชมกับความงดงามนี้


    เว้นเสียแต่ว่า พวกเขาจะรู้ว่าที่นี่มีตัวอะไรอาศัยอยู่กัน....


    "น้ำตกกลางป่านี้ เป็นที่ๆพวกเราตั้งใจจะมาแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ"

    "ใช่ ที่ๆเงียบสงบ และอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ล่ะ พวกสัตว์นักล่าหรือแม้แต่อสูรก็ชอบมารอดักผู้ที่หลงมาชมความงามของมันเสียเหลือเกิน"


    ซือจุยหันไปขอความเห็นกับผู้ที่อาวุโสที่สุดในที่แห่งนี้ ว่าความคิดของตนนั้นถูกต้องหรือไม่ ว่าสถานที่นี้นั้นคือที่ๆพวกตนตั้งใจจะมาแต่แรก หากมิถูกฝูงฉงฉีเข้าโจมตีเสียก่อน


    จากที่เว่ยอิงคาดการไว้หลังจากที่ตนนั้นไปหาแบาะแสและฟังคนในหมู่บ้านพูดกันว่าน้ำตกกลางป่าแห่งนี้นั้น คือรังแห่งสุดท้ายที่สัตว์อสูงหลบซ่อนและอาศัยอยู่ แต่ว่าสืบหาเเบาะแสไปได้มิเท่าไร ตนนั้นก็ถูกสุนัขดำมาวิ่งไล่เอาเสียก่อน จนที่หาข้อมูลมาได้ก็มีแต่ที่นี่เท่านั้น


         แต่จากที่ตนได้ความมานั้นที่นี่จะเป็นรังที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรมิมีผู้ใดกล้าเข้ามานอกจากพรานล่าสัตว์ประจำหมู่บ้านสองคนเท่านั้น ซึ่งพรานที่ว่าก็มิอาจทราบได้อีกว่าเป็นใคร เพราะพวกเขาอาศัยอยู่นอกหมูบ้าน และตนนั้นก็ถูกหมาไล่ก่อนที่จะทันได้ถามเสียอีก


    "อ้ะ!?ผู้อาวุโสเว่ย!ดูนั่นสิขอรับ!"



    โครม!!!


         มิทันจะได้หันไปดูสิ่งที่ซือจุยชี้ให้ดู ที่บริเวณฝั่งตรงข้าวที่ยอดน้ำตก ก็เกิดเหตุปะทะขึ้น ทำให้พื้นดินสั่งไหวควันตะลบอบอวน แต่ก็เพียงชั่วครู่ก็ที่จะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แต่ภาพที่เห็นนั้นก็ทำให้ใจของเหลาอนุชนตละกูลหลานและเว่ยอู๋เซียนต้องเบิกตากว้างอย่างใจหาย


         เพราะภาพที่พวกเขาเห็นคือ คุณชายหลานที่พวกเขากำลังเป็นห่วงนั้น กำลังถูกเทพอสูรใช้ขาหน้ากดทับเอาไว้ที่ขอบน้ำตก!!


    "คุณชาย!!"



    กรรม์!!!!


         มิต้องรอให้ผู้ใดสั่ง เหล่าอนุชนตละกูลหลานทั้งหลายรวมถึงเว่ยอู๋เซียนด้วยนั้น ต่างพุ่งตัวเข้าไปหมายที่จะช่วยคุณชายของตน แต่ดูเหมือนเทพอสูรฉงฉีจักมิอยากให้ใครเข้ามาขัดง่ายๆ มันละความสนใจจากคุณชายหลานที่เข้ามาแย่งเหยือของมันไปก่อนหน้านี้ มันหันกลับมาคำรามเสียงดังกึกก้องใส่เหล่าเซียนที่พยายามเข้ามาโจมตีมัน เสียงที่ปล่อยออกมานั้นรามกับมีแรงดันสูง ทำให้ผลักเหล่าเซียนน้อยกระเด็นออกไป


    เว่ยอู๋เซียนที่ยังพอตั้งรับได้นั้นหยิบทั้งขลุ่งและยันต์ของตนเองขึ้นมา แผ่นยันต์สีเหลือที่ถูกขิดเขียงด้วยตัวอักษรสีแดง ถูกปาออกไประอองสีดำแดงออมาจากแผ่านยันต์นั้นก่อนที่มันจะลอบไปติดที่เทพอสูร เพียงแค่สัมผัสก็ร่าวกับถูกตรึงเอาไว้ เสียงขลุ่งก็บรรเลงขึ้นมาทำให้แผ่นยันต์นั้นมีลิทธิ์มากขึ้น แต่ก็คงคุมได้อยู่ไม่นาน


    พู่!!


    ในจังหวะนั้นได้มีลูกศรปริศนาลอยมายิ่งเข้าไปที่ดวงตาข้างขวาของเจ้าเทพอสูรเข้าพอดี ทำให้มันสงเสียงร้อยอย่างเจ็บปวด เพียงไม่นานเจ้าของลูกศรนั้นก็ปรากฎตัวขึ้น พุ่งตัวไปดึงคุณชายหลานที่สะบักสะบอม จากการเข้าต่อสู้กับเทพอสูรออกมาได้ทัน



         เด็กสาวปริศนาพาร่างของคุณชายหลานถอยออกมายืนตรงบริเวณขอบน้ำตก นางเองก็เจ็บขาและแขนจากการโดยขาหน้าของเทพอสูรจับเอาไว้ จึงทำให้ขยับตัวไปได้ไม่มากนัก การที่นางฝืนลุกมาช่วยขนาดนี้ก็ฝืนนางมากแล้ว


    "ถือว่าหายกันนะ เรื่องที่เจ้าช่วยข้าไว้"


         หลานเมิ่งเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองดวงตาของคุณชายหลานตรงๆ คุณชายหลานมิได้พูดอะไรตอบ ก่อนที่จะมองไปที่มืองของนางที่ยังกำหยกพู่ของเขาเอาไว้อยู่ ในอกเสื้อของเขาเองก็มีหยกของนางอยู่เช่นกัน



    การปรากฎตัวของเด็กสาวปริศนาสร้างความตกใจปนสงสัยให้กับทุกคน จิ่งอี๋หันสีหน้าไปหาซือจุยเหมือนจะถามว่านางเป็นใคร สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน แต่ซื่อจุงเองก็ทำสีหน้าบอกว่าตนก็ไม่รู้เหมือนกัน


    แต่เมื่อทั้งคุณชายหลานและเด็กสาวคนนั้นหันหน้ากลับไปมองที่เจ้าเทพอสูรนั้น มันก็ทำให้พวกเขา และเหล่าศิษย์คนอื่นๆเห็นใบหนาของนางชัดมากขึ้น


         สตรีผู้นั้นมีใบหน้าเหมือนคุณชายเลย!?


         แม้แต่เว่ยอู๋เซียนเองก็ตกใจมิต่างกัน แต่เขายังมิสามารถหันไปสนใจได้เพราะเขาต้องมีสมาธิอยู่กับการตรึงเทพอสูรนี้เอาไว้เสียก่อน-



    "โฮ่งๆ"


    เสียงเห่าที่คุ้นเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน ก่อนที่สุนัขดำจะวิ่งออกมาจากป่า มันพยายามวิ่งไปหานายของมัน แต่มันก็ต้องวิ่งผ่านหน้าของเว่ยอู๋ซียนไปด้วย ช่วงเหมือนชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง สมาธิที่พยายามจะตรึงเทพอสูรเอาไว้นั้นผลัยต้องแตกกระเจงเมื่อเจ้าสนัขดำนั้นวิ่งเข้ามาไกล้เพื่อจะผ่านหน้าเขาไป


    "มะ มะ หมา!! อ็ากกก!!"


         ริมฝีปากที่กำลังเป่าขลุ่ยอยู่นั้นพลันต้องกลายเป็นแหกปากร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลับที่ฝังเข้ากระดูดดำที่มีต่อหมา 


    นั้นจึงทำให้อาคมที่ช่วยเสริมให้ยันต์แกร่งกร้าขึ้นพลันอ่อนกำลังลง  ก่อนที่มันจะถูกเผาไหม้ไป ทำให้เทพอสูรเป็นอิสระอีกครั้ง ฉับพลันร่างของเทพอสูรก็พรุ่งตรงใส่เป่าหมายของมันในทันที


    "ยะ แย่ละสิ! อาลู่! ระวัง!!"


         เสียงเตือนขอเว่ยอู๋เซียนเหมือนจะสายไปแล้ว ร่างของเทพอสูรขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ร่างทั้งสองร่างที่ยืนอยู่ที่ขอบน้ำตก ซึ่งสภาพของทั้งคู่นั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะพร้อมสู้อีกแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจักยอมแพ้....


    "เกาะไว้!!"


    มือหน้าของหลานลู่ชักกระบี่ออกมาอักครั้ง แต่มืออีกข้างรวบเอวของเด็กสาวเอาไว้ให้ไกล้กับตน เมื่อร่างของเทพอสูรไกล้เข้ามา หลานลู่รู้ดีว่าด้วยเรี่ยวแรงของตนตอนนี้นั้นแค่กระโดดหนีก็ไม่มีแรงแล้ว จักฟันมันก็มิเข้า

         

          แต่ถ้าเป็นแรงของมันเองละ....



    "คุณชาย!!"

    "อาลู่!!"



         เสียงของผู้คนรอบข้างต่างร้องเรียกอย่างตกใจ เมื่อร่างของคุณชายหลาน และเด็กสาวปริศนานั้นหงายหลัง ยกลงไปที่ขอบน้ำตก พร้อมๆกับร่างของเทพอสูร มือหนาของหลานลู่ยื่นออกไปสุดแขนอยางมั้นคง เมื่อร่างของเทพอสูรที่พุ่งเข้าใส่อยางเต็มแรงนั้น ทำให้กระบี้ที่ยื่นออกไปรออยู่แล้วเสียบเข้าไปที่บริเวณอกของมันเข้าพอดิบพอดี แต่ดูเหมือนยังแรงยังไม่พอที่จะปริดชีพมันได้ แต่หลานลู่ก็พยายามที่จะดันกระบี่ไปให้มากกว่านี้แต่แรงของตนนั้นก็มีไม่พอ


    ตอนนั้นเองมือเรียวบางของคนข้างกายก็ยื่นมาช่วยจับกระบี่และส่งแรงเข้าไป หลานลู่หันไปมองเด็กสาวคนข้างๆที่พยายามส่งแรงไปที่กระบี่ ดังนั้นเขาจึงเข้นพลังออกมาอีกครั้งพร้อมกลับส่งพลังปราณออกไป จนสุดปลายกระบี่นั้นแทงทะลุไปสดปลายด้าม

         ฉับพลันก็เกิดออร่าแสงสัญญาลักษณ์บุผางามสีเหลืองทองออกมา ทะลุผ่านร่างเทพอสูรออกไป ทั้งที่ปกติแล้วมันควารที่จะเป็นสีฟ้าสัญลักษณ์เมฆาแท้ๆ.......



    สิ้นแสงนั้นร่างของทั้งสองรวมถึงเทพอสูรก็ตกลงไปที่ปลายสุดของน้ำตก


    ______________________________________________________________________________

    ไรท์วาดเองจร้าาาา


    (ความจริงชุดของแฝดหญิงตอนนี้ควรเป็นสีดำอะนะ)




    ตอนนี้มีการแก้ไขบท ตอนที่แต่งแรกๆไรท์ก็คิวว่ามันต้องแก้แน่ๆ เพราะมันมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่มาก เพราะงั้นเลยเลยมาแก้ตั้งแต่ตอนนี้ และก็บทที่ 8 ด้วย


    เจอคำผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×