ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พยานรักแฝดหยกโบตั๋น [(ซีเหยา) อาเหยาเป็นผู้หญิง มีลูกแฝดกับพี่ซี]

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 64




    (น้องออกจะน่ารักกลัวทำไม อิอิ^^)




    "มันมาอีกแล้วเหรอออออ!!!!"


    "โฮ่งๆ!"



         เสียงร้องที่ดังรั่นป่าจนทำให้ฝูงนกต่างตกใจบินหนีกันไปหมดนั้น มาจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในที่แห่งนี้ และยังเคยเป็นถึงอันดับหนึ่งในด้านสายวิชามารอย่า ปรมาจารย์อี๋หลิง อีกด้วย แต่เวลานี้ ณ ตอนนี้....คนผู้นั้น...



         กำลังร้องแหกปากวิ่งหนีหมาอยู่....



    "อะไรกันอีกละนั้นน่ะ...."

    หลานจิ่งอี๋พูดขึ้นมาด้วยท่าทาง และน้ำเสียงที่สุดแสนจะเหนื่อยใจ มือที่จับกระบี่เตรียมความพร้อมอยู่ก่อนหน้านี้นั้นถึงกับลดมือลง เช่นเดียวกับเหล่าศิษย์คนอื่นๆก็เช่นกัน พวกเขาแทบจะลดความระแวกระวังตัวก่อนหน้านี้ลงในทันทีที่รู้ว่าเสียงแปลกๆที่ได้ยินหลังพุ่งไม้นั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงเจ้าสุนัขดำตัวเดียวนั้นเอง


    "ไม่นะไม่!! หลานจ้านช่วยข้าด้วย!!!"

    ตอนนี้ภาพที่เหล่าศิษย์ตระกูลหลานเห็นก็คือ ผู้อาวุโสเว่ยปีนขึ้นไปเกาะบนต้นไม้แล้วร้องแหกปากขอให้ชายคนรัก? ที่มิได้อยู่ในที่แห่งนี้มาช่วยตนที











    อีกด้านนึง


         มือหนาที่กำลังกวักแกว่งพู่กันขีดเขียนอยู่นั้นหยุดชะงักลงไปทันใด ใบหน้าหล่อคมคายแต่ชอบทำหน้านิ่งเป็นพระพุทธรูปนั้นเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะหันกลับไปมองที่หน้าต่างบานใหญ่ ที่ด้านนอกนั้นเป็นภาพวิวทิวทัศน์ของอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ในยามค่ำคืนที่ตนนั้นเห็นมาตั้งแต่จำความได้

     แต่ว่าสายตาที่มองออกไปนั้นมันมิได้มองภาพวิวทิวทัศน์อันสวยงามของธรรมชาติยามค่ำคืนเหล่านั้นเลย แววตาคมคู่นั้นเหมือนมองหาบางสิ่งที่อยู่ไกลออกไปจนมองจากที่ๆตนเองอยู่ ณ ตอนนี้ก็มิมีทางมองเห็น


    "วั่งจี...?"

    หลานซีเฉินที่พึ่งจะเดินเข้ามาในเรือนพักส่วนตัวของน้องชาย อดมิได้ที่จะเอ่ยเรียกพร้อมกับแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเมื่อตนนั้นเข้ามาเห็นว่า น้องชายของตนนั้นกำลังเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่

    "มีอะไรรึเปล่า?"

    เขาเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง หลานวั่งจีละสายตาออกจากหน้าต่าง ก่อนที่จะหันกลับมาตอบกับพี่ชายของตนเอง

    "ข้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของเว่ยอิง"
    "คุณชายเว่ยน่ะหรือ?"


    หลานวั่งจีมิได้ตอบ แต่คนเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างหลานซีเฉินนั้นพอดูออกว่าน้องชายของตนนั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขายกยิ้มขึ้นมาน้อยๆก่อนที่จะนำพวกกระดาษม้วน คัมภีร์ที่ตนนั้นไปหามาจากห้องลับขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะเตี้ยข้างๆน้องชาย



    "ถ้าเสร็จจากกองงานนี้แล้ว เจ้าจะตามไปก็ได้นะ"


    คำพูดนั้นทำให้หลานวั่งจีหันกลับมาสนใจก่อนที่จะเห็นใบหน้าที่ยกยิ้มน้อยๆของพี่ชายตน ก่อนที่จะละสายตาแล้วรีบกลับมาจดจ้องอยู่กับงานตรงหน้าต่อให้เสร็จ

    หลานซีเฉินมองการกระทำนั้นก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นมา ว่านั้นเป็นคำตอบว่า ตกลง 

    ดังนั้นเพื่อช่วยให้น้องชายของตนตามไปหาคนรัก? ได้ไว้ขึ้น เขาจึงช่วยเอางานส่วนนึงมาช่วยกันทำ และก็เว้นระยะหันไปมองอ่านกระดาษม้วนที่ตนนำมาอ่านด้วย เพราะมันเป็นข้อมูลของสัตว์อสูตฉงฉีที่กำลังอาละวาดอยู่ ณ ตอนนี้ เขาคิดว่ามันน่าจะพอมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็เป็นได้

    สายตาคมจับจ้องมองลงไปที่ตัวอักษรที่ถูกเขียนเอาไว้ มันมีหัวข้อนึงที่เป็นหัวข้อที่น่าสนใจอยู่มิน้อย แต่หลานซีเฉินเองก็ยังมิแน่ใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในครั้งนี้หรือไม่ แต่ก็ยังคงอ่านมันไปด้วยเผื่อว่ามันจะมีประโยชน์ในอนาคต ในหัวข้อที่ว่า......




    'ผลข้างเคียง จากอาการขาดเลือดของฉงฉี...'


















    "เฮืออ....วันนี้มันวันอะไรของข้ากันเนี่ย ถึงโดนเจ้าหมานั้นจองเวรจองกรรมเช่นนี้นะ!"

    "ข้าว่าท่านโดนเจ้าหมานั้นหลงรักเข้าให้แล้วละมั้ง มันถึงตามมายังนี้ ฮ่าๆ!"


         หลานจิ่งอี๋กล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะชอบใจที่ได้แซวผู้อาวุโสผู้กลัวหมาจนขึ้นสมองเช่นนี้ และคำพูดนั้นก็ทำให้ศิษย์หลายคนแอบขำตามๆกัน แม้แต่หลานซือจุยเองยังแอบยิ้มขำเช่นกันเลย ส่วนคุณชายหลานลู่เองก็มิเว้น ยกยิ้มขึ้นมาขำเบาๆ แต่มันก็เป็นยิ้มที่นานๆทีจะได้มีโอกาศเห็นละนะ



         หลังจากที่พวกเขาช่วยกันไล่เจ้าสุนัขดำนั้นไปจนได้ พวกเขาก็เริ่มที่จะออกเดินทางกันต่อ เว่ยอู๋เซี่ยนที่ทั้งเสียอาการไปเมื่อครู่นี้นั้นถึงจะพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือมากแค่ไหน แต่ภาพจำก่อนหน้านี้ที่วิ่งหนีร้องแหกปากปีนขึ้นไปบนต้นไม้นั้นก็คงจะลบออกไปจากหัวของเหล่าศิษย์ตระกูลหลานมิได้แล้วล่ะ



         ขณะเดินทางตระกูลหลานนั้นเดินทางต่อกันไปเรื่อยๆ จนพวกเขาเข้าใกล้กับน้ำตกมากขึ้น บรรยากาศรอบๆก็เริ่มเปลี่ยนไป เมฆบนท้องฟ้าหนามากขึ้นจนบดบังแสงจันทร์ที่จะสาดส่องลงมา มีหมอกหนาลงมายังพื้นที่มากขึ้น แล้วไหนจะเสียงร้องของเหล่าสัตว์ที่ออกล่าตอนกลางคืนก็มิมี เสียงแมลงสักตัวก็ไร้วี่แวว นั้นป็นสัญญาณที่บอกว่าพวกเขานั้นได้เข้ามาในเขตของเจ้าสัตว์อสูรแล้ว


    "หยุดก่อน"



         จู่ๆเว่ยอู๋เซี่ยนก็สั่งให้ทุกคนหยุด



    แกร็บ!!



         เกิดเสียงปริศนาดังขึ้นทำให้เหล่าศิษย์ตระกูลหลานทุกคนนั้นชักกระบี่ของตนเองออกมาอย่างเตรียมพร้อม เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของการเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว มันดังขึ้นเป็นระยะๆ


    ซือจุยกับจิ่งอี๋นั้นจับกระบี่ในมือของตนแน่น และพวกเขาก็มายืนข้างๆระวังภัยให้กับคุณชายของพวกตน

    เช่นเดียวกับเหล่าศิษย์คนอื่นๆจากที่ตอนแรกเริ่มนั้นพวกเขาเดินต่อแถวกันเป็นขบวนอย่างเป็นระเบียบ แต่ ณ ตอนนี้ได้กระจายตัวกันออกไป มองไปยังทุกทิศทุกด้านเพื่อที่จะสามารถตรวจสอบ แล้วรู้ได้ว่าศัตรูจะมาจากทางไหน และจะได้แจ้งคนอื่นๆได้อย่างทันท่วนที 

    หลานลู่ที่ถูกศิษย์พี่ทั้งสองคนนั้นประกบข้างระวังภัยให้ ก็มิได้นิ่งนอนใจเขาจับกระบี่อ่อนสีเหลือทองของตนออกมา กวาดสายตามองออกไปรอบๆ

    เว่ยอู๋เซี่ยนเองก็มองไปรอบๆมือหนานั้นจับขลุ่ยคู่กายที่แนบเอาไว้ที่เอวอย่างเตรียมพร้อม...



    "ข้างบน!!"





    ตูม! โครม!!




    เว่ยอู๋เซี่ยนตะโกนร้องเตือนก่อนที่เหล่าศิษย์ทุกคนจะรีบกระจายตัวรีบแยกออกไปจากจุดที่พวกตนนั้นยืนรวมกันอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมีบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างขนาดใหญ่กระโจมลงมาจากฟ้า แล้วพุ่งตัวลงมาใส่ในจุดๆที่พวกเขายืนอยู่ก่อนหน้านี้

    เขม่าดินกระจายไปทั่วทำให้การมองเห็นนั้นเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก และไม่สามารถมองเห็นเจ้าตัวที่เข้ามาโจมตีได้อย่างชัดเจน แต่ว่าแววตาสีเหลืองทองที่ส่องประกายนั้นก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เห็นได้ว่า นั้นเป็นนัยน์ตาของสัตว์ร้าย...


    "แหม...ดันมาเจอตัวปัญหาใหญ่เข้าให้แล้วสิ"


         เว่ยอู๋เซี่ยนพูดขึ้นมาเมื่อเขานั้นเริ่มที่จะเห็นแล้วว่าเจ้าตัวที่เข้ามาโจมตีนั้นมันคืออะไร...


    "เทียบกับเจ้าพวกก่อนหน้านี้ไม่ติดเลยจริงๆ"


    เมื่อควันจางลงสัตว์ร้ายก็ปรากฎสู่สายตา แต่ว่ายังมิทันจะได้เชยชมรูปร่างของมันอย่างเต็มตา เจ้าสัตว์ร้ายก็พุ่งตัวเข้ามาใส่เหล่าศิษย์ด้วยความเร็วที่มองแทบไม่ทัน


    เพล้ง!!


    กระบี่ในมือของศิษย์ผู้โชคร้ายนั้นหักไปในพริบตา เมื่อเขาใช้มันฟันใส่เจ้าสัตว์ร้ายตอนที่มันพุ่งมาหาเขา


    "อ็ากกกกก!!!"


    ร่างของศิษย์คนนั้นถูกคาบไปต่อหน้าต่อตาของศิษย์คนอื่นๆ ฟันอันแหลมคมของเจ้าสัตว์ร้ายนั้นกด และทิ่มแทงลงไปที่เนื้อหนังของเขาจนเลือดสีชาตินั้นไหลออกมาจนอาภรณ์สีขาวนั้นแดงฉาน


    ฟู่!!


    ในชั่ววินาทีความเป็น และความตายของศิษย์คนนั้น ก็มียันต์ลอยมาแปะเข้าที่กลางหน้าฝากของเจ้าสัตว์ร้ายก่อนที่จะก่อเกิดอาคมบางอย่างที่เป็นเหมือนกับกระแสไฟฟ้าทำให้เจ้าสัตว์ร้ายนั้นส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บแสบ

    และชั่ววินาทีที่มันอ้าปากร่างของบุคลคนนึ่งก็พุ่งตัวเข้าไปใช้กระบี่ในมือฟันเข้าไปในปากของมันก่อนที่จะจับศิษย์คนนั้นออกมาด้วย

    บาดแผลที่ถูกฟันไปนั้นมันไปโดนตรงมุมปากซึ่งเป็นจุดที่เนื้อของมันอ่อนเข้าพอดี จนทำให้มีเลือดไหลออกมาจากปากของมัน


    "คุณชาย!!"


    เสียงของศิษย์คนนึงดังขึ้น เมื่อเขาเห็นว่าคุณชายนั้นสามารถสร้างบาดแผลให้กับเจ้าสัตว์ร้ายนั้นได้ และยังสามารถช่วยศิษย์ผู้โชคร้ายคนนั้นออกมาได้อีก


    หลานลู่หลังจากที่สามารถช่วยศิษย์คนนั้นออกมาได้แล้วก็กระโดดแยกตัวออกมาเว้นระยะกับเจ้าสัตว์ร้ายนั้นก่อนที่จะก้มมองดูอาการของศิษย์ที่ตนพึ่งช่วยเอาไว้


    "แข็งใจไว้ เจ้าปลอดภัยแล้ว"

    "ค..คุณ..ชาย....."


    เสียงของศิษย์คนนั้นที่เปล่งออกมาช่างเบา และดูไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก เพราะเขาทั้งเจ็บแผลที่โดนเจ้าสัตว์ร้ายนั้นกัดไปเกือบครึ่งตัว และไหนจะยังเสียเลือดไปมากอีก มิคิดเลยว่าตนนั้นจะรอดมาได้ แต่ก็กลับถูกคุณชายช่วยเอาไว้ มันยิ่งกว่าปาฎิหารย์เสียอีก


    "โฮก!!!!!"


    เสียงร้องคำรามของเจ้าสัตว์ร้ายดังขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด มันหันกลับมาหาหลานลู่ที่มาแย่งเหยื่อของมันไปแล้วไหนจะยังสามารถทำให้มันบาดเจ็บได้อีก มันจ้องมองไปที่หลานลู่อย่างโกรธแค้น


    "คุณชาย!!"


    ซือจุยกับจิ่งอี๋รีบเข้ามากำบังคุณชายของพวกตนเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่ามิมีทางที่จะชนะเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ได้เลยก็ตาม แต่ถ้าต้องให้เลือกระหว่างสู้กับเจ้าสัตว์ร้ายนี้ กับคุณชายของพวกตนนั้นเป็นอะไรไปแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อประมุขของพวกตนแล้วละก็ 

         พวกเขาของยอมสู้กับเจ้าสัตว์ร้ายนี้ยังจะดีเสียกว่า!


    "อย่าประมาท!เจ้านั่นมิเหมือนกับฉงฉีที่เราเจอกันมาก่อนหน้านี้!!"


    เว่ยอู๋เซี่ยนร้องเตือนขึ้นมาเมื่อเริ่มเห็นว่าสถานะการมันจะแย่ลงเมื่อมีคนเจ็บ เขาหยิบขลุ่ยคู่กายของตนออกมาเตรียมพร้อมที่จะใช้วิชามาร


    "อ็าก!? ยะ ยังมีพวกมันมาอีกหรอ!?"

    เว่ยอู๋เซี่ยนหันกลับมามองตามต้นเสียงที่ศิษย์คนนึงร้องตะโกนขึ้นมา เมื่อมองออกไปโดยรอบก็สังเกตเห็นว่า มีเงาขนาดใหญ่ และแววตาอันน่ากลัวของสัตว์ร้ายอีกหลายดวงกำลังรายล้อมรอบตัวพวกเขาเสียแล้ว

    ตอนนี้พวกเขากำลังเจอกับสถานะการณ์ที่รับมือได้ยากเข้าให้แล้วสิ




         ร่างกายขนาดใหญ่โตกว่าฉงฉีที่เคยเจอมา ขนาดของปีกก็เช่นกัน เขาบนหัวของมันนั้นคดเคี้ยวเหมือนกับเขาของกวางปลายแหลม ใบหน้านั้นเป็นเหมือนกับพยักษ์ร้าย ตามหลัง และขาหน้ามีหนามแหลมคมงอกออกมา รูปร่างของมันเป็นเหมือนกับพยักษ์ขนาดใหญ่ที่มีปีกสีดำของพยาอินทรี แต่มีหางเหมือนวัว และกำลังกวักแกว่งไปมา


    "เจ้านั่นมิใช่สัตว์อสูรแล้ว แต่เป็นเทพอสูรเลยต่างหากล่ะ!!"


    หลานจิ่งอี๋ตะโกนบอกกับทุกคนว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั้นเป็นถึงระดับเทพอสูร หรือก็คือฉงฉีที่มีอายุอยู่มาอย่างยาวนานที่สุด ถึงจะแค่เคยได้ยินมาแต่มันก็ร้ายกาจมากๆ เพราะมันนั้นมีสติปัญญา และอาจจะมีวิชาแปลกๆเก็บซ่อนอยู่ก็เป็นได้

    แต่ในทางกลับกันก็เหมือนกับเจอของดีเข้าให้แล้วเช่นกัน...



     แววตาสีเหลืองทองของเจ้าสัตว์ร้ายจับจ้องมองไปที่หลานลู่ ที่ตอนนี้จับกระบี่สีเหลืองทองแน่นอย่างเตรียมพร้อม โดยมีซือจุย และจิ่งอี๋ยืนอยู่ข้างๆกำบังเขาอยู่


     สัตว์ร้ายอย่างฉงฉีนั้นสิ่งที่มันโปรดปรานมากที่สุดก็คือกินคนที่มีจิตรใจดี และให้ความช่วยเหลือคนชั่ว แต่กับเจ้าตัวที่มีสติปัญญาตนนี้นั้นมันแทบจะมิสนด้วยซ้ำว่าใครคือคนดีหรือชั่ว ถ้ามันจะกินมันก็จะกินคนๆนั้นที่เป็นเหยื่อตามใจของมันเลย 

         มันเลือกเหยื่อที่จะกิน แต่ก็มิ สนว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว แต่ถ้ามันเกิดถูกใจใครขึ้นมาล่ะ....


    ในสายตาของเจ้าสัตว์ร้ายอย่างฉงฉี ซือจุย และจิ่งอี๋นั้นแทบจะมิได้อยู่ในสายตาของมันเลย พวกเขานั้นมีออร่าสีขาวที่สื่อถึงคนที่มีจิตรใจดีบริสุทธิ์เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ ซึ่งคนแบบนี้มันเห็น และลิ้มลองจนเบื่อหน่ายแล้ว หรือแม้แต่เว่ยอู๋เซี่ยนเองออร่าที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวนั้นจะเป็นสีขาวที่มีสีดำเจือปนอยู่บ้าง มันสื่อถึงคนที่มีจิตรใจดี แต่ก็มีอารมณ์โกรธเกลียดอยากแก้แค้นเหมือนคนทั่วไปอยู่ มิต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย แต่อาจจะมีความดำมืดซ่อนอยู่มากกว่าเพียงเท่านั้น และจากที่มันเห็นความดี และความชั่วของเว่ยอู๋เซี่ยนนั้นมันไม่ลงรอยกันเลยสักนิด 

    ราวกับว่ามีความดี และความชั่วของคนสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน แต่ตอนนี้มันยังไม่หลอมรวมเป็นหนึ่งเพียงเท่านั้น


    แววตาสีทองนั้นจับจ้องมองไปที่คุณชายหลาน หลานลู่ถึงแม้ว่าในสายตาของมันคุณชายหลานคนนี้ก็มิต่างจากคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ทั่วไปซะเสียเท่าไร แต่ว่าในความจิตรใจบริสุทธิ์นั้นมันกลับมองเห็น....


         ออร่าสีดำ และสีขาวที่มันหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างที่มิเคยเห็นมาก่อน...




    อยากได้  อยากจะกิน กินจนมิให้เหลือแม้แต่กระดูก....




    "อันตราย!!!"



    "โฮก!!!!!!!!!!"



    เว่ยอู๋เซี่ยนที่เห็นว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั้นมีท่าทางแปลกๆไป จึงได้ตะโกนร้องเตือน แต่ก็มิทันการมันคำรามเสียงดังกึกก้องดังสนั่นไปทั่วป่า ฝูกนกต่างบินหนีหายไปกันหมด พวกสัต์ที่อยู่ไกลออกไปยังได้ยิน จนตื่นตกใจวิ่งหนีกันไป เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะมา

    เหล่าฉงฉีที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าต่างพุ่งตัวออกมาจากทั่วทุกทิศ เมื่อสิ้นเสียงคำรามที่ดังสนั่นของจ่าฝูง



         เว่ยอู๋เซี่ยนเริ่มบรรเลงบทเพลงจากขลุ่ยเฉินฉิง นัยน์ตาสีดำแปลเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน หมอกสีดำลอยออกมาจากปลายเท้าพุ่งตรงเข้าไปสกัดกั้นการโจมตีของพวกฉงฉีที่พุ่งตัวเข้ามาจมตี


              'พวกมันมากันเยอะมากเกินไป แถมเจ้าตัวจ่าฝูงยังเป็นถึงระดับเทพอสูรอีก งานนี้ดูถ้าจะมิง่ายเสียแล้ว'




        ตัดมาทางด้านพวกหลานลู่ที่กำลังเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ร้ายตัวใหญ่ ปีกใหญ่ของมันกระพือขึ้นจนเกิดแรงลมมหาศาลก่อนที่มันจะพุ่งตัวเข้าใส่พวกเขา ซือจุย และจิ่งอี๋รีบใช้อาคมตั้งค่ายเกาะกำบังสีขาวขึ้นมาพร้อมกัน แต่ทันทีที่เจ้าสัตว์ร้ายพุ่งตัวเข้ามา ถึงจะหยุดมันได้แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นมิทันให้พวกเขาได้ตั้งตัว เกาะนั้นก็แตกออก

    ร่างของพวกเขาถูกกระแทก และกระเด็นไปคนละทิศ ละทางแต่ก็ยังพอที่จะพลิกตัวกับมาตั้งหลักได้


    "คุณชายหลบเร็วขอรับ!!"


         ซือจุยร้องตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั้น กำลังพุ่งเข้าใส่คุณชายของตนแล้ว แต่ว่าฝ่ายหลานลู่นั้นถ้าเขาจะหลบก็สามารถหลบได้ แต่ติดที่ว่าข้างกายเขามีศิษย์ที่บาดเจ็บอยู่ เขาควรจะทำยังไงดีถ้าหลบไปคนเดียวก็จะรอด แต่ถ้าไม่หลบก็อาจจะแย่ไปทั้งคู่ หรือไม่ก็อาจจะตายได้เลย


    "เฮือย!"



    ตึง!!




    มือหนายกขึ้นมากลางอาคมเกาะเอาไว้พร้อมกับแผ่นยันต์ออกมากางเพื่อเสริมความแข็งแก่งของเกาะให้มากขึ้น ทำให้ทันทีที่เจ้าสัตว์ร้ายพุ่งตัวเข้ามากระแทกโดนนั้นเกิดกระแสพลังงานที่เสียดสีกัน

    "ค...คุญชาย...ทิ้ง..ข้าไว้เถอะ...."

    ศิษย์ที่ถูกหลานลู่ได้ช่วยเอาไว้นั้นพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนแรงโรยราลงไปทุกที และก็รู้สึกผิดที่ตนนั้นเป็นเหมือนตัวถ่วง ทำให้คุณชายต้องมาเสี่ยงชีวิตช่วยตนเช่นนี้

         หลานลู่ขบฟันแน่น มือหนายังคงพยายามกลางอาคมต่อไปอย่างมิยอมแพ้

    "....คุณชา-"


    "เงียบซะ...ไม่ยอมให้ตายหรอก"



         'และข้า จะไม่ยอมมาตายอยู่ที่นี่ด้วย!'








    'ไม่ยอมให้ตายหรอก ข้าจะปกป้องเจ้าให้ได้....'



    กึก!







         ในช่วงวินาทีนั้น แค่เพียงชั่วครู่ ราวกับมีเสียงของใครบางคนมาพูดอยู่ข้างๆหูด้วยประโยคแบบเดียวกันกับที่เขาพูด จนทำให้หลานลู่เสียสมาธิไปครู่นึงแต่นั่นก็ถือเป็นการเปิดโอกาศให้เจ้าสัตว์ร้ายสามารถพังค่ายกลเข้ามาได้




    ฟู่!!


    หลานลู่ที่กำลังจะถูกเจ้าสัตว์ร้ายกระโจมเข้าใส่นั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งผ่านข้างแก้มเขาไปพุ่งใส่เจ้าสัตว์ร้ายที่กลางหน้าผากเข้าพอดี


         ลูกศร?


    ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากเมื่อเห็นว่ามันมีช่องว่างที่ตนนั้นสามารถหนีไปจากตรงนี้ได้นั้น มือหนารีบคว้าตัวลูกศิษย์คนที่บาดเจ็บ แล้วรีบกระโดดออกไปจากตรงนั้นให้ไกลมากพอที่จะเรียกว่าปลอดภัย


    หลานลู่วางร่างของลูกศิษย์คนนั้นพิงกับต้นไม้ไว้ พอหันกลับไปที่เจ้าสัตว์ร้ายที่ถึงแม้ว่ามันจะถูกลูกศรปักเข้าที่กลางหน้าผากเข้าเต็มๆ แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอะไรเลย มันปัดลูกศรที่ปักกลางหน้าผากมันออก ก่อนที่จะทำท่าทางมองซ้ายมองขวา เหมือนกับหาบางสิ่งบางอย่างอยู่

    แววตาคมของหลานลู่มองกลับไปยังทิศทางที่ลูกศรนั้นพุ่งมาก่อนหน้านี้ แต่ว่าที่ตรงนั้นก็ไร้วี่แววว่ามีใครอยู่ ถึงจะรู้สึกคาใจแต่ตอนนี้เรื่องที่ควรทำเป็นอันดับแรกก่อนก็คือจัดการเจ้าสัตว์ร้ายตนนั้น






    ทางด้านซือจุยกับจิ่งอี๋หลังจากที่พวกตนนั้นกระเด็นออกมา ทั้งที่ตั้งใจจะเข้าไปช่วยคุณชายของพวกตน แต่กลับถูกพวกฉงฉีตนอื่นเข้ามาขวางเสียก่อน ทำให้ไม่สามารถเข้าไปหาคุณชายได้

    แต่ซือจุยก็สังเกตเห็นว่าคุณชายนั้นหลบการโจมตี และช่วยศิษย์คนที่ปาดเจ็บออกไปได้ ถึงจะไม่เห็นว่ารอดมาได้อย่างไรก็เถอะ


    บทบรรเลงเพลงของเว่ยอิงนั้นทำให้พวกฉงฉีหลายสิบตนนั้นสงบลง บ้างก็ยังขัดขืน เพราะมันมีพละกำลัง และสติปัญญาพอตัวที่จะไม่หลงไปกับวิชามารของเว่ยอิง ซึ่งพวกฉงฉีพวกนั้นพวกศิษย์คนอื่นๆจึงจำเป็นต้องเข้าต่อสู้ และตั้งค่ายกลขังมันเอาไว้ รวมถึงวางกำดักตามทางที่พวกมันสามารถไปได้

    จนเวลาผ่านไปไม่นาน จากสถานะการณ์ที่ตอนแรกพวกตนนั้นถูกต้อนจนมุม กลับพลิกมาเป็นฝ่ายคุมสถานะการณ์เอาไว้ได้





    “มันไปทางนั้นแล้ว!!”

     

    เสียงลูกศิษย์ตระกูลหลานคนนึงตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉงฉีตนสุดท้ายมันกำลังมุ่งหน้าหนีไปยังทางที่เป็นกำดักที่พวกตนได้วางเอาไว้

     ฉงฉีตนนั้นวิ่งไปตามเส้นทางหลบหนีของมัน ก่อนที่มันจะรับรู้ได้ว่าตามต้นไม้ มีคนแอบซุ่มโจมตีมันอยู่ และเมื่อเห็นเช่นนั้นมันจึงรีบเริ่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วหลบหลีกทุกกำดักได้อย่างหน้าประหลาดใจ

     

    “มันกำลังจะหนี! ตั้งค่ายกลขังมันเอาไว้ อย่าให้มันออกไปนอกบริเวณป่าได้!!”

     

    เว่ยอู๋เซี่ยนออกคำสั่งกับเหล่าศิษย์ หลังจากนั้น ออร่าสีฟ้าก็ได้ปรากฎขึ้นมาขวางหน้าของเจ้าฉงฉี ในจังหวะที่จนมุมเหล่าศิษย์ก็ได้บุกเข้าไปโจมตีมันด้วยกระบี่ของพวกตน 

     

    แต่ว่าผิวหนังของมันนั้นก็แข็งมากจนกระบี่ฟันมิเข้า แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น มันจึงได้คำรามออกมาเสียงดัง ด้วยเสียงร้องของมันที่ดังมากจนศิษย์หลายคนต้องยกมือขึ้นมาปิดหู แล้วนั่นก็เป็นการเปิดจังหวะให้เจ้าสัตว์อสูรตวัดอุ้มเท้าหน้าออกไป ทำให้เหล่าศิษย์ต้องถอยออกมา แต่ก็มีบางคนที่หลบเขี้ยวเล็บของมันไม่ทัน

     

    “แย่ล่ะ มันยิ่งคลุ้มคลั่งเข้าไปอีก”

     

    เมื่อเห็นว่าไม้เเข็งใช้มิได้ผล เว่ยอิงจึงหยิบขลุ่ยประจำกายของตนขึ้นมาพร้อมกับเริ่มเป่าบรรเลงบทเพลง ที่จะทำให้เจ้าสัตว์อสูรนั้นสงบลง แต่ว่ามันคงต้องใช้เวลาสักพักกว่ามันจะสงบ หรือไม่อาจจะแย่กว่านั้น มันอาจจะไม่สนใจ แล้วพุ่งเป้ามาทำร้ายเขาเองก็ได้

     

    แล้วดูเหมือนว่ามันจะจริง เจ้าฉงฉีไม่สนใจแล้วพุ่งเป้ามาที่เขา เว่ยอิงหลบการโจมตีของมันไปได้อย่างดีเยี่ยมแต่ก็ยังคงพยายามเป่าขลุ่ยต่อไป เจ้าฉงฉีจากตอนแรกที่ดูจะอารมณ์เสีย มันก็ค่อยๆสงบลงไปทีละนิด แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น เว่ยอิงจึงได้เอ่ยคำสั่งกับเหล่าศิษร์อีกครั้ง

     

    “เอาเลย!!”

     

    แสงสีเหลืองทองถูกพุ่งเป้าไปที่เจ้าสัตว์อสูรจนเกิดเป็นกรงขังสีทองที่กักขังมันเอาไว้ มันพยายามจะพังออกมาให้ได้ แต่ยิ่งได้ยินเสียงเพลงของเว่ยอิง ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง แล้วหลับไปในที่สุด

     

    “จับฉงฉีได้แล้ว!”

     

    จิ่งอี๋พูดขึ้นมาด้วยความดีใจ และเหนื่อยล้าพร้อมกับนั่งยองๆลงไปกับพื้น ที่ในที่สุดพวกเขาก็สามารถจับเจ้าฉงฉีตนสุดท้ายนี่ได้เสียที ซือจุยยิ้มน้อยๆให้กับความสำเร็จในครั้งนี้ เขาเข้าไปตบไหล่จิ่งอี๋เบาๆ

     

    “ท่านผู้อาวุโสเว่ยนี่เป็นฉงฉีตนสุดท้ายแล้วขอรับ”

    “ดีเลย! จับมันไปปล่อยในป่าที่ไกลจากที่อยู่อาศัยของผู้คน ถึงมันจะเป็นสัตว์อสูรที่กินคน แต่ก็ขึ้นชื่อว่าคือหนึ่งในสิบสองเทพ เราคงจะฆ่ามันมิได้ง่ายๆ ก็อย่างที่พวกเจ้าเห็น กระบี่ยังฟันมิเข้าเลย”

    “แล้วถ้ามันกลับมาอีกละขอรับ”

     

    จิ่งอี๋เอ่ยถามพร้อมกับเดินมาอยู่ข้างๆซือจุย เว่ยอิงขบคิดสักพักก่อนจะตอบ

     

    “ก็คงต้องผนึกมันเอาไว้ แต่มิต้องห่วงไปหลอก เจ้านี่น่ะถ้าไม่มีใครไปยุ่งหรือเข้าไปในเขตของมันล่ะก็ มันก็จะไม่ทำร้ายใครก่อนหลอก…..หือ? เอ๋!! หายไปไหนอ่ะ!?”

    “มีอะไรหรือขอรับผู้อาวุโสเว่ย?”

     

    เว่ยอิงมองไปรอบๆอย่างร้อนรน ทั้งไล่มองตามเหล่าลูกศิษย์ ทั้งหลังต้นไม้ พุ่งไม้ หรือแม้แต่หาในแขนเสื้อตัวเอง? ก็ตามที

     

    “อาลู่หายไปไหน!!?”

     

    สิ้นเสียงของเว่ยอิง ทั้งซือจุย จิ่งอี๋ และบรรดาเหล่าศิษย์ ต่างพร้อมใจกันร้องหาบุคคลที่หายไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

     

    “คุณชายหาย!!”

     

     


     ___________________________________________________________________



    ____________________________________________________________________

    เอาแล้วอาลู่หายไปไหนกันละเนี่ย

    ข้อมูลของฉงฉีในฟิคเรื่องนี้ไรท์อาจจะมีการแต่งแต้มเพิ่มใส่สีตีใข่ให้มันมากกว่าความเป็นจริงที่ตำนานเล่ามานะคะ ขอให้เข้าใจด้วยเพื่อให้มันมีความหมาย และสามารถดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปได้

    แต่ถ้าข้อมูลของฉงฉีจริงๆก่อนหน้านี้ ที่บทนำ ช่วงท้ายๆ นั้นคือข้อมูลของฉงฉีจริงๆที่ไรท์ไปหาข้อมูลมา แต่ตอนนี้จะเป็นส่วนที่ไรท์แต่งแต้มเพิ่มเข้าไปนะ
     ขอโทษที่ช้า ติดเรียนออนไลย์จ้าาาา

    ถ้าเจอคำผิดต้องขออภัยด้วยค่ะ

    tyle="text-align: center;">
    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×