ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3
(ฉงฉี)
______________________________________________________________________________
เสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ดังขึ้นมาเป็นจังหวะของการวิ่งที่ดังสนั่นกลางป่าในยามค่ำคืน ที่ไม่น่าจะมีใครมาเดินป่าในเวลานี้ได้เลย จากหลายปัจจัย ทั้งเส้นทางที่มืดสนิทถ้าคนที่ไม่คุ้นทางอาจจะหลงได้ สัตว์ป่าที่ดุร้าย หรือแม้แต่.....นักล่า
เจ้าสัตว์อสูรขนาดใหญ่ วิ่งไปตามเส้นทางถนนอย่างรีบร้อนเหมือนกับว่ากำลังหนีอะไรบางอย่างอยู่ เป็นที่น่าประหลาดใจมากๆถ้ามีใครมาเห็นเข้า ว่าทำไมสัตว์อสูรที่ตัวใหญ่ และดูดุร้ายเช่นนี้ ยังมีอะไรที่ทำให้มันต้องหนีมาอีกงั้นหรือ
ฟู่!
ลูกศรปริศนาถูกพู่งเล็งมาที่หน้าของเจ้าสัตว์อสูร แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ดีทำให้มันกระโดดหลบได้ ก่อนที่ลูกศรที่ถูกยิงมาจะปักลงที่พื้น ก่อนที่จะมีตะข่ายสีทองผูดขึ้นมา แต่ก็มิสามารถจับเจ้าสัตว์อสูรนั้นไว้ได้ แล้วเมื่อมิมีตัวอะไรมาติดกับดักตะข่ายสีทองก็สะหลายหายไปเหลือไว้แต่เพียงลูกศรที่ปักอยู่ที่พื้นอยู่อย่างนั้น
"ชิ! หลบเก่งซะจริงนะ"
เสียงจิปากที่แสดงถึงความไม่พอใจดังขึ้น ก่อนที่เจ้าของลูกศรปริศนาจะโดดลงมาจากต้นไม้ มายืนขวางหน้าเส้นทางหนีของเจ้าสัตว์อสูรเอาไว้อย่างมิเกรงกลัว
"กรร!"
ฉงฉีตัวใหญ่ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับแยกเขี้ยวที่คมกริบของมัน จับจ้องไปที่สตรีร่างเล็กที่ยืนขวางหน้าของมัน หญิงสาวมิได้มีท่าทางสั่นกลัวเลยแม้แต่น้อยกลับกันยังยืนเท้าเอวก่อนที่จะพูดกับมันต่อ
"เลิกหนี แล้วแบ่งเลือดของเจ้ามาให้ข้าซะ"
ฉงฉียิ่งส่งเสียงคำรามอย่างมิพอใจออกมา มันมองนางสลับกับมองไปข้างหลัง ก่อนที่จะแยกเขี้ยวหนักกว่าเดิมว่าถ้าหากว่าหญิงสาวยังไม่หลบไปจากทางของมัน มันจะพุ่งเข้าใส่นางในทันที
"อย่าให้ต้องพูดซ้ำ พวกข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจภาษามนุษย์ เพราะงั้นพูดกันง่ายๆแล้วมอบเลือดมาซะ"
"โฮก!!!!"
"เหมือนจะคุยกันมิง่ายสินะ"
สิ้นเสียงคำรามเจ้าฉงฉีก็พุ่งตรงเข้าใส่นาง เขาหน้าที่แหลมคมเหมือนเขาวัวของมันพุ่งตรงหมายที่จะเสียบร่างของนางให้ทะลุ ฝ่ายหญิงสาวเองง้างธนูเตรียมพร้อมแต่ก็ยังไม่ยิงออกไป
ฟู่! โครม!!!
ก่อนที่เขาแหลมของเจ้าฉงฉีจะพุ่งมาถึงตัวนาง ก็มีร่างเงาดำพุ่งลงมาที่กลางหัวของเจ้าสัตว์อสูรเสียก่อน จนทำให้ร่างของมันล้มไถลไปข้างหน้า หญิงสาวที่รออยู่แล้วกระโดดหลบพร้อมกับยิงลูกศรเวทย์ตะข่ายใส่มันตาม ลูกศรพุ่งปักไปที่กลางหลังระหว่างปีกขนาดใหญ่ที่หลังของมันอย่างพอดี ก่อนที่จะมีตะข่ายสีทองผูดออกมารัดตัวเจ้าสัตว์อสูรนั่นเอาไว้
"กว่าจะจับตัวได้ให้เล่นวิ่งไล่จับซะตั้งนาน"
เสียงทุ้มเข้มกับร่างชายกำยำที่กำลังยืนอยู่บนส่วนหัวของเจ้าฉงฉี กับดาบยักษ์อาวุธคู่กาย เนี่ยหมิงเจวี๋ย บ่นออกมาเพียงเล็กน้อย หลังจากที่ไล่ต้อนให้เจ้าสัตว์อสูรเนี่ยมาติดกับดักที่วางเอาไว้กับหลานสาวของเขา
"อาเมิ่งขวดยา"
"อยู่นี่เจ้าคะ"
หลานเมิ่งพูดพร้อมกับหยิบขวดออกมาส่งให้กับผู้เป็นลุง เนี่ยหมิงเจวี๋ยโดดลงมาจากหัวของฉงฉีตนนั้น ก่อนที่จะใช้ดาบป้าเซี่ย แทงลงไปที่ผิวหนังอันหนาแข็งของมัน เจ้าสัตว์อสูรส่งเสียงขู่คำราม ร่างกายดิ้นไปมาพยายามจะหยุดจากตะข่ายเวทย์แต่ก็มิเป็นผล
ดาบป้าเซี่ยที่มีแรงอาฆาตนั้นมีพลังมาก จนสามารถแทงทะลุหนังแข็งๆของมันได้ แต่เนี่ยหมิงเจวี๋ยก็มิได้แทงลึกลงไปมากจนถึงตาย แค่ทำให้มีเลือดไหลออกมาก็พอ เลือดสีแดงชาติไหลออกมาจากบาดแผลที่แทงลงไป มือหนาที่ถือขวดยาอยู่ยื่นออกไปรองรับมิให้เลือดไหลหกไปอย่างเสียเปล่า จนเลือดที่ได้เพียงพอแล้ว
"อาเมิ่งที่เหลือเจ้าจัดการ"
เขาหันกลับไปสั่งกับหลานสาวก่อนที่จะเก็บดาบไปพาดที่หลัง กับเก็บขวดยาที่มีเลือดของฉงฉีอยู่เต็มไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวังมิให้มันศูยร์หาย ก่อนจะไปยืนรออีกทาง หลานเมิ่งรับคำก่อนที่จะตรงไปหาเจ้าฉงฉีตนนั้น
"ยอมตั้งแต่แรกๆก็ดีอยู่แล้วจะได้มิต้องเหนื่อย"
"กรร!!"
"ขู่ไปเถอะ ข้าฟังเจ้าไม่ออกหลอก"
นางพูดพร้อมกับฟังเข็มลงไปที่แผลเดิมที่เนี่ยหมิงเจวี๋ยทำเอาไว้ ใช้เวลาไม่นานเจ้าฉงฉีก็เริ่มสงบลงก่อนที่มันจะสลบไป ปล่อยเอาไว้สักพักมันก็จะฟื้นเองล่ะ แล้วเมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์อสูรสิ้นฤทธิ์ นางจึงดึงลูกธนูที่ปักอยู่ที่หลังของมันออกเพียงเท่านั้นตะข่ายที่รัดตัวมันก็สะหลายหายไป ก่อนที่นางจะเดินไปหาผู้เป็นลุง
"เรียบร้อยแล้วสินะ งั้นก็กลับกันเถอะ"
สองลุงหลานเดินกลับไปยังเส้นทางที่จะนำไปสู่บ้านของพวกเขาที่มีคนรออยู่ ระหว่างทางหลานเมิ่งก็ได้ชวนท่านลุงคุย
"ช่วงนี้พวกฉงฉีมันหนีหายไปกันหมด แบบนี้มันจะไม่พอให้เราล่าเพื่อเอาเลือดของมันแล้วนะเจ้าคะท่านลุง"
"พวกมันคงหนีลงเขาไป ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์ดุร้ายแต่พวกมันก็กลัวเป็น เมื่อที่อยู่เดิมมิปลอดภัยอีกแล้ว พวกมันก็จะหนีไป"
"ถ้าหาก พวกมันหมดไปจากที่นี่ เราก็ต้องย้ายที่ล่าอีก ใช่ไหมเจ้าคะ"
เนี่ยหมิงเจวี๋ยเงียบไปสักพักนึงก่อนที่จะตอบนางไป
"ถ้าเจ้าอยากยื้อชีวิตแม่เจ้าไปให้นานกว่านี้ ก็คงจะเป็นเช่นนั้น"
โฮ่ง!
เมื่อสองลุงกับหลานเดินออกมาจากเขา ก็เห็นเจ้าสุนัขดำวิ่งหน้าตั้งมาหาอย่างรีบร้อนจนผิดวิสัย เมื่อเข้ามาถึงตัว ยังมิทันที่หลานเมิ่งจะเรียกทัก อาหยางก็เข้ามางับที่ชายผ้าพร้อมกับออกแรงดึงเหมือนจะบอกให้ตามมันไป
"ทำไมอาหยางมาอยู่นี่ มิเฝ้าท่านแม่ไว้...ท่านลุง-"
"รีบไป!"
เนี่ยหมิงเจวี๋ยออกตัววิ่งนำไปก่อนอย่างรวดเร็วโดยมิคิดอะไร หลานเมิ่งที่ยังมึนๆอยู่ก็รีบตามไปพร้อมๆกับอาหยางเพื่อตามกลับไปให้ทัน
ปึง!!
ประตูบ้านเปิดออกอย่างแรง ส่วนประตูหน้าจวนนั้นถูกเปิดอ้าเอาไว้อยู่แล้ว คงเป็นเพราะอาหยางเป็นคนเปิดเพื่อออกไปตามพวกเขา เนี่ยหมิงเจวี๋ยรีบตรงเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้ามาบ้านนั้นมืดสนิทไร้แสงสว่างจากเทียนไขใดๆ
"เมิ่งเหยา!!"
เนี่ยหมิงเจวี๋ยร้องเรียกหาน้องร่วมสาบานของตนแต่ก็มิมีเสียงตอบรับ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปที่ห้องนอนของนาง แล้วเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับร่างที่นอนมิได้สติอยู่ที่พื้น
"เมิ่งเหยา!"
เขารีบตรงเข้าไปประคองนางขึ้นมา ใบหน้านั้นขาวซีดแต่ร่างกายนั้นร้อนอย่างกับไฟ มีเลือดสีแดงไหนออกมาจากมุมปาก เขาพยายามเรียกนางทั้งตบหน้าเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ก็ไร้วี่แววว่านางจะฟื้น
เนี่ยหมิงเจวี๋ยเห็นท่ามิดี ตอนนี้มิว่าจะเรียกเท่าไรเมิ่งเหยาก็มิตื่น ก่อนที่เขาหยิบขวดยาที่มีเลือดของฉงฉีออกมา
"ฝืนทนไว้หน่อยเมิ่งเหยา"
ฟาขวดถูกเปิดก่อนที่จะค่อยๆกอกขวดยาลงไปที่ริมฝีปากช้าๆ ลำคอขาวค่อยๆกลืนของเหลวสีแดงลงไป ก่อนที่ร่างกายที่ร้อนราวกับไฟจะค่อยๆลดลง เปลือกตาของนางค่อยๆลืมขึ้นมา ใบหน้าที่ซีดนั้นเริ่มดีขึ้น แต่แล้วจู่ๆนางก็แสดงท่าทางพะอืดพะอม เมื่อเนี่ยหมิงเจวี๋ยเห็นเช่นนั้นจึงหันไปหยิบกระโถนที่อยู่ไกล้ๆเตียงมาให้นาง
เมิ่งเหยารีบรับมาก่อนที่จะสำลอกของเหลวออกมาพร้อมกับไอสำลักอย่างหนักจนเนี่ยหมิงเจวี๋ยต้องคอยลูบหลังให้
"ท่านแม่! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!?"
หลานเมิ่งที่พึ่งมาถึงนางได้ยินเสียงอาเจียน และไอของมารดาจึงรีบเข้ามาดู ก่อนที่จะเห็นว่าเมิ่งเหยานั้นดูมิเป็นไรมากแล้ว ดูเหมือนท่านลุงจะช่วยเอาไว้ได้ทัน
"อาเมิ่งไปเอาน้ำมาให้แม่เจ้าล้างปากหน่อย"
"...เจ้าคะ"
หลานเมิ่งรับคำก่อนที่จะวิ่งหายไปในครัวเพื่อไปเอาน้ำมาให้ เมิ่งเหยาไออยู่สักพักก่อนที่จะหยุดลงแล้วหายใจเข้าออกช้าๆ เนี่ยหมิงเจวี๋ยที่เห็นว่านางดีขึ้นแล้ว จึงค่อยๆอุ้มนางขึ้นแล้วพาไปนอนที่เตียงอย่างเบามือ พร้อมกับยื่นมือไปเช็ดเลือดที่มุมปากของนางออกให้ เมิ่งเหยาพยักหน้าขอบคุณ
"เป็นอย่างไรบ้าง?"
"...ข้าดีขึ้นแล้ว...ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยข้าไว้"
"ที่เป็นเช่นนี้ เจ้ามิได้ฝืนร่างกายตนเองเกินไปใช่ไหม"
"ข้าเองก็มิได้อยากทำตัวเป็นภาระให้ท่านกับลูกหลอกนะ อะไรที่ข้าพอทำได้ก็อยากจะช่วย"
"...ทำอะไรมิดูสภาพตนเอง"
ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาในห้องนอนเนี่ยหมิงเจวี๋ยเห็นว่าที่โต๊ะกลางบ้านมีอาหารง่ายๆไม่กี่อย่างวางอยู่ ซึ่งคิดว่าคนที่เป็นคนทำต้องเป็นเมิ่งเหยาแน่ๆ เพราะก่อนออกไปล่า หลานเมิ่งมิไดทำเอาไว้
"สภาพตนเองก็เป็นเช่นนี้ยังจะลุกมาทำอาหาร ผ่าฟืนก่อไฟอีก รอให้อาเมิ่งกลับมาทำให้ก็มิเสียหายแท้ๆ"
"ข้าอยู่เฉยมาหลายวันแล้ว ให้ข้าได้ทำงานบ้านแบ่งเบาภาระลูกกับท่านบ้างเถอะ ข้า-"
" 'ข้าไหว'.......แล้วที่ล้มไปนอนที่พื้นก่อนหน้านี้คืออะไรล่ะ"
".........."
เมิ่งเหยาเถียงมิออก เพราะมันคือเรื่องจริง และถ้าจะให้นางเถียงคนๆนี้ละก็มิมีทางชนะหลอก นอกจากนางจะต้องพูดตะโกน และมิเกรงกลัวเหมือนกับครั้งก่อน และผลสรุปก็คือนางถูกชายตรงหน้าถีบตกบันได
แต่ตอนนี้ แค่จะพูดดังๆนางยังมิมีแรงเลย
"ท่านแม่ข้าเอาน้ำมาให้แล้ว"
หลานเมิ่งรีบเข้ามาในห้องนอนก่อนที่จะตรงเข้าไปพยุงแม่ของนางพร้อมกับป้อนน้ำให้
หลังจากนั้นมินานเมิ่งเหยาก็หลับไป หลานเมิ่งกับเนี่ยหมิงเจวี๋ยจึงไปนั่งกินอาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้แล้วพูดคุยกันถึงที่ว่าจะลองขยายพื้นที่ออกล่าดู เพราะการที่จะย้ายที่ล่านั้นมันต้องย้ายไปไกล แล้วเมิ่งเหยาคงจะลำบากในการเดินทาง และที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์ดีด้วยการที่จะไปหาที่ดีๆแบบนี้นั้นมิใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เพราะงั้นจะลองขยายเขตล่าดูเผื่อว่าจะเจอเจ้าสัตว์อสูรนั่นมากขึ้นเพื่อนำเลือดของมันที่มีคุณสมบัติเป็นยารักษาขับโรคร้ายของเมิ่งเหยาได้ดี
พรุ่งนี้หลานเมิ่งจะลองไปเดินสำรวจที่ภูเขาทางเหนือดู เพราะมีข่าวว่าแถวนั้นมีสัตว์อสูรอยู่มาก มิแน่ว่าอาจจะมีพวกฉงฉีอยู่บ้างสักตัวสองตัว
อีกด้านนึง
ในเช้าวันใหม่ที่แสงแดดสาดส่อง ที่หน้าทางเข้าอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ได้มีลูกศิษย์กับผู้อาวุโสสามคนยืนอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นใส่ชุดสีดำแดงที่แปลกแยกจากคนอื่นๆจนสะดุดตาอยู่เพียงผู้เดียว แต่ก็ยังมีอีกบุคคลนึงที่มีบางสิ่งที่แปลกแยกไปจากผู้อื่นเช่นกัน
หลานลู่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าแถวด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง ใส่ชุดสีฟ้าขาวลายเมฆากับผ้าคากหัวที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลหลาน แต่ถ้ามองลงมาที่ตรงบริเวณเอวจะพบกับสิ่งผิดแปลกไปจากผู้อื่น
กระบี่สีเหลืองทองที่ผูกอยู่ที่เอว
"คุณชายเว่ยภารกิจในครั้งนี้ขอฝากเจ้าด้วย"
"เจ๋ออู๋จวินมิต้องเป็นห่วง ถ้าหากว่าเรียบร้อยดี ข้าจะหาสาเหตุที่มาของเจ้าสัตว์อสูรนั่นให้ด้วย"
หลานซีเฉินพูดคุยกับเว่ยอู๋เซี่ยนที่ได้รับมอบหมายไปตรวจหาสาเหตุที่เจ้าสัตว์อสูรอาละวาด ก่อนที่เว่ยอิงจะรับคำ แล้วถ้าหาสาเหตุได้ก็จะไปตามแหล่งที่มา เพื่อแก้ปัญหามิให้พวกสัตว์อสูรกลับมาได้อีก
"หลานจ้านถ้างานเสร็จเร็ว ข้าจะซื้อผีผามาฝากเจ้านะ"
"ไม่ต้อง...แค่เจ้าก็พอ"
เว่ยอิงยิ้มค้างหลังจากที่ได้ยินหลานวั่งจีพูดเช่นนั้น พร้อมๆกับหน้าที่เริ่มแดงขึ้น จู่ๆบรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูเสียอย่างนั้น หลานจิ่งอี๋ถึงกลับเหม็นความรักแอบยิ้มแล้วพยายามมองไปทางอื่น หลานซือจุยเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่วนหลานลู่ก็มองหน้าตายมิต่างจากท่านอาของเขาเลยสักนิด
"เอาเป็นว่าปลอดภัยกลับมาก็เพียงพอ"
หลานซีเฉินพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ ก่อนที่ทั้งเว่ยอู๋เซี่ยนกับเหล่าศิษย์จะทำความเคารพก่อนไป เมื่อเงยหน้าขึ้นสายตาของหลานลู่ก็สบเข้ากับสายตาของหลานซีเฉินที่มองมา แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เขาจะหันไปอีกทาง หลานลู่เองก็แอบหวังว่าหลานซีเฉินจะพูดอะไรกับตนบ้าง แต่ก็มิมีอะไรไปมากกว่านั้น
ก่อนที่เว่ยอู๋เซี่ยน และเหล่าศิษย์จะเริ่มเดินทางออกไป หยกคู่ตระกูลหลานมองพวกเขาจนลับสายตาก่อนที่หลานซีเฉินจะหันกลับมาพูดกับน้องชายว่าให้รีบกลับไปทำธุระของหน้าที่เซียนตูซะ ส่วนเขาจะกลับเรือนเหมันต์ไปหาข้อมูลเรื่องสัตว์อสูร
ระหว่างที่เดินไปหลานซีเฉินก็นึกย้อนไป ถึงกระบี่ที่หลานลู่ผูกเอาไว้ที่เอวกระบี่เล่มนั้นที่ผิดแปลกไปจากเหล่าศิษร์ตระกูลหลานคนอื่นๆ ทั้งสี ทั้งประเภทของมัน ที่เป็นกระบี่อ่อน นามของกระบี่เล่มนั้นคือ เฮิ่นเซิง
กระบี่ของจินกวงเหยา
กระบี่เล่มนั้นจินหลิงเป็นคนมอบให้หลานลู่ในวัย 10 ปี หลังจากที่กระบี่เล่มนั้นจินหลิงเป็นผู้เก็บรักษามันมาโดยตลอด เขาคิดว่ามันควรที่จะได้อยู่กับคนที่คู่ควร และยอมรับเป็นนายเสียที กระบี่เฮิ่นเซิงก็เหมือนกับกระบี่สุยเปี้ยนของเว่ยอู๋เซี่ยน ที่เมื่อนายของมันมิอยู่แล้วมันจึงปิดผนึกตัวมันเองมิว่าใครก็มิสามารถดึงออกจากฝักได้ แต่มีเพียงหลานลู่เท่านั้นที่สามารถทำได้
มันเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่หลานลู่ไปเยี่ยมจินหลิงที่จินหลินไถ เขานั่งอ่านตำราอยู่ในห้องนอน แต่แล้วหลานลู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของกระจกบานใหญ่ในห้อง พร้อมกับที่เม็ดไข่มุกแดงที่ฝังอยู่ในกรอบกระจกมันส่องแสงออกมาเขาจึงเอามือไปสัมผัสก่อนที่กระจกบานนั้นจะเกิดเป็นทางลับไปสู่ห้องเก็บสมบัติ
แต่ถึงจะเรียกว่าสมบัติแต่ก็มิใช่พวกเหรียนทองมากมายอย่างไร ของที่อยู่ในห้องนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนของหายาก กับม้วนกระดาษซะเสียส่วนใหญ่ หลานลู่เดินไปตามเสียงแปลกๆที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะพบกับต้นตอของเสียง
กระบี่สีทองที่ตั้งวางเอาไว้มันกำลังสั่นกระทบกับแท่นวางจนเกิดเสียง หลานลู่เดินเข้าไปไกล้กระบี่เล่มนั้นมันเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกเขาว่า เขารู้สึกคุ้นเคยกับกระบี่เล่มนี้ทั้งที่มิเคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
มือบางยื่นไปจับก่อนที่จะดึงกระบี่ออกมาจากฝัก ตัวใบดาบนั้นเรียบบาง แต่ก็ยังมีความคมมากเป็นเงางามสวย
'อาลู่!'
ตึก!
เสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้นมาจากข้างหลังทำให้หลานลู่ตกใจถอยหลังไปชนเข้ากับชั้นวางของจนมีกระดาษม้วนตกลงมา ก่อนที่จะหันกลับไปที่ต้นเสียง ก็พบกับชายหนุ่มในชุดสีเหลืองทองลายโบตั๋นหิมะ ผู้เป็นถึงตำแหน่งประมุขตระกูลจิน จินหรูหรัน
'พี่จินหลิง...'
'เจ้าเข้ามาได้อย่างไร? ละ-....นี่เจ้า กระบี่นั่น'
จินหลิงมองไปที่กระบี่ในมือเด็กน้อยด้วยสายตาประหลาดใจ และตกใจที่เห็นว่ากระบี่เล่มนั้นถูกดึงออกมาจากฝักได้ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามันได้ปิดผลึกตัวมันเองไปแล้ว ตั้งแต่ที่ท่านอาหญิงเล็กของเขาจากไป
'ข้าได้ยินเสียงแปลกๆจนมาพบทางเข้า แล้วมาพบกระบี่เล่มนี้ขอรับ'
หลานลู่อธิบายให้จินหลิงฟัง แต่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดจะมิเข้าหัวประมุขจินเสียเท่าไร เมื่อเขาตรงเข้ามาจับกระบี่นั้นมองสลับกับหลานลู่
กระบี่เล่มนี้ตอบรับหลานลู่...
'อาลู่เจ้า...คิดว่ากระบี่เล่มนี่เป็นอย่างไร?'
หลานลู่มองจินหลิงกลับอย่างมิเข้าใจ ก่อนที่เขาจะมองไปที่กระบี่เล่มนั้น คิดอย่างไรงั้นหรือ นอกจากความงดงามในแบบของตระกูลจินฝักดาบกับด้ามจับสีเหลืองทอง กับใบดาบที่เรียวบางแต่คมกริบ ซึ่งเป็นรูปแบบของกระบี่ที่มิค่อยมีคนใช้มันเสียเท่าไร เพราะมันอ่อนเกินไป ถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะเลือกกระบี่ที่มีความแข็งและหนากว่านี้
แต่ในความที่มันบาง และอ่อนกว่ากระบี่ทั้วไปนั้นก็สามารถพกพาง่ายในการซ่อนมันเอาไว้ได้ แต่จากทุกสิ่งที่คิดมานั้นหลานลู่กลับรู้สึกว่ามันดูมีอะไรมากกว่านั้น...
'ข้ารู้สึกว่า..กระบี่เล่มนี้...มันกำลังเศร้า...'
จินหลิงที่ได้ฟังคำตอบก็รู้สึกแปลกใจมิใช่น้อย เพราะมันช่างตรงกับความรู้สึกของนายของมันก่อนที่จะจากไปเหลือเกิน
'กระบี่เล่มนี้มัน...กำลังร่ำไห้...มันโดดเดี่ยว ข้ารู้สึกเช่นนั้น'
หลานลู่จ้องมองไปที่กระบี่เล่มนั้นด้วยใจที่รู้สึกผูกพัน และเศร้าใจที่กระบี่แสนจะงดงามเช่นนี้ กับไร้ผู้คนจ้องมองมัน ถึงแม้จะถูกเก็บมานานแต่สภาพของมันก็ยังดีอยู่ สนิมไม่ขึ้น ไร้ฝุ่นเกาะ แต่ถึงจะงดงามไร้ที่ติเช่นไร แต่ถ้ามิได้นำออกไปใช้งานให้ผู้คนได้เชยชม มันก็เป็นแค่ของประดับราคาแพง ที่มิมีผู้ใดเห็นค่า
'...ใช่ มันโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวมานานมากแล้วตั้งแต่ที่เจ้านายคนก่อนของมันจากไป'
จินหลิงบีบกระบี่แน่น เมื่อนึกถึงนายคนก่อนของกระบี่เล่มนี้ ก่อนที่กระบี่เล่มนี้จากที่มันปิดผนึกมานาน แต่แล้วจู่ๆก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาแล้วเรียกให้หลานลู่มาเจอนั้น คงถึงเวลาที่จะต้องส่งมอบคืนให้กับสายเลือดของผู้เป็นนายของมันแล้วสินะ
กระบี่ถูกยื่นไปที่ตรงหน้าของหลานลู่ เด็กชายมองมันสลับกับผู้เป็นพี่
'อาลู่ เจ้าอยากลองปลอบโยนมันให้หายจากความเศร้า ที่ต้องโดดเดี่ยวดูบ้างไหม'
มือบางค่อยๆยื่นไปรับกระบี่กลับมา หลานลู่จ้องมองมันด้วยความรู้สึกที่อธิบายมิถูก เขารู้สึกดีใจ อบอุ่น และรักสัมผัสยามที่ได้จับกระบี่เล่มนี้ เด็กชายกอดกระบี่เอาไว้แนบกายอย่างหวงแห จินหลิงที่มองทุกการกระทำ ก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่น่าคิดถึงเช่นนี่้
เขายังจำมันได้ดี ความรู้สึกที่ต้องโดดเดี่ยวในชีวิตนั้นหายไป เมื่อมันหายไปแล้วเป็นเช่นไร เหมือนกับตอนที่เขาได้รับ เสี่ยวเซี่ยนจื่อ สุนัขเวทย์สัตว์เลี้ยงที่เป็นเหมือนเพื่อนรักของเขามาจากท่านอาหญิงเล็กครั้งแรก
'ดูแลมันให้ดีละ อาลู่'
หลังจากนั้นก่อนที่ทั้งสองคนจะออกไป หลานลู่ก็ตั้งใจว่าจะเก็บกระดาษม้วนที่ตนนั้นเผลอไปชนตกลงมาจากบนชั้นวางเสียก่อน แต่เมื่อเขาก้มเก็บเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าข้างในกระดาษที่ม้วนนั้น ที่จริงๆมันคือม้วนภาพวาด
'อาลู่ มีอะไรหรือ?'
'.....เปล่าขอรับ'
เด็กชายตอบปฏิเสธก่อนที่จะรีบเดินตามจินหลิงออกไป ส่วนเรื่องกระบี่นั้นจินหลิงจะเป็นคนคุยกับหลานซีเฉินกับหลานฉี่เหรินเองว่าให้หลานลู่ใช้กระบี่เฮิ่นเซิงเล่มนี่เป็นกระบี่คู่กาย ต่อให้จะถูกมองว่ามันมิเหมาะสมควร แต่เขาก็ยืนยันที่จะให้อาลู่ใช้มัน และตัวของอาลู่เองก็กอดกระบี่นี้เอาไว้แนบกายมิยอมปล่อยราวกับมันเป็นของมีค่าที่ไม่ยอมเสียไป
หลานซีเฉินจำได้หลังจากที่จินหรูหลันพาหลานลู่มาส่ง แล้วเมื่อเขาได้เห็นกระบี่อ่อนในมือของลูกชาย เขาจำมันได้ดี ถึงแม้ว่าเจ้าของเก่าของมันจะมิค่อยนำมันออกมาใช้เสียเท่าไร นอกจากเวลาขี่กระบี่ กับอีกไม่กี่ครั้งที่แทบนับครั้งได้ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมันก็คือ คืนที่วัดกวนอิน
ตอนที่เห็นมันหลานซีเฉินถึงกับมือไม้สั่น เขาอยากจะตรงเข้าไปจับกระบี่เล่มนั้น ถึงแม้จะมองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่ามันเคยเป็นของใครมาก่อนก็ตาม แต่เขาก็ต้องกั้นใจมิทำเช่นนั้น เพราะถึงเขาจะเข้าไปจับมัน เขาก็คงดึงมันออกมาจากฝักมิได้ นอกจากนายที่กระบี่เล่มนั้นยอมรับ
จินหลิงมาคุยกับเขา และหลานฉี่เหรินเรื่องที่จะให้อาลู่ใช้กระบี่นี่เป็นกระบี่คู่กาย แน่นอนว่าหลานฉี่เหรินมิค่อยเห็นด้วยเท่าไร ลูกศิษย์ตระกูลหลานก็ควรที่จะใช้กระบี่ของตระกูลหลานที่สื่อถึงความขาวบริสุทธิ์ และเยือกเย็นเหมือนเกร็ดเหมันย์ มิใช่สีเหลืองทองที่สื่อถึงความงดงามเจิดจ้าของตระกูลจิน
แต่ถึงอย่างนั้นจินหลิงก็ยืนยันที่จะให้อาลู่ใช้มัน และเป็นที่รู้กันว่าประมุขจินคนนี้นั้นหัวดื้อมากเพียงใด เถียงกับเขาไปก็คงชนะได้ยากจนสุดท้ายก็ต้องยอมให้หลานลู่ใช้กระบี่เล่มนั้น และอีกสาเหตุนึงที่ยอมง่ายๆเช่นนี้ก็คือ หลานลู่ที่กอดกระบี่มิยอมปล่อยที่บ่งบอกว่าเขาต้องการกระบี่เล่มนี้เพียงเล่มเดียว นั้นก็เป็นสาเหตุที่เพียงพอแล้วที่จะให้เขาใช้มันเป็นกระบี่คู่กาย
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
ตอนหน้าคิดว่าเจ้าแฝดน่าจะได้เจอกันแล้วนะ ^^
กระบี่นี้เป็นกระบี่ตระกูลจินนะคะ ไรท์พยายามหาภาพกระบี่ของอาเหยาแล้วแต่ไม่มีแบบเห็นชัดๆเลย เลยเอารูบนี้มาเป็นแบบอย่างนะ แต่ในอนิเมะ สมุดเขามีรูปเต็มๆอยู่ตามนี้ค่ะ
ในซีรีย์คล้ายๆแบบรูปข้างบน แต่ใบดาบจะบางมากๆจนสามารถมาพันรอบเอวเป็นเข็มขัดได้เลย
ส่วนในอนิเมะก็ตามภาพข้างล่างนี้คะ เท่าที่ไรท์ดู มันก็ดูบางกว่ากระบี่ทั่วไปกว่าของตัวละครอื่นจริงๆนั้นละ
_____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น