ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พยานรักแฝดหยกโบตั๋น [(ซีเหยา) อาเหยาเป็นผู้หญิง มีลูกแฝดกับพี่ซี]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 27 มิ.ย. 64





    ______________________________________________________________________________




         อวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ ดินแดนของเหล่าเซียนตระกูลหลาน ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนาวหนาทึบ อยู่ท่ามกลางป่าเขาเขียวชอุ่ม ถ้ามิรู้ทางก็อาจจะหาสถานที่แห่งนี้มิพบก็ได้ สถานที่ที่มีแต่กฏอันเคร่งครัดกว่า 3,000 กว่าข้อที่ผู้คนต้องปฏิบัติ


         วันนี้สถานที่อันแสนสงบเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะต้องจบลงเสียแล้ว เมื่อมีลูกศิษย์ผู้นึงได้รีบมาแจ้งเหตุร้ายที่เรืองของประมุขตระกูล



    "สัตว์อสูรออกอาละวาดงั้นหรือ?"

         หลานฉี่เหรินเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่ได้ทราบข่าวที่ลูกศิษย์มาแจ้ง ซึ่งในเรือนประมุข ณ ตอนนี้นั้นยังมีอีก 5 ชีวิตรวมประมุขอยู่ใน ณ ที่นี่ด้วย

    "ขอรับ ข่าวสารแจ้งมาว่าเป็นสัตว์อสูรตัวใหญ่ ที่คอยไล่ทำร้ายชาวบ้านที่หลงเข้าไป"
    "เท่าที่รู้มา มันมีรูปร่างคล้ายพยัคฆ์มีปีก ซึ่งข้าคิดว่าสัตว์อสูรที่ตัวใหญ่แล้วมีลักษณะเช่นนี้ ต้องเป็น ฉงฉีเป็นแน่"

    เซียนตูคนปัจจุบัน หรือหลานจ้าน นามรอง หลานวั่งจี ได้เอ่ยกับผู้เป็นอา พร้อมกับก้มมองอ่านรายละเอียจที่ศิษย์นำมาให้ ซึ่งข้างๆกันนั้น เว่ยอิง เว่ยอู่เซี่ยนก็ออกความเห็น

    แล้วเมื่อได้ฟังดังนั้น หลานฉี่เหรินก็ลูบเคราตนเองพร้อมกับขบคิดอะไรบางอย่างก่อนที่จะเอ่ยออกมา


    "น่าแปลกถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดมาจริงๆ ทำไมฉงฉีถึงได้ออกมาอาละวาดในเขตอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ ทั้งที่ผ่านมามิเคยพบเห็นฉงฉีสักตนเดียว"

    "ข้อนี้ข้าเองก็มิอาจตอบได้อย่างแน่ชัด เพราะยังมิรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าสัตว์อสูรนั่น เพราะข้อมูลที่เรามีอยู่มีน้อยเกินไป แต่ถ้าให้ข้าเดา ฉงฉี ถึงแม้จะเป็นสัตว์อสูรที่ดุร้ายแล้วกินคนก็ตาม แต่ก็เป็นสัตว์รักสงบเช่นกัน มิแน่ว่าอาจมีใครไปบุกรุกในที่อยู่อาศัยเดิมของพวกมัน หรือไม่ ก็อาจจะหนีอะไรมา"

    เว่ยอิงร่ายยาวถึงข้อทฤษฎีที่ตนนั้นตั้งขึ้นมา และจากที่เขาพูดมานั้น มันมีทั้งความเป็นไปได้และมิได้ ใครๆก็รู้ว่า ฉงฉี นั้นแข็งแกร่ง และดุร้ายเพียงใด แล้วจะมีสิ่งใดที่ทำให้มันหลบหนีมาจนถึงในเขตอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ ได้กัน


    "ที่คุณชายเว่ยพูดมานั้น ข้าคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ และมิได้อยู่ แต่จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราต้องจับสัตว์อสูรเป็นๆ แล้วพามันไปอยู่ในที่ๆควรอยู่"


    เสียงเรียบนิ่งราวกับคลื่นน้ำอันเงียบสงบถูกเอ่ยขึ้นมาจากประมุขตระกูลหลานที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ใบหน้านั้นเรียบนิ่ง และดูเค่งขรึมขึ้นมากกว่าแต่ก่อน รวมถึงอายุที่มากขึ้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นความงามอันดับ 1 ก็มิได้ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย

    "ซีเฉิน เจ้ามีวิธีจัดการสินะ"
    "ขอรับ ที่ต้องทำก็คือ ทำให้สัตว์อสูรหลับด้วยบทเพลงกล่อม แต่เราจำเป็นต้องขังมันเอาใว้ในค่ายกลเสียก่อน มันจะมิสามารถหนีได้ แล้วเมื่อมันสลบก็นำมันไปยังที่ๆเหมาะสม หรือถ้าหากคิดจะสืบหาแหล่งที่มาว่าทำไมมันถึงได้หนีมาจากเขตที่อยู่อาศัยเดิมของมันละก็ เราค่อยว่ากันอีกที หลังจากที่จับมันได้ก็มิสาย"

    หลานฮ่วน นามรอง ซีเฉิน ได้อธิบายแผนการให้กับทุกคนเข้าใจ โดยเฉพาะเว่ยอิงที่ต้องฟังให้ดี เพราะภารกิจครั้งนี้เขาต้องลงไปช่วยจัดการ ส่วนหลานวั่งจีนั้นติดภาระกิจของเซียนตู จึงมิสามารถไปด้วยได้


    "อืม...เช่นนั้นก็ดี มันเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดทั้งสำหรับฝ่ายเราแล้วสัตว์อสูรนั้น เว่ยอิง! เรื่องเตรียมคนให้เจ้าจัดการ"
    "ขอรับ อา!จริงสิ ถ้าเช่านั่นเจ๋ออู๋จวินข้ามีเรื่องจะขอ"
    "อะไรรึคุณชายเว่ย"
    "ภาระกิจครั้งนี้ ให้อาลู่มาช่วยข้าด้วยได้หรือไม่"

    เมื่อสิ้นคำของเว่ยอิง หลานซีเฉินก็เงียบไปสักพัก และที่หัวโต๊ะตรงข้ามมีร่างของเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นที่นั่งเงียบมาโดยตลอดตั้งแต่ที่เริ่มปรึกษาหารือ ถึงแม้จะมิได้พูดหรือออกความเห็นอะไร แต่ก็ตั้งใจฟังทุกคำพูด เป็นอย่างดี

         หลานลู่ นามรอง หลวนเฉิน นั่งนิ่งสงบแต่แววตานั้นมีความหนักแน่น จ้อมมองไปที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของตนอย่างรอคำตอบ หวังว่ารอบนี้บิดาขอนตนนั้นจะยอมให้เขาลงจากเขาไปช่วยในภารกิจครั้งนี้ด้วย

    "ข้าคิดว่า-"
    "ข้าอนุญาต"

    ยังมิทันที่หลานซีเฉินจะตอบปฏิเสธ กลับถูกผู้เป็นอาหลานฉี่เหรินพูดอนุญาตตัดหน้าเสียก่อน 


    "แต่ข้าไม่อนุญาต"
    "ซีเฉิน เจ้าคิดจะกักขังลูกของเจ้าไปถึงเมื่อไรกัน"
    "....แต่เขายังมิพร้อมจะออกไป"

    "แต่ในสายตาข้า ข้ามองว่าเขาพร้อมแล้ว หลวนเฉินเองอายุก็มิใช่เด็กเล็กแล้วที่จะต้องอยู่แต่ในเรือน เขาควรที่จะออกไปพบกับประสบการณ์จริง เพื่อเรียนรู้ ฝึกฝีมือ มิอย่างนั้นในอนาคตที่เขาจะขึ้นเป็นประมุขต่อจากเจ้า เขาจะเป็นประมุขที่ดีได้อย่างไร  ถ้ามิรู้เรื่องเขตในการปกครองของตนน่ะ หรือเจ้าอยากให้เขาเป็นคนที่เอาแต่อ้างว่ามิรู้อะไรเลย เหมือนประมุขเนี่ยหรือไงกัน"

    "ท่านอา..."


    เมื่อสิ้นคำของหลานฉี่เหรินจนหลานวั่งจีต้องรีบเอ่ยห้าม บรรยากาศรอบๆก็เงียบลงจนน่าอึกอัด พร้อมๆกับใบหน้าของหลานซีเฉินที่ถมึงทึงมากขึ้นกว่าเก่าจนน่ากลัว เมื่อได้ยินนามนั้น ฉับพลันภาพเหตุการณ์ในครั้งก่อนๆที่คนผู้นั้นได้ทำเอาไว้ก็ฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ พร้อมกับใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของสตรีในดวงใจ และ เด็กทารก ก็ฉายชัดขึ้นมา

         หลานซีเฉินแอบกำมือเข้าหากันจนแน่นเพื่อระงับอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้อย่างดี เว่ยอิงเริ่มเห็นว่าสถานะการเริ่มมิดีเสียแล้ว จึงได้เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ


    "เจ๋ออู๋จวิน อาลู่นั้นมิใช่เด็กๆอีกแล้วเขาแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด พวกเหล่าศิษย์ก็เห็นเช่นเดียวกัน อีกอย่างให้เขาลงไปช่วยในภาระกิจครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างหน้าชูตาให้เขามิดีกว่าหรือ และอีกอย่างอาลู่เองก็อยากจะไปเช่นกัน"

    เมื่อพูดจบทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่เป็นหัวข้อหลักของบทสนทนา เขายังคงเงียบแล้วจับจ้องไปที่ผู้เป็นบิดา หลานซีเฉินไม่สบตาเขาโดยตรง เขาผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว ก่อนที่จะถามคำถามนึงกับบุตรชายไป

    "หลานลู่ เจ้าอยากออกไปหรือ?"

         เขาถามออกไปถึงจะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบนั้นคืออะไรแต่เขาก็อยากจะถาม เพราะในใจเขาแอบหวังว่าคำตอบคือ "ไม่อยากออกไป" เขาหวังว่าคำตอบจะเป็นเช่นนั้น....







    "ขอรับ ข้าอยากออกไป"


         แต่หลานซีเฉินรู้ดีว่าลูกชายของตนนั้นแอบหัวรั้น แต่ตรงไปตรงมาเพียงใด ปลือกตาของเขาปิดลงก่อนที่จะเปิดขึ้นมาสบเข้ากับดวงตากลมโตเรียวของลูกชายที่มองมาที่เขา แววตาคู่นั้น ที่มองมาที่เขา....

    หลานซีเฉินหลบสายตานั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเลิกประชุม แล้วแยกย้าย เว่ยอู๋เซี่ยนกับหลานวั่งจีเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน เพื่อไปเตรียมตัวกับจัดกำลังคน โดยมีหลานลู่เดินตามหลังไป จนในตอนนี้ในเรือนของประมุขหลาน เหลือเพียงหลานฉี่เหรินอยู่อีกคน ก่อนเขาจะไปเขามีเรื่องจะพูดกับหลานชายคนโตเสียก่อน




    "ซีเฉิน ข้าอยากให้เจ้าปล่อยวางลงเสียบ้าง อย่าได้กระทำกับลูกชายของเจ้า เหมือนที่เจ้ากระทำกับมารดาของเขา เพราะสิ่งที่เจ้าทำ ถึงจะกักขังร่างกายเขาได้ แต่มิอาจกักขังใจเขาได้หลอก"



    เมื่อกล่าวจบหลานฉี่เหรินมิรอฟังคำตอบ ก่อนที่จะเดินออกไปจากเรือน ปล่อยให้หลานซีเฉินอยู่คนเดียวแล้วคิดทบทวนให้ดี ว่าอย่าได้กระทำผิดพลาดหมือนครั้งก่อนอีก



















    อีกด้านนึง






    "ผู้อาวุโสเว่ย"
    "หือ? มีอะไรรึอาลู่?"



         หลังจากที่ทั้งสามเดินออกมาจากเรือนของประมุขแล้ว หลานลู่ได้เอ่ยเรียกเว่ยอู่เซี่ยนที่เดินนำหน้าอยู่กับหลานวั่งจีผู้เป็นอา

    "เรื่องที่ท่านช่วยพูดกับท่านพ่อ....ท่านประมุข ยอมให้ข้าออกไปข้างนอก ข้าขอขอบพระคุณท่านมากขอรับ"


         หลานลู่พูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำความเคารพขอบคุณ เว่ยอิงมองท่าทางนอบน้อมนั้นผลันให้นึกถึงว่า เด็กหนุ่มผู้นี้นั้น นอกจากจะหล่อเหลา มีความใสซื่อ และมีความเคร่งครัดที่จะทำตามกฎของตระกูลเหมือนบิดาของเขาแล้ว ไอ้นิสัยนอบน้อมถ่อมตน ฉลาดคิด มีมารยาท ความเคารพผู้อื่นเช่นนี้ ทำให้นึกถึงมารดาของเขาครั้งก่อนที่จะไปใช้นามสกุลจินเสียอีก


    ลูกไม้หล่นมิไกลต้นจริงๆ....



    "เจ้ามิต้องขอบคุณข้าหลอก แต่ว่านะอาลู่ เจ้าควรที่จะพูดแสดงความต้องการของตนเองออกมาให้มากกว่านี้สิ มิใช่ว่าเรื่องใดพ่อเจ้าเห็นว่าดีเจ้าก็ว่าดี เรื่องไหนมิดีเจ้าก็ว่ามันมิดีด้วย อย่างเรื่องวันนี้ เจ้าอยากจะออกไปข้างนอกอวิ๋นเซินที่นอกจากตอนไปจินหลินไถ เจ้าควรที่จะกล้าพูดกับเขาตรงๆนะ"



    ต่อให้เด็กหนุ่มคนนี้จะดีเลิดขนาดไหน แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์มันก็ไม่มีใครดีไปเสียหมด อย่างหลานลู่นั้น เขามีข้อเสียคือ เขามิเคยแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาเลย มิว่าจะกับเรื่องใดๆ ต่อให้เขาจะเป็นคนฉลาดคิด แต่ก็มิเคยแสดงมันออกมาให้ผู้ใดเห็น ราวกับว่าต้องการที่จะไม่มีตัวตนในสายตาของใคร เพราะเช่นนั้นจึงมิพูดหรือออกความเห็นให้ใครมาสนใจตน


    แต่มันช่างขัดแย้งกับความสามารถของเขาเสียเหลือเกิน ต่อให้เขาจะมิพูดหรือออกความเห็นใดๆ กลับเป็นที่สนใจของผู้คนมิน้อย ทั้งในเรื่องฝีมือ ความรู้ หรือแม้แต่ตัวตนของเขา ที่มิว่าใครๆก็อยากจะรู้ที่มาที่ไป ว่าจริงๆแล้วเป็นมาอย่างไร เพราะจนถึงทุกวันนี้ ยังมิมีใครทราบแน่ชัดเลย



    ต่อให้มิต้องพูดอะไรเลย ก็ยังมีตัวตนในสายตาคนอื่น....แต่จะในแง่ไหนนั้นก็อีกเรื่องนึง




    "เรื่องนั้น ข้าคิดว่าให้ท่านประมุขเป็นผู้ออกความเห็นจะดีกว่า ข้ามิกล้าหลอก"

    "มิใช่ว่าเจ้ามิกล้า...."


    ทั้งเว่ยอิงกับหลานลู่หันกลับไปหาผู้ที่ยืนเงียบมาโดยตลอดอย่างหลานวั่งจี ที่จู่ๆก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่คำพูดต่อมาจะทำให้เว่ยอิงถึงกับยิ้มเห็นดีเห็นงามด้วย

    "แต่อยู่ที่ว่าเจ้าจะพูดหรือทำมันอย่างที่ใจคิดหรือเปล่า"
    "พูดได้ดีนี่หลานจ้าน!"


    เว่ยอิงยกนิ้วให้ชายคนรัก ก่อนที่จะหันกลับมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง


    ่"ก็อย่างที่ว่านั้นแหละ อาลู่ คนเราจะทำตามใจตนเองบ้างก็มิผิดหลอก"

          เว่ยอิงพูดพร้อมกับชกไปที่อกของหลานลู่เบาๆ เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหน้าคิดกับตนเองก่อนที่จะตอบผู้อาวุโสทั้งสองไป

    "ข้าจะจำเอาไว้ขอรับ"
    "ดี! มาเถอะไปหาศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้ากันแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเราจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า"














    เรือนเหมันต์ ยามซวี (ประมาน19:00-20:59 น.)



         ในค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้เป็นปกติดั่งเช่นทุกๆคืนวันที่ผ่านมา และในเวลาแบบนี้ผู้คนส่วนใหญ่ในอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ ก็จะเข้านอนกันหมดแล้ว ยิ่งค่ำคืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหนามาบดบังเเสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องลงมา ลมหนาวที่พัดมานั้นเย็นสบาย ทำให้ค่ำคืนนี้หลับสบายได้มิยาก




    เว้นเสียแต่...


         ที่เรือนเหมันต์ได้มีเสียงของบทเพลงของกู่ฉินบรรเลงเพลงเสียงอันไพเราะออกมา แต่ในท่วมทำนองของบทเพลงนั้นช่างเศร้าสร้อยเลือกเกิน จนผู้ที่แค่ผ่านมาได้ยินนั้นก็อาจจะต้องหลั่งน้ำตาออกมาก็ได้


    และที่มาของบทเพลงนั้นก็มิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าของเรือนอย่างประมุขหลาน นิ้วมือหนาที่งดงามไล่บรรเลงไปตามสายฉินอย่างต่อเนื่อง และรอคอย ถึงการตอบกลับ แต่นอกจากการบรรเลงของหลานซีเฉินแล้ว สายของกู่ฉินก็มิมีอะไรตอบกลับมาเลย เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนจบบทเพลงเขาจึงหยุดมือ


    "วันนี้ก็ มิมีการตอบกลับ..."

    สายตาของหลานซีเฉินมัวหมองลงจากความผิดหวังที่เขานั้นพยายามจะติดต่อกับคนผู้นั้น ที่จากไปแล้ว แต่วันนี้ก็มิมีการตอบรับอะไรกลับมาเลย และมิใช่แค่คืนนี้ ทั้งเมื่อคืนวาน ทั้งที่ผ่านๆมายาวนานนับปีๆ ที่หลานซีเฉินจะเล่นกู่ฉินถามไถดวงจันทร์ถึงคนผู้นั้นที่จากเขาไป แต่ที่ผ่านมาตลอด 13 ปี มิเคยมีการตอบกลับมาเลยสักครั้ง


    "ครั้งหน้า ข้าจะพยายามเอาใหม่...."


         แต่ถึงจะผ่านเวลามา 13 ปี แล้วก็ตาม แต่หลานซีเฉินก็ยังคงมิยอมแพ้ มิว่าใครจะพูดอย่างไรเขาก็ยังคงจะทำมันต่อไป นิ้วมือหนาลูบไปตามสายฉิน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกหน่อย มีของสิ่งๆนึงที่วางอยู่ไกล้ๆที่หลานซีเฉินใช้เป็นตัวเชื่อวิญญาณตามหาเจ้าของของมัน




         ปิ่นปักผมประดับลายบุผางาม ที่ตั้งแต่ตัวดอกบุผาจนไปถึงก้านเสียบผม รวมไปถึงสายที่ร้อยกันลงมาอย่างปราณีต และเม็ดหยกที่เอามาใช้ประดับ ต่างล้วนเป็นสีขาวหิมะอันบริสุทธิ์ ถูกตั้งจัดวางเอาไว้ตรงหน้าของเขาอย่างดี

    หลานซีเฉินคิดว่าปิ่นปักผมอันนี้นั้นช่างเหมาะกับสีขาวมากกว่าสีเดิมของมันเสียอีก สีดั่งเดิมที่เป็นสีเหลืองทองบ่งบอกถึงตระกูลจิน ที่เจ้าของมันชอบใส่เป็นประจำ


    แต่หลังจากเหตุการที่วัดกวนอินปิ่นอันนี้ มันเคยตกไปอยู่ในมือของประมุขเนี่ย หลานซีเฉินจึงได้ไปขอมันกลับมา ถึงแม้ว่าประมุขเนี่ยจะมิเต็มใจให้ ทั้งหาข้ออ้างต่างๆน่าๆว่ามันหักไปแล้ว สีของมันมั่วหมองไปแล้ว มิสวยงาม แต่ต่อให้มันจะพังยังไง เขาก็จะเอามันมาให้ได้


    หลังจากที่ได้มันมาเขาก็นำมันไปซ่อมแซมรวมถึงเปลี่ยนสีมันซะใหม่ก่อนที่จะนำมันกลับไปคือให้เจ้าของของมัน......







         มือหนาของหลานซีเฉินหยิบปิ่นปักผมอันนั้นขึ้นมาแล้วหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อ13ปีก่อน หลังจากที่อาลู่เกิดได้ไม่นาน มันเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จนทำให้เขา ต้องศูนย์เสียเจ้าของปิ่งนี้ไปตลอดการ






    ทั้งที่เขาอุสาซ่อนนางเอาไว้ แต่ชะตากรรมที่โหดร้ายก็มาพลาดนางไปอยู่ดี....








    "อาเหยา.....พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน"







    ______________________________________________________________________________





    ___________________________________________________________________

    อาเหยาในเรื่องผู้ชายจะคู่กับหมวกใช่ไหม แต่ในเมื่อเรื่องนี้เป็นผู้หญิงก็ต้องเปลี่ยนเป็นปิ่นเนี่ยแหละ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×