ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [รามเกียรติ์] สัญญารัก [พระลักษณ์ x oc]

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 63




    "เจ้าชู้สุดๆ"

    ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต็ะทำงานของตัวเอง ส่วนหนังสือที่ฉันอ่านก็เรื่องรามเกียรติ์นั้นแหละ โดยหัวข้อเรื่องที่ฉันอ่านวันนี้ก็คือความเจ้าชู้ของทหารเองของพระราม

    "ผู้ชายในยุคนั้นเป็นแบบนี้กันหมดเลยรึไงกันนะ"

    ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน หรือจะเป็นเรื่องราวในวรรณคดีก็ตาม ผู้ชายมักจะเอาเปรียมผู้หญิงอยู่เสมอ และเจ้าชู้มีเมียเยอะเป็นที่สุด

    "หา?!.....อะไรเนี่ย!หลังจากจบศึกพระรามประทานเมีย....ไม่...ไม่สิ...นางสนมมากกว่า...ให้หนุมานตั้ง 5,000 คนเลยหรอ ร้ายกาจ! ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็คงเป็นผู้ชายที่หน้าอิจฉามากที่สุดแน่ๆ"

         ไม่รู้ทำไมพออ่านถึงตรงนี้แล้วหน้ามันร้อนๆ นี้ฉันคิดบ้าอะไรอยู่กันเนี่ย! 

    แค่เมีย 5 คนแรกๆก็ว่าแซบมากแล้วนะเนี่ย ให้ตายเถอะหนุมาน...มีเมียเยอะขนาดนี้ มันจะไม่มีเรื่องตบตีกันบ้างเลยรึไงกันนะ สู้พระรามก็ไม่ได้ รักเดียวใจเดียวกับนางสีดา......

    ถึงจะแอบระแวงว่านางจะเสียตัวให้ทศกัณฐ์อยู่บ้างก็เถอะ.....



    โครม!!!

    "เฮือก!! อะไรน่ะ!?......หรือว่าจะ....!"

    ฉันรีบวิ่งออกมาจากโต็ะทำงาน และรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านไม้ทันที รีบวิ่งไปที่ห้องในสุดก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปอย่างร้อนรน

    "พี่วิ!!"

    พอเปิดประตูเข้ามา สภาพของห้องก็มีหนังสือกองอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่นั้นตามชั้นวางของเองก็มีของวัตถุโบราณตั้งอยู่เต็มไปหมดเช่นกัน

    ฉันร้องเรียกหาเจ้าของห้อง หรือก็คือรุ่นพี่ของฉันนั้นเอง

    "พี่วิ! อยู่ไหนเนี่ย! พี่วิ!"

    ฉันรีบเข้าไปยกกองหนังสือออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่ามันจะเป็นเหมือนครั้งก่อนๆ ที่รุ่นพี่ของฉันศึกษาเรื่องของวัตถุโบราณจนไม่ได้พัก แล้วสุดท้ายก็สลบคากองงานหรือภูเขาหนังสือในห้อง

    "พี่วิ! พี่วิมาลา!!"

    พู่!!

    "หว้าย!!"

    กองภูเขาหนังสืออยู่ๆก็มีมือบางผุดขึ้นมา เหมือนในหนังซอมบี้เวลาขึ้นมาจากหลุมเลย ร่างบางของหญิงสาวผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นพี่ แล้วเป็นนักโบราณคดีค่อยๆโผล่ออกมาจากกองภูเขาหนังสือช้าๆ

    เส้นผมสีดำยาวที่แทบบดบังใบหน้าจนมิด ดูๆไปก็เหมือกับผีนับจานจากตำนานของญี่ปุ่นมากเลย พี่วิมาลาในสภาพนี้น่ะ

    "พี่วิ!"

    ฉันรีบเข้าไปดึงตัวพี่วิออกมาจากกองหนังสืออย่างทุลักทุเล เพราะคุณพี่เธอนั้นตัวใหญ่กว่าฉันมาก

    จากสภาพแบบนี้คงวิจัยงานอย่างหนักจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนแน่ๆ แถมไม่ได้กินด้วย

    "พี่วิ! หนักอะ! ตั้งสติไว้พี่วิ"
    "หะ...หา...."
    "อะไรพี่จะพูดอะไรนะ!?"

    ฉันดึงตัวพี่วิออกมาก่อนที่จะปัดผมเผ้าให้เรียบร้อย พี่วิเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ฉันเขย่าตัวให้พี่แกได้สติ

    ดวงตาสีแดงเหมือนโลหิตของพี่วิค่อยๆลืมขึ้นมา ปากก็ขยับพยายามออกเสียงออกมาให้ฉันได้ยิน ฉันก้มหน้าลงไปเพื่อฟังให้ได้ยินชัดๆ

    "หิวข้าว....."





















    "จริงๆเลยพี่เนี่ย! รู้ไหมฉันใจหายใจคว่ำหมดเลยนะ!"

    ฉันรินน้ำใส่แก้วแล้วยกมาให้พี่วิ ที่กำลังกินข้าวจานที่ 3 เข้าไป แน่ละ!ต้องกินเยอะอยู่แล้วก็เล่นทำจากวิจัยไม่กินไม่นอนมา 3 วันแล้วนิ

    "อึด! เอาน่าขอโทษ ก็มันช่วยไม่ได้นิน่าเพราะถ้าฉันไม่ได้รู้เรื่องราวของมันโดยเร็ว ฉันต้องบ้าตายแน่ๆ"
    "พี่ก็พูดแบบนี้ตลอดนั้นแหละ ฉันไม่ว่าหรอกนะ ถ้าจะทำการวิจัยหรืออะไรก็ช่าง แต่ช่วยดูแลตัวเองบ้างเถอะพี่วิฉันเป็นห่วง"
    "จ้าๆคุณแม่ ขอบใจที่เป็นห่วงนะ"

    พี่วิพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ก็เป็นปกติของพี่แกละนะ

    "เอ่อ! จริงสิแพรวา"
    "พรุ่งนี้ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ พอดีพี่ชายของพี่เขาประสบอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะ ก็คิดว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมสักหน่อย นะไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย"
    "เอ่อ......ได้คะพรุ่งนี้ฉันว่าง"
    "เยี่ยม!งั้นพรุ่งนี้ 9 โมงเช้านะ"
    "ได้คะ"
    "จริงด้วยสิ ต้องโทรบอกทางนั้นด้วย" 

    พี่วิเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อนที่จะลุกไปโทรหาใครสักคน ใช้เวลาไม่นานปลายสายก็รับ

    "ฟ้าหรอพี่วิมาลาเองนะ...."

    แล้วพี่วิก็พูดกับคนในสายต่อไป ก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากับกรอบรูปที่มีภาพถ่ายอยู่ ที่ตั้งอยู่ข้างๆโทรศัพท์บ้าน มันเป็นรูปกลุ่มผู้หญิงกลุ่มนึงที่เหมือนจะไปเที่ยวที่วัดกัน แล้วผู้หญิงหนึ่งในนั้นก็มีพี่วิอยู่ด้วย

    มันพอทำให้ฉันพอเข้าใจได้ว่าคนที่พี่วิคุยด้วยในสายคงจะเป็นหนึ่งคนในรูปนั้นแน่ๆ

    "พวกที่ Family สินะ"




    วิมาลาผมดำ








    วันต่อมา




    "โชคดีจริงๆนะคะพี่วิ ที่คุณไกรไม่เป็นอะไรมาก"

    ตอนนี้ฉันกับพี่วิกำลังเดินทางกลับหลังจากที่ไปเยี่ยมคุณไกร พี่ชายของพี่วิมาจากโรงพยาบาล ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุทางรถจนทำให้เขาแขนหักต้องใสเฝือก แต่อย่างอื่นก็ตรบ 32 ดี

    "อืม เฮ้อ...! ดีนะเนี่ยที่ทำประกันไว้ด้วย"
    "ฮ่าๆ นั้นสินะคะ"
    "นี่แพรว่าไปกินเค้กกัน! พี่รู้จักร้านดีๆร้านนึงอร่อยมาก"
    "เอาสิคะ"




    หลังจากนั้น พวกเราก็ไปแวะชื้อเค้กร้านที่พี่วิแนะนำกันมาก่อนที่จะไปหาที่นั่งกินกันแถมสวนสาธารณะ วันนี้เป็นวันที่อากาศดีมากๆเหมาะแก่การนั่งรับลมทานของอร่อยๆกัน


    "อืม! ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ แต่กินแล้วคอแห้งจัง น่าจะซื้อชานมไข่มุกมาด้วยนะ"
    "นั้นสินะค่ะ พี่พูดแล้วอยากกินเลย"
    "เอางี้! ตรงหน้าทางเข้าสวนสาธารณะมีร้านขายน้ำอยู่เดียวพี่ไปซื้อมาให้ แพรวาเอาอะไรละ เดียวพี่เลี้ยง"
    "อือ...เอารสชานมเย็นละกัน"
    "ได้! เดียวพี่มานะ!"

    พี่วิมาลาลุกออกไป ก่อนที่ทุกอย่างรอบๆตัวฉันนะจะเงียบสงบลง ฉันเอนกายหลังพิงกับเก้าอี้ในสวนสาธารณะ อากาศวันนี้ดีจริงๆ สงบจนอยากจะนอนหลับสักงีบ แต่คงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะถ้าเผลอหลับไป อาจมีคนแอบมาขโมยของในกระเป๋าไปก็ได้


    อยู่ในกรุงเทพแบบนี้นิอันตรายจะตายไป เฮ้อ....คิดแล้วก็อยากกลับไปเที่ยวบ้านคุณยายที่ต่างจังหวัดจังเลยน่า ที่นั้นน่ะเงียบสงบ ไม่อันตรายเท่าที่นี่ แถมข้างๆบ้านยังมีแม่น้ำใสสะอาด ให้กระโดดลงไปเล่นได้ทุกเมื่ออีก


         แต่ก็เอาเถอะอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่ไปหมดซะทีเดียว ในเรื่องที่ไม่ดีมันก็ต้องมีเรื่องดีๆอยู่บ้างแหละน่า


    ฉันลืมตาขึ้นก่อนที่จะไล่ความคิดในหัวต่างๆน่าๆออกไป ก่อนที่จะลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสาย แล้วมองไปรอบๆสวนสาธารณะแห่งนี้ 


    'จะว่าไปที่นี่ ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของความฝันนั้นสินะ'



    ภาพในความทรงจำที่ตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือฝันกันแน่ ตัวฉันในวัยเด็กที่วิ่งเล่นไปกับเด็กผู้ชายตัวเหลืองคนนั้น มือที่จับกันไม่เคยปล่อย ชื่อเล่นสั้นๆที่ฉันใช้เรียกเขา....


    "ลักษณ์....."


    ชื่อนี้ ชื่อที่เธอนั้นจำได้ดีว่าเคยใช้เรียกใครบางคนในความทรงจำ และมันอาจจะเป็นเพราะชื่อนี้ด้วยก็ได้ ที่ทำให้ฉันนึกไปถึงพระลักษณ์ในรามเกียนติ์ เพราะมันมีอะไรที่เหมือนกัน 

    เหมือนกันมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ...




    ฉันพยายามบอกตัวเองตามที่พ่อกับแม่บอกมาตลอดว่าที่ฉันเห็นเด็กผู้ชายตัวเหลืองนั้นฉันฝันไปเอง เป็นเพราะอยู่ในอาการโคม่าตอนที่ตกน้ำ....


    ตกน้ำที่สวนสาธารณะแห่งนี้...




    เมื่อคิดได้มาถึงตรงนี้ฉันก็ก้มมองที่สร้อยคอของฉัน สร้อยคอที่ฉันได้มันมาหลังจากที่ฟื้นขึ้นจากอาการโคม่า  เท่าที่จำได้ตอนนั้นก่อนที่ฉันจะจมน้ำ ตัวฉันตอนเด็กคงเห็นเจ้าสิ่งนี้ส่องแสงอยู่ในน้ำ และด้วยความเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นจึงอยากจะเข้าไปหยิบมันมาดู แต่ก็ผลาดตกลงไปในน้ำ....

    แล้วก็ไปโผล่ที่ป่านั้น จนได้เจอกับลักษณ์


    มัน...ใช่ความฝันจริงๆหรอ...



    "หือ?"

    ในขนนะที่ฉันจมอยู่ในความคิด จู่ๆสร้องคอของฉันตรงอัญมณีสีชมพู มันก็เกิดส่องประกายขึ้นมาอย่างน่าประปลาด ฉันจับมันขึ้นมาดูอย่างแปลกใจและไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    "เกิดอะไรขึ้น มันไม่เคยเป็นแบบนี้นิน่า?"






    "ทำยังไงดีละ"



         ในขนะที่ฉันให้ความสำคัญกับสร้องคอของฉันอยู่นั้น จู่ๆก็ได้มีเสียงๆนึงดังขึ้น เมื่อฉันหันไปตามต้นเสียงฉันก็พบว่ามีผู้หญิงคนนึง ยืนอยู่ตรงบริเวณข้างๆสระน้ำ

    เธฮคนนั้นมีผมสีขาวขวนที่ดูโดดเด่น และเป็นประกายจนยากจะละสายตาได้ ใบหน้าของเธอ แม้จะแสดงสีหน้าที่ดูกังวลใจอะไรสักอย่างอยู่นั้น แล้วไหนจะะแว่นตาที่ใส่อยู่ ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยที่เธอคนนั้นมีลดน้อยลงไปเลยสักนิด

     เธอคนนั้นฉันพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นคนที่สวยมากๆ แต่ในขนะเดียวกัน ในใจของฉัน มันกลับร้องว่า เธอคนนี้มีอะไรที่ แปลกๆ


    "เออ ขอโทษนะคะ มีปัญหาอะไรรึปล่าว?"

    เพราะเธอคนนั้นทำหน้าราวกับกำลังมีปัญหาที่ใหญ่มากๆ จนดูน่าเป็นห่วง ฉันที่อยู่ไกล้ๆเธอจึงได้ลองเอ่ยถามดู 

    เธอคนนั้นหันกลับมาหาฉัน นั้นทำให้ฉันได้เห็นใบหน้าของเธอเต็มๆ และนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับฉันเป็นอย่างมาก

    ใบหน้าสวยของเธอที่นอกจากจะมีแว่นตามาสวมใส่แล้ว เธอยังปัดผมหน้าม้ามาปิดตาข้างซ้ายอีก และถ้าฉันมองไม่ผิด ภายใต้ผมหน้าม้าข้าวซ้ายนั้น ดวงตาของเธอถูกปกปิดด้วยที่ปิดตาสีดำสนิท แล้วไม่ใช่แค่นั้นนอกจากผมสีขาวนวลที่ดูโดดเด่นของเธอ สีของดวงตาของเธอก็ดูโดดเด่นไม่ตางกันเลยเช่นกัน ที่ดวงตาข้างขวา...


    มันเป็นสีแดงเหมือนกับทับทิมเลือด...


    "คือว่าฉันเห็นคุณดูมีปัญหา เออ มีอะไรให้ฉันช่วยได้ไหมคะ"


    เธอคนนั้นทำสีหน้าลำบากใจก่อนที่จะหันกลับลงไปที่สระน้ำ แล้วเมื่อฉันหันตามไป ก็พบว่าในสระน้ำนั้นมีอะไรบางอย่างลอยอยู่บนผิวน้ำด้วย มันเป็นสีเขียมมรกสวย แถมยังพริ้วไหมไปตามการเคลื่อนไหวของน้ำ อย่างเป็นธรรมชาติ จนมันทำให้ฉันแอบคิดในใจแวบนึงว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่.....


    "ผ้าพันคอ?"


    ผ้าพันคอสีมรกสวยที่ลอยไปลอยมาอยู่บนผิวน้ำนั้น นอกจากมันจะทำให้ฉันแอบคิดในใจแวบนึงว่ามันคือสิ่งมีชีวิตตอนที่เห็นครั้งแรกแล้วไม่พอ มันยังทำให้ฉันแปลกใจอีกว่า ทำไมถึงมีของแบบนั้นมาอยู่ที่นี่ ในประเทศที่ร้อนตับแตกแบบนี้เนี่ยนะ

    "คือว่าฉันเผลอทำมันตกลงไปน่ะคะ"

    หญิงสาวผมขาวเอ่ยขึ้นมาในที่สุด เธอยังคงแสดงสีหน้ากังวลไม่หาย แล้วมองไปที่ผ้าพันคอไม่วางตา

    "ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถ้าไม่รีบเก็บขึ้นมาละก็ มันต้องจมลงไปแน่ๆ นั้นน่ะ เป็นของสำคัญมากๆด้วย"

    เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว ไม่รู้ทำไม่ในใจของฉันมันมองว่า ที่เธอพูดนั้นมันฟังดูน่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยังไงก็ไม่รู้ แต่เมื่อเห็นว่าผ้าพันคอผืนนั้นมันกำลังจะจมลงไปอยู่แล้ว เธอคนนั้นก็มีสีหน้าที่ตื่นกลัวมากขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก 

    ฉันมองซ้ายมองขวาก่อนที่จะไปสะดุดเข้ากับกิ่งไม้ยาวอันนึงที่อยูใต้พุ่งไม้ ฉันรีบวิ่งไปหยิบมันมา ก่อนที่จะรีบพุ่งตัวไปเขี่ยผ้าพันคอนั้น


    'ทำไมมันไกลจัง!(ว่ะ)'

    แม้จะเอื่อมไปสุดมือแล้วก็ยังไม่ถึง แล้วผ้าพันคอนั้นก็จะจมลงไปเรื่อยๆแล้ว ฉันไม่มีทางเลือก จึงต้องจำใจก้าวน้ำลงไปในสระ ก่อนที่จะสามารถเกี่ยวผ้าพันคอขึ้นมาได้!

    "ได้แล้ว!"

    ฉันหยิบผ้าพันคอมาไว้ในมือก่อนที่จะสำรวจมันว่ามีตรงไหนเสียหายไหม ก็ไม่พบอะไร จนสายตาของฉันไปสะดุดเข้ากับชื่อที่ปักอยู่ที่ชายผ้าพันคอ


    'ฉัตรสุดา'


    นี่คงจะเป็นชื่อของผู้หญิงผมขาวคนนั้นงั้นสินะ  ฉันหันกลับไปหาคุณฉัตรสุดาที่ยืนรออยู่ก่อนที่ฉันจะยื่นผ้าพันคอให้เธอไป 

    "อา ได้แล้วคะ"


    คุณฉัตรสุดายิ้มให้ฉัน และในชั่วพริบตานั้นมันทำให้ฉันรู้สึกคุ้นๆกับรอยยิ้มของเธออยากบอกไม่ถูก ราวกับว่าเคยเห็นรอยยิ้มนั้นจากที่ไหนมาก่อน แต่ว่ารอยยิ้มของเธอมันก็ถูกซ้อนทับด้วยรอยยิ้มอีกแบบนึงที่มีใบหน้าคล้ายๆกัน เพียงแต่สีของแววตาที่ต่างกัน ที่มันไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีที่คลายกับผ้าพันคอผืนนี้

    มรกต...


    "ขอบคุณมากนะคะ...."

    คุณฉัตรสุดายืนมือมารับผ้าพันคอไปในจังหวะนั้นมือของเราได้เผลอสัมผัสกันเล็กน้อย แต่มันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่สร้อยคอของฉันมันเกิดมีแสงประกายขึ้นมาอีกแล้ว แต่ฉันไม่ทันสังเกตเห็นมัน

    "เพื่อเป็นการขอบคุณ ฉันจะให้เธอได้กลับไปนะ สุกัญญา"


    "เอ๋?"







    โครม!!



         ร่างกายของฉันหงายหลังลงไปในน้ำตามแรงที่ถูกผลัก ร่างของฉันค่อยจมลงไปในสระน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพยายามว่ายกลับขึ้นไปเท่าไรก็ไม่เป็นผล


    'นี่มันบ้าอะไรกัน(ว่ะ)เนี่ย!!'


    ฉันที่พยายามว่ายน้ำกลัยขึ้นไปเป็นอันต้องล้มเหลวเมื่ออยู่ๆร่างกายก็รู้สึกเหมือนหลุดออกจากแรงดึงดูดจากใต้น้ำ กลายมาเป็นตกลงมาจากบนอากาศเสียอย่างนั้น ฉันร้องออกมาอย่างตกใจจนหัวใจจะวายตาย ก่อนที่ร่างของฉันจะผ่านพวกกิ่งไม้และใบไม้ตางๆน่าๆ จนตกลงถึงพื้นดัง ตุบ!

    แล้วหลังจากนั้น ทุกอย่างก็มืดไปหมด......
































    "เจ้าว่านางตายรึยัง?"

    ชายหนุ่มผู้มีเกศาสีเขียวมีหางแบบวานร แต่กลับมีเขี้ยวเหมือนกับยักษ์ษาได้เข้ามาดูไกล้ๆกับร่างของสตรี ที่ตนได้พบ นางนอนไม่ได้สติอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ที่ตนมาเจอ จนตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น

    "ข้าก็มิทราบ แต่ถ้าเราปล่อยให้แม่นางอยู่แบบนี้ต่อไปโดยมิทำอันใดเลย นางอาจจักตายก็ได้! เราควรทำเยี่ยงไรดีละพระพี่!"

    ชายอีกคนที่มีเกศาสีชมพูมีหางแบบวานรเช่นเดียวกัน เอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรน และสีหน้าก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า กลัวสตรีนางนี้ตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร เลยหันไปขอความเห็นจากชายหนุ่มอีกคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม

    ชายหนุ่มผู้นี่มีเกศาสีเผือกมีหางแบบวานร มือที่กำลังประคองร่างของสตรีนางนี้อยู่ขึ้นมาอย่างช้าๆ มือหนาค่อยๆปัดเกศาสีโอรสของนางออกไปอย่างเบามือ

    ใบหน้าที่แสนงดงาม ถึงจะดูซีดเผือกไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงดงามของนางลดน้อยลงไปเลย 

    "นางยังมิตาย"

    วานรเผือกค่อยๆอุ้มร่างของนางขึ้นมาอย่างช้าๆและเบามือที่สุด เพื่อไม่ให้ร่างกายของนางได้รับการกระทบกระเทือนอะไรไปมากกว่านี้ ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับน้องๆทั้งสองตนว่า... 


    "ข้าจักพานางกลับไปรักษา"





    ____________________________________________________________________

    ตอนนี้มีการแก้ไขเนื้อเรื่อง

    ไรท์คิดว่าควรแก้ตอนนี้สุดๆเพราะเหตุผลที่น้องกัญตายแล้วไปโผล่ที่นุ่นดูไม่สมเหตุสมผล มันมุขเก่าไปแล้วที่ถูกรถชนตายแล้วไปต่างโลกอะ!!

     เพราะงั้นเลยมาขอเปลี่ยนบท แล้วเดียวจะรีบตามแก้ต่อนอื่นๆที่หลังนะคะ




    คิดเห็นยังไงกับบทแก้ไหม่นี้บอกได้นะคะ




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×