ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อะไรนะ ฉันคือเจ้าหญิงปิศาจ

    ลำดับตอนที่ #2 : โชคชะตาหรือความซวย 30 เปอร์จ้า

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 58


              วันนี้เป็นวันที่ฝนตกหนัก    มันตกมาได้ร่วมๆสองชั่วโมงแล้วฉันได้แต่บ่นในใจด้วยความเซ็งสุดขีด   หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมงและในหนึ่งวันเราอยู่โรงเรียนสิบชั่วโมงและรอยต่อระหว่างเวลาเลิกเรียนกับเวลากลับบ้านนั้นไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป   แต่ทำไมฝนมันต้องตกตอนฉันจะกลับบ้าน   ถนนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำและหยดน้ำทียังตกลงมาจากฟ้าทำให้การจราจรติดขัด   ถึงฉันจะเป็นคนที่รอบคอบเพราะพกร่มมาในช่วงหน้าฝนแต่ก็ไม่ได้ชอบที่จะใช้งานมันเสียหน่อย   ฉันชื่อปลายฟ้าค่ะ   เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า    ตอนนี้กำลังประสบปัญหารองเท้าหนังมีน้ำเข้าไปขังในนั้นทำให้รู้สึกว่าเท้าเริ่มเปื่อย   มีบทความว่ามันอาจก่อให้เกิดเชื้อราหรือทำให้พยาธิตัวเล็กๆเข้าไปในร่างกายเราได้   แต่ให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อถ้าไม่ออกไปหน้าโรงเรียนก็คงหารถกลับบ้านไม่ได้นี่นา   การที่ต้องถ่อออกไปรอรถเมล์ที่ป้ายใกล้ๆจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ   เพราะฉันเองก็อยากกลับบ้านไปอ่านนิยายเล่มใหม่ที่เพิ่มซื้อมาใจจะขาดอยู่แล้วแค่การเสี่ยงเป็นเชื้อราในง่ามเท้าถือเป็นเรื่องเล็กมากเลยทีเดียว    ถนนในวันฝนตกดีอยู่อย่างตรงที่ไม่มีคนเดินพลุกพล่านเท่าไหร่   ปกติในกรุงเทพมักมีคนเดินเต็มไปหมด   โดยเฉพาะตามโรงเรียนหรือสถานที่ท่องเทียวเรียกได้ว่าแทบจะอัดกันจนเป็นปลากระป๋องเลยก็ว่าได้    ความจริงมันก็คงจะไม่เดินลำบากมากนักถ้าไม่ติดตรงที่ว่าทางเดินนั้นเต็มไปด้วยเหล่าแม่ค้าพ่อค้าที่ตั้งร้านริมถนนกันเต็มไปหมด   มันไม่ได้เลวร้ายหรอกถ้าพวกเขาจะจัดร้านกันแต่พอดีเสียหน่อย   แต่บางร้านนั้นก็กินพื้นที่อย่างไม่เกรงใจคนเดินจนฟุตบาทที่กว้างพอจะเดินได้สี่คนเหลือแค่ครึ่งคนแบบนี้    เอาเถอะเขาเองก็ต้องทำมาหากิน   จะให้ไปบ่นหรือวิจารณ์อะไรมากก็ไม่ได้   อย่างน้อยๆมันก็เป็นงานสุจริตเพียงแค่สร้างความลำบากเล็กๆแก่คนอื่นเท่านั้นเอง   ถนนมันเป็นของสาธารณะนี่นาจะต้องแบ่งกันใช้บ้างก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว   ขณะที่ฉันกำลังก้าวเดินอย่างช้าๆไปตามทางเดิน    จู่ๆก็มองเห็นหญิงชราท่าทีลุกลี้ลุกลนที่ทางม้าลายข้างหน้า   ดูเหมือนยายแกจะต้องการความช่วยเหลือนะ    ด้วยความที่คิดว่าเราเองก็เป็นคนดีในสังคมคนหนึ่งเพราะฉะนั้นการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือยายแกก็คงไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เดือนร้อนอะไร  

              “ยายจะข้ามฝั่งรึเปล่าคะ   หนูช่วยมั้ย”   ฉันเดินเข้าถามพร้อมรอยยิ้ม    ยายแกหันหน้ามามองก่อนส่ายหน้าไปมา

              “ยายยังไม่อยากข้ามตอนนี้หรอก   กำลังตื่นเต้นกับไอ้ไฟแดงๆเขียวนี่อยู่   ทำไมรถมันถึงต้องหยุดตอนไฟมันเป็นสีแดงด้วย   มองมาหลายทีแล้ว”   ปัจจุบันนี้ยังไม่มีคนรู้จักไฟเขียวไฟแดงอีกเหรอเนี่ย   ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะพอได้อยู่หรอกนะ   แต่คนแก่ๆเดี๋ยวนี้ก็เห็นเล่นเฟสบุ๊คกันตั้งเยอะไป   ขนาดยายของเธออายุจะเจ็ดสิบยังมีเฟสเป็นของตัวเองเลย    หรือยายเขาจะอยู่ในชุมชนลับแลจริงๆถึงไม่รู้จัก   ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุอย่างมากก็แค่เจ็ดสิบต้นๆ   แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคิดนี่นา   เอาเป็นว่าอธิบายให้ยายเข้าใจก็พอแล้วดีกว่า   

              “มันเป็นสัญญาณของไฟจราจรค่ะยาย   สีแดงคือให้รถหยุดเพื่อให้สำหรับคนเดินข้ามหรือให้รถจากอีกฝั่งขับไปได้ส่วนสีเขียวคือให้รถขับไปได้สีเหลืองคือการเตือนว่าให้เตรียมหยุดรถเพราะไฟแดงกำลังจะมา”   ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่เหมือนเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของยายเลย

              “เหมือเวทย์สะกดจิตน่ะเหรอ   มนุษย์สร้างของแบบนี้ได้ด้วยสินะ”   แฟนตาซีมากค่ะยายเพิ่งเคยเจอคนพูดแบบนี้ครั้งแรกนี่แหละค่ะ    หรือบางทีฉันควรโทรหาโรงพยาบาลใกล้ๆมารับตัวยายแกไปดีไหมนะ   แกอาจมีอาการหลงอยู่ก็ได้   แต่ก่อนจะทำอะไรแบบนั้นบางทีแกอาจจะแค่เล่นมุขก็ได้นะ   จะให้ด่วนตัดสินก่อนไม่ได้หรอก

              “มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอกค่ะ   นี่มันเรียกว่ากฎจราจร  ถ้าใครฝ่าฝืนก็ต้องมีบทลงโทษซึ่งมันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุค่ะ”  

               “อย่างนี้นี่เอง   เพราะมนุษย์ไม่มีเวทย์มนต์ก็เลยต้องสร้างกฎขึ้นมาเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์สินะ”   ฉันว่าควรโทรหาคนมารับยายไปหาหมอได้แล้วล่ะ   ว่าแต่แกมีคนที่บ้านรึเปล่านะ   โทรเรียกให้คนที่บ้านเขามารับน่าจะดีกว่า   แต่สภาพอย่างนี้แกจะรู้เบอร์ของที่บ้านตัวเองรึเปล่านะ   ไม่ใช่แกบอกว่าติดต่อทางบ้านด้วยนกฮูกส่งจดหมายล่ะ

              “ยายหลงทางอยู่รึเปล่าคะ   ให้หนูโทรตามคนที่บ้านให้ดีกว่านะ   พอจะมีเบอร์ของคนในบ้านมั้ยคะ”   ฉันควักโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา   และยายก็จ้องมันตาไม่กระพริบราวกับพบสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเห็นจากไหนมากก่อน

             “อันนี้มีไว้ติดต่อกันกับพวกเธอเหรอ   เป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีหลายรูปร่างจริงๆ   ฉันได้ยินมาว่ามันรวมข้อมูลที่พวกมนุษย์มีไว้ในนี้ได้ด้วยน่าอัศจรรย์จริงๆทั้งที่มันเล็กกว่าหนังสือเวทย์มนต์อีกแต่กลับมีข้อมูลมากขนาดนั้น”   ยายแกคงไม่มีทางรู้เบอร์คนในบ้านแน่นอนฟันธง!!  เพิ่งเคยเจอคนแก่หลงหนักเป็นครั้งแรกด้วยสิ   เบอร์ของพวกหน่วยกู้ภัยก็ไม่เคยเม็มไว้   งั้นเราก็คงต้องหาทางพาไปส่งตำรวจดีกว่าสินะ    หรือจะลองหาทางไปส่งแกที่บ้านดี   ถึงจะเสียเวลากลับบ้านไปบ้างแต่ก็น่าจะดีกว่าการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นล่ะนะ   ยิ่งหลงๆแบบนี้ทิ้งไว้คนเดียวสงสัยคงเสยกับรถดับอนาถแน่นอน  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×