ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Benoname...แค่รักครับ ทำไมต้องตั้งชื่อ? (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #27 : Chapter:23rd Didn’t Catch [Complete]

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ย. 54


    Chapter:23rd   Didn’t Catch

               

     

     

    มินิคูเปอร์ของอัคจอดเทียบหน้าบ้านผมนิ่มนวล จนผมแทบไม่รู้สึก 555  อันนี้ก็เว่อร์ไป  เอาเป็นว่าผมกลับมา  บ้านโดยสวัสดิภาพ  ด้วยความดูแลของอัครเดชก็แล้วกันครับ ...

     

     

                รถเฮียจอดอยู่หน้าบ้าน  แสดงว่ากลับมาแล้วชัวร์   แต่ไฟในบ้านไม่ยักกะเปิด  หรือมันจะนอนแล้ว?  แต่เพราะอยู่กับมันมาทั้งชีวิต ก็รู้ครับว่ามันไม่ใช่เด็กอนามัยที่จะนอนหลังดูข่าวในพระราชสำนักจบ  ครับนี่มันแค่สองทุ่มครึ่ง!  ถ้าสักตีสองครึ่งก็เป็นอีกเรื่องนึ่ง  =_=;;

               

     

                “มีอะไรเหรอ?  ทำไมไม่เข้าบ้านอ่ะ”  อัคที่จอดรถเสร็จเรียบร้อย ถามผมหลังจากที่คงมองผมอยู่ตลอด และไม่เห็นผมจะเปิดประตูบ้านสักที

     

     

                “สงสัยว่าเฮียทำไมไม่เปิดไฟ ?”   ผมบอกอัคที่มายืนทำหน้างงข้างผม  ก่อนที่อัคจะเป็นคนเปิดประตูรั้วแล้วกระตุกแขนผมให้เดินตามมันเข้ามาในบ้าน

     

     

                “พี่ปองอยู่บ้านพี่นิน่ะ” อัคพูด พร้อมเอือมมือไปเปิดไฟหน้าบ้าน    

     

     

                “รู้ได้ไงวะ?”  ผมถาม  มันยักไหล่อย่างกวนๆ  แล้วเก็บรองเท้าที่มันถอดเข้าชั้น  “เมื่อกี้โทรไปบอกที่บ้านว่าจะค้างบ้านมึง  แล้วพี่พาสบอกมาหน่ะ”  แสดงว่าคงไปรวมตัวที่บ้านพี่นิแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย   น้องชายที่น่ารักกำลังไม่สบาย  ไม่เคยจะห่วงบ้างอะไรบ้างเลยนะ  พอรู้ว่ามีคนดูน้องก็ทิ้งเลย  คอยดูเถอะคุณจะฟ้องแม่!!!!!

     

     

                ผมกระโจนขึ้นโซฟาทันทีที่ไอ้คุณอัคเปิดช่องสปอร์ตเพื่อดูบอลหลีกอังกฤษที่ผมคุยกับมันในรถว่าวันนี้ทีมโปรดของผมจะแข่ง  และผมก็เพิ่งจะรู้ว่ามันเร่งกลับบ้านเพราะจะกลับไปดูแมทสำคัญนี้เหมือนกัน   ผมเลยได้ทีชวนมันดูด้วยกันที่บ้านผมซะเลย    ทีแรกไอ้ตัวดีก็ปฎิเสธครับ   บอกไม่อยากขับรถกลับบ้านกลางคืน  ผมเลยชวนมันค้างบ้าน ทีนี้แมร่งรีบตอบรับเลย  สรุปคือมึงรอกูชวนมึงนอนบ้านกูสินะ  -_-;;

     

     

                “กินไรป่าว??”  อัคถาม  ผมที่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาพยักหน้า (ผมได้ยินคนตะโกนว่านอนอืด  น้ำหนักผมยังอยู่ในมาตราฐาน  BMI  นะครับ)  ผมทำท่าจะลุกไปหยิบขนมในห้องครัว  แต่อัคห้ามไว้ แล้วเดินเข้าไปในครัวแทน  บางทีคนที่ควรทำหน้าที่เจ้าบ้านมันต้องเป็นผมไม่ใช่เหรอ?  ถ้าเป็นคนอื่นอาจนึกว่านี่เป็นบ้านมันแทนก็ได้!  ท่าทางผมจะเสียอธิปไตยแล้วละมั้งครับ?

     

     

                ผมได้ยินเสียงกุกกักในครัว   มันเรียกความสนใจผมได้มากกว่าภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ LCD ตรงหน้าซะอีก  จนมันมีเสียง โครม!’  ทำให้ผมต้องรีบลุกไปดูว่าไอ้อัคมันกำลังพยายามจะพังครัวแม่ผมหรือเปล่า?

     

     

                ในครัวสภาพยังเป็นปกติ  แค่คนกับขนมเพิ่มมาเท่านั้น  ผมมองถุงขนมและถ้วยป็อปคอร์นในมืออัค  อัคส่งกล่องลูกพรุนแปรรูป กับซองผลไม้อบแห้งให้ผม   ผมรับมาอย่างงงๆ ว่ามันเอาของแม่ผมมาทำไม  สงสัยมันอยากกิน?  อัคไม่ได้พูดอะไร   ผมเดินตามห้องนั่งเล่น  อัคนั่งลงบนโซฟาที่เมื่อกี้ผมยืดพื้นที่เอาไว้  ผมนั่งลงตาม  วางของในมือไว้บนโต๊ะ  แล้วคว้าถ้วยป็อปคอร์นมา  กะเจอเอามาวางไว้บนโซฟาเพื่อให้หยิบได้สะดวก  แต่ก็มีมือดีมาคว้าไปไว้บนตักตัวเองหน้าตาเฉย!

     

     

                “เฮ้ย!  เอามากูจะกิน” ผมโว้ยวาย เมื่อเป้าหมายถูกประธานหน้าตายแย่งไปต่อหน้าต่อตา

     

     

                “กินไม่ได้  เจ็บคอไม่ใช่เหรอไง?”  มันหันมาบอก  ก่อนที่มันจะหยิบป็อปคอร์นขาวๆเข้าปากเคี้ยวต่อหน้าต่อตาผม   ผมได้แต่ฟึดฟัดขัดใจก่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็น ซองเหลืองๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะแทน  แต่ก็มีมือดีคว้าตัดหน้าผมอีกครั้ง  แน่นอนครับ  ผมมองอัคที่เอาขนมถุงนั้นไปไว้ข้างตัว  แต่สายตายังคงจ้องโทรทัศน์ที่แมทสำคัญกำลังจะเริ่ม   ผมข่มอารมณ์ขุ่นๆที่ปะทุในอกปุดๆ 

     

     

                “ เชี่ย!  แล้วจะให้กูแดกอะไร?”  ผมด่าไอ้คนข้างตัวที่ยังคงเอาขนมเข้าปากโดยไม่สนใจผม  นั่นมันขนมของกูทั้งนั้นนะ!!!   แดกโดยไม่แบ่งกูได้ไง!!!

     

     

                “ก็ให้ไปแล้วไง  กินไปดิ!” ผมทำหน้าสงสัยว่ามันให้อะไรผมมา  แล้วผมก็นึกออกทันที  ก็ไอ้ผลไม้แห้ง กับกล่องลูกพรุนที่มันส่งให้ผมในห้องครัว!!!   ผมหายสงสัยทันทีว่ามันเอามาทำไม?  ร้ายนักนะมึง!!!!!!!!!!

     

     

                “ไม่เอากูไม่ชอบกิน!!!  ผมโวยวาย   อัคทำหน้าเฉย เหมือนไม่มีผมที่ค้านด้วยการเขย่าแขนซ้ายมันอยู่    อัคมองภาพนักฟุตบอลวิ่งไปวิ่งมาบนสนาม ส่วนมือมันก็ทำหน้าที่หยิบป๊อปคอร์นขาวๆเข้าปากเคี้ยวอย่างเปรมปรี  ส่วนผมน่ะเหรอครับ?  ก็ได้แต่นั่งมองมันกินป๊อปคอร์นของผมโดยที่ผมซึ่งเป็นเจ้าของไม่ได้ลิ้มรสแม้แต่เศษเกลือ  -_-;;  

     

     

                “ดูบอลดิ!  เออหวะ!  บอลแมร่งถึงไหนแล้ววะครับเนี่ย?!  เห็นแก่กินจนลืมบอล  ผมหันไปดูเกมส์ที่อุตส่าห์รอดูมานาน  โชคดีที่ยังไม่มีใครทำประตูได้  ไม่งั้นผมคงต้องลงไปดิ้นตายหน้าจอแน่! 

     

     

     

    ***

     

     

     

                สมาธิทั้งหมดของผมจดจ้องอยู่ที่เกมส์ที่มันส์หยดติ๋งๆ  ลุ้นกันตัวโก่งหลายรอบหลายหนเพราะทั้งสองทีมทำท่าจะทำประตูได้แต่ครับ ณ ตอนนี้ผ่านครึ่งแรกไปแล้วยังไม่มีใครทำประตูได้เลย   แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะครับ  เกมส์มันเด็ดจริงอะไรจริง!!!   อัคก็ไม่ได้ต่างจากผมเท่าไหร่นัก  มันไม่ละสายตาจากเกมส์เลย  ส่วนป็อปคอร์นมันก็เลิกกินตั้งแต่ควอเตอร์แรก! 

     

     

                สารภาพก็ได้ครับ!  สมาธิของผมไม่ได้อยู่ที่เกมส์มันส์หยดที่เฝ้ารอทั้งหมดอย่างที่บอกในตอนแรกหรอก!  มันถูกแบ่งไปที่คนที่นั่งข้างๆของผมนิดหน่อย  หาโอกาสชิงป็อปคอร์นจากมันอย่างไงไม่ให้มันรู้ตัว ?  (แต่ดูเหมือนมันจะรู้สึกตัวตลอดเวลา - -;;)  รอแล้วรออีก  เกมส์ก็ยังไม่มีใครทำประตูได้  รอแล้วรออีก  โอกาสชิงป็อปคอร์นก็ยังไม่มาถึง  เชี่ย!  ผมก็ท้อเป็นอะไรเป็นนะครับ Y^Y

     

     

     

                “คุณ  กูไปเข้าห้องน้ำก่อน”  จบครึ่งแรกปั๊ป  อัคก็ลุกจากโซฟาปุ้บ  ท่าทางคงอั้นมานานครับ  555+

     

     

                “เออๆ”  ผมยิ้มอยู่ในใจ  นี่ไงโอกาสของกู ! หึหึ  ถึงมึงจะกีดกันกู  แต่พระเจ้าก็ประธานโอกาสมาให้กู! (ได้ข่าวว่าผมนับถือพุทธ  ฮา) ...  อัคมองหน้าผมสลับกับกองขนมที่มันขนมาปรนเปรอตัวเองอย่างลังเล  ไอ้เชี่ย !  รีบไปขี้ไป๊!!!!

     

     

                “ไอ้ห่า!  กูไม่แอบกินหรอกน่า!  เจ็บคอจะตาย”  ผมพูดกลบเกลื่อน(แผนชั่ว)  แสร่งหยิบพรุนในกระปุกกิน  ทำเหมือนไม่สนใจกองขนมบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาที่ล่อตาล่อใจผมเลยสักนิด  ทั้งที่ความจริงผมแทบจะกระโจนใส่แค่มันหันหลังไปเท่านั้นแหละ!

     

     

                “โกหก ตกนรก นะ!  ผมบอกปัดไปและไล่ให้มันไปเข้าห้องน้ำก่อนที่เวลาพักจะหมด  แล้วมันต้องอั้นจนเกมส์จบ  และผมต้องพามันไปโรงพยาบาลรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ -_-

     

     

                อัคถอนหายใจเหมือนจะปลงกับชีวิตที่เหลือแล้วนั่งลงที่เดิม   ผมมองหน้าอัคที่เหมือนจะมีสีหน้า  จริงจังขึ้นมาอย่างตั้งใจ อัคเริ่มขยับ  ผมรู้ครับว่ามันจะพูดอะไร  คงไม่พ้นเรื่องอาการป่วยของผมแน่นอน  บางทีผมก็คิดว่ามันกังวลกับผมมากเกินไปหรือเปล่า?  ทั้งที่อาการของผมมันก็แค่เป็นไข้หวัดธรรมดาไม่ได้ร้ายแรงอะไร  (แค่เป็นลมเพราะไข้สูงจนต้องเข้าโรงพยาบาล) แต่เพราะผมรู้ว่าอัคเป็นคนแบบนี้  คนที่คอยห่วงคนอื่นเสมอ  คนที่ใส่ใจกับเรื่องเล็กเรื่องน้อย จนดูเป็นคนจู้จี้  น่ารำคาญ  ถ้าเป็นคนอื่นผมคงด่าไปแล้ว แต่เพราะเป็นอัคทำให้ผมไม่ทำท่าทางร้ายกาจ หรือแสดงว่ารำคาญออกไป  เพราะสิ่งที่มันทำให้ผมมันแสดงชัดเจนว่ามันไม่ได้เป็นห่วงผมแค่คำพูดที่ออกมาจากปากเท่านั้น

     

     

                “ถ้าหายแล้วจะกินเท่าไหร่ก็ไม่ห้าม  แต่ตอนนี้รักษาตัวเองก่อนนะ” ผมพยักหน้า  อัคยิ้มให้ผม  สีหน้าแสดงว่ามันวางใจขึ้นมาหน่อย ที่ผมยอมฟังมันดีๆ  และอัคก็ยอมเชื่อผมดีๆและเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปทำธุระส่วนตัว 

     

     

     

                ผมมองตาหลังอัคไปจนมันเลี้ยวตรงหัวมุมทางเดิน  ครับ!!  เตรียมกดลิฟท์ลงชั้นใต้ดินได้เลย!!!

     

     

                ผมคว้าถ้วยป็อปคอร์นมาวางไว้บนตัก  ป็อปคอร์นขาวๆ กลิ่นหอมฟุ้งลอยเตะจมูก  หยิบเข้าปากแล้วลิ้มรสชาติแสนอร่อย  ความมันของเนย และรสเค็มของเกลือ  มันเข้ากันดีจนผมต้องยกย่องคนคิดค้นมันขึ้นมา  (ฮา)   ถึงไม่จะไม่อุ่น  เหมือนตอนที่เอาออกจากไมโครเวฟใหม่ๆ  แต่มันก็ยังอร่อยจนผมแทบน้ำตาไหล (!?)  เฮ้อ!  ความสุขมันอยู่ใกล้ตัวเราจริงๆด้วย

     

     

                พอลิ้มรสความสุขได้พอสมควร  ผมก็ต้องลาจากป็อปคอร์นแสนรักเพื่อความแนบเนียน  เขาเรียกว่าเก็บเปรี้ยวไว้กินหวานอะไรทำนองนั้นแหละครับ  ขี้เกียจฟังไอ้ประธานมันบ่น  ขอแค่นิดๆหน่อยๆพอหอมปากหอมคอ  อีกอย่างเกิดกินมากเกินไปแล้วป่วยหนักกว่าเดิมคงได้โดนไอ้อัคบ่นจนหูดับ  คงไม่ไหวที่จะฟังกันเลยทีเดียว  แค่นี้มันก็บ่นผมยิ่งกว่าที่พ่อผมบ่นทั้งชีวิตแล้วหละครับ  ให้มันเพร่าๆลงบ้าง  เดียวผมจะสับสนเอาได้  ว่าตกลงใครเป็นพ่อผมกันแน่ -_-;;

     

     

                ผมนั่งดูโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ  จนอัคที่ทำธุระเสร็จแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม  ผมทำเป็นเพิ่มเสียงทีวีเพื่อลดความตื่นเต้น (ก็กลัวมันจับได้นี่ครับ)  เวลาพักครึ่งหมดแล้ว  นักเตะลงสนามเป็นที่เรียบร้อย  เสียงเชียร์ยังคงดังกระหึ่ม  ผมเหลือบมองคนข้างๆ  ดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจอะไร  เฮ้อ!  โล่งใจล่ะครับคราวนี้  ฮา!

     

     

                “มึงหยิบหมอนให้หน่อย”  ผมหันไปร้องเรียกหมอนอิงจากอัค  มันก็หยิบแล้วยื่นมาให้ผม  ผมหันตัวไปรับแล้วขอบใจมันเบาๆ 

     

     

                “มึงแอบกินขนมหรือเปล่า?”  อยู่ๆมันก็ถามคำถามช็อคโลกขึ้นมา  เล่นเอาผมเหงือตกเลยที่เดียว  เอาไงดีวะ?  ใจเต้นตึกตักเลยกู  จะโดยจับได้ตั้งแต่ ครึ่งนาทีแรกเลยหรือวะเนี่ย?

     

     

                “เปล่า!  กูแอบกินที่ไหน?”  มาถึงขั้นนี้ก็ขอเนียนต่อไป    ผมเช็กเสียงตัวเองว่า ไม่สั่น และไม่แหลมเกินไปจนผิดสังเกต  อย่างน้อยก็อย่าตื่นตูมมีพิรุธจนมันจับได้ก็พอ  สายตาผมจับจ้องการแข่งขันที่เริ่มต้นขึ้น รู้สึกได้เลยว่ามือเย็นเฉียบ!!  ทำไมต้องกลัวมันขนาดนี้ด้วยวะกู??  สงสัยผมจะฝังใจอะไรบ้างอย่างกับมันแน่ๆ  กลัวแมร่งไม่มีสาเหตุ 

     

     

                “แน่ใจ?”  ไอ้เชี่ย!!!  มาทำเสียงเย็นใส่กู  แค่นี้กูก็กลัวมึงจนหัวใจจะวายตายอยู่แล้วเนี่ยสัด!  ผมหันไปมองหน้ามัน  แล้วพยักหน้ายืนยันความบริสุทธิ์  โชคดีเหงื่อไม่ซึมเต็มหน้าผาก  ไม่งั้นผมคงเหมือนผู้ร้ายคดีฆ่าคนตาย ที่กำลังถูกตำรวจสอบสวนอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ  เอ่อ!  บางทีผมอาจดูหนังมากเกินไป  -_-;; 

     

     

                อัคขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆจนเริ่มอึดอัด  ผมได้แต่จ้องตาคาดคั้นคู่นั้นอย่างไม่สามารถขยับไปไหนได้  เข้าใจความรู้สึกที่ว่า  เหมือนมีอะไรมีตรึงเอาไว้ อย่างถ่องแท้ก็เดี๋ยวนี้   รู้สึกว่าระยะห่างมันเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  ใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกของคนตรงหน้าผม  ไม่รู้ว่าตอนไหนที่หัวใจผมเริ่มเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก  ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมเริ่มเห็นการกระพริบตาเป็นภาพสโลโมชั่น  เห็นชัดเหมือนภาพFull HD  ที่ชัดจนเห็นขนตาครบทุกเส้น  ภาพคมชัดจนผมเห็นภาพตัวเองสะท้อนบนนัยตาของอัค 

     

     

                “ไม่ได้แอบกิน.....”  ริมฝีปากสีอ่อนขยับ  ผมละสายตาจากนัยตา “....... แล้วนี่อะไร?” มามองปลายนิ้วที่ผมรู้สึกได้ว่าสัมผัสบริเวณข้างแก้มใกล้กับริมฝีปากผม   เศษสีขาวเล็กๆติดอยู่ที่ปลายนิ้ว  และมันก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่า   โดนจับได้ซะแล้ว!

     

     

              เสียงหัวเราะดังขึ้นมาทันทีที่ผมหันหน้าตรง  รู้สึกได้เลยว่าเลือดทุกส่วนของร่างกายได้ไหลไปรวมไปเลี้ยงแก้มทั้งสองข้างของผมแล้ว  หัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้ว ก็เพิ่มจังหวะขึ้นอีกเป็นเท่าตัว  ในสมองมีแต่คำว่า อาย  ลอยอยู่เต็มไปหมด   ถึงรู้ว่าผมอายแค่ไหน  แต่ไอ้อัคมันก็ยังไม่หยุดหัวเราะ  ผมก็ได้แต่แช่งให้มันหัวเราะจนท้องแข็งตาย  หรือไม่ก็หัวเราะจนขาดอากาศหายใจตายไปเลย !!!

     

     

                ผมที่เขินจนแก้มแทบระเบิดก็ตัดสินใจจะลุกไปสงบสติอารมณ์ดับความอายของตัวเองด้วยการไปห้องน้ำ  แต่ตอนที่ผมลุกขึ้น  ก็มีมือมาจับข้อมือของผมไว้   ผมหันไปมองอัคที่อมยิ้มให้ผม  ผมรู้น่าว่ามันพยายามกลั้นขำ  ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มใจดีให้กูเลย! 

     

     

                เมื่อเห็นผมไม่ขัดขืน(?)  แรงฉุดทำให้ผมทิ้งตัวลงไปที่เดิม   แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังไม่หันไปทางอัคอยู่ดี  ผมทำหน้าบึ้ง  ไม่ยอมสนใจคนที่สะกิดสีข้างผมอยู่...  จนผมได้ยินเสียงถอนหายใจนั่นแหละถึงได้ยอมหันไป  

     

     

                “ความจริงควรเป็นกูไม่ใช่เหรอที่ต้องงอนน่ะ?”  อัคพูดออกมาอย่างอ่อนใจ  เห็นแบบนี้แล้วผมที่อารมณ์เสียอยู่ก็เลยอ่อนลงเล็กน้อย  แต่ว่า  ผมไม่ได้งอนนะครับ!!  แค่อารมณ์เสียเฉยๆ  ไอ้อัคแมร่งกล่าวหาผม

     

     

                “อยากกินอะไรอีกป่าว?”  อัคยิ้ม คำพูดเหมือนประชด  แต่เพราะน้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้ผมไม่รู้สึกถึงอารมณ์คุกรุ่นใดๆจากอัค   ผมส่ายหน้า  “กลัวเจ็บคอ”  อัคหัวเราะให้คำตอบของผมแล้วถามต่อ

     

     

                “กลัวด้วยเหรอ?  เห็นเรียกร้องจะกินแต่ละอย่าง”  ผมมองหน้าอัคที่ยังคงยิ้ม  แล้วพยักหน้าตอบ  อัคมีสีหน้าพอใจขึ้นหลังจากได้รับคำตอบที่ถูกใจ  อัคจับตัวผมให้หันมาตรงหน้ามันตรงๆ   ก่อนที่อัคจะเริ่มพูดอะไร  ผมก็ชิงพูดตัดหน้าการบรรยายปาถกฐาจากมันซะก่อน             

     

     

    “ ขอโทษ ”  อัคอึ้ง  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง  คงมีวิธีนี้ที่จะทำให้ผมไม่ต้องฟังร่ายยาวจากมัน  และคงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น  ผมรู้ตัวว่าตัวเองผิดที่ละเลยความเป็นห่วงมัน  จนทำให้มันต้องคอยมาห่วงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ผมชอบทำทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่

     

     

                อัคยิ้มให้ผม  มันคงหายจากอาการอึ้งแล้ว  ผมก้มหน้างุด มองมือตัวเองที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก  ผมบีบมือที่เหงือซึมไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรจะเอามันไปไว้ตรงไหน  และเพื่อคลายความตึงเครียดของตัวเอง  รู้ว่าอัคก็ไม่ได้โกรธอะไรผมแล้ว  อารมณ์มันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกับคำขอโทษง่ายๆของผม   แต่ที่มันกำลังทำให้ผมอึดอัดอีกครั้งเพราะไอ้อาการยิ้ม  แต่ไม่พูดอะไรออกมา   รู้อย่างงี้ผมให้ผมเทศผมซะดีกว่าที่มันจะมาทำหน้ายิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมาแล้วทำให้บรรยากาศระหว่างเราอึดอัด  ให้ตายเหอะ  ตอนนี้ผมแทบจะกลั้นตายให้รู้แล้วรู้รอด

     

     

                บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นกว่าเดิม  จนผมต้องระบายความเครียดด้วยการเม้มปากตัวเอง  ผมค่อยๆเงยหน้าสำรวจอารมณ์บนสีหน้าของอัค  และผมก็ไม่รู้ว่า อัคเลื่อนหน้าใกล้เข้ามาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?  ผมผงะเล็กน้อย ตอนที่ปลายจมูกของผมแตะปลายจมูกของมัน  ผมไล่สายตาสำรวจทุกอย่างบนใบหน้าคม เพิ่งรู้ว่าคิ้วหนาๆที่คิดมาตลอดว่าเป็นสีดำพอถูกแสงแล้วจะเห็นเป็นสีน้ำตาลเข้ม  เพิ่งรู้ว่าขนตาจะหนาและยาวได้ขนาดนี้  ผมไล้สายตาลงมาตามสันจมูก  และค้นพบว่า  จมูกโด่ง มันช่างเข้ากับรูปหน้าของมันซะจริงๆ  ผมเลื่อนสายตาขึ้นไปจนเจอกับดวงตาโต ที่ดูอ่อนโยน อบอุ่น  แต่ก็เข้มแข็ง   ผมมองจ้องเข้าไปในนัยตาสีน้ำตาลเหมือนถูกแรงดึงดูดให้หยุดสายตาไว้แค่นั้น  และผมก็เพิ่งรู้ตัวเองเหมือนกัน  ว่า ผมก็ถูกสำรวจเช่นกัน  อัคค่อยๆลากสายตาไปเรื่อยๆ  ผมมองดวงตาคู่นั้น  เริ่มจาก  ตา  ไล่มาที่จมูก  และสุดท้าย  สายตาอัคหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของผม

     

     

                ผมรู้สึกถึงสัมผัสของปลายนิ้วที่ไล้ตามรูปปากของผมเบาๆวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น  สายตาของอัคที่จับจ้องอยู่ที่ตำแหน่งที่ปลายนิ้วสัมผัสอยู่ก็ไม่ได้ละไปไหน  จนอัคเลื่อนมือมาประครองใบหน้าของผม  และเริ่มเลื่อนสายตาขึ้นมาเพื่อจ้องมองดวงตาของผม  ผมจ้องตอบ  อัคเลื่อนสายตาลงไปที่ริมฝีปากของผมอีกรอบ  และละสายตาขึ้นมามองตาผมช้าๆ

     

     

                อยากจูบ...” เสียงพรึมพรำ เหมือนอัคต้องการจะพูดกับตัวเองในใจ  แต่กลับเป็นว่า  ผมได้ยินเสียงกระซิบเบาๆนั่นชัดเหมือนอัคเป็นคนมากระซิบข้างหู  สมองผมคิดอะไรไม่ออก  ทุกอย่างมันว่างเปล่าและดูล่องรอยไปหมด  สิ่งเดียวที่ผมเห็นคือ ใบหน้าคุ้นเคยที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ...เสียงเดียวที่ผมได้ยินคือ  เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรง...กลิ่นเดียวที่ผมสัมผัสได้คือ กินลมหายใจ ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดเหนือริมฝีปาก...ความรู้สึกเดียวของผมคือ  อยากได้รับสัมผัสจากคนตรงหน้าผมเหมือนกัน

     

     

                “ เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!เสียงเชียร์กระหึ่มจากโทรทัศน์ทำให้มนต์สะกดคลายลง  ผมมองสีหน้าตกใจของอัค  และผมก็รู้ว่าตัวเองคงมีสีหน้าไม่ต่างกันนัก  ปฎิกริยาต่อมาคือ  การผละออกจากกันเหมือนแม่เหล็กขั่วเดียวกันเข้าใกล้กัน 

     

     

                สติที่เริ่มกลับมาทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก  เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!   เมื่อกี้ผมกับอัค  เราสองคนกำลังจะ  จูบ  กันอย่างนั้นเหรอ??  อัคพูดว่า อยากจูบ  ส่วนผมก็กำลัง ยอมให้จูบ  อย่างนั้นเหรอ?

     

     

                “อะ...เอ่อ”  ผมหันไปมองทางต้นเสียง  อัคไม่ได้หันหน้ามามองผมแต่กำลังจ้องโทรทัศน์  แต่หูที่กำลังแดงเทือกนั่นทำให้ผมรู้ว่ามันกำลังรู้สึกยังไง  คงไม่ต่างจากผมหรอก  ที่ทำใจแข็งหันไปมองมัน  แต่มือกลับเกรงกำหมอนอิงบนตักแน่น สมองมีแต่ตอนที่เรากำลังจะ...... เฮ้อ! 

     

     

                “กูขอโทษนะ...” หลังจากเงียบมานาน  อัคก็เอ่ยปาก 

     

     

                “อะ...อืม  กะ...กูไปนอนก่อนนะ”  ผมรีบลุกจากโซฟา แล้ววิ่งขึ้นห้องนอนทันที

     

     

                ไม่ใช่ว่าโกรธ  แต่เพราะผมไม่รู้จะทำยังไงถ้าผมยังอยู่ตรงนั้นกับอัค  ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำสีหน้ายังไง  ต้องพูดแบบไหน  ต้องสรรหาคำพูดอะไรตอบกลับไป  และที่สำคัญ  ผมไม่รู้ว่า...  ผมควรจะ...รู้สึกยังไง?

     

     

     

    To Be Continued

     




    Talk

     

    ยากชะมัดสำหรับตอนนี้   ไม่ได้แต่งนานมากแล้วสนิมจับหมดแล้วหละค่ะ เหอะๆ        หลายคนคงบ่นแล้วบ่นอีก ว่ามันหายไปไหนกันวะเนี่ย?  จะบอกว่าไงดี  เอาเป็นว่าค่อนข้างจะประสบปัญหาชีวิต  มรสุมproject ทำให้ชีวิตอับจนหนทางมากค่ะ  Y^Y  เจอไป 4 ตัวใน 1 เทอม ทำไปอ่านหนังสือสอบfinal ไป สนุกสนานมากค่ะ  พอสอบเสร็จ  น้ำท่วมบ้านที่รังสิต กับศาลายา  ต้องขนของมาไว้บ้านอาม่า   สนุกสนานเพลิดเพลินใจ  และทุกวันนี้ก็ยังคอยทำตัวเป็นจิตอาสา คอยไปแพ็คของ  คอยนั่งเรือไปแจกถุงยังชีพ คอยไปทำความสะอาดนู่นนั่นนี่   แต่ก็สนุกดีค่ะ  ดีใจที่ตัวเองเป็นคนดี  55+ 

     

    Ps.  ขอบคุณสำหรับทุกๆcomment  และ ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจที่มีให้นะคะ  J

    Ps2. ขี้เกียจมากจนไม่ได้อ่านทวน  ถ้าคำผิดเยอะอย่าว่ากันน้า  คำไหนสะกดผิดบอกมาเดี๋ยวจะตามแก้ที่หลังค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×