คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter: 11st Because Im Stupid
Chapter: 11st Because I’m Stupid
“พวกกูกลับบ้านก่อนนะมึง”ไอ้ชาที่มุดตัวเข้ารถแท็กซี่ตามหลังไอ้เอ็มเข้าไปนั่งเปิดกระจกรถมาโบกมือให้ผมที่ยืนส่งพวกมันอยู่ริมถนนหน้าโรงเรียน ส่วนไอ้เอ็มยื่นหน้าผ่านไอ้ชามาโบกมือให้ผมก่อนที่รถแท็กซี่สีเขียวจะออกตัวไป หลายคนอาจนับว่าสมาชิกไม่ครบ มีแต่ไอ้ชากับไอ้เอ็ม! แล้วไอ้กรีนหายไปไหน? ก็ไอ้เพื่อน(เลว)ของผมมันเพ่นแน็บออกไปตั้งแต่มันร้องเพลงสามัคคีชุมนุมจบ...สรุปง่ายๆก็คือ มันกลับบ้านทันทีที่งานกีฬาได้ปิดอย่างเป็นทางการ ทิ้งภาระต่างๆให้ผม ไอ้ชา และไอ้เอ็มคอยเก็บกวาดเป็นเพื่อนลุงนักการ มันน่านัก!!!
ผมมองหน้าปัดนาฬิกาดีเซลบนข้อมือตัวเอง...หกโมงครึ่ง
ผมเดินกลับเข้ามาในโรงเรียนด้วยร่างกายอันหมดสภาพ ปวดขาชิบหาไม่เจอเลยครับ!!! ตั้งแต่ผมนั่งกินข้าวกลางวัน นั่นเป็นการนั่งครั้งล่าสุดของวันนี้ เพราะพอเริ่มการแข่งขันช่วงบ่ายผมก็ไม่ได้หยุดพักเลย เดินไปเดินมาตลอด แถมตัวเองยังโดนอาจารย์ลากลงวิ่ง 100 เมตร 50 เมตร แถมด้วย วิ่งมาราธอนเป็นการตบท้าย!! ทำให้ตอนนี้ผมแทบจะคลานแทนเดินไปห้องกรรมการนักเรียนอยู่แล้ว
ถึงซะที!...ผมผลักประตูเข้าไปในห้องที่เปิดไฟสว่างจ้าห้องเดียวของตึกนี้(และคงเป็นห้องเดียวในโรงเรียนนี้ด้วยล่ะครับ) ทุกคนที่กำลังคุยกันอยู่หันมามองทันที ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองเข้ามาผิดจังหวะไปหน่อย...อัคที่อยู่ในวงสนทนานั้นด้วยพยักหน้าให้ผม พร้อมชูนิ้วบอกประมาณว่าให้ผมรอมัน10นาที! ผมพยักหน้าตอบกลับไป มันยิ้มให้ผมนิดนึงก่อนที่จะไปสนใจเรื่องในวงล้อมต่อ...ผมตัดสินใจเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวยาวเพราะถ้าผมยื่นต่อไปอีกสักนาทีขาผมคงเป็นอัมพาตแน่!
~เบื่อโว้ยยยยยย!!!!~ ผมนั่งมองไอ้อัคที่เอาแต่คุย ท่าทางมันจะลืมว่าผมนั่งรอมันอยู่ ไอ้ผมล่ะรำคาญมันจริงๆเลย กะอีแค่เป็นประธานนักเรียนนะโว้ย!!คุยธุระอย่างกับเป็นผอ. มีปัญหาอะไรก็เอาไปคิดกันเองบ้างดิวะ! จะขอคำปรึกษากันไปถึงไหน ส่วนไอ้คนที่มันนัดเอาไว้ตอนหกโมงครึ่งว่าจะไปกินสุกี้...จะไปกินกันวันนี้นะไม่ได้ไปกินชาติหน้า!
‘เหนื่อยก็เหนื่อย แทนที่จะได้รีบกินแล้วกลับบ้านไปนอน ต้องมานั่งรอไอ้คนสำคัญนี่อีก อารมณ์เสียโว้ย!!’ ผมอยากไปลากคอไอ้คนสำคัญออกจากวงสนทนาระดับโลกเดี๋ยวนี้เลย ผมล่ะเกลียดการรอจริงๆ และเกลียดที่สุดคือการนั่งรอคนเดียวโดยไม่มีอะไรทำ!
ผมพิงหัวตัวเองกับผนักนวมของโซฟา ไอ้ผมก็พอเข้าใจไอ้ที่ว่า เหนื่อยสายตัวแทบขาดมันเป็นแบบไหนก็วันนี้แหละครับ...แต่ไอ้คนที่กำลังให้คำปรึกษาคนอื่นอยู่ตรงนั้นมันไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ผมอยากล่ะรู้จริงๆ?
~!!~
“คุณ! ตื่นได้แล้ว” แรงเขย่าตรงต้นแขน พร้อมเสียงเรียกทำให้ผมรู้สึกตัว...หลับไปตอนไหนเนี่ย!! เอามือขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อปรับภาพให้ชัดขึ้น มองหน้าไอ้คนปลุกนิดหน่อยพอเป็นพิธี(?) ก่อนมองนาฬิกาตัวเอง...ทุ่มครึ่ง!
“ไมไม่ปลุกกูวะ? ปล่อยกูนอนเพลิน” ผมบ่นหน้ามุ่ย โทษไอ้คนปลุกช้าทำให้เวลาเลยมาเกือบชั่วโมง แถมมันยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร...ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กวนตีนนะมึง!!
“ก็เห็นมึงกำลังนอนสบายๆ กูเลยยังไม่อยากปลุก” อัคพูดหน้าตาเฉยทำเป็นไม่สนใจอาการงุ่นง่านเล็กๆน้อยๆของผม ส่วนไอ้ตัวผมเองก็ยังมึนอยู่ เป็นอาการหลังตื่นนอน เลยขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง ผมขอจูนคลื่นสักเดี๋ยวครับ ยังปรับสภาพไม่ทัน
“ลุกเหอะรีบกลับกันดีกว่า ลุงยามจะปิดห้องแล้ว” ผมพยักหน้ารับรู้ ควานหากระเป๋าสะพายบนโซฟาจัดการสะพายไหล่ ไอ้อัคมองดูผมเฉยๆรอจนผมลุกจากที่นั่งแล้วเดินผลักประตูห้องออกไป ผมออกตามหลังมันออกมา มืดชะมัด...กินเสร็จกูจะได้กลับบ้านกี่โมงฟะเนี่ย
“เดี๋ยวคุณรอผมตรงนี้ก่อนนะ” อัคบอกผมก่อนที่มันจะเดินไปทางด้านหลังโรงเรียน ไอ้ผมจะเอ่ยปากถามว่า ‘ทำไมกูต้องรอมึง?’ แต่ไอ้อัคก็ดันวิ่งเร็วโครต...มันจะซ้อมไปแข่งโอลิมปิกที่ลอนดอนหรือไง? แล้วดูมัน!! ปล่อยผมไว้คนเดียวตรงนี้เนี่ยนะ!!!
และผมก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกครั้งว่าทำไม ผมต้องรอมันอย่างที่มันบอกด้วย! ความจริงผมเดินออกไปอีกไม่กี่ก้าวแล้วเรียกแท็กซี่กลับบ้านไปนอนยังจะเข้าท่ากว่าการไปกินสุกี้กับผู้ชายที่ยังไม่เข้าข่ายลักษณะของนิยามคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ เลยด้วยซ้ำ เราเรียนห้องเดียวกันหรือก็เปล่า! บ้านใกล้กันหรือก็ไม่ใช่! รู้จักกันมานานแล้ว ก็คงเป็นผมฝ่ายเดียวที่รู้จักมันเพราะไอ้นี่มันดัง! เอ๊ะ! แต่ผมก็ดังน้อยเสียเมื่อไหร่? แล้วพี่ของพวกเราก็สนิทกัน งั้นตัดข้อนี้ออกไป พ่อแม่เป็นเพื่อนกันก็ไม่ใช่! เป็นเพื่อนของเพื่อนสนิทยิงไม่ใช่ใหญ่ คงไม่มีเพื่อนคนไหนของผม(และของมัน)เป็นเพื่อนสนิทกัน ก็มีแต่ไอ้กรีนที่มันผูกสัมพันธ์กับเขาไปทั่ว เพราะงั้นตัดมันทิ้งไปเถอะ! ปวดหัวโว้ย!!!!
“คุณขึ้นรถ!!!” มินิคูเปอร์สีน้ำเงินจอดเทียบฟุตบาทตรงหน้าผมพอดีเปะ! ตอนได้ยินเสียงเรียกทำเอาผมตกใจหน่อยๆ แต่พอเห็นหน้าคนขับก็เข้าใจ ที่แท้ไอ้อัคก็วิ่งไปเอารถมานี่เอง ที่จริงแล้วการมีไอ้อัคก็มีประโยชน์เช่นนี้นี่เอง 555+
“เพ้ออะไรอีกอ่ะ! รีบขึ้นมาดิ” ไอ้อัคเร่งผมอีกครั้ง ทำเอาผมต้องรีบขึ้นรถเพราะมีรถคันหลังตามมาติดๆ ไอ้จะยินต่อก็กลัวเขาด่าพ่อให้ เพราะงั้นรีบขึ้นดีกว่าครับ...พระบิดาจะได้ปล่อยภัยด้วย
“คาดเข็มขัดด้วย เดี๋ยวโดนเรียก”ทันทีที่ก้นผมสัมผัสเบาะและปิดประตูรถเรียบร้อย ไอ้คนขับก็บัญชาการทันที
“เออ! กูรู้แล้วน่า ไม่ใช่เด็กประถมนะมึง” ผมโวยวายนิดๆ เพราะเคืองที่มันทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ สัด!! กูอายุเท่ามึงบ้างเหอะ
“เหรอ! ตอนกูเห็นมึงนอน นึกว่าเด็กป.5 นอนอ้าปากน้ำลายไหลเป็นทาง” O_O!! ผมมองหน้าไอ้อัคอึ้งๆ รู้จักกันไม่เท่าไหร่มันกล้าเอาเรื่องน่าอายมาประจาญผมแล้วเหรอ? รู้สึกความสัมพันธ์ของพวกเรามันจะพัฒนากันเร็วไปหน่อยหรือเปล่า?
“อะไร?เขินหรือไงครับไอ้คุณ นอนละเมอไม่ได้เกรงใจคนอื่นเล้ย!! ทำเอาคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง” จริงดิ !! เราทำเรื่องน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ท่าทางไอ้คนพูดก็ดูสมจริงไม่มีพิรุธ เอาแล้วไงล่ะไอ้คุณ ทำอะไรขายขี้หน้าวงศ์สกุลจริงๆ พ่อครับ แม่ครับ ผมขอโทษษ!!
“แล้วนิ้วโป้งอร่อยมากมั้ยอ่ะ!! เห็นนอนดูดอยู่นั่นแหละ ไอ้เราก็กลัวนิ้วจะเปื่อยเลยจะดึงนิ้วออกให้ก็ดันพลิกตัวหนีอีก” นอนน้ำลายไหลยังไม่พอ มีการนอนดูดนิ้วอีกเหรอ? อะไรจะขนาดนั้นกู ผมมองหน้าไอ้อัคแบบอึ้งๆ ผมเป็นแบบนั้นจริงๆเหรอ? ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครบอกผมแบบนั้นเลยนะ สาบาญต่อหน้าป้อมตำรวจสี่แยกไฟแดงเลยเอ้า!!
“จริงเหรอวะ?”กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ เล่นเอาผมต้องกลืนน้ำลายหลายอึก ไม่รู้ทำไมคอผมก็แห้งขึ้นมาเฉยๆซะงั้น ผมไม่ได้แอบไปกินลาบตรงซอยข้างโรงเรียนมานะครับ(ร้านนี้ใส่ผงชูรสเยอะจนผมตกใจ ครั้งแรกที่ผมไปกิน ผมเห็นป้าแม่ครัวตักผงชูรสครึ่งทัพพี เล่นเอาผมอึ้งพูดไรไม่ออกเลย)
“ ” เงียบ! ไอ้อัคไม่ตอบ แค่ยิ้มเล็กๆเหมือนที่มันชอบทำ แต่นั้นแหละคือคำตอบ
“กูขอโทษวะ! ไม่รู้ตัวจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนพวกมึง”ผมยกมือไหว้ท่วมหัว ท่าทางผมจะสร้างความวุ่นวายให้มันจริงๆ อยู่ห่างๆกันดีกว่ามั้ยเนี่ย?
“ไม่ต้องขอโทษหรอก มึงไม่ได้ทำไรผิดสักหน่อย เห็นมึงแล้วขำดีด้วยซ้ำ จากที่ปวดหัวอยู่ก็หายเลย” ไอ้อัคตอบขำๆ ทำเอาผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“ท่าทางกูต้องเปลี่ยนแผนในชีวิตใหม่ ตอนแรกว่าจะเลือกคณะวิศวะ-คอมพ์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคณะแพทย์ดีกว่า ยังไม่ทันเรียนเลยแต่ทำคนหายปวดหัวได้ พรสวรรค์จริงๆ” ผมขำกับคำพูดตัวเองนิดๆ พรสวรรค์บ้าอะไรกันล่ะ แค่ปิดพลาสเตอร์ยายังไม่ตรงเลย!
“ผมว่าคุณน่าจะเหมาะกับอีกคณะมากกว่านะ” อัคพูดขึ้น
“คณะไรอ่ะ?”ผมถามมันกลับด้วยความสนใจ อัคขำเล็กๆก่อนจะตอบ
“คณะเชิญยิ้ม!!” เท่านั้นแหละครับ! ไอ้อัคก็หัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า ส่วนผมน่ะเหรอครับ ก็นั่งกัดฟันขำไม่ออก คำตอบมันเล่นเอาผมแทบตกจากเบาะเลย ตอนนี้ผมไม่ขออะไรมาก แค่เทปกาวสักอันมาปิดปากมันเอาไว้ก็พอ!
“~”
“อะไร? โกรธเหรอครับ” ผมนั่งนิ่งๆ หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้โกรธแค่ไม่อยากเห็นหน้า มีไรมะ!!
“โกรธจริงเหรอวะ” กูบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธแค่ไม่อยากเห็นหน้า!
“โอ๋! ล้อเล่นน่า อย่าคิดมากดิวะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้คนขับรถที่ดูเหมือนมันจะไม่สนใจถนนเลย
“มึงมองถนนด้วยดิวะ! กูยังไม่อยากตาย”ผมดันหน้ามันให้กลับไปสนใจถนนข้างหน้า ถึงมันจะไม่ค่อยมีรถก็เถอะ แต่ผมก็ยังไม่อยากให้อัคขับไปทักทายเสาไฟฟ้า หรือขับไปเกยฟุตบาทเล่น!
“คร๊าบๆ” อัคตอบก่อนจะหันไปสนใจถนนเหมือนเดิม
***
“เฮ้อ!!” ผมมองหน้าคนถอนหายใจข้างๆ อัคยกมือจากพวกมาลัยมาบีบสันจมูก ท่าทางและสีหน้าของอัคบอกผมว่าตัวมันเอง...เหนื่อยมาก
“เป็นไรปะมึง! กูขับให้เอาป่าว” ไอ้อัคหันมายิ้มให้ผม ก่อนที่มันจะตอบว่า
“กูไม่เป็นไร แค่เหนื่อยนิดหน่อยวะ แต่กูยังขับไหว ไว้กูไม่ไหวแล้วจะบอกมึงแล้วกัน” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่อยากเซ้าซี้มันมากนัก แค่นี้ผมก็รู้ว่ามันเหนื่อยมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ผมต้องทำตัวงี่เง่าให้อัคเหนื่อยไปกว่าเดิม
“Because you live...Because you make me believe in myself ~” เสียงJesse Mccarney ดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงคนขับ มันสะดุ้งนิดๆตอนเสียงโทรศัพท์ดัง หน้ามันตกใจมาก ทำเอาผมเกือบหลุดขำ 55+
“พี่มีไรป่าว! ผมขับรถอยู่” อัคเปิดสปีกเกอร์ ก่อนจะส่งiphone ให้ผมถือ ผมมองหน้ามันประมาณว่า ‘ทำไมกูต้องถือให้มึง’ แต่ได้อาการยักไหล่เหมือนไม่สนใจของมันกลับมา เออ! ถือให้ก็ได้วะ
“อัค!! แกแวะซื้อลาเต้คาราเมลให้เฮียหน่อยดิ ร้านพี่คริสนะ เอาเร็วๆล่ะ” เสียงเฮียอั้นดังออกมาจากโทรศัพท์ ที่แท้ก็เฮียอั้นโทรมาสั่งซื้อกาแฟ ส่วนไอ้เด็กส่งกาแฟจำเป็นก็เริ่มหน้าหงิก
“เดี๋ยวตอนเข้าบ้านผมซื้อเข้าไปให้แล้วกัน แต่จะเอาเร็วๆคงไม่ได้อ่ะนะเฮีย ผมกำลังจะไปกินสุกี้กับคุณ” ไอ้อัคพูด เล่นเอาผมเกือบปล่อยiphoneมันหลุดมือ งานงอกแล้วมั้ยล่ะมึง!!
“งั้นแกซื้อกาแฟให้เฮียก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยไปdinnerกะเมียแก” เสียงเฮียอั้นตอบกลับมา สะอึกครับท่าน!! ใครเป็นเมียมันไม่ทราบบบบ!!
“เฮียอั้น! ผมไม่ใช่เมียมันนะ” ผมตะโกนใส่iphone ไม่สนว่าปลายสายจะแก้วหูทะลุเพราะเสียงของผมหรือเปล่า! แต่ถ้ามันทะลุก็สมน้ำหน้าเฮียอั้น ถือว่าชดใช้กรรมที่หาว่าผมเป็นเมียอัคแล้วกันนะครับ!!
“โห้ไอ้คุณ!! แกตะโกนกะให้เฮียหูแตกเลยหรือไงวะ?”ปลายสายตะโกนกลับมาเช่นกัน “แล้วนี่แกเปิดสปีกเกอร์โฟนคุยกับเฮียเลยเหรอวะ กะไม่มีความลับกับเมียเลยหรือไง? ขนาดยังไม่ได้ให้ป๊าไปขอนะ ไวไฟกันจริงๆ 555+”
“เฮียอั้น! ถ้าไม่เลิกผมจะถล่มบ้านเฮียด้วยอาก้านะเฮีย”ผมมองหน้าไอ้คนขับที่ไม่มีท่าทีจะพูดปฏิเสธ แก้ไข้ข้อกล่าวหาของพี่ชายมันเลยสักนิด แถมยังนั่งขับรถไม่ทุกไม่ร้อน แล้วทำไมผมต้องมานั่งเถียงกับพี่ชายมันคนเดียวด้วยเนี่ย? ไม่เข้าใจโว้ย!!!
“กล้าเหรอวะ! บ้านเฮียก็บ้านสามีมึงนะ ไม่กลัวไอ้อัคไม่มีที่อยู่หรือไง 555+” ผมละอยากย้ายเป้าหมายไปบ้านไอ้อัคเพื่อบีบคอเฮียอั้นให้ตายคามือเดี๋ยวนี้เลย!!
“เฮียอั้น!!!!!”
“555+” คำขู่ของผมท่าทางจะไม่เป็นผล นอกจากจะไม่ทำให้เฮียอั้นกลัวแล้ว กลายเป็นว่าเฮียยิ่งเอาใหญ่ ใครก็ได้ช่วยคุณด้วย!!!!
“เฮียฟังนะ! มันคนละทางกันเพราะฉะนั้นเดี๋ยวผมค่อยซื้อให้เฮียตอนขากลับ โอเคแค่นี้นะ!”ไอ้อัคคว้าiphoneในมือผมไปวางสายก่อนกดปิดเครื่องแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์เหมือนเดิม ผมมองหน้าอัค! ความจริงมึงน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว ปล่อยให้กูงานงอกอยู่ตั้งนาน!!!
“คุณเหนื่อยมั้ย?”อยู่ๆคำถามอันไม่คาดคิดก็ออกจากปากไอ้คุณอัค ทำผมจูนคลื่นแทบไม่ทัน อยู่ๆมันก็ถามว่า ‘เหนื่อยมั้ย’ ทั้งที่ไม่มีวี่แววเลยว่ามันจะคุยกับผมด้วยประโยคนี้ แล้วผมควรจะตอบมันว่ายังไงล่ะครับ?
“เหนื่อยดิ! วันนี้เดินทั้งวัน ขาแทบเป็นอัมพาต” ผมว่า
“อืม! แต่ผมจะถามว่าคุณเหนื่อยมั้ยที่ปล่อยให้คนอื่นเขาแกล้งอยู่ได้? วันนี้โดนแกล้งมากี่ครั้งแล้วเนี่ย ก่อนออกจากโรงเรียนผมก็แกล้งหลอกคุณเรื่องนอนน้ำลายยืดไปแล้ว แล้วนี่มาโดนเฮียอั้นแกล้งอีก ไม่เหนื่อยหรือไงครับ?” ผม-มัน-โง่-เอง!!!!!!!!!
“สรุปมึงหลอกกูเหรอ? เลววะมึง! ตอนที่มึงบอกกูว่ากูทำพวกมึงคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง กูรู้สึกผิดมากเลยนะมึง! แมร่งให้กูตายเหอะวะ” ผมเอามือกุมขมับตัวเอง แล้วที่ผมรู้สึกผิดกับมันเพื่อ?...ตกลงผมโง่ใช่มั้ยเนี่ย?
“กูบอกเหรอว่ามึงไม่ได้ละเมอ กูบอกแค่เรื่องที่มึงน้ำลายยืดนะ” ผมหน้าเหวอ!! ตกลงผมละเมอจริงๆเหรอเนี่ย? เวร!!
“มึงทำกูเหนื่อยวะคุณ!” ไอ้อัคละมือข้างหนึ่งจากพวกมาลัยอีกครั้ง ก่อนที่จะเอามือข้างนั้นมาบีบสันจมูกตัวเองเอาไว้...ผมทำมันเหนื่อยมากเกินไปหรือเปล่า?
“กูขอโทษ!”ผมพูดคำที่ผุดขึ้นเต็มสมองไปหมด กูขอโทษมึงวะอัค
“~”
“~” เมื่ออัคไม่พูดอะไร ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ เหมื่อนคำพูดมันจุกอยู่ที่คอ ผมพูดอะไรไม่ออก อัคก็ไม่พูดอะไร ! ท่าทางผมจะทำให้มันเหนื่อยจริงๆ
“มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก กูแค่เหนื่อยมากเกินไป” อัคหันมายิ้มให้ผม รอยยิ้มมันแสดงว่ามันเหนื่อยมากๆ มันทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“ไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปกินกันได้มั้ย” รถติดไฟแดง อัคหันมามองหน้าผมตรงๆ ผมพยักหน้า ไม่อยากถามอะไรมันมาก เป็นพรุ่งนี้มันก็คงดีเหมือนกัน วันนี้กิจกรรมคงทำให้อัคเหนื่อยเกินไป แถมมันยังเจอผม จอมสร้างปัญหาอีก ไม่เหนื่อยก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะครับ
“วันนี้เราเหนื่อยกันทั้งคู่”ผมพยักหน้าเข้าใจอีกครั้ง ก่อนเปิดกระเป๋าหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
“ก็วันนี้คุณต้องเหนื่อยที่โดนหลอก ส่วนผมก็เหนื่อยที่หลอกคุณได้อีกแล้ว คงไปไหนกันต่อไปไหวแล้วล่ะ กลับบ้านไปนอนกันก่อนดีกว่า!!” OoO!!
ผม-มัน-โง่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“แค่กก แค่กก!!” น้ำที่ผมกำลังดื่มอยู่แทบจะพุ่งออกมาจากปาก มันหลอกผมอีกแล้ว!! แล้วผมก็โดนมันหลอกอีกแล้วเช่นกัน มีคำเดียวที่บรรยายสถานะผมได้ตอนนี้ ‘สำลักความโง่’
“ไอ้เชี่ย!!! เลววะมึง รีบไปส่งกูที่บ้านเลย เกลียดมึงจริงๆว่ะ”ผมเกือบเอาขวดน้ำฟาดหัวมันแล้ว ถ้าไม่ติดที่มันกำลังขับรถอยู่ล่ะก็!!!
“โทษที!! อดแกล้งมึงไม่ได้ว่ะ” ไอ้เลวข้างๆผมเริ่มพูดออกมา แต่ผมไม่อยากจะฟังแมร่งมันแล้ว!
“มึงไม่ต้องมาพูดกับกูเลย!! มึงนั่งเครื่องบินไปรับออสการ์ กับลูกโลกทองคำสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมเลยไป!!!” แล้วกูจะแถมรางวัลรองเท้าทองคำให้มึงอีกรางวัล แต่ต้องรอกูเอารองเท้าแตะกูไปชุบสีทองก่อนนะ จะเอามาให้มึงเป็นรางวัลแรกและรางวัลเดียวในโลกเลย!!
“มึงรู้มั้ยทำไมใครๆเขาชอบแกล้งมึง” ไอ้อัคพูดขึ้นมา ผมหันไปมองหน้ามันเคืองๆ
“กูไม่ต้องการเหตุผล แต่กูต้องการให้มึงขึ้นเครื่องบินไปรับรางวัลออสการ์สาขานักตอแหลยอดเยี่ยม เขาเพิ่มสาขานี้ให้มึงโดยเฉพาะเลยล่ะ”
“555+ ก็เพราะมึงชอบทำหน้าซื่อๆ เชื่อคนอื่นเขาไปทั่วอ่ะดิ ทุกคนเขาเลยชอบแกล้งมึง” ทุกคนนี่หมายถึงมึงคนเดียวเลยใช่มั้ย? ไอ้อัค
“แล้วที่สำคัญ...เพราะมึงน่ารักกูเลยอยากแกล้งมึง” สันดานเหอะมึง!!! ผมหันไปตบกะบาลไอ้โชเฟอร์เรียกสติมันกลับมา โทษฐานมันพูดอะไรน้ำเน่าเห็นเงาจันทร์มาก...แต่ทำไมผมต้องเขินไปกับประโยคเน่าๆของมันด้วย...นี่คือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจตัวเอง จริงๆ ??
***
ในที่สุดมินิคูปเปอร์สีน้ำเงินก็มาจอบเทียบหน้าบ้านผม...เหนื่อยจริงโว้ย! ผมแทบจะคลานลงจากรถเลยทีเดียว นั่งซะจนก้นเป็นเหน็บชาไปถึงสันหลังเลย!! ก็ดันนั่งในรถนานเกินไปเพราะการจราจรในกรุงเทพเสือกเกิดวิกฤตการณ์คับขัน รถติดยาวกันเป็นหางว่าว ทั้งที่ตอนออกจากโรงเรียนรถมันไม่ติดแท้ๆ!!
“ไหวป่ะเนี่ย!” อัคส่งเสียงออกมาจากรถทักผมที่ยืนหมดสภาพอยู่หน้าบ้านตัวเองด้วยความสงสาร...หรือบางทีใช่คำว่า ‘สมเพช’ จะเหมาะสมกว่า!!!
“ถามนี่จะอุ้มกูเข้าบ้านใช่มะ??”ผมถามมันกลับ ยักคิ้วให้มันสองที
แต่มีหรือครับว่ามันจะยอม “แล้วจะยอมกูปะล่ะ?” พร้อมยักคิ้วกลับมาสี่ที สัด!!! เล่นงี้กูก็จนมุมดิวะ...ปวดใจชิบ!!!!
“สัด!!! ไสหัวกลับบ้านมึงไปเลย” เป็นวิธีที่ดูจะง่าย...และรวดเร็วที่สุดแล้ว ‘ไล่’มันกลับไปซะก็หมดเรื่อง ผมจะได้ไปนอนซะที!
“เปลี่ยนเรื่องเหรอครับ??” แน่ะ! ยังรู้ทันกูอีก ไอ้อัคยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจอะไร...แต่ขอโทษกูรู้ว่ามึงโครตใส่ใจเลย ทำมาฟอร์มไม่สน...เชื่อมึง กูก็กินหญ้าแทนข้าวแล้ว!!!!(ไปข่าวว่าโดนมันหลอกไปสองรอบแล้ว...กูจะโง่อะไรขนาดนั้น)
แต่ก็ทำไรไม่ได้ครับ..นอกจาก “เออ!! กลับได้ยังล่ะมึง กูจะเข้าบ้านนอนและ!!” ยอมรับมันไปอย่างซึ่งๆหน้า!!!
ไอ้อัคมองหน้าผม ก่อนที่มันจะ “ฮึ ฮึ!!” ขำออกมาโดยไม่มีสาเหตุ สยองหวะ!! แม่งเลิกขำอย่างงี้เหอะมึง กูกลัว!!!!
“ขำห่าไรล่ะมึง!! กลับบ้านไปเหอะ ดึกแล้ว” ถึงแม้จะสยองกับเสียงหัวเราะมันแค่ไหน แต่ไอ้คุณก็ยังใจกล้าถามมันกลับไป แต่ลืมไปว่า...ตัวเองมีชีวิตเดียว มิใช่เก้าชีวิต(นึกถึงถ่านตราแมวเก้าชีวิตขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล...ผมว่าผมเริ่มหลอนจิต??)
“ห่วง???” ไม่มีคำตอบใดออกจากปากผม ก็มันถามงี้จะให้ตอบไงล่ะครับ?
“เปล๊า!!! กลับไปได้แล้ว คุยกันอย่างงี้เมื่อไหร่มึงจะได้ไปวะ กูง่วงบ้างเหอะ”ได้ทีก็เกาหัวตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไง?? ไล่แล้วมันไม่ไป...ทำไงดีล่ะครับ???
“เข้าใจแล้ว!! งั้นไปแล้วนะ” ผมมองดูมินิคูปเปอร์เคลื่อนออกไป...
“ห่วง” ...ถ้ามันหมายถึง
~แค่กังวลว่ามันจะกลับบ้านดึกเกินไป ~
~แค่กังวลว่ามันจะขับรถกลับบ้านได้มั้ย ~
~แค่กังวลว่ามันจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า~
~แค่กังวล...โดยไม่รู้สาเหตุ~
ถ้าใช่ ก็คงเป็น... “ห่วง” ที่อัคพูดถึงล่ะมั้งครับ????
To Be Continued...
Edit 6 April 2011
ความคิดเห็น