ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #5 : Episode 5 : First Job

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 57



    กิจวัตรประจำวันในชีวิตใหม่ของผมก็คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่จากร่างกายของผม แม้ว่ามันจะให้ความรู้สึกเหมือนผมกลับไปเป็นเด็กอนุบาลอีกครั้ง แต่ด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเท่าไหร่นัก นั่นเพราะผมกลับคุ้นชินกับร่างกายใหม่ในเวลาอันรวดเร็วนั่นเอง

    ทุกๆ เช้า แอปเปิ้ลแจ็คจะนำอาหารเช้ามาวางเอาไว้บนโต๊ะอาหารที่เธอเพิ่งจะทำให้ผม ซึ่งผมก็ได้บอกเธอแค่ว่าถ้าผมชินกับร่างกายเมื่อไหร่จะไปช่วยงานเธอที่ไร่ของเธอเป็นการตอบแทน (แต่เธอกลับตอบมาแค่ว่าของกินบ้านเธอเหลืออยู่แล้ว และเธอก็ต้องตื่นเช้าเพื่อมาทำงาน จึงไม่เดือดร้อนอะไรนัก) ทุกวันนี้ผมเรียนรู้ที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่มีผนักพิงเพื่อกินอาหารได้แล้ว จากเดิมที่ต้องยืนกินตลอด ซึ่งพอมันคุ้นชินแล้ว มันก็เหมือนผมนั่งในท่าตอนยังเป็นคน เพียงแต่ว่าขนาดขามันสั้นกว่าเท่านั้นเอง

    หลังจากนั้น ผมก็จะแวะไปที่ห้องสมุดของทไวไลท์เพื่อให้เธอช่วยสอนภาษาในโลกแห่งนี้ ถึงน่าจะแปลกใจว่าเราสามารถสื่อสารกันได้แต่ผมกลับอ่านไม่ออก ซึ่งภาษาในโลกนี้ออกคล้ายๆ ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง นั่นก็คือใช้หลักของการผสมแบบเรียงตัวตัวอักษร แต่มีตัวอักษรไม่เยอะเท่าไหร่นัก ทำให้ผมจำได้ค่อนข้างง่าย แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการฝึกเรียนตัวอักษรใหม่ก็คือ การหัดเขียนตัวอักษรด้วยปากตัวเอง ในบรรดาม้าโพนี่ทั้งหมดนั้น จะมีแต่ยูนิคอร์นที่จะใช้เวทย์ในการเขียนหนังสือได้ ส่วนม้าทำงานกับเพกาซัสจะต้องใช้ปากในการคาบปากกาขนนกแล้วก็เขียน ข้อดีของปากกาขนนกโลกนี้ก็คือจะเก็บหมึกเอาไว้ได้นานมากๆ จนไม่ต้องจุ่มหมึกเขียนบ่อยๆ แต่ผมเองก็ยังไม่ชินกับการใช้ปากคาบปากกาแล้วเขียนเอาซะเลย แม้ว่าผมจะสามารถคาบมันได้นานๆ จนไม่ค่อยเมื่อยปากก็เถอะ ('ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนฉันสมัยเด็กๆ ฉันก็เขียนหวัดแบบนี้แหละ' ทไวไลท์ปลอบผม) และผมก็ได้ทานมื้อเที่ยงร่วมกับทไวไลท์และสไปค์ที่ห้องสมุดของเธอเลย ซึ่งอาหารนั้นสไปค์จะเป็นคนทำให้ (มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเผลอกัดอัญมณีก้อนหนึ่ง ซึ่งปรากฎว่าสไปค์ใส่ผิดจาน)

    ช่วงบ่าย เรนโบว์แดชจะมาสอนเกี่ยวกับการบินให้ และสอนเรื่องราวของเพกาซัสว่าพวกเขาวันๆ ทำอะไรบ้าง ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเผ่าของตนเองได้มากขึ้นเยอะ (แต่จริงๆ แล้วผมแทบถามอะไรเธอไม่ค่อยได้มากเลย ดูเหมือนเจ้าตัวเองจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องวิชาการเท่าไหร่ เน้นปฏิบัติจริงมากกว่า) และบ่อยครั้งที่ผมเห็นเรนโบว์แดชหมุนตัวบินโชว์กลางอากาศ ผมก็ชักที่จะอยากบินกับเขาบ้าง พลางจินตนาการว่ามันจะเหมือนเราเล่นเกมขับเครื่องบินไหม

    ตกเย็น ฟลัทเทอร์ชายจะมาแนะนำผมเกี่ยวกับสิ่งชีวิตต่างๆ ในโลกแห่งนี้ ซึ่งเท่าที่ผมดู ในโลกแห่งนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างเรื่องของสัตว์เท่าไหร่นัก แต่ที่ต่างก็คือสัตว์ที่โลกนี้ดูจะเป็นมิตรมากกว่าโลกของผมและไม่กลัวโพนี่เลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนสัตว์หลายตัวจะสามารถเข้าใจสิ่งที่เราพูดคุยกับพวกนี้ด้วย ('โลกของเธอมีคุกที่เรียกว่าสวนสัตว์ด้วยเหรอ โหดร้าย' ฟรัทเทอร์ชายร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อผมเล่าเรื่องนี้ ก่อนที่ผมต้องอธิบายเพิ่มว่าสวนสัตว์ทำอะไรบ้าง แต่เธอก็ยังทำสีหน้าไม่พอใจอยู่ดี) และนั่นก็ทำให้ผมรู้จักกับแองเจิ้ล กระต่ายน้อยที่เป็นสัตว์เลี้ยงของฟรัทเทอร์ชายด้วย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เพราะชอบมองผมแปลกๆ อยู่เลยโดยเฉพาะเมื่อผมทานมื้อเย็นที่บ้านของเธอเอง

    มีม้าอยู่สองตัวที่ผมไม่ได้เข้าไปเรียนรู้อะไรด้วย นั่นก็คือพิงค์กี้พายกับแรร์ริตี้ โดยเหตุผลก็คือช่วงนี้แรร์ริตี้กำลังงานยุ่งอยู่กับการตัดชุดเพื่อส่งให้ลูกค้าในเมืองแคทเทอร์ลอช ส่วนพิงค์กี้พายนั้นเจ้าตัวบอกมาแค่ว่าไม่รู้จะสอนอะไรผมนอกจากการจัดปาร์ตี้ ซึ่งผมเห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตประจำวันของผมเลย (และดูเหมือนว่าเธอจะต้องไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กด้วย ผมเลยพอเข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ค่อยว่าง)

    ผมเริ่มรู้จักโลกนี้มากขึ้นและคุ้นชินกับร่างกายใหม่มากยิ่งขึ้นเมื่อผมเริ่มฝึกฝนและเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาเต็มใจสอนผม เวลาผ่านมาถึง 6 วัน ในที่สุด ผมก็สามารถเคลื่อนไหวและอ่านภาษาในโลกนี้ออกเกือบหมดแล้ว ยกเว้นลายปากที่ผมเขียนนั้นยังไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก (แต่ผมคิดว่าต่อไปคงจะเขียนให้มันสวยขึ้นบ้างแหละหนะ)

    ในวันนี้ ผมเตรียมจะไปพบทไวไลท์ตามเดิม แต่ก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน ทไวไลท์ได้เดินทางมาหาผมถึงบ้านก่อน ผมซึ่งเพิ่งจะกินพายแอปเปิ้ลที่แอปเปิ้ลแจ็คทำมาให้เสร็จ ก็ได้เดินไปเปิดประตูโดยการใช้อุ้งเท้าจับที่ลูกบิดประตู หมุนเล็กน้อยก็เปิดออกได้แล้ว ซึ่งเมื่อผมเปิดประตูออก ก็พบยูนิคอร์นสาวกับมังกรที่กำลังถือแอปเปิ้ลไว้ในมือ

    "สวัสดีทไวไลท์ มีอะไรรึเปล่า" ผมถามเธอด้วยความสงสัย

    "อ้อ วันนี้จะบอกว่าไม่ต้องมาหาฉันที่ห้องสมุดแล้วนะ" เธอบอกผม "พอดีฉันอยากจะเรียนรู้เวทย์บทใหม่นะ เลยคิดว่าคงไม่ว่างสอนเธอแน่"

    "ไม่มีปัญหา ฉันเองก็รบกวนเธอมามากเหมือนกัน" ผมตอบเธอ "แต่เท่ากับว่าวันนี้ฉันว่างทั้งวันเลยสิเนี่ย"

    ที่ผมบอกแบบนี้เพราะเห็นว่าเรนโบว์แดชวางแผนจะพักผ่อนที่สระนํ้า แอปเปิ้ลแจ็คก็กำลังจะสร้างโรงนาใหม่ (เธอบอกว่าได้มีญาติมาช่วยแล้ว ผมจึงไม่จำเป็นต้องไปช่วยเธอ) ส่วนฟรัทเทอร์ชายเห็นว่ามีปิคนิคกับสัตว์ ผมก็ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าตอนบ่ายที่ควรจะว่าง จะไปทำอะไรดี

    "ถ้างั้น นายไปช่วยแรร์ริตี้ไหมหละ" มังกรนามสไปค์ถามผม

    "แรร์ริตี้นะเหรอ" ผมถามเธอ

    "ใช่ เห็นว่าเธอต้องการนายไปเป็นแบบตัดชุดใหม่นะ เสียดายนะที่ฉันเป็นแบบไม่ได้" สไปค์ทำเสียงงอน

    "โถ่ สไปค์ ก็นายเป็นมังกรนี่นา ขนาดของนายก็ไม่ใช่โพนี่ด้วย" ทไวไลม์แซวเขา

    "ใช่ แต่ฉันอยากช่วยเธอมากกว่านี่นา" เขายังทำเสียงง้องอนอยู่ดี

    "ไม่มีปัญหา งั้นเดี๋ยวฉันไปช่วยแรร์ริตี้ละกัน" ผมยิ้มตอบด้วยความยินดี "ว่าแต่ เธอจะเรียนเวทย์อะไรเหรอ"

    "เปลี่ยนแอปเปิ้ลให้เป็นส้มนะ" เธอยิ้มตอบผม สไปค์ยื่นแอปเปิ้ลในมือให้ผมดู

    "ทำได้ด้วยเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัยปนอึ้ง

    "คิดว่านะ ก็เลยว่าจะลองดูเนี่ย งั้น ถ้ามีอะไร ฉันจะอยู่ที่ร้านอาหารนะ ไปละ" เธอบอกผมก่อนที่จะหันหลังเดินจากผมไป ภาพแอปเปิ้ลที่สไปค์ถืออยู่ยังติดอยู่ในหัวผมจนผมยังสงสัยเลยว่ามันจะเป็นส้มได้ยังไง

    "เอาเหอะ ขนาดควีนคริสซาลิสยังเปลี่ยนให้ฉันเป็นโพนี่ได้ นับอะไรกับผลไม้" ผมยักไหล่กับความคิดนั้น ก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะ แล้วคาบจานที่เคยใส่พายแอปเปิ้ลเพื่อเอาไปล้าง

     

    ---------------------------------

     

    หลังจากผมจัดการธุระส่วนตัวในบ้านตัวเองเสร็จแล้ว ผมได้เดินทางมุ่งหน้าไปบ้านของแรร์ริตี้ทันที ซึ่งเห็นว่าทไวไลท์ได้บอกว่าบ้านของแรร์ริตี้จะอยู่ทางทิศตะวันออกจากทาวน์สแควร์ใจกลางเมืองโพนี่วิลล์ ผมจึงมุ่งหน้าไปทางนั้นก่อน

    "นี่นะเหรอ ทาวน์สแควร์" ผมมองดูสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ซึ่งดูแล้วเหมือนหอคอยขนาดตึก 3 ชั้นเสียมากกว่า เห็นทไวไลท์บอกว่าในตึกนี้จะเป็นสถานที่จัดงานต่างๆ ของเมืองโพนี่วิลล์ เวลาปกติจึงไม่ได้เปิดให้เข้าไปข้างใน ผมเงยหน้ามองดูพระอาทิตย์เพื่อเทียบตำแหน่งทิศทางทันที

    แต่กลับมีบางสิ่งพุ่งผ่านพระอาทิตย์ไป ซึ่งสิ่งนั้นก็คือพิงค์กี้พาย ดูเหมือนเจ้าตัวจะรีบร้อนมากจนเผลอกระโดดข้ามหน้าผมไปซะงั้น ที่แน่ๆ เธอกลับสะดุดตามากเพราะบนหัวของเธอนั้นมีนาฬิกาปลุกผูกเอาไว้บนหัวแทน

    "อ้าวพิงค์กี้พาย สวัสดี รีบไปไหนเหรอ" ผมทักถามเธอ

    "กำลังหาทางจัดสรรเวลาเรื่องสนุกนะสิ" เธอตอบผมมา

    "งั้นเหรอ" ผมยิ้มแหะๆ เพราะถึงจะไม่รู็เรื่องว่าเธอหมายถึงอะไร แต่มันก็สมกับเป็นพิงค์กี้ดี

    "แล้วเธอหละ กำลังทำอะไรอยู่เหรอ" เธอทักผม

    "จะไปช่วยแรร์ริตี้ที่บ้านเธอนะ" ผมตอบไปตามนั้น

    "อะไรนะ!! แรร์ริตี้กำลังจะมีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ" เธอถามผมตากลมโตด้วยความตื่นตกใจ

    "เอ่อ น่าจะอย่างนั้น" ผมตอบเธอไปแบบนั้น

    "แย่แล้ว ทำไงดีๆ สงสัยต้องตามหาสระกระจกแล้ว" เธอรีบบอกด้วยนํ้าเสียงร้อนรน

    "สระอะไรนะ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ไม่มีเวลาแล้ว ไม่งั้นจะพลาดความสนุกหมดแน่ งั้น เจอกันนะ ไปละ" เธอโบกอุ้งเท้าลาผมก่อนที่เธอจะพุ่งตัวไปอีกทางหนึ่งด้วยความรวดเร็ว

    "ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนนี่มีหวังมองว่าบ้าแหงม" ผมพึมพำ

    "ไม่หรอก ถ้าพวกเรารู้จักเธอดี"

    เสียงหนึ่งทักขึ้น เมื่อผมหันกลับไปมอง ก็พบโพนี่ตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังผม เธอมีลำตัวสีนํ้าตาลอ่อนแบบเดียวกับผมแต่ว่าสีจะอ่อนกว่า มีแผงคอเป็นสีเทสซึ่งบ่งบอกถึงม้าที่มีอายุแล้ว ผูกสิ่งที่น่าจะเป็นเนคไทม้วนๆ สีเขียวแก่ตรงปกคอเสื้อของเธอพร้อมกับแว่นตาสีเหลืองตรงหน้า เธอคนนี้ก็คือนายกเทศมนตรีของเมืองนี้นั่นเอง ผมเคยเจอเธอครั้งก่อนก็ตอนที่เธอช่วยจัดการหาบ้านใหม่ให้ผมเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วย

    "สวัสดีครับท่านนายก" ผมกล่าวทักทายท่าน

    "เป็นไงบ้าง ชอบเมืองนี้ไหม" เธอยิ้มถามผม

    "ทุกอย่างดีมากเลยครับ" ผมตอบตามจริง

    ท่านนายกเทศมนตรีมองถนนทางที่พิงค์กี้พายพุ่งตัวจากไป รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของท่าน

    "ตั้งแต่ฉันยังจำความได้ เมื่อพิงค์กี้พายมาที่เมืองนี้ บอกได้เลยว่าทั้งเมืองมีแต่รอยยิ้มทั้งนั้น เพราะพิงค์กี้พายเป็นคนที่มอบความสนุกสนานให้กับเมืองนี้ ถ้าเราไม่มีพิงค์กี้พาย ม้าทุกตัวคงไม่มีรอยยิ้มแบบนี้แน่" ท่านนายกเทศมนตรีเอ่ย ผมมองไปรอบๆ ซึ่งก็เห็นว่าชาวเมืองนี้ต่างก็มองดูทิศทางที่พิงค์กี้พุ่งตัวไปแล้วก็ยิ้มและหัวเราะให้กันด้วย

    "นั่นสินะครับ" ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะไม่ว่าสถานการณ์ไหนผมก็เห็นพิงค์กี้พายร่าเริงตลอดเวลาจริงๆ

    "ฉันขอตัวไปทำธุระก่อน ยังไงขอให้ปีกหายไวๆ นะ" เธอกล่าวลาผม

    "ขอบคุณมากครับท่านนายก" ผมก้มหัวตอบรับเธอ

    เมื่อท่านเดินหันหลังจากไปแล้ว ผมก้มมองดูปีกตัวเองข้างที่ยังใส่เฝือกอยู่

    ฉันก็อยากให้มันหายไวๆ เหมือนกันแหละ ผมคิด ก่อนที่จะแหงนหน้ามองดูดวงอาทิตย์เพื่อหาทิศทางไปยังบ้านของแรร์ริตี้ และเมื่อเจอแล้วผมก็เดินไปทันที ซึ่งมันหาไม่ยากเลยเพราะมีสะพานข้ามคลองอยู่ทางเดียวนั่นเอง ซึ่งเลยจากสะพานไปไม่นาน ผมก็เจอบ้านของแรร์ริตี้ที่เป็นร้านขายเสื้อผ้า รูปทรงบ้านของเธอแตกต่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนมองแล้วสังเกตได้ไม่ยากเลย

    เมื่อผมเคาะประตูบานสีม่วงบ้านเธอแล้ว แรร์ริตี้เปิดประตูออกมาต้อนรับผมทันที

    "ฉันกำลังรอเธออยู่เลย เข้ามาสิจ๊ะที่รัก" เธอยิ้มกว้าง

    เมื่อผมเดินเข้าไปข้างใน ผมมองดูภายในร้านเธอไปรอบๆ มันทำให้ผมนึกถึงอารมณ์แนวร้านตัดผมผสมผสานกับร้านขายเสื้อผ้า มีเสื้อผ้าอยู่หลายชุดแขวนเอาไว้ตรงราวทางซ้าย ซึ่งข้างๆ ราวนั้นมีบันไดซึ่งผมเดาว่ามันคงขึ้นไปห้องของเธอ ตรงกลางนั้นมีกระจกอยู่สามบาน และทางขวานั้นก็มีเสื้อผ้าอีกเซ็ตหนึ่งแขวนเอาไว้อยู่ ผมเดินตามเธอเข้าไปตามทางขวาของบ้านซึ่งมีประตูอยู่ และเมื่อผมเปิดออก ก็พบว่าในนี่้เป็นห้องที่เธอใช้ตัดเย็บเสื้อผ้า มีหุ่นจำลองม้าอยู่และโต๊ะที่มีอุปกรณ์จักรเย็บผ้าพร้อมผ้าหลากหลายผืนและหลากสีอยู่ในชั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแฟชั่นเท่าไหร่ เลยมองดูอุปกรณ์ต่างๆ แล้วไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่นัก

    "แล้ว จะให้ฉันช่วยอะไรบ้างเหรอ" ผมถามเธอ

    "อ๋อ ง่ายๆ จ๊ะ แค่ยืนตรงนี้" เธอยกอุ้งเท้าชี้ไปที่พื้นใกล้ๆ กระจก พอผมเดินไปยืนตรงนี้แล้ว เธอก็หยิบผ้าออกมาหลายผืนทันทีด้วยเวทมนต์ของเธอเอง "แล้วช่วยเป็นแบบให้หน่อยนะจ๊ะ ยืนนิ่งๆ ที"

    เธอเอาผ้าหลากหลายผืนมาคลุมตัวผมไม่ก็พันเอาไว้ ราวกับต้องการดูว่าตัวอย่างของผ้าผืนต่างๆ พอตัดเย็บออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร ผมยืนนิ่งๆ ระหว่างที่เธอเดินวนรอบตัวผมแล้วก็เอาผ้าผืนนู้นผืนนี้มาสับเปลี่ยนเรื่อยๆ จากนั้นเธอก็ใช้เวทย์ของเธอหยิบปากกาขนนกเพื่อร่างแบบต่างๆ ลงบนกระดาษ เมื่อเสร็จไปแล้วแผ่นหนึ่งเธอก็จะหยิบผ้าอีกสีอีกผืนมาเปลี่ยนผ้าที่คลุมตัวผมทันที เธอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาน่าจะผ่านมาเป็นชั่วโมง ผมเองก็ยืนจนล้าแล้วเหมือนกันเพราะขยับตัวได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง

    "เอ่อ เธอต้องออกแบบกี่ชุดเหรอแรร์ริตี้" ผมถามด้วยความสงสัยเพราะเธอเขียนร่างแบบไปสิบแผ่นแล้ว

    "โหลนึงนะจ๊ะ อีกแค่สองชุดเองนะที่รัก" เธอตอบผม

    "ดูเหมือนเธอจะมีงานยุ่งมากจริงๆ นะเนี่ย" ผมทักถามเธอ เพราะต้องการหาอะไรทำแก้เบื่อบ้าง

    "แน่นอนจ๊ะ ช่วงนี้มีคิวงานจากแคทเทอร์ลอชมาเรื่อยๆ ฉันหละปลื้๊ม ปลื้ม" เธอบอกด้วยนํ้าเสียงอารมณ์ดี แม้ว่าผมจะเห็นสายตาของเธอแอบดูเคร่งเครียดก็เถอะ

    "พี่ หนูเอาเครื่องดื่มมาให้นะ"

    เสียงหวานๆ ดังออกมาจากประตู และเมื่อผมหันไปมอง ผมก็พบกับยูนิคอร์นตัวสีขาวเหมือนแรร์ริตี้แต่ออกไปทางเทาเล็กน้อย ดวงตากลมโตสีเขียว ไว้แผงคอสีชมพูและสีม่วงอ่อนสลับกัน เธอมีขนาดตัวเล็กกว่าผมและแรร์ริตี้ เธอคาบถาดที่มีแก้วนํ้าอยู่สามแก้วเข้ามา

    "ขอบใจจ๊ะสวิตตี้เบล เอาวางไว้บนโต๊ะเลยนะ" แรร์ริตี้บอกก่อนที่จะหันหลังเพื่อไปเขียนแบบชุดอีกชุดหนึ่ง

    เมื่อสวิตติ้เบลเอาถาดใส่เครื่องดื่มไปวางแล้ว เธอก็หันมาทักทายผมทันที

    "คุณคือเพื่อนของพี่สาวหนูใช่ไหมค่ะ ? ขอแนะนำตัวนะค่ะ หนูชื่อสวิตตี้เบล" เธอยิ้มกว้างทักทายผม

    "สวัสดี" ผมกล่าวทักทายเธอพร้อมกับแนะนำตนเองด้วย "น้องสาวเธอนี่น่ารักดีนะ แรร์ริตี้"

    "น่ารักก็จริง แต่บางครั้งก็เป็นตัวป่วนเหมือนกันนะ โดยเฉพาะตอนอยู่กับกลุ่มเพื่อนเธอที่เรียกว่า 'คิ้วตี้มาร์ค ครูเซเดอร์' นะ" แรร์ริตี้ซึ่งเพิ่งจะหยิบเอาผ้าอีกผืนมาคลุมตัวผมแซวออกมา

    "พี่อ่ะ!" ยูนิคอร์นน้อยงอนแก้มป่อง

    "พี่ล้อเล่น น้องก็รู้ว่าพี่ชอบแซวขนาดไหน" แรร์ริตี้หัวเราะ

    "'คิ้วตี้มาร์คครูเซเดอร์' เหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ก็ เป็นองค์กรลักที่พวกหนูตั้งขึ้นเพื่อตามหาคิ้วตี้มาร์คนะ" หูของเธอลู่ลงเล็กน้อยเมื่อเธอเหลือบตามองดูสะโพกของเธอ ซึ่งผมก็สังเกตเหมือนกันว่าสะโพกของเธอก็ว่างเปล่าอยู่

    "คิวตี้มาร์คเป็นสัญลักษณ์ของม้าที่จะบอกว่าม้าตัวนั้นถนัดเรื่องอะไรและมีพรสวรรค์เรื่องอะไรนะ" แรร์ริตี้อธิบาย "น้องสาวฉันที่ยังไม่มีคิวตี้มาร์ค ก็หมายความว่ายังไม่รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์อะไร"

    "งั้นก็หมายความว่า เราก็ยังไม่รู้สินะว่าเราชอบอะไรนะ" ผมถาม

    "จริงๆ หนูอยากเป็นดีไซเนอร์เหมือนพี่สาวหนู แต่ดูเหมือนเธอจะทำไม่ถนัดเอาซะเลย" เธอตอบผม

    "ใช่ จนพี่ต้องรีบเก็บอุปกรณ์ของพี่เพื่อไม่ให้เธอมาใช้ของๆ พี่โดยไม่ได้รับอนุญาติอีก" แรร์ริตี้ทำสีหน้าเชิดขึ้น

    "แต่หนูอยากได้คิ้วตี้มาร์คไวๆ นี่นา" เธอนั่งลงบนพื้นด้วยสีหน้าชวนเศร้าสร้อย

    "รู้ไหมสวิตตี้เบล ตอนพี่ยังเด็กนะ พี่ไม่เคยคิดเลยว่าพี่อยากเป็นนักเขียน แต่พอพี่โตขึ้น พี่กลับมาเป็นนักเขียนซะงั้น บางครั้งการที่เรายังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันรู้ เพราะสุดท้าย เมื่อเราโตขึ้น เราจะเริ่มรู้เองแหละว่าเราชอบอะไร ดังนั้นพี่ว่าเราไม่ต้องรีบร้อนหรอก" ผมบอกกับเธอโดยใช้ประสบการณ์ตนเองคอยบอก

    "แต่สัญลักษณ์คิ้วตี้มาร์คของพี่ดูไม่เหมือนนักเขียนเลยนี่นา" สวิทตี้เบลหรี่ตามองดูคิ้้วตี้มาร์คของผมบนสะโพก ซึ่งมันเป็นรูปมงกุฎสีทอง

    "ก็ถ้าจะให้ว่าตรงๆ คิ้วตี้มาร์คของพี่มันบอกอะไรพี่ยังไม่รู้เลย" ผมบอก "แรร์ริตี้ น้องเรารู้เรื่องฉันรึยัง"

    "อืม บอกหมดแล้วหละ" เธอตอบผม ดูเหมือนเธอจะดูวุ่นวายกับชุดสุดท้ายที่ให้ผมเป็นแบบอยู่พอสมควรเลยเหมือนไม่ได้ใส่ใจการสนทนาของผมเท่าไหร่นัก

    "หนูได้ยินว่าพี่มีน้องสาวด้วยใช่ไหม เธอน่ารักไหม" สวิตตี้เบลเปลี่ยนหัวข้อคุยทันทีด้วยนํ้าเสียงอยากรู้อยากเห็น

    "แค่ฉันมองเธอก็ทำให้ฉันนึกถึงน้องสาวฉันเหมือนกันแหละ" ผมบอกด้วยนํ้าเสียงร่าเริง "เพียงแต่ว่าบางครั้งก็จะดูปลีกวีกเวกไปบ้าง พยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาของพี่อยู่ดีละนะ...."

    ผมหยุดพูดต่อทันที เพราะมันทำให้ผมนึกถึงภาพสุดท้ายก่อนที่ผมจะต้องมาอยู่โลกนี้ ใบหน้าของเธอที่ร้องไห้ออกมาเต็มหน้า มันทำให้ผมรู้สึกเครียดและเศร้าใจขึ้นมาทันที ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูวิวที่มีต้นไม้และภูเขาเป็นฉากหลัง พยายามจินตนาการว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่

    แม้ว่าตอนที่ผมอยู่ในบ้าน ผมจะทำงานและเจอน้องสาวเฉพาะตอนเย็นๆ และก่อนเข้านอนเท่านั้น มันเลยดูเหมือนผมไม่ค่อยมีเวลาให้น้องตัวเองเท่าไหร่ บางครั้งผมยังแอบคิดเลยว่าน้องสาวคงจะไม่รักผมแล้วเพราะบางวันแทบไม่ได้คุยกันเลย แต่จากเหตุการณ์ตอนนั้นมันทำให้ผมรับรู้ว่า ใจจริงแล้วน้องสาวผมก็ยังรักผมอยู่

    ป่านนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่นะ กินอยู่สบายดีไหม ผมคิดในใจ พยายามไม่จินตนาการว่าเธอกำลังร้องไห้คิดถึงผมอยู่ เพราะถึงผมจะสามารถส่งจดหมายให้เธออ่านได้ แต่เธอจะไม่สามารถเขียนตอบกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดๆ กับโลกนั้นเลย

    "หนูเชื่อว่าน้องสาวพี่จะต้องคิดถึงพี่แน่ๆ เลย" สวิตตี้เบลบอกผม

    "เธอคิดว่าอย่างนั้นเหรอ" ผมมองดูเธอพร้อมกับเอ่ยถาม

    "อืม เพราะในโลกนี้ไม่มีน้องสาวตัวไหนหรอกที่จะไม่รักพี่ตัวเอง" เธอยิ้มตอบ

    ผมเหลือบตาไปมองแรร์ริตี้ทางหางตา ซึ่งตอนนั้นเธอกำลังหันหลังเขียนแบบชุดสุดท้ายอยู่ เธอหน้าแดงออกมาทันที ซึ่งนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในที่สุด

    "ขอบใจมากนะ สวิตตี้เบล ฉันเองก็หวังไว้แบบนั้น" ผมเอ่ยกับเธอ

    "เอาหละๆ" แรร์ริตี้ใช้เวทย์ของเธอดึงเอาผ้าที่คลุมตัวผมทั้งหมดออกแล้วม้วนเก็บกลางอากาศ "เรียบร้อยแล้วจ๊ะ ขอบใจมากนะจ๊ะที่มาช่วย"

    "ไม่มีปัญหาแรร์ริตี้" ผมพยักหน้าให้เธอ แต่ผมก็ต้องมองไปยังหน้าต่างด้วยความสงสัย

    "ข้างนอกมันมีเรื่องอะไรกันนะ" ผมเดินไปดูที่หน้าต่าง ซึ่งทั้งแรร์ริตี้และสวิทตี้เบลเองก็เดินตามมาดูด้วยความสงสัย

    ตอนแรกๆ ผมคิดว่าผมตาฝาด เพราะเหมือนผมเห็นผมของพิงค์กี้พายจำนวนมากกระโดดผ่านหน้าต่างบ้านของแรร์ริตี้ แต่เมื่อผมไปยืนดูใกล้ๆ ผมก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะผมมองเห็นพิงค์กี้จำนวนมากกระโดดโลดเต้นอยู่ในเมือง

    พิงค์กี้พายจำนวนมากกว่าหนึ่งโหลกำลังกระโดดไปรอบๆ เมือง มีม้าโพนี่หลายตัวกำลังวิ่งหนีเธออยู่ราวกับหนีเธอที่เป็นตัวประหลาด พวกนี้เคลื่อนไหวกันเร็วมากและให้อารมณ์ราวกับกองทัพโคลนจากในหนังสงครามอวกาศที่ผมเคยดูเลย เหล่าพิงค์กี้จำนวนมากกระโดดไปรอบๆ แม้ว่าจะไม่ได้สร้างความเสียหายหรือทำลายอะไร แต่เสียงที่ดังออกมานั้นกลับสร้างความหนวกหูและรำคาญให้กับม้าทุกตัวในเมืองเสียมากกว่า ทุกตัวพูดว่า 'สนุก...สนุก...สนุก' ออกมาราวกับเสียงสเตอร์โอรอบทิศทางเลยทีเดียว

    "คุณพระช่วย ให้ตายเถอะเซเลสเทรีย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย" แรร์ริตี้อ้าปากค้าง

    "พี่พิงค์กี้่พายมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย" สวิทตี้เบลเองก็อ้าปากค้างไม่ต่างจากพี่สาวของเธอด้วย ซึ่งผมเองก็เช่นกัน

    "คือ ฉันพอรู้นะว่าโลกนี้มันไม่เหมือนโลกฉัน แต่นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยยยยยย!" ผมร้องถามด้วยความสงสัย พลางมองดูพิงค์กี้พายจำนวนมากกระโดดโลดเต้นไปทั่วเมือง

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×