ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Soul Love : รักนะ วิญญาณของฉัน (ยมทูตโมเอะ)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 : ในโรงเรียน

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 54


    ตอนนี้ผมกำลังนั่งมองดูนักเรียนใหม่ที่กำลังกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องไปด้วยความไม่ชอบใจและแอบรังเกียจอยู่ด้วยเล็กน้อย ผมนั่งเท้าคางและพ่นลมออกจากจมูกเพื่อที่จะระบายอารมณ์

    "ชื่อเคียวเหรอครับ น่ารักจังเลยนะ"

    "มาจากประเทศไหนเหรอครับ"

    "เย็นนี้ไปช้อปปิ้งกันไหมจ๊ะ"

    จะช๊อปปิ้งอะไรกันวันนี้ วันนี้ที่ห้างยังไม่ใช่วันลดราคาซะหน่อย ไปซื้อทีกระเป๋าฉีกแน่ ผมคิดเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนสาวคนหนึ่งชักชวนเธอ

    "คงไปไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าฉันต้องรีบกลับบ้านนะ" เคียวตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

    "กลับบ้านงั้นเหรอครับ ขอผมไปส่งคุณได้ไหมครับ" อาร์ม เพื่อนของผมซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าไปรุมตอมเธอรีบชวนเธออย่างรวดเร็ว

    "ไม่ได้หรอกค่า เพราะฉันต้องกลับกับริวนะ" เคียวตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    เพื่อนชายของผมในห้องหันมามองผมด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจทันทีราวๆ เกือบสิบคน ผมนั่งมองดูด้วยความรำคาญปนสงสัย

    จะมองมาทำไมละเนี่ย ผมคิด

    "อ๋อ เคียวอยู่บ้านข้างๆ เจ้าริวเหรอครับ" อาร์มถามเธออีกรอบ โดยนํ้าเสียงนั้นพยายามมองโลกในแง่ดี

    "เปล่าค่ะ นอนบ้านเดียวกันเลย" ยมทูตสาวตอบด้วยใบหน้าบ๊องแบ๊ว

    ควับ!

    ผู้ชายตอนนี้แทบทั้งห้องหันมองดูผมกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผมให้ได้

    "นะ นอนบ้านเดียวกันเลยเหรอ" อาร์มถามเธอด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย นํ้าเสียงของเขาถึงจะพยายามควบคุมอารมณ์อยู่ก็ตาม แต่นํ้าเสียงนั้นก็สั่นออกมาราวกับเจ้าตัวไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

    "ค่ะ นอนห้องเดียวกันด้วย"

    ควับๆๆๆ!

    ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนผู้ชายทั้งห้องซะแล้วที่หันมามองผม แต่พวกเพื่อนผู้หญิงนั้นกลับมองผมราวกับผมเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก ใบหน้าที่แสดงความตกใจและความไม่พอใจนักฉายออกมาให้ผมได้เห็นกันแทบทุกคนเลยทีเดียว

    "นอนด้วยกันเลยเหรอ" เสียงของพวกเพื่อนสาวในห้องพึมพำออกมาจนผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุที่ถาโถมใส่ผมทันที

    "นอนด้วยกัน..." เอริเอามือปิดปากทั้งสองข้างและมองผมด้วยความตื่นตกใจ

    "อ้ายยยริวววววว..." อาร์มหันหน้ามองผมผมราวกับว่าผมคือศัตรูคู่อาฆาตคนหนึ่งในชีวิตของเขา "เอ๊งตายยยยย"

    "ว๊ากกกกกกก!" ผมตะโกนลั่นออกมาราวกับคนบ้า แล้วก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเคียวอย่างรวดเร็ว

    "มานี่กับฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ" ผมรีบสั่งเธอก่อนที่จะคว้ามือของเธอแล้วลากให้เธอลุกขึ้น แล้วผมก็รีบพาเธอออกไปนอกห้องเรียนอย่างรวดเร็ว

    "จะหนีไปไหนฟะ ไอ้ทรยศ"

    "เจือกมีแฟนก่อนตูนะเอ็ง"

    "ตัดของมันไปให้เป็ดกินเล้ย!!"

    น่ากลัวโว้ยยยย ผมคิดไปด้วยความหวาดกลัว เพราะว่าไอ้ประโยคพูดคนสุดท้ายที่ผมได้ยินเนี่ย มันเป็นเสียงของผู้หญิงพูดด้วย แล้วผมไปทำอะไรผิดกันเล่า ถึงจะต้องมาตัดของผมไปให้เป็ดกินเนี่ย

    กองทัพของพลพรรคอิจฉานั้นได้วิ่งไล่ตามออกไปนอกห้องกันเกือบหมดแล้ว ซึ่งในห้องเหลือกันไม่กี่คนที่ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวของชาวบ้านเท่าไหร่นัก เอริยังคงเอามือปิดปากอยู่ แต่แล้วเธอก็เอามือลง คิ้วของเธอขมวดราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกห้องเรียนด้วย

    ผมรีบพาเธอหนีไปยังดาดฟ้าของตึกที่อยู่ทางฝั่งของอาคารเรียนวิชาศิลปะ เพราะมีแต่อาคารวิชาศิลปะเท่านั้นที่จะขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ แต่ก็มีคนรู้กันไม่กี่คนเท่านั้น เหตุเพราะในอดีตมันเคยเป็นโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนต้องล็อคประตูดาดฟ้าเอาไว้เพื่อกันนักเรียนไม่ให้ขึ้นมามั่วสุมสูบบุหรี่กัน แต่หลังจากที่เป็น สห. แล้วก็ไม่ค่อยมีคนรู้กันหรอก มันจึงเป็นสถานที่ที่ผมตัดสินใจพาเธอมาซ่อนตัวที่นี่นั่นเอง

    และเมื่อผมเปิดประตูออกไปบนดาดฟ้าแล้วรีบปิดประตูทันที ผมไม่รอช้าเลยที่จะระบายในสิ่งที่ผมต้องการอยากตักเตือนเธอ

    "นี่เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย หา!" ผมรีบโวยใส่เธอทันที

    "ทำอะไรเหรอค่ะ" เธอยังทำหน้าตาบ๊องแบ๊วเหมือนเด็กๆ อยู่

    "ถอดหน้ากากได้แล้วหน่า ก็ไปพูดเรื่องนอนห้องเดียวกับฉันยังไงเล่า" ผมรีบชี้แจงให้เธอฟัง

    "มันก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ" เธอเริ่มเปลี่ยนสีหน้าและนํ้าเสียงกลับมาเป็นสาวนักล่าเหมือนเดิมแล้ว

    "ใช่ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะพูด พวกเพื่อนฉันใครๆ ก็อยากนอนกับสาวๆ ทั้งนั้นแหละ เธอไปพูดแบบนั้นก็เท่ากับไปยั่วให้พวกนั้นจะมาฆ่าฉันแล้วเนี่ย" ผมเอามือจับหัวทั้งสองข้าง ฃ

    "อ๋อเหรอ อยากให้ฉันไปนอนกับพวกเพื่อนนายบ้างใช่ไหม" เธอหรี่ตามองผม แต่เหมือนนํ้าเสียงเธอจะออกไม่พอใจปนน้อยใจแทรกออกมาเหมือนกัน

    "ไม่ต้องเลย ห้ามเธอไปนอนกับใครทั้งนั้นโอเค๊" ผมรีบบอกกับเธอเสียงดังด้วยความไม่พอใจ "ห้ามแม้แต่จะคิดด้วย"

    เสียงของผมที่ตะโกนออกไปยังดังก้องในหัวของผม แม้แต่เคียวก็ยังไม่พูดโต้ตอบกับผม นัยน์ตาสีแดงของเธอเบิ่งโตขึ้นด้วยความอึ้ง จากนั้นผมรู้ตัวได้เลยว่าใบหน้าของผมร้อนฉ่า ก่อนที่จะรีบหันหน้ามองไปทางอื่นทันที

    แล้วทำไมเราต้องพูดออกไปอย่างนั้นด้วยนะ ผมคิดด้วยอารมณ์สับสนในตัวเอง แล้วทำไมใจตัวเองต้องเต้นตุ้บๆ ด้วยนะ แถมเหมือนกับว่าอยากจะเก็บเธอเอาไว้อีก โอ้ย ไม่เข้าใจร่างกายตัวเองจริงๆ โว้ย

    ช่วงเวลาที่ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมไม่ได้สังเกตเลยว่า ใบหน้าของเคียวนั้นแดงระเรื่อออกมา เธอยิ้มออกมาราวกับว่าเธอชื่นชอบที่ผมพูดอะไรแบบนั้น แต่แล้วเธอก็ส่ายหัวราวกับว่ากำลังปฏิเสธอะไรบางอย่างในความคิดของเธอ

    "เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้าคงไม่ไปนอนบ้านไหนทั้งนั้น" เธอบอกกับผม ซึ่งเรียกให้ผมหันหน้าไปมองเธอ "เพราะยังไงข้าก็ต้องจับตามองดูเจ้าอยู่ดี"

    จากนั้นเคียวอันเบ่อเริ่มเทิ่มก็ปรากฎออกมาในมือขวาของเธอ แล้วเธอก็ยกเคียวขึ้นเหนือหัว ก่อนที่จะชี้มาทางผม ซึ่งทำเอาผมผวาเล็กน้อย เพราะว่าระยะห่างของปลายเคียวกับใบหน้าของผมนั้นมันเกือบจะชนกันอยู่แล้ว

    "และเมื่อครบจันทร์เพ็ญเดือนหน้าเมื่อไหร่ เจ้าต้องอย่าลืมไปกับข้านะ วิญญาณของข้า" เคียวยิ้มร่าราวกับสัตว์ล่าเนื้อตัวหนึ่งเลยทีเดียว

    ผมพยายามระงับความตกใจกลัวของตัวเองขณะที่เธอยกเคียวไปวางตั้งไว้ข้างๆ ตัวของเธอ ก่อนที่เธอจะแบมือ แล้วเคียวนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปกลางอากาศ ใบหน้าของผมเริ่มจริงจังและเคร่งเครียดขึ้น

    ใช่แล้วไอ้ริว ความจริงเรื่องที่เธอเป็นยมทูตก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และชีวิตเราก็เหลือแค่เดือนเดียวเท่านั้น ผมคิดจนอารมณ์ของผมเริ่มหดหู่มากขึ้น

    "และเมื่อถึงตอนนั้น" เคียวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น "เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็จะอยู่กับเจ้าตลอดเวลา ทั้งวันและทั้งวันแน่นอน"

    เธอเดินเข้ามาใกล้ผมจนเกือบจะชนกัน และก็เงยหน้าพร้อมกับยิ้มให้ผม ถึงแม้ว่านัยน์ตาของเธอจะเป็นสีแดงเหมือนปีศาจ แต่ตอนนี้นัยน์ตาของเธอก็กลมโตราวกับเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าซังคนหนึ่งเลยทีเดียว แถมเธอก็ยังยิ้มให้ผมอีกด้วย ผมมองฃหน้าเธอด้วยอารมณ์ที่สับสนในใจเหมือนกันว่า ตกลงแล้ว ผมควรที่จะมองเธอ ในฐานะของผู้หญิงที่สวยน่ารักคนหนึ่ง หรือ จ้าวแห่งความตายที่กำลังจะมาเอาชีวิตของผมกันแน่

    กริ๊ก

    เสียงลูกบิดประตูดาดฟ้าดังขึ้น ทำให้ทั้งผมและเคียวหันหน้าไปมองพร้อมกัน บานประตูค่อยๆ แง้มเปิดออกมา และคนที่เดินออกมา นั่นก็คือ เอริ นั่นเอง

    "เอริ..." ผมเรียกเธอ "ตามหาฉันเจอได้ไงเนี่ย"

    เด็กสาวผมหางม้ามองดูเคียวก่อนที่จะเลื่อนตามามองดูผม ใบหน้าของเธอนั้นทำเอาผมคาดเดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่อารมณ์ไหนกันแน่

    "ฉันรู้นะว่าเธอชอบขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ นะ ฉันคือเพื่อนสมัยเด็กของเธอนะ" เอริยิ้มตอบผม ก่อนที่จะหันหน้าไปมองดูเคียว แล้วรอยยิ้มของเธอก็จางหายไปในทันที

    "ริว แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกับเธอกันแน่" เธอถามด้วยนํ้าเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจจนผมรู้สึกได้แค่ว่า

    เพิ่งจะเคยเห็นเอริน่ากลัวก็วันนี้แหละ ผมคิด

    เคียวนั้นก็มองดูเอริเช่นเดียวกัน แต่จากนั้นเอริก็ยิ้มหึๆ ก่อนที่จะสวมกอดที่แขนข้างขวาของผมทันที

    หมับ!

    "เจ้ย ทำอะไรของเธอเนี่ย" ผมรีบโวยทันที

    ผิวกายที่เนียนนุ่มของเธอนั้นแนบชิดกับแขนของผม ทำเอาผมรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเธอนั้นมันช่างนิ่มเนียนซะเหลือเกิน แถมเป็นครั้งแรกด้วยที่ผมได้ถูกผู้หญิงตัวเป็นๆ จับเนื้อต้องตัวแบบนี้ ไม่รวมแม่ผมนะครับ เพราะตั้งแต่ผมเรียน ม.ต้น ผมก็ไม่เคยเจอแม่อีกเลย

    "นะ นี่เธอทำอะไรของเธอย่ะ" เอริถามเธอด้วยนํ้าเสียงไม่พอใจมากขึ้น

    "หึๆ" เคียวยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่เธอจะยื่นหน้าเข้ามาที่คอของผม แล้วก็แลบลิ้นเลียที่ซอกคอของผมทันที เล่นทำเอาผมรู้สึกสยิวกิ้วอย่างบอกไม่ถูก จั๊กจี้ด้วย

    "กรี๊ดดดดด!!" เอริร้องออกมาดังลั่นเมื่อเห็นเธอทำอะไรแบบนั้น

    "เขาคนนี้ จะเป็นของฉัน" เคียวเอ่ยเสียงเยือกเย็น ราวกับว่าเธอกำลังท้าทายเอริอยู่

    หมุบ!

    แล้วจากนั้นเธอก็แนบตัวเองเข้ามาชิดติดกับตัวผมมากขึ้น รู้สึกได้เลยว่าเหมือนจะมีอะไรนิ่มๆ มาชนกับแขนของผม เล่นทำเอาผมหน้าร้อนฉ่าไม่รู้จะร้อนไปถึงไหน และไม่รู้ในหัวของผมคิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนแล้วด้วย

    "คะ คิดเหรอว่าฉันจะยอมเธอแค่นี้นะ หา" เอริเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงไม่พอใจอย่างมาก จากนั้นเธอก็รีบเดินมาอีกข้างของผม แล้วก็รีบดึงแขนของผมเข้ามากอดกับตัวของเธอทันที

    หมิบ!

    ไม่ต้องบรรยายก็คงจะนึกภาพกันออกนะครับว่า ตอนนี้แขนอีกข้างของผมนั้นไปแนบชิดกับใคร และผมอยากจะบอกว่า ผิวกายของเอรินั้นก็นุ่มนิ่มไม่แพ้ยมทูตสาวที่อยู่อีกข้างของผมเลย

    "เธอคิดเหรอว่าเธอจะสามารถครอบครองเขาได้นะ" เคียวท้าทายเธอ

    "ต้องได้สิ ฉันคือเพื่อนสมัยเด็กของเขานะ" เอริพูดราวกับว่าเธอกำลังประกาศสงครามอยู่

    "เขาคนนี้เป็นของฉันเท่านั้น" เคียวยังท้าเธออยู่

    "ต้องเป็นของฉันต่างหากเล่า" เอริโต้ตอบเธอ

    จะยังไงก็ช่าง ปล่อยฉันซักทีได้ไหม อึดอัดโว้ย ผมคิดโดยแอบไม่พอใจเล็กน้อย เพราะตอนนี้ทั้งสองคนแนบชิดผมจนผมขยับตัวไปไหนแทบไม่ได้เลยฃ

    "ไอ้ริว..."

    เสียงของเจ้าอาร์ม เพื่อนของผมดังขึ้นจากตรงประตูทางเข้าดาดฟ้า และก็มองเห็นว่ากลุ่มพวกเพื่อนชายของผมที่ไล่ตามมานั้นตอนนี้ต่างตนต่างเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าเรียบร้อยแล้ว

    "แกนะแก คนเดียวยังไม่พอใจ ยังคิดที่จะควบสองเลยงั้นเหรอ" อาร์มกำหมัดแน่นราวกับยังต้องการประกาศเป็นศัตรูของผมอยู่ "แกทำแบบนี้ไม่เคยเห็นใจพวกตูรึไงกันฟร้า"

    "ช่าย!" เสียงของกลุ่มพรรคพวกของอาร์มขานรับ ราวกับว่าตอนนี้พวกเขาน้อมรับอาร์มเป็นหัวหน้าซะแล้ว

    ด้วยการที่กลุ่มผู้ชายนั้นเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ทั้งเคียวและเอริรีบปล่อยตัวของผมอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมหลุดพ้นจากพันธนาการ (สองสาว) แล้ว ผมรีบวิ่งไปหาอาร์มและจับมือเขาทันที

    "ขอบใจมากเพื่อน ขอบใจมาก ตูไปละ" ผมเขย่ามือของเขาก่อนที่จะรีบแทรกตัวระหว่างเขากับเพื่อนอีกคน แล้วรีบลงบันไดหนีออกไปทันที

    "ไอ้ริว อย่าหนีจะเฟ้ย ครั้งแรกอาจดูขำๆ แต่ตอนนี้ตูขำไม่ออกโว้ย!" อาร์มตะเบ็งเสียงดังลั่น ก่อนที่จะวิ่งไล่ตามผมไป

    "เฮ้!!" เสียงโห่ร้องของพรรคพวกของเขาไล่ตามผมไปด้วย จนตอนนี้บนดาดฟ้า เหลือแค่เคียวกับเอริสองคนเท่านั้น

    "หึๆ" เคียวยิ้มอย่างชั่วร้าย ก่อนที่จะเดินลงบันไดตามกลุ่มผู้ชายไป ทิ้งเอาไว้ให้เอริยืนอยู่บนดาดฟ้าคนเดียว

    เด็กสาวมองดูหลังของเคียวจนกระทั่งเธอเดินจากไปแล้ว ใบหน้าของเด็กสาวก็เศร้าสร้อยมากขึ้น มือข้างหนึ่งของเธอกำหมัดไม่แน่นมาก แล้วไปสัมผัสกับอกบริเวณหัวใจของเธอ ราวกับว่าเธอต้องการที่จะฟังเสียงหัวใจของเธอ

    ริวคุง เธอคิดถึงผมในใจของเธอ

    แต่แล้ว ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอเคร่งเครียดมากขึ้นเมื่อเธอมองไปรอบๆ และจากนั้นเธอก็หรี่ตาลงเมื่อมองไปยังประตูทางขึ้นลงดาดฟ้า

    ผมรีบวิ่งหนีพวกเพื่อนผมไปตามทางเดินอาคารเรียนจนมาถึงตึกสอนของวิชาวิทยาศาสตร์ และผมก็มองเห็นห้องเรียนห้องหนึ่งที่มีผ้าม่านปิดอยู่ ผมไม่รอช้าเลยที่จะวิ่งเข้าไปในห้องนั้น และหลังจากที่ผมรีบปิดประตูอย่างเงียบเชียบแล้ว เป็นเวลาพอดีกับตอนที่พวกเพื่อนของผมวิ่งไล่ตามผมมาจนถึงหน้าห้องพอดี

    "มันไปอยู่ไหนแล้วฟะ"

    "จับมันมาตื๊บสักทีซิ"

    "มันอาจไปทางนั้น ไปเร็ว"

    เสียงพวกเพื่อนของผมดังขึ้นก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าจำนวนมากวิ่งผ่านหน้าห้องไปจนกระทั่งเงียบเสียงลง ผมหอบหายใจดังลั่นด้วยความเหน็ดเหนื่อย

    ไม่เคยนึกเลยวุ้ยว่าพลังอิจฉาพวกนี้จะขนาดนี้ ผมคิด แล้วจะมาอิจฉาฉันทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ชีวิตฉันเหลือแค่เดือนเดียวเนี่ยนะ

    ผมมองไปรอบห้อง แล้วก็พบว่าในห้องนี้ค่อนข้างมืดเลยทีเดียว ผมเอื้อมมือจะไปกดสวิตซ์ไฟเพื่อเปิดไฟในห้อง แต่คิดไปคิดมา อย่าเปิดดีกว่า เผื่อพวกเพื่อนผมจะวิ่งกลับมาอีกแล้วจะรู้ว่าผมอยู่ในนี้ ผมจึงเปลี่ยนใจไม่เปิดไฟแล้วก็สำรวจในห้องแทน

    ในนี้เป็นห้องปฏิบัติการวิชาวิทยาศาสตร์ จึงมีตู้ใส่อุปกรณ์วิทยาศาสตร์เต็มไปหมด ผมว่าบรรยากาศมืดๆ นี่ก็หลอนพอแล้วนะ ยิ่งเจอโหลใส่ศพดองและโครงกระดูกปลอมที่ห้อยอยู่นี่ยิ่งหลอนเข้าไปใหญ่ ผมมองไปตรงกลางของห้อง มีโต๊ะวางเครื่องฉายโปรเจคเตอร์อยู่ ผมจึงเข้าใจว่าทำไมผ้าม่านในห้องนี้ถึงทึบแสงได้ขนาดนี้

    ผมมองไปหน้าห้อง แต่ก็เจอกับเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะของอาจารย์ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อดูว่านั่นนะ ใครกันแน่

    "สวัสดี นักเรียน มาทำอะไรที่นี่เหรอ" เสียงร่างนั้นเอ่ยขึ้น และเมื่อผมมองดูใบหน้าดีๆ ใบหน้านั้นก็คือหน้าของอาจารย์วิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่อยู่สายวิทย์ แต่ผมไม่ได้เรียนกับท่าน ก็เลยไม่รู้ชื่อ

    "อ๋อ เปล่าครับ ผมว่าผมเข้าเรียนผิดห้องนะครับ" ผมตอบ "แล้วทำไมอาจารย์ไม่เปิดไฟหละครับ"

    "ถ้าเปิดไฟแล้วจะสิงร่างไอ้แก่คนนี้ได้งั้นเหรอ" เสียงของท่านเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงแหบแห้งแปลกๆ

    "อะไรนะครับ" ผมถามด้วยความสงสัย

    และเมื่อผมสบตากับอาจารย์คนนี้ ผมแทบร้องออกดังลั่นด้วยความตกใจ เพราะว่านัยน์ตาของอาจารย์นั้นแดงเหมือนเลือด และใบหน้านั้นซีดขาวราวกับคนตาย

    "อาจารย์..." ผมอ้าปากค้างด้วยความตื่นกลัว

    "อะไรกันเนี่ย พลังชีวิตเริ่มจะหมดแล้วงั้นเหรอ ใช้ไม่ได้เลยน้า ร่างของตาแก่คนเนี้ย" เสียงของอาจารย์ดังออกมาแหบแห้งเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เหมือนผมได้ยินเสียงคนคุยกันเป็นสิบๆ คนด้วย

    "อาจารย์เป็นอะไรไปครับ" ผมรีบถามอาจารย์ด้วยความห่วงและตกใจกลัว

    "ข้าว่าข้าทนไม่ไหวแล้วนะ" ร่างของอาจารย์คนนั้นลุกขึ้น ราวกับเป็นตุ๊กตาเชือก แขนห้อยไปอีกทาง ขาหันไปคนละข้างและก็มองดูผมด้วยรอยยิ้มแสยะราวกับว่าถูกฝืนให้ยิ้มเสียจนน่ากลัว

    "อาจารย์..." ผมเรียกท่านอีกครั้ง ผมรู้สึกได้เลยว่าขาของผมสั่นมากขึ้น

    "ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า" เสียงของอาจารย์เอ่ยออกมา "และตอนนี้ ในฐานะที่เจ้ารอดพ้นจากความตายมาได้ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ"

    อาจารย์คนนั้นรีบพุ่งตัวมาทางผมอย่างรวดเร็ว ผิดกับขนาดตัวและอายุของท่านที่น่าจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า ร่างนั้นวิ่งเข้ามาหาผม แล้วก็ใช้มือทั้งสองข้างบีบคอผม และยกตัวผมจนขาลอยเหนือพื้น นัยน์ตาของผมพร่ามัวไปหมด ผมหายใจแทบไม่ออก แรงของอาจารย์มีมหาศาลมากจนผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ราวกับว่าแรงของมือคู่นั้นจะสามารถบีบให้คอผมขาดได้ในทันที

    "ตาย ตาย ตาย" อาจารย์คนนั้นแสยะยิ้มด้วยความดีอกดีใจ

    ผมอ้าปากราวกับว่าจะพยายามสูดลมหายใจเข้าไปในปอดให้ได้ แต่แล้วก็ทำไม่ได้ ซํ้ายังเจ็บคอมากขึ้นไปอีก แขนขาของผมชาไปทั่ว เรี่ยวแรงเริ่มหายไปเรื่อยๆ สติของผมเริ่มขาดหาย

    เคียว... ผมคิดถึงเธอก่อนที่ผมจะมองไม่เห็นอะไรอีก

    ฉวั๊ะ!!

    เสียงหวดอากาศดังลั่นพร้อมกับเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ผมรู้สึกได้ว่ามือคู่นั้นปล่อยออกจากคอผมแล้ว ผมล้มลงกระแทกพื้น ผมสูดหายใจเข้าปอดอย่างรวดเร็วพร้อมกับสำลักไม่หยุด มือและเท้าของผมชามากขึ้น หัวใจผมเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    "เป็นอะไรไหม"

    เสียงของผู้หญิงที่ผมค่อนข้างหวาดกลัวดังขึ้น และเมื่อผมลืมตามอง ก็พบว่าเคียวอยู่ตรงหน้าผม เธอสวมใส่ชุดสีดำยมทูตของเธอ และปีกกับหางปีศาจของเธอก็งอกออกมาแล้ว มือข้างหนึ่งของเธอจับเคียวและพาดบ่าเอาไว้

    "เคียว.." ผมเรียกเธอ ก่อนที่จะสำลักอีกครั้ง ผมค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก คอของผมเต้นตุบๆ ด้วยความเจ็บปวด จนในที่สุดผมก็สามารถยืนตัวตรงได้

    "เจ้าโชคดีนะที่ข้ามาทันเวลา" เคียวเอามือของเธอลูบคอของผม "ไม่อย่างนั้นเจ้าได้ตายจริงๆ แน่"

    มือของเธอนั้นช่างอ่อนโยนและอบอุ่นยิ่งนัก ผมไม่รู้คิดไปเองไหม แต่ท่าทางของเธอนั้นจะเป็นห่วงผมมาก สัมผัสจากมือของเธอนั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น

    "ขอบใจเคียว" ผมขอบคุณเธอ

    "เฮะ เฮะ เฮะ..."

    เสียงของอาจารย์คนที่เข้ามาทำร้ายผมดังขึ้น และเมื่อผมกับเด็กสาวหันไปมอง ก็พบว่าอาจารย์เขาก้มหน้าลง มือข้างหนึ่งจับตรงหน้าอกเอาไว้

    เคียวจับเคียวให้กระซับขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ

    "อย่านะเคียว นั่นมันอาจารย์นะ" ผมรีบห้ามเธอ

    "โดนทำร้ายซะขนาดนั้นยังบอกห้ามอีกงั้นเหรอ" เธอถามผม

    "แต่..."

    "เจ้านั่นนะ ไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าหรอก" เคียวบอกผมก่อนที่ผมจะพูดจบ "พวกมันคือพวกวิญญาณพยาบาทนับสิบๆ ตนที่เข้ามาสิงร่างอาจารย์ของเจ้าต่างหากหละ"

    "อะไรนะ" ผมถามด้วยความตกใจ และเมื่อผมมองดูอาจารย์ของผม ซึ่งก็ยังหัวเราะออกมาราวกับปีศาจอยู่

    "ไม่ต้องห่วงริว ถ้าขับไล่วิญญาณพวกนั้นออกจากร่างได้ อาจารย์คนนั้นก็จะปลอดภัย" เคียวเล็งปลายเคียวไปข้างหน้า "ข้าจะปกป้องเจ้าเอง เพราะเจ้าเป็นของข้า"

    ถึงผมจะประทับใจในสิ่งที่เธอบอกกับผม แต่สถานการณ์นี้ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์ที่ยังอยู่ข้างหน้าผมทันที เพราะว่าร่างของท่านกำลังมองผมพร้อมกับแสยะยิ้มอีกครั้ง





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×