คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Mission 4 : ปฏิบัติการชิงข้อมูล
"เรียนแขกท่านผู้มีเกียรติ และท่านผู้ชมทางบ้านทั้งหลาย"
เสียง จากพิธีการสาวสวยดังขึ้นมาจากบนเวที โดยที่มีกล้องหลายตัวได้ถูกจับไปยังใบหน้าของเธอ บนพื้นที่หน้าเวทีนั้นมีแขกรับเชิญที่ว่า เป็นทั้งผู้กำกับจากสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับละครเวที , ผู้ กำกับเสียงพากษ์ แม้แต่ผู้กำกับภาพยนต์ก็มากับเขาด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ที่มาจากบริษัทเบรนเนมดังทั้งนั้น ราวกับว่า พวกเขาต้องการมาจับจองตัวผู้ชนะของงานประกวดไอดอลในครั้งนี้เลยทีเดียว
"คํ่า คืนนี้เราก็จะได้ทราบกันนะค่ะ ว่าสาวน้อยหน้าใสคนไหนจะได้เป็นสุดยอดไอดอลอำดับหนึ่งของสถานีเรา ก่อนที่พวกเราจะไปพบกับพวกเธอกันนั้น เรามาดูผู้สนับสนุนรายการของเรากันก่อนดีกว่าค่ะ"
เมื่อ พิธีกรสาวพูดจบ ได้มีเสียงโฆษณาจากสปอนเซอร์ต่างๆ ดังออกมาแทน พร้อมกับจอทีวีที่อยู่เหนือเวทีนั้นก็ฉายภาพโฆษณาให้เห็นด้วย เหล่าสาวๆ ที่เข้าประกวดนั้นต่างพยายามระงับอาการตื่นเต้นของตนเอาไว้ เพราะนี่คือรายการถ่ายทอดสด ดังนั้นจะให้พลาดไม่ได้ทั้งนั้น
สาย ตาของเหล่าสาวๆ เองก็จดๆ จ้องๆ มาที่ตัวผมทั้งนั้น ต่างคนต่างซุบซิบถึงทั้งหน้าตาตัวผม รวมไปถึงชุดที่ผมใส่ด้วย หลายคนพึมพำออกมาจนผมได้ยินเลยแหละว่า 'ฉันแพ้แน่เลย'
ใช่แล้ว เพราะตอนนี้ ผมอยู่ในฐานะของผู้เข้าประกวด สาวน้อยไอดอลคนหนึ่งนั่นเอง
(ครึ่งชั่วโมงก่อน)
"เอาหละลูก ฟังนะ" พ่อของผมอธิบายภารกิจให้ผมในห้องแต่งตัว "เมื่อ ใดที่ลูกสามารถผ่านการประกวดผ่านรอบคัดเลือกไปได้ เขาจะมีเวลาเบรกให้พักราวๆ สามสิบนาที ระหว่างนั้นลูกสามารถขอเข้าห้องนํ้าได้ และช่วงนั้น ลูกจะสามารถเดินออกไปยังส่วนของพื้นที่เจ้าหน้าที่ได้เลย และลูกมีเวลาแค่สิบห้านาทีเท่านั้นก่อนที่กรรมการเขาจะเรียกตัวผู้เข้า ประกวด ดังนั้นแล้ว ลูกจำเป็นต้องผ่านการประกวดในรอบคัดเลือกให้ได้..."
เมื่อพ่อพูดถึงตรงนี้ พ่อผมมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
"แต่เอ ยังไงลูกก็ผ่านรอบคัดเลือกอยู่แล้วนี่เนอะ"
"พ่ออ่ะ ผมผู้ชายนะครับ" ผมพูดแบบนี้ซํ้าแล้วซํ้าอีกไม่รู้มากี่รอบได้แล้ว แต่ผมก็เพิ่งสังเกตเห็นตัวเองในกระจกเหมือนกันว่า หลังจากที่โดน (บังคับ) แต่งตัวมาเป็นแบบนี้แล้ว มันไม่เหมือนตัวผมเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่า ผมกำลังมองดูสาวน้อยคนหนึ่งที่มีแววตาสับสนตัวเองมาก
"ช่างเม้ดอัพของหน่วยเราทำได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว เพราะเธอมีประสบการณ์แต่งหน้าให้ดาราจากฮอลลีวู้ดมาก่อนนี่เนอะ" พ่อของผมยกนิ้วโป้งให้กับเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งที่ตามมาสมทบทีหลังและมาเป็นคนแต่งหน้าเมดอัพให้ผม "ที่เหลือ ลูกไปโปรยความน่ารักให้กระชากใจกรรมการเลยนะลูก"
(ณ ตอนนี้)
ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีนะสิ ผมคิดในใจ พร้อมกับมองดูเสื้อผ้าที่ตนเองแต่ง ถ้าความไม่แตกละก็นะ
"เอาหละ ผู้เข้าประกวดคนที่หนึ่งมาแล้วค่ะ นางสาวปริยาภัทรค่า"
สาว น้อยไว้ผมยาวจนถึงเอว ผู้เข้าประกวดคนแรกในชุดนักเรียนญี่ปุ่นได้เดินออกไปข้างนอกเวที แสงแฟลตต่างๆ ฉายวาบขึ้นบนเวทีอย่างรวดเร็ว จนผมเริ่มนึกเสียวในใจแล้วว่า ถ้าผมโดนถ่ายรูปเมื่อไหร่ แสงแฟลตได้เผยความจริงแน่ว่าโครงหน้าผมมันผู้ชายชัดๆ
"สะ สวัสดีค่ะ ดะ ดิฉัน นางสาวปริยาภัทร หระ หรือ ชื่อเล่นว่า ว่าน้องพลอยค่ะ ฝะ ฝากตัวด้วยนะค่ะ"
เธอ พูดตะกุกตะกัก ราวกับว่าเธอพยายามระงับอาการตื่นเวทีให้เต็มที่ แต่ผมเห็นกรรมการหลายคนเริ่มส่ายหัวกันแล้ว คงหมดหวังแล้วแหละอีหนูเอ้ย
"ค่า และผู้เข้าประกวดคนที่สองนะค่ะ นางสาวคัททารียาค่า"
และเด็กสาวผมสั้นในชุดราตรีได้เดินขึ้นเวทีพร้อมกับยกชายกระโปรงขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าที่มาดมั่นและมั่นใจสุดๆ
"สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมและกรรมการทุกท่าน ดิฉัน นางสาวคัททารียา หรือแคท ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ"
เธอ ยิ้มแย้มและทำท่าทางน่ารักโชว์กลางเวที นั่นทำให้แสงแฟลตส่องประกายระยิบระยับมากขึ้น กรรมการหลายคนเริ่มเอาปากกาในมือเขียนยิกๆ ในกระดาษที่อยู่ตรงหน้าทันที
อ๋อ แสดงว่ารอบคัดเลือกก็คือการแนะนำตัวคร่าวๆ สินะ ผมหันหน้ามองไปข้างหลัง ที่ยังมีผู้เข้าประกวดสาวคนอื่นๆ ที่ยังมีอาการตื่นเต้นกันอยู่หลายคน แล้วอีหรอบนี้เราจะทำได้รึเปล่าละนั่น
การแนะนำตัวของผู้เข้าประกวดคนแล้วคนเล่าก็ได้ผ่านไปอย่างไม่รีบร้อน และในที่สุด ก็ถึงตาผม
"และผู้เข้าประกวดคนที่สิบสี่ของเรา นางสาวรวีพรค่า"
เสียงปรบมือดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่สิบสี่เมื่อพิธีกรเอ่ยเรียกของผมออกมา ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พยักหน้าให้กับตนเอง
"เอาหละ เพื่อภารกิจ" ผมพยายามระงับความกลัวที่จะมีคนรู้ว่าผมเป็นผู้ชายแล้วก็เดินขึ้นไปบนเวที
จาก มุมมองนี้ ผมมองเห็นทั้งนักข่าวหลายคนพร้อมกับแขกระดับไฮโซทั้งนั้น ตั้งแต่ดารา นักร้องชั้นนำของประเทศ ไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงหลายคน แสงแฟลตจากกล้องถ่ายรูปได้วาบขึ้นหลายครั้งและวาบขึ้นมากกว่าผู้ประกวดคนที่ ผ่านมา สายตานับสิบๆ คู่จับจ้องมาที่ผม และเมื่อรู้ว่ามันเป็นการถ่ายทอดสด ด้วยแล้ว มันทำให้ผมยิ่งเกิดความตื่นเต้นและเกรงมากขึ้น ที่อาจมีสายตาของคนทั้งประเทศเป็นล้านๆ คนจับจ้องมาที่ผม ถึงแม้ผมจะรู้ว่าหลังจากที่ผมถูกแปลงโฉมแล้วทำให้ผมดูแตกต่างจากคนเดิมจนแทบ จำตัวเองไม่ได้ แต่มันก็ยังทำให้ผมกังวลอยู่ดี
ชุด แต่งตัวที่ผมใส่นั้น จะเป็นชุดที่ดัดแปลงมาจากนักร้องญี่ปุ่น สวมใส่เสื้อมินิสเกิร์ตสีชมพู พร้อมกับกระโปรงสีดำที่สั้นจนถึงราวๆ หัวเข่า ถุงน่องสีดำและรองเท้าส้นสูงสีดำ พร้อมถุงมือสีขาวที่สวมเอาไว้ในมือ ส่วนบนใบหน้านั้นมีวิกผมยาวสีนํ้าตาลปิดเอาไว้อยู่ พร้อมกับการแต่งหน้าจนผมจำเค้าโครงตัวเองแทบไม่ได้ ส่วนบนหัวผมนั้นมีที่คาดผมหูแมวประดับเอาไว้ ส่วนที่คาดเอวนั้นก็มีหางแมวออกมาด้วย ผิวกายที่ขาวเนียนยิ่งทำให้สายตาของคนที่อยู่ในงานจับจ้องมองดูผมมากขึ้น และด้วยการกดดันแบบนี้เอง ถึงแอร์จากในห้องส่งจะหนาวแค่ไหนแต่มันไม่ได้ช่วยทำให้ผมเย็นขึ้นแม้แต่น้อย
หลายคนมองผมจนอ้าปากค้าง กรรมการบางคนถึงกับเผลอทิ้งปากกาที่คาในมือแล้วไม่สนใจที่จะหยิบมันขึ้นมาเลย
ทำไงดี ผมพยายามปัดความตื่นเต้นและความตื่นกลัวนี้ออกไปให้ได้
เมื่อ ผมมองไปยังตรงที่นั่งของผู้เข้าร่วมงาน มีตรงส่วนที่เขาให้ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้าประกวดนั่งชม นั้น ผมมองเห็นพ่อของผมพร้อมกับเจ้าหน้าที่ CIA อีกคนที่กำลังยกนิ้วให้กำลังใจผม ส่วนเจ้าหน้าที่ CIA คนนั้นยกกล้องส่องทางไกลมองดูอยู่คนเดียว สงสัยจะมองหาคนร้ายหรืออะไรละมั้ง
ผมเงยหน้ามองดูเหล่ากรรมการและแขกที่มางานอีกครั้ง พิธีกรสาวสวยพยักหน้าให้กำลังใจผม
เอาหละว่ะ ขอหน้าด้านสักครั้งในชีวิต
"สวัสดีค่า ฉันมีชื่อว่านางสาวกนกพร หรือมีชื่อเล่นว่ากอร์ฟนะค่า ถึงจะตื่นเต้นอยู่ แต่ก็จะขอสู้ๆ ค่า"
ผม ดัดจริตตัวเองและทำให้ตัวเองดูน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการหมุนตัวไปหนึ่งรอบบนเวที พร้อมกับปิดท้ายด้วยชูสองนิ้วข้างหัวพร้อมกับเอียงหัว และหลับตาข้างหนึ่งและยิ้มหวานออกมา
เกิด เสียงเงียบขึ้น ราวกับว่านอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศในห้องส่งแล้วไม่มีเสียงอะไรดังออกมา อีก เล่นทำเอาผมเกือบทำท่านั้นค้างเอาไว้ด้วยซํ้า
ทะ ทำไมกันงะ หรือว่าความแตกแล้ว ผมเริ่มคิดอย่างตื่นตระหนก แต่ก็ยังปั้นสีหน้ายิ้มเอาไว้
"สุโก่ย" เสียงของนักร้องลูกครึ่งญี่ปุ่นคนหนึ่งพึมพำออกมา
แปะ แปะ แปะ
เสียง ปรบมือและเสียงร้องเชียร์ดังลั่นออกมาทั้งห้องส่ง แสงแฟลตจากกล้องถ่ายรูประดมถ่ายผมไม่ยั้ง แถมกรรมการที่นั่งบนโต๊ะนั้นต่างหยิบปากกาและรีบจดยิกๆ บนกระดาษอย่างรวดเร็ว บางคนเขียนจนหมดทั้งหน้ากระดาษแล้วรีบเปลี่ยนหน้ากระดาษอีกแผ่นทันที
"สุดยอดค่ะน้องกอร์ฟ เสียงเชียร์ดังลั่นเสียจนเวทีเกือบถล่มเลยหละค่ะ น่ารักมากๆ ค่ะ กรี๊ด กรี๊ด" พิธีกร สาวเองดูเหมือนแทบจะควบคุมความคลั่งไคล้ตัวเองไม่อยู่ เธอกระดี้กระด้าใหญ่บนเวทีราวกับเธอลืมไปแล้วว่าตนเองต้องเป็นพิธีที่วางตัว เป็นกลาง
เฮ้ย ซะงั้นอ่ะ ผมอ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง แถมเมื่อผมหันหน้าไปมองดูพ่อของผมนั้น ทำให้พ่อของผมแสดงสีหน้าออกมาอย่างเคลิบเคลิ้มทันที แถมชูนิ้วโป้งขึ้นสองมือ ยังกับจะบอกประมาณว่า สุดยอดมากลูก อะไรทำนองนี้
"เอาหละค่ะ ผู้เข้าประกวดคนต่อไปค่ะ นางสาวปาณวีค่ะ" เสียง ของพิธีกรสาวเอ่ยขึ้นเนือยๆ เล็กน้อยเมื่อเธอพยักหน้าพร้อมชูมือให้ผมเดินลงจากเวทีไป แถมเหมือนทำหน้าตาน่าเสียดายที่ผมต้องลงจากเวทีไปซะอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อ ผมเดินลงมาจากเวทีแล้ว เสียงปรบมือและเสียงเชียร์เรียกชื่อผมยังดังออกมาไม่เลิก และเมื่อผมเดินลงมายังที่ส่วนที่พักของผู้เข้าประกวดนั้น คนที่เข้าประกวดก่อนหน้านี้มองผมด้วยสายตาที่อิจฉา
"น่ารักมากๆ เลยค่ะ" ผู้เข้าประกวดคนที่แปดเอ่ยชมกับผม
"แบบนี้ชนะแน่ๆ" ผู้เข้าประกวดคนที่สามมองผมด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม "ชนะแน่ ชนะแน่ๆ อ้ายยยย"
เหอๆ แต่โทษทีนะ ฉันไม่สนใจการประกวดอะไรนี่ตั้งแต่แรกแล้วหละ ผมคิดในใจโดยพยายามเสแสร้งสีหน้าให้ยิ้มเต็มที่
“อ๋อ งั้นเหรอค่ะ แต่ฉันว่าไม่เท่าไหร่เลยนะ”
มี เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมอง ก็พบว่าเธอเป็นผู้ประกวดหมายเลขสิบสาม ก่อนผมคนหนึ่ง ผมของเธอยาวลงมาจนถึงต้นคอ นัยน์ตาเธอหรี่ลงมองผมอย่างไม่เป็นมิตร
“ไอ้ท่าทางแบบนั้นนะไม่เท่าไหร่หรอก อย่าคิดนะว่าทำแบบนั้นแล้วจะชนะการประกวดได้” เธอกล่าววาจาดูถูกผม
เหล่าสาวๆ คนอื่นๆ ที่อยู่แถวๆ นี้นั้นต่างหลบสายตาระหว่างผมกับเธอกันเป็นแถบ มีหลายคนซุบซิบออกมาว่า 'นั่นลูกนายทุนเชียวนะ'
ลูกคุณหนุว่างั้นเหอะ ผมคิด
“แล้ว ก็นะ” เธอเดินเข้ามาใกล้หน้าผมเรื่อยๆ จนราวกับจะกินผม “ถ้าเป็นไปได้ ถอนตัวไปซะ การประกวดครั้งนี้ ฉันต้องชนะเท่านั้น อย่าคิดนะว่าทาสอย่างหล่อนนะ จะเอาชนะชั้นได้”
เมื่อ เธอพูดจบ เธอสะบัดหน้าหนีแล้วก็ไปนั่งลงบนเก้าอี้ประกวด ที่ผมเพิ่งจะสังเกตว่าเธอนั่งลงบนโซฟาอย่างดี ซึ่งมีอยู่ตัวเดียวเท่านั้น ผิดกับเก้าอี้ของผู้ประกวดคนอื่นๆ ที่เป็นเก้าอี้ธรรมดา
“มะ ไม่เป็นไรนะค่ะ” เจ้าหน้าที่จัดการประกวดคนหนี่งที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเดินมาปลอบผม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ผมปั้นหน้ายิ้มตอบ ก็แหงหละ เราเป็นผู้ชายนี่หว่า จะไปแค้นเคืองอะไรกัน
“ยังไงรอบต่อไปถ้าผ่านละก็ สู้ๆ นะจ๊ะน้อง” เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นบอกกับผมตาเป็นประกาย “พี่เชียร์เราเต็มที่เลย รู้เปล่า”
แล้วไม่ไปเชียร์คนอื่นเขาละเจ๊ ผมคิด
"งะ งั้น หนูขอตัวเข้าห้องนํ้าก่อนนะค่ะ" ผม บอกกับเธอ และเมื่อผมมองไปยังประตูทางออก สาวๆ ที่เข้าประกวดพร้อมใจกับแหวกทางให้ผมราวกับผมเป็นนายหญิงของพวกเขาเพื่อให้ ผมเดินออกไปที่ประตูได้อย่างง่ายดาย เล่นทำเอาลูกสาวนายทุนคนนั้นมองผมด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์
และ เมื่อผมเดินออกมาจากประตูในห้องส่งแล้ว ผมก็มองเห็นทางเดินอีกส่วนหนึ่งในสถานีที่ผมเคยเห็นในเครื่องฉายสามมิติที่ พ่อเปิดให้ดูเป๊ะ และพบว่าแถวนี้จะมีห้องนํ้าและระเบียงที่เปิดออกไปนอกตัวตึก ราวกับว่าให้ผู้เข้าประกวดสามารถมาพักผ่อนบริเวณนี้ได้ ผมชะเง้อมองออกไปดูว่ามีใครไหม แต่ก็ไม่พบเห็นว่ามีใคร จึงหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาแล้วเปิดสวิตซ์ทันที
"พ่อครับ ตรงนี้ทางโล่งแล้ว ช่วยบอกทางผมทีครับ" ผมรีบบอกกับพ่อผมทางนาฬิกาข้อมือทันที
"ได้ลูก" มีเสียงพ่อผมดังขึ้นมา แต่ไม่ได้มาจากนาฬิกาข้อมือ มันดังมาจากในหัวของผม ผมเอามือจับที่วิกผมอย่างสงสัย
"ไม่ต้องตกใจนะลูก เสียงพ่อจะดังมาจากวิกผมเนี่ยแหละ" เสียงพ่อของผมดังออกมาอีกครั้ง "ลูกเก็บนาฬิกาไปก่อนก็ได้ แล้วคุยกับพ่อทางนี้จะสะดวกกว่านะ"
"ทำไมหละครับ ผมก็ผ่านรอบคัดเลือกมาได้แล้วนี่ครับ" ผมถามพ่ออย่างสงสัย
"เอ๋า เผื่อลูกจะได้เข้าสู่รอบต่อไปไง จู่ๆ คนประกวดสวมนาฬิกามันก็แปลกนะสิ" พ่อของผมบอก
"ไม่เอาเด็ดขาด" ผมรีบสวมนาฬิกาข้อมืออย่างรวดเร็ว "เอาหละ บอกทางผมเลยครับพ่อ เดี๋ยวจะไม่ทัน"
"ได้เลย ลูกมองไปทางซ้ายนะ ลูกจะเห็นลิฟต์ตัวหนึ่งใช่ไหม" ผมรีบมองไปตามที่พ่อผมบอกทันที และก็เห็นจริงๆ "เข้าไปที่ลิฟต์นั่น แล้วขึ้นไปชั้นที่สี่สิบเจ็ดเลย"
ผม รีบเดินอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังลิฟต์ตัวนั้น ผมเริ่มรู้สึกรำคาญไอ้รองเท้าส้นสูงที่ผมใส่นี้จริงๆ เพราะมันทำให้ผมเดินลำบากมาก และถ้าผมออกเดินไวๆ เท้าผมก็จะเจ็บมากขึ้น ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบใส่กันนะ เดินโคตรลำบากเลย
เมื่อเข้าไปในลิฟต์แล้ว ผมล้วงหยิบของในกระเป๋ากระโปรงทันที ซึ่งที่ผมต้องการก็คือ Flash Drive ขนาดเล็กที่จะต้องเก็บข้อมูลมา
"เอา หละ หลังจากออกจากลิฟต์แล้ว ที่มีห้องนํ้าใกล้ๆ กัน ให้เข้าไปในนั้นแล้วขึ้นไปบนช่องแอร์ จากนั้นให้คลานไปตามนั้นไปยังห้องทำงานของกรรมการผู้บริหารเลยนะ"
"รับทราบ" ผมพยักหน้าก่อนที่จะเดินออกจากประตูลิฟต์ทันทีเมื่อมันเปิดออก
ผม เจอห้องนํ้าอยู่ข้างๆ ลิฟต์อย่างที่พ่อบอกจริงๆ ผมรีบเข้าไปในนั้นแล้วก็มองเห็นช่องแอร์อยู่ ผมรีบปีนขึ้นไปทันที ทีแรกมันเข้าไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่ามันติดไอ้กระโปรงที่ผมใส่เนี่ยแหละ มันทำให้ปืนขึ้นมายากลำบากพอสมควร และเมื่อผมขึ้นได้แล้ว ผมรีบคลานไปตามช่องแอร์ทันที แม้ว่ามันจะมีกลิ่นอับและเย็นแค่ไหน แต่ผมก็ไม่หวั่น ในขณะเดียวกัน ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า เพราะ ณ ขณะนี้ผมได้ทำหน้าที่อย่างที่สายลับควรทำแล้ว
ผม คลานไปเรื่อยๆ ตามคำแนะนำที่พ่อผมบอกทางเอาไว้ และในที่สุด ผมก็มาอยู่เหนือห้องทำงานห้องหนึ่ง ผมเอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากออกด้วยความตื่นเต้น
"เอาหละ ลุยละนะ" ผมเอื้อมมือไปหยิบฝาที่อยู่ข้างหน้าเพื่อที่จะเอาออกและลงไปห้องข้างล่าง
"เดี๋ยวก่อนลูก" พ่อของผมเตือน ทำให้ผมเกือบทิ้งฝาทันทีเพราะผมยกมันขึ้นมาแล้ว "มีคนอยู่ในห้องนั้น"
และเมื่อผมค่อยๆ วางฝาลงที่เดิม ผมก็เพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินในห้อง ผมจึงทำตัวนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในห้องนั้น มีผู้ชายใส่ชุดสูทของกรรมการผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์เดินอยู่ในห้อง แล้วก็กำลังยกหูโทรศัพท์คุยอยู่
"เออ ฉันเอง" เสียงของเขาดังออกมา "มีอะไร"
"เงียบเสียงนิดนะลูก พ่อจะใช้ฟังก์ชั่นบันทึกเสียง" พ่อของผมบอก ผมพยักหน้าเล็กน้อย
"แผนของเราเป็นไปได้สวย" เขาเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงที่เจ้าเล่ห์เล็กน้อย "อีกไม่ช้า พวกคนดูที่โง่เง่าทั้งหลายกำลังจะกลายมาเป็นพวกเดียวกับเราโดยไม่ต้องสงสัย"
ผมเริ่มสงสัยในแผนการของเขาว่ามันคืออะไร
"เอาหละ ที่เหลือก็แค่รอให้งานประกวดนี้ถึงรอบชิงชนะเลิศก็เท่านั้นเอง" ชายคนนั้นเดินที่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค แล้วเปิดทำอะไรสักอย่าง แต่ผมมองไม่เห็น "ดังนั้นอดใจรอได้เลยครับท่าน"
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแล้วมองไปที่ประตู
"แค่นี้ก่อนนะ มีคนมา" ชายคนนั้นรีบปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ใส่กระเป๋าทันที
"เข้ามา"
มีเสียงประตูเปิดออก พร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูงเดินเข้ามา
"ใกล้ได้เวลารอบสองแล้วค่ะท่าน" มีเสียงผู้หญิงดังออกมาจากอีกฟากหนึ่งในห้อง
"ตกลง ผมจะลงไป" ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปยังอีกฟากหนึ่งของห้อง ก่อนที่จะมีเสียงปิดประตูดังตามมา
"เอาหละลูก ทางสะดวกแล้ว รีบลงไปเลย" พ่อของผมบอก
ผมไม่รอช้าเลยที่จะทำแผนการนี้ ผมรีบยกฝาช่องแอร์ออกอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่จะกระโดดลงไปข้างล่าง
พื้น พรมที่ปูทั่วห้องช่วยลดเสียงกระแทกจากรองเท้าส้นสูงที่ผมใส่อยู่ ผมคิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อรองเท้ามันเอียงกับพื้น จนเท้าแทบพลิก ผมอยากถอดมันทิ้งจริงๆ แต่ถ้าถอดผมก็ต้องถือมันอีก ยุ่งยาก
ผม มองไปรอบห้อง ห้องทำงานนี้น่าจะเป็นทำงานของคนที่มีตำแหน่งสำคัญพอสมควร มีรูปภาพกิจกรรมของทางสถานีเต็มไปหมด และผมก็เพิ่งเห็นรูปของชายคนนี้ชัดๆ เขายืนอยู่กับผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ มีหนวดเคราตำแหน่งเดียวกัน ไว้ผมสั้น นัยน์ตาคนหนึ่งดูคล้ายเหยี่ยว ส่วนอีกคนนั้นหน้าตาดูภูมิฐานและเหมือนมีการศึกษามาก ทำให้ผมคิดได้ว่าคนร้ายในคดีนี้เป็นคนในครอบครัวของชายคนนี้ไม่ผิดแน่
"เอาหละ คอมพิวเตอร์" ผม พึมพำพร้อมกับมองไปตรงโต๊ะทำงานที่ฉากหลังเป็นกระจก วิวเมืองหลวงอยู่ข้างหลัง ผมรีบวิ่งไปที่โต๊ะตัวนั้น มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเปิดทิ้งเอาไว้พอดี ผมรีบเสียบ FlashDrive กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วรีบรัวปุ่มเพื่อค้นหาตำแหน่งไฟล์ดังกล่าวเลย
"เมื่อกี้เขาเพิ่งเปิดคอมขณะที่คุย ถ้างั้นก็ง่ายละ เปิดดูใน History ซะเลย"
โชคดีที่ชายคนนี้ยังใช้ Window XP ซึ่งผมไม่เคยใช้ระบบ Window 7 มา ก่อน ทำให้ผมสามารถใช้ฟังก์ชั่นได้อย่างง่ายดาย และเมื่อผมเปิด ก็พบไฟล์วีดีโออยู่ จึงลองเปิดดู และก็พบว่า มันเป็นรูปกราฟฟิกคอมพิวเตอร์ ที่แสดงให้เห็นแผนการทั้งหมด
"นี่มันอะไรกันเนี่ย" ผมพึมพำ
ภาพ ที่ผมเห็นนั้น เป็นภาพแสดงรูปฟิล์มถ่ายภาพยนต์ โดยในสิบภาพนั้นเหมือนจะเป็นรูปที่มาของการจัดงานประกวดไอดอลสถานีโทรทัศน์ แต่จะมีอยู่ภาพหนึ่ง ที่มีรูปที่แตกต่าง รูปแรกจะเป็นรูปโลโก้อะไรสักอย่าง รูปที่สองจะเป็นรูปอาวุธ รูปที่สามจะเป็นภาพการฆ่าตายอย่างสยดสยอง และภาพพวกนี้จะแทรกในฟิล์มทุกๆ สิบภาพ และเมื่อผมเปิดให้วีดีโอเล่นต่อไปเรื่อยๆ พบว่ามีข้อความแปลกๆ ออกมา
"จง...เข้า...ร่วม...เพื่อ...สิ่ง...ที่ดีกว่า ?" ผมอ่านประโยคเหล่านั้น แล้วก็พบว่ามีแสงสีขาวอะไรบางอย่างฉายมาที่หน้าจอ
"ลูก รีบปิดวีดีโอเดี๋ยวนี้" เสียงพ่อของผมเตือนออกมาดังลั่น
ผม รีบปิดวีดีโอทันที และผมพบว่าหัวสมองผมเบลอเล็กน้อย ราวกับว่าทั้งภาพและข้อความที่ผมอ่านเมื่อกี้นี้มันซึมซับเข้าไปในหัวของผม อย่างรวดเร็วจนจำได้อย่างแม่นยำ
"มันเป็นการสะกดจิตอย่างหนึ่งด้วยแผนนํ้าเซาะทราย" พ่อของผมรีบอธิบาย "ถ้า วีดีโอนี้ออกอากาศเมื่อไหร่หละก็ คนดูจะไม่ทันสังเกตภาพพวกนี้ แล้วจะถูกซึมซับเข้าสมองอย่างรวดเร็ว ส่วนภาพเมื่อกี้เหมือนเป็นการสะกดจิตอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ชัดเลย แผนการครั้งนี้มันคิดที่จะปลุกระดมคนดูทั้งประเทศเพื่อให้เข้าองค์กรของมัน"
"แต่มันจะได้ผลเหรอครับพ่อ" ผมถามด้วยความสงสัย เพราะไอ้ข้อความเมื่อกี้นี้ดูยังไงมันก็คล้ายๆ FW Mail ที่ไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก
"เมื่อกี้ ลูกยังดูไม่หมดนะสิ แต่พ่อเห็นหมด มันจะฉายภาพกล่าวโทษรัฐบาลหรือพวกม็อบต่างๆ ทำให้คนที่เห็นเกิดมีอคติในทางที่ผิด แล้วสุดท้ายก็จะโดนแสงเมื่อกี้สะกดจิตโดยสมบูรณ์ เอาง่ายๆ ถ้าแผนนี้ดึงคนเข้าเป็นพวกของมันไม่สำเร็จ อย่างน้อยขอให้ทั้งประเทศเกิดจราจลและความวุ่นวายก็ยังดี" พ่อของผมบอก "อย่างไรก็ตาม ลูกรีบกอปปี้วีดีโอนั้นใส่ FashDrive ด่วนเลยนะ ทีนี้แหละพ่อจะได้ขอหมายศาลจับได้ทันที"
"ได้ครับ" ผมพยักหน้าก่อนที่จะกอปปี้ไฟล์นั้นลง FlashDrive เมื่อกอปปี้เสร็จ ผมดึงเสาอากาศเล็กๆ จาก FlashDrive ออกมา มีแสงออกมา FlashDrive นี้สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบ Wi-Fi ได้ด้วย ดังนั้นหมายความว่า ขณะนี้ทีม CIA ของพ่อผมก็กำลังดาวโหลดข้อมูลนี้อยู่
"ได้ละ รีบออกมาด่วนเลยลูก" พ่อของผมบอก ผมรีบดึง FlashDrive ออกจากคอมโน๊ตบุค ก่อนที่จะปิดโปรแกรมทิ้งไว้เหมือนเดิมและยัด FlashDrive ลงใส่กระเป๋า ก่อนที่จะเดินออกไปทางประตู กลับมีเสียงเหมือนลูกบิดประตูกำลังเปิดออก
"แย่หละ" ผมพึมพำ ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปซ่อนที่ตู้เสื้อผ้าข้างๆ ที่ข้างในมีแต่ชุดสูทเต็มไปหมด
และ เมื่อผมปิดประตูตู้ ประตูห้องก็เปิดออกทันที และก็มีชายคนหนึ่งในชุดเจ้าหน้าที่สถานีเดินเข้ามาในห้อง แล้วมาที่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเครื่องดังกล่าว พร้อมกับหยิบแผ่น CD ออกมาจากเครื่องโน๊ตบุคเครื่องนั้น
"ใจเย็นๆ ลูก" ผมพยักหน้าเมื่อพ่อผมพูด เพราะผมก็ไม่อยากทำพลาดเหมือนครั้งที่แล้วหรอก
"อะไรเนี่ย" ชายในชุดเจ้าหน้าที่สถานีคนนั้นเอ่ยออกมา และเมื่อเขาเดินไปข้างๆ เขาก้มลงและหยิบอะไรขึ้นมาด้วย
มัน คือ สติ๊กเกอร์เลขหมายของผู้เข้าประกวดเบอร์สิบสี่ เป็นสติ๊กเกอร์ที่น่าจะติดอยู่บนอกเสื้อผม ผมรีบจับตรงบริเวณดังกล่าว และก็พบว่าสติ๊กเกอร์ดังกล่าวหายไปแล้วจริงๆ
"เวรแล้วไง" ผมสบถเบาๆ
ชายในชุดเจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบปืนพกออกมาทันที และก็เริ่มเล็งปืนไปรอบๆ ห้อง
"นั่นใครนะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ" ชายคนนั้นตะโกนออกมาด้วยความไม่ไว้ใจ
ผม แทบจะหยุดแม้กระทั่งการหายใจเมื่อชายคนนั้นตรวจตราดูทุกจุดในห้อง ทั้งใต้โต๊ะและตามตู้ต่างๆ ผมได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาเข้ามาใกล้ตู้เสื้อผ้าที่ผม แอบอยู่มากขึ้น
"แกอยู่ไหนกัน" ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ตู้เสื้อผ้ามากขึ้น "ออกมาเดี๋ยวนี้นะ"
และเมื่อประตูตู้เปิดออก ชายคนนั้นรีบจ่อปืนเข้ามาข้างในทันที
"อยู่นี่เหรอ!!"
แต่ ในตู้นั้นก็มีแต่ชุดสูทเท่านั้น ชายคนนั้นรีบเอามือแหวกชุดสูทเพื่อดูว่ามีใครซ่อนบ้าง แต่ก็ไม่พบใคร ชายคนนั้นจึงปิดประตูตู้ แล้วก็เก็บปืนพกใส่กระเป๋าที่เดิม
"แล้วมันมาได้ยังไง" ชายคนนั้นก้มมองดูสติ๊กเกอร์ด้วยความสงสัย ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
ผม ค่อยๆ คลานออกมาจากที่ซ่อน ปรากฎว่าผมเห็นว่าตู้ตัวนี้ข้างๆ มีที่เปิดปิดได้ ผมจึงรีบคลานออกมาจากตู้และซ่อนอยู่หลังตู้ ซึ่งทันเวลาพอดับตอนที่เขามาเปิดประตูตู้ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"ซิ่งดีกว่า" ผม พึมพำก่อนที่จะรีบวิ่งไปที่ประตูห้อง เพราะในห้องนี้ไม่มีบันไดหรือที่ปีนเพื่อขึ้นไปบนช่องแอร์ได้เลย แต่เมื่อผมเปิดประตูห้องออกไปแล้ว ผมกลับพบเจอกับเจ้าหน้าที่ของสถานีหน้าตาเถื่อนยังกับหลุดออกมาจากคุกอย่าง ไรอย่างนั้นหกคนกำลังยืนมองผมอย่างสงสัย
"เอ่อ..." ผมเริ่มยกมือไหว้ "คือ หนูหลงทางนะค่ะ แหะๆ"
มี ชายในชุดเจ้าหน้าที่ คนที่มาตรวจในห้องเมื่อกี้เดินออกมาจากกลุ่มคนพวกนั้น มือของเขาถือสติ๊กเกอร์เอาไว้ในมือ พร้อมกับมองตาขวางใส่ผม
"จับเธอไว้"
กลุ่มชายในชุดเจ้าหน้าที่สถานีนั้น เดินเข้ามาโอบล้อมผมเพื่อขวางไม่ให้ผมหนีไปไหนได้
ตอนนี้ผมโดนพวกเขาปิดทางเข้าออกเอาไว้หมดแล้ว
ความคิดเห็น