คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1
แสงอาทิตย์ส่องแสงยามเช้า เสียงนกร้องต้อนรับอรุณวันใหม่ บรรยากาศยามเช้าที่ทำให้ผืนป่าแห่งนี้เปร่งประกายและเต็มไปด้วยสีสันของสิ่งมีชีวิต แต่ทว่าบนโขดหินนั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติ
ชุลกระพริบตาขึ้นเมื่อมีแสงอาทิตน์แยงตาเขา และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมอง เขาพบว่าตำแหน่งที่พระอาทิตย์ส่องแสงมาโดนเขานั้นเป็นทิศตะวันออก ซึ่งเป็นเส้นทางที่แม่นํ้าไหลไปตามทาง
อูย...เจ็บๆๆ เขาครางพลางเอามือของเขาลูบบนหัว เขาแอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมบนหัวของเขาถึงมีเส้นผมน้อยกว่าปกติ แถมเหมือนหูของเขาติดอยู่บนหัวของเขาด้วย
นี่มันที่ไหน เขาพยายามลืมตาขึ้นมองสำรวจไปรอบๆ เขามองเห็นแม่นํ้าที่ไหลผ่านตัวของเขา และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขามองเห็นขอบผาที่มีความสูงราวตึกสามสี่ชั้นข้างบน
ใช่แล้ว เราร่วงตกลงมานี่นา เขาคิด พลางเอามือตัวเองลูบหัวอีกรอบ
ภาพในหัวของเขาฉายภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาร่วงลงมาแล้วหัวกระแทกกับโขดหิน
เรายังไม่ตายแฮะ เขาคิดอย่างดีอกดีใจ ฮ่าๆ เยี่ยมเลย เรายังไม่ตาย
เขาอ้าปากขึ้นราวกับว่าทำท่าจะหัวเราะ แต่ด้วยความแปลกใจว่ามันไม่มีเสียงหัวเราะออกมา ตรงกันข้าม เขารู้สึกเหมือนลิ้นของเขาจะใหญ่และยาวผิดปกติ แถมเมื่อมีลมพัดเข้าปาก ทำให้เขารู้สึกได้อีกว่าในปากของเขามันก็ใหญ่กว่าเดิมด้วย
แปลกนะ เขาคิด พลางลองเอามือจับที่ปากตัวเอง
แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นก็คือ ตำแหน่งที่ควรจะเป็นปากเขา กลับเป็นแก้ม และตรงบริเวณแก้มก็มีปากอยู่ด้วย เขาเอามือจับเลื่อนมาเรื่อยๆ จนพบว่าปากของเขานั้นยื่นออกมายาวกว่าปกติ จนเรียกได้ว่า มันเหมือนไม่ใช่ปากของเขาแล้ว
อะไรเนี่ย เขาเริ่มสงสัยมากขึ้น เพราะจมูกที่เขาจับได้นั้่นเป็นจมูกขนาดใหญ่ที่มีความชื้นเต็มไปหมด แถมเมื่อเขาเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น ลมหายใจของเขาก็แรงมากกว่าที่จะเป็นลมหายใจของคนด้วย
เขาเอามือตัวเองจับไปตามส่วนหัวของเขา เขาสัมผัสได้ว่า บริเวณใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยขน และบนหัวของ เขานั้นก็ไม่มีเส้นผมอีก ตำแหน่งที่ต้องมีหูนั้นก็หายไป กลับกลายเป็นว่ามีใบหูทั้งสองข้างติดอยู่บนหัว แถมใหญ่กว่าเดิมด้วย
เขารีบก้มหน้าลงไปมองดูเงาตัวเองในแม่นํ้า และสิ่งที่เขาพบเห็นนั้น เขาแทบสติแตก
เพราะว่าใบหน้าของเขานั้น คือหัวของสุนัขจิ้งจอก หน้าตาไม่ต่างจากสุนัขจิ้งจอกตัวที่้เขาฆ่าไปเลย
ไม่นะ ไม่ เขาเอามือลูบตามหัวของตัวเอง ซึ่งเงาที่สะท้อนในแม่นํ้านั้นก็คือเหมือนสุนัขกำลังเอามือที่เป็นมนุษย์ลูบจับอยู่ มัน มันเป็นไปไม่ได้
เมื่อเขายืนขึ้น เขาก็ค้นพบว่า ร่างกายของเขานั้นยังเป็นคนอยู่ทุกประการ เพียงแต่ว่าตอนนี้เสื้อผ้าของเขาหายไป แล้วก็มีหัวของสุนัขจิ้งจอกคลุมหัวแทนที่จะเป็นหัวคน และก็มีขนของสุนัขจิ้งจอกติดกับร่างกายตั้งแต่ส่วนหัวไล่ลงมาจนถึงหน้าอก ส่วนแถวหน้าอกลงไปก็เป็นร่างกายมนุษย์อยู่ เส้นขนของสุนัขจิ้งจอกนั้นก็มีติดตรงหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างด้วย
แว๊กกกกกก! นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นอะไรไปกันเนี่ย เขาคิดในใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาอ้าปากร้องด้วย แต่ทว่า เสียงที่ดังออกมานั้นกลับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ กลับเป็นเสียงของสุนัขจิ้งจอกแทน
เขาหยุดพูด แล้วคิดว่าจะลองพูดอะไรซักคำดู
อา... เขาคิด
"แฮ่...." เสียงในปากของเขาออกมาแบบนี้
อี.... เขาคิด
"ครือ..." เสียงในปากก็ยังออกมาแบบนี้
และนั่นทำให้ตัวเขาเริ่มสติแตก เขาเอามือจับเส้นขนของสุนัขจิ้งจอกตัวเอง ทำท่าว่าจะดึงออก แต่ยิ่งเขาดึงออกมายังไง มันก็ไม่ออก ราวกับว่าเส้นขนพวกนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว ยิ่งเขาดึงออกมาแรงแค่ไหน มันก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น เขาพยายามจับเอาจมูกสุนัขจิ้งจอกเอาออกมาจากหัวของเขา แต่นั่นก็เหมือนเขากำลังดึงจมูกตัวเอง เขาพยายามออกแรงดึงให้มากขึ้นแต่ทำยังไงหัวสุนัขจิ้งจอกที่ติดตัวของก็ไม่มีวันหลุดออกมาได้เลย
นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะเนี่ยยย!!
"กรร....แฮ่....."
เสียงคำรามของสุนัขจิ้งจอกดังออกมาราวกับสุนัขจิ้งจอกจริงๆ กำลังคำราม เขาหอบหายใจออกมาเสียงดังลั่น เมื่อเขารู้สึกว่ามันไม่หายเหนื่อยแถมรู้สึกอึดอัด เขาจึงอ้าปากแลบลิ้นออกมา ลมมันช่วยเข้าไปในปากทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายความเหนื่อยได้ดีมากกว่าเดิมเสียอีก เขาเอามือตัวเองพยายามดึงหูจิ้งจอกตัวเองออกไปจากหัว แต่ยิ่งดึงเท่าไหร่หูเขาก็ยิ่งเจ็บ จนทำให้เขาเลิกเพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์
นี่ นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมฉันถึงกลายเป็นหมาจิ้งจอกไปได้ เขาคิด ฉันยังเป็นคนอยู่นะเว้ย
เขาก้มหน้าลงมองดูแม่นํ้าเพื่อดูเงาตัวเอง ใบหูของเขานั้นลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด ความเคร่งเครียดและความหวาดกลัวทำให้ตัวของเขาไม่สบายใจเลยซักนิด
มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่นะ เขาคิดด้วยความสงสัย
'นี่คือผลกรรมที่เจ้าก่อขึ้นยังไงหละ'
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นคุยกับเขา และเมื่อชุลหันหน้าขึ้นไปมอง เขาก็พบกับแสงสีขาวอมทอง แสงนี้ส่องสว่างราวกับแข่งกับแสงดวงอาทิตย์เลยทีเดียว มันส่องสว่างเสียจนชุลต้องหรี่ตาเพราะว่าแสงเข้าตามากจนเขามองอะไรไม่เห็น แต่เมื่อสายตาของเขาปรับแสงได้ เขาก็มองเห็นชัดว่าในแสงนั้นมีอะไร
มีร่างของมนุษย์ผู้ชายอยู่ท่ามกลางแสงนั้น แต่เป็นร่างของผู้ชายที่สง่างามมาก ผิวกายดูขาวเปร่งประกายและสะอาดมาก ราวใส่ชุดเครื่องแต่งกายทรงไทย สวมมงกุฎรูปชฎาอย่างที่ชุลไม่เคยเห็นมาก่อน สำคัญคือใบหน้าของเขานั้นดูสงบมากๆ ราวกับว่าร่างกายของร่างนั้นทั้งร่างมีแสงเปร่งประกายออกมา และชายคนนี้ก็กำลังลอยอยู่กลางอากาศโดยที่เท้าเปลือยเปล่าก็ไม่ได้แตะพื้นด้วยซํ้า
นี่ใครกันเนี่ย ชุลคิดด้วยความสงสัย
'หากว่าเจ้าคิดว่าข้าคือเจ้าป่าเจ้าเขา ข้าก็คงเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาอย่างที่เจ้าคิด แต่ที่จริง ข้าคือรุกขะเทวดาต่างหาก' เสียงของร่างนั้นตอบ นํ้าเสียงนั้นนุ่มนวลแต่ทรงพลังอย่างมาก
เจ้าป่าเจ้าเขา วิญญาณที่สิงอยู่ตามภูเขาและมีอำนาจลงโทษผู้ลบลู่ธรรมชาติเหรอ เชื่อก็โง่แล้ว ชุลคิด
'จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วไม่ใช่รึไง' ท่านเอ่ย
อ่านใจเราได้ด้วยเหรอ ชุลคิดด้วยความตกใจ
'ข้าสามารถสื่อสารทางจิตกับเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าจะคิดอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน' ท่านเจ้าป่าเจ้าเขากล่าวเสริม
นี่ ท่านเองนะเหรอ ที่ทำให้ผมกลายสภาพมาเป็นหมาแบบเนี่ย ชุลเริ่มโวยวายใส่เขาผ่านความคิด
'สิ่งที่เจ้ากำลังเป็นอยู่นี้ไม่ใช่เพราะอำนาจของข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นผลกรรมที่เจ้าก่อขึ้นด้วย' เจ้าแห่งป่าเอ่ย
ผลกรรมเหรอ ชุลถาม
'ผู้ใดทำกรรมเช่นใดเอาไว้ ย่อมได้รับผลตอบแทนจากกรรมนั้นสนอง แต่ใช่ว่าผลกรรมจะออกมาในรูปแบบเดิมเสมอไป มันสามารถผันแปรเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด' ท่านอธิบาย
ผลกรรมอะไรกัน ผมทำอะไรผิด ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ชุลเถียง
'เมื่อคืนเจ้าได้ฆ่าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งใช่ไหมหละ' ท่านถาม ทำให้ชุลถึงกับชะงัก 'แบบนั้นเจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรอีกอย่างนั้นเหรอ'
แต่นั่นมันเป็นสัตว์ป่านะ พวกสัตว์ป่านะมันเลว มันพรากทั้งชีวิตและชื่อเสียงไปจากผมทั้งหมด พวกมันเนี่ยแหละที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ชุลอธิบายตอบด้วยท่าทางเดือดดาล ท่านต้องทำให้ผมเป็นเหมือนเดิมให้ได้ จะเอาเงินเท่าไหร่ว่ามาก็ได้ จะกี่แสนกี่ล้านผมจ่ายได้ทั้งนั้นแหละ
'ดูเหมือนว่าข้าจะบอกเจ้าอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมรับสินะ ถ้างั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าเผชิญกับผลกรรมที่เจ้าก่อด้วยตนเองละกัน'
เมื่อท่านเจ้าป่าเจ้าเขาเอ่ยเสร็จ ร่างของท่านก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดินทันที
เฮ้ยนี่ จะไปไหน ชุลถามด้วยท่าทางไม่พอใจ
'จำไว้ว่า บทลงโทษอีกอย่างที่เจ้าต้องเผชิญก็คือ เจ้าจะไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ เจ้าจะต้องมีชีวิตเยี่ยงสัตว์ตัวหนึ่ง แต่หากวันใดที่เจ้าสำนึกผิดในบาปที่ตนเองก่อ เมื่อนั้นเจ้าจะได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง' ท่านเทพกล่าวเสริม
ลงมาเดี๋ยวนี้นะ ชุลเรียกเขา
แต่เจ้าแห่งป่าไม่ตอบ ร่างของท่านค่อยๆ ลอยขึ้นไปแล้วก็ค่อยๆ จางหายไปกลางอากาศ เสียงลำธารที่ไหลผ่านและเสียงลมพัดกับต้นไม้ดังขึ้นรอบๆ ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อกี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ผลกรรมบ้าบออะไรกัน ก็พวกมันนะผิด ฉันไม่ผิดเว้ย ต้องกลายมาเป็นสัตว์แบบนี้อีก บ้าที่สุด ชุลคิดอย่างไม่ชอบใจ
เขาไม่รู้ตัวเองเลยว่าท่าทางโมโหของเขานั้น ทำให้เขาคำรามออกมาราวกับสุนัขจิ้งจอกกำลังดุร้ายไม่มีผิด
เด็กหนุ่มครึ่งหมาจิ้งจอกนั่งลงกับโขดหินพร้อมกับอ้าปากหอบหายใจเพื่อระบายความเหน็ดเหนื่อยและความเครียด แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าเขาแลบลิ้นหอบหายใจเหมือนหมา เขารีบหุบปากทันที
ก่อนอื่น เราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน เขาคิด
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปตามทางแม่นํ้า แต่แล้วเขาก็พบว่าปลายทางนั้นเป็นนํ้าตกที่มีความสูงมาก ทำให้เขาจำได้ว่าพื้นที่นํ้าตกนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติที่อยู่ใกล้ๆ
แสดงว่านี่เป็นต้นนํ้าสินะ เขาหันไปมองดูแม่นํ้าอีกเส้นหนึ่งที่ทอดยาวเข้าไปในป่า ถ้างั้นเราก็ต้องปีนหละ
เขาเดินกลับไปที่เดิน และมองหาก้อนหินที่เขาจะสามารถปีนขึ้นไปได้ เขาพบว่าตรงหน้าผาฝั่งที่เขาข้ามไปฆ่าสุนัขจิ้งจอกเมื่อคืนมีก้อนหินที่สามารถจับและไต่ขึ้นไปได้
เอาหละ โชคยังดีที่เรายังมีมือและเท้าเป็นคน เขาถูมือตนเอง
เขาถอดรองเท้าออกแล้วก็เริ่มปีนขึ้นหน้าผาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาลื่น หินไม่ลื่นมากทำให้เขาสามารถจับมันได้อย่างมั่นคง และเส้นทางปีนก็ไม่ได้โค้งอะไรมากมาย เป็นทางเอียงที่ทำให้เขาสามารถปีนขึ้นไปได้สะดวกเสียด้วยซํ้า แต่การปีนหน้าผาที่มีความสูงถึงตึกสามสี่ชั้นนั้นทำให้ความเหมื่อยล้าของเขามีมากขึ้น ถึงเขาจะเคยปีนหน้าผาจำลองมาก่อน แต่การปีนหน้าผาของจริงมันต่างกันอย่างลิบลับเลย
แฮ่ก แฮ่ก เรา เราต้องทำให้ได้ เขากัดฟันเพื่อที่จะพยายามปีนขึ้นไปให้ได้
เหงื่อเริ่มผุดไหลไปตามมือและเท้า ทำให้เขาเริ่มจับก้อนหินไม่ถนัดมากขึ้น เขาต้องเอามือไปเช็ดกับกางเกงตัวเองเพื่อทำให้มือแห้ง แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องเกาะกับก้อนหินเพียงมือข้างเดียว ทำให้เขาต้องออกแรงมากขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำให้เขาอยากที่จะปล่อยมือจากตรงนี้ซะ แต่เขาปืนขึ้นมาสูงแล้ว หากเขาปล่อยมือไปเขาต้องตกไปตายแน่ มือของเขาสั่นเมื่อคิดเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังฝืนตัวเองให้มองขึ้นไปข้างบน แล้วก็ออกแรงที่มีอยู่เพื่อดึงตัวเองขึ้นไปให้ได้
และเมื่อผ่านไปราวๆ สิบห้านาที ในที่สุด เขาก็สามารถปีนขึ้นไปได้สำเร็จ มือของเขาเอื้อมไปจับต้นหญ้าที่อยู่ข้างบนหลายต้นเพื่อดึงให้เขาสามารถขึ้นไปได้ เมื่อเขาสามารถขึ้นไปได้สำเร็จ เขานอนหงายลงกับพื้น อ้าปากแลบลิ้นเพื่อสูดอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุดเพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมด เหงื่อของเขาผุดไหลออกมาตามร่างกายราวกับเขาวิ่งผ่านนํ้ามา เขาเริ่มหัวเราะขึ้นมาเมื่อเขาสามารถทำเสร็จ
เราทำได้ เขาคิด
เขานอนอ้าปากหอบหายใจอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังถูกอะไรบางอย่างจ้องมองอยู่
ผ่านไปเกือบสามนาทีได้ที่เขานอนอยู่ตรงนั้น มีเสียงพุ่มไม้ข้างๆ ดังขึ้น ทำให้เขาสะดุ้งและรีบลุกขึ้นนั่งมองทันที แต่แล้วเขาก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพุ่มไม้ที่อยู่ติดกับต้นไม้ในป่าหลายต้น
เสียงลมละมั้ง เขาคิด
แซ่ด แซ่ด แซ่ด
เสียงพุ่มไม้ตรงบริเวณเดิมขยับอีกครั้ง คราวนี้เขารีบลุกขึ้นและมองดูพุ่มไม้ดังกล่าวด้วยความไม่ไว้วางใจ
"นั่นใครนะ" เขาถาม
แต่แล้วเมื่อมีเสียงสุนัขออกมาจากปากของเขา ทำให้เขารีบเอามือปิดปากเพราะเขาเพิ่งจะนึกถึงคำพูดของเจ้าป่าเจ้าเขาได้
ใช่สิ เราพูดกับคนไม่ได้นี่นา เขาคิดด้วยความไม่ชอบใจ
"ท่านพูดได้ด้วยเหรอ"
มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากพุ่มไม้นั้น ชุลรีบจ้องมองด้วยความสงสัย เขามองเห็นดวงตาอยู่คู่หนึ่งอยู่ในพุ่มไม้นั้น ร่างนั้นซ่อนอยู่ในพุ่มไม้และทำให้เขามองเห็นไม่ชัดว่าร่างนั้นมีรูปร่างยังไง ที่แน่ๆ คือ เสียงที่ออกมาเขาหูไม่ฝาดแน่นอน และเป็นเสียงของเด็กอีกด้วย
"นะ นี่ ฟังที่ผมพูดรู้เรื่องด้วยเหรอครับ" ชุลรีบถาม
"ฟังออกสิ ข้ายังแปลกใจอยู่เลยว่าท่านพูดได้รึเปล่า" เสียงนั้นตอบออกมาด้วยนํ้าเสียงที่ดูตื่นเต้นมากขึ้น
ถึงแม้ว่าคำสรรพนามที่ดังออกมามันจะดูแปลกๆ แต่ชุลก็เริ่มรู้สึกโล่งใจที่มีคนฟังเขารู้เรื่อง
"เฮ้อ โล่งอก ไอ้เราก็นึกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาอะไรนั้นจะพูดเป็นจริงซะอีก ที่แท้เราก็ยังคุยกับคนได้อยู่" เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น "เอ่อ แต่ อย่าตกใจอะไรนะที่ตัวผมเป็นแบบนี้ พอดีเรื่องมันยาวหน่อยนะครับ" ชุลรีบคุยกับร่างนั้นทันที
"ข้าไม่ตกใจหรอก" เสียงนั้นตอบ
"จริงเหรอ" ชุลถามด้วยความตื่นเต้น
"เพราะว่าถ้าท่านคุยกับข้าได้ แสดงว่าท่านก็ไม่ใช่มนุษย์สิ" เสียงนั้นเอ่ย
"ใช่ ผมพูดได้ แต่ เอ๊ะ...มนุษย์เหรอ" เขาถามด้วยความสงสัย
"เย้! ท่านไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ด้วย!"
สิ้นสุดเสียงนั้น ก็มีร่างออกมาจากพุ่มไม้ ซึ่งทำให้ชุลถึงกับต้องตกใจในทันที เพราะว่าคนที่คุยกับเขามาตลอดนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งนั่นเอง
"เหวอ หมาจิ้งจอก!" ชุลตกใจจนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
"ท่านจะตกใจอะไร ท่านก็เป็นจิ้งจอกเหมือนกับข้าด้วยไม่ใช่เหรอ" ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอถามด้วยความสงสัย
"ปะ เปล่า ก็ ก็พวกเอ็งนะมัน..."
ชุลทำท่าจะโต้บอกว่า 'ก็เพราะพวกสุนัขจิ้งจอกมันน่ากลัว' แต่แล้วเมื่อเขาเห็นท่าทางของลูกสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขาถึงกับพูดต่อไม่ออกทันที
ตอนนี้มันกำลังนั่งลงกับพื้นด้วยขาทั้งสี่ข้างของมัน ดวงตากลมแป๋วของมันจ้องมองดูเขาด้วยความตื่นเต้น หางของมันกระดิกไปมา ท่าทางแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากหมาบ้านธรรมดาที่กำลังออดอ้อนเจ้านาย ซึ่งชุลเห็นแบบนี้ทำให้เขาใจอ่อนทันที
"เอ็งนะมัน...น่ารักดี" ชุลตอบโดยไม่รู้ตัว
"ว้าว ท่านบอกว่าข้าน่ารักด้วย ข้าหละดีใจจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า"
เจ้าลูกสุนัขจิ้งจอกกระโดดเหยงๆ ไปมาราวกับหมาตัวหนึ่งที่ดีใจว่าเจ้านายจะเล่นด้วยอย่างนั้นแหละ
ลูกหมาจิ้งจอกพูดได้ พวกสัตว์กำลังพูดกับตูด้วย โอ้ อยากจะบ้าตาย เขาคิดด้วยความไม่ชอบใจ
"แล้วท่านเป็นสุนัขจิ้งจอกพันธุ์ไหนเนี่ย ข้าไม่เคย ไม่เค้ย ไม่เคยเห็นสุนัขจิ้งจอกตัวไหนเหมือนท่านมาก่อนเลย" ลูกสุนัขจิ้งจอกถามเขาด้วยความสงสัย
"ฉันไม่ใช่หมาจิ้งจอก ฉันเป็นคนนะ" ชุลโต้
"ถ้าท่านเป็นมนุษย์ ทำไมท่านมีใบหน้าแบบนั้น แถมคุยกับข้าได้ด้วย" ลูกสุนัขจิ้งจอกตั้งคำถาม
จะบอกว่าโดนเจ้าป่าเจ้าเขาเอาหัวจิ้งจอกที่ไหนก็ไม่รู้มาใส่มันจะเชื่อไหมเนี่ย เขาคิด
"ยังไงก็ตาม ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะ" ชุลโบกมือลามันก่อนที่จะหันหลังและมองไปตรงขอบผาเพื่อมองหาทางข้ามกลับไปยังบ้านตัวเอง
"แล้วท่านจะไปที่ไหน" ลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเดิมถาม
"บ้านฉันอยู่ทางนู้น" เขาชี้ไปยังอีกฟากของขอบผา
"ไม่มีทางข้ามไปได้หรอก สัตว์ในฝั่งนี้ไม่เคยมีตัวไหนสามารถข้ามไปได้" ลูกสุนัขจิ้งจอกส่ายหัว
ชุลยืนมองดูความกว้างของหน้าผาทั้งสองฝั่ง เมื่อคืนตอนเขามาไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เขาก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่ามัน มีความกว้างขนาดไหน และความห่างขนาดนี้คงไม่มีใครวิ่งกระโดดข้ามไปได้แน่
จะเอายังไงดีละเนี่ย หรือเดินลัดเลาะไปตามขอบผาเพื่อหาทางข้ามดี เขาคิด
โครก...
เสียงดังออกมาจากท้องของเขา ความหิวโหยและความเจ็บปวดของกระเพาะที่เรียกร้องหาอาหารทำให้เขาต้องเอามือกุมท้องตัวเองทันที
จริงสิ เราไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่หว่า เขาคิด
"ดูเหมือนท่านจะหิวสินะ" ลูกสุนัขจิ้งจอกเดินมาข้างๆ เขาแล้วก็ถาม
"ไม่ได้หิวซะหน่อย" ชุลรีบตอบปฏิเสธ
โครก...
แต่ความหิวนั้นก็ทำให้เขารู้สึกปวดท้องทรมานเช่นกัน การที่เขาออกแรงเพื่อใช้ปีนหน้าผาเมื่อครู่ทำให้เขาต้องการพลังงานเติมให้ร่างกายมากขึ้น
"เออๆ ก็ได้ ฉันหิว" เขาตอบด้วยความไม่ชอบใจนัก
"อืม...ท่านมาที่โพรงของข้าไหมหละ แม่ข้าสะสมอาหารเอาไว้ให้ข้ากินตอนที่แม่ข้าไม่อยู่เพียบเลยนะ มีเยอะแยะพอที่จะให้ท่านกินด้วย" ลูกสุนัขจิ้งจอกชวนเขา
"ไม่เอาอ่ะ ฉันจะไม่กินอะไรแบบเดียวกับพวกสัตว์อย่างเอ๊งเด็ดขาด" เขาปฏิเสธอีกครั้ง
โครก...
จะร้องหาป้าแกรึไงฟะ เขาคำรามด่าท้องตัวเองในไง
"ถึงท่านจะปฏิเสธ แต่ข้าก็รู้ว่าท่านหิว" สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยยิ้ม
ความหิวที่เกาะกุมเขาทำให้เขาเริ่้มแสบกระเพาะมากขึ้น ยิ่งเจ้าลูกสุนัขตัวน้อยบอกว่ามีอาหารด้วย ทำให้ความอยากอาหารมีมากขึ้นไปอีก ในที่สุด เขาก็ต้องทำตามใจที่ร่างกายต้องการ
"ก็ได้ ไปก็ไป" เขาตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
"ยิ๊ปปี้" ลูกสุนัขจิ้งจอกกระโดดโลดเต้น
"แต่ฟังไว้เลยนะ ฉันแค่ขอกินอาหารแค่มื้อเดียว แล้วฉันก็จะไป ไม่อยู่กับเอ็งหรอกนะ" เขาชี้นิ้วสั่งมัน
"ไม่มีปัญหา แค่ท่านมาอยู่กับข้าระหว่างที่ข้ารอแม่กลับ ข้าก็ดีใจแล้ว" มันกระโดดเด้งไปมา "ตามข้ามา โพรงข้าอยู่ทางนี้"
"เฮ้อ ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องทำตามเจ้าสัตว์พวกนี้ด้วยนะ" ชุลพึมพำพลางเดินตามมันเข้าไปในป่าราวกับโดนบังคับ
"ว่าแต่ ท่านมีชื่อว่าอะไรเหรอ"
"ใครจะไปบอกกับหมาอย่างแก"
"ข้าชื่อ วาน นะ"
"ฉันไม่ได้ถาม
"แล้วท่านหละชื่ออะไร บอกหน่อย นะ นะ นะ น้า.."
"เฮ้อ ก็ได้ ฉันชื่อชุล"
"ท่านชุล ชื่อเหมือนต้นชุงเลย ฮิฮิฮิ"
"อย่ามาหัวเราะชื่อคนอื่นเขานะ!"
บทสนทนาของเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยที่พูดคุยกับเขา แม้ว่าจะเป็นประโยคสนทนาที่เขาไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ แต่ยิ่งพูดคุยกับลูกสุนัขตัวนี้เท่าไหร่ เขากลับรู้สึกว่า มันไม่ใช่สัตว์ที่มีฐานะตํ่าต้อยกว่าเขา แต่เป็นพวกเดียวกับเขาไปเสียแล้ว
ติดอะไรแปลกๆ ไปแล้วสินะตู เขาส่ายหัวกับความคิดนั้น
ลูกสุนัขจิ้งจอก วาน นำพาเขาเข้าไปในป่า ที่ซึ่งเขาพอจำได้ว่ามันเป็นคนละเส้นทางกับที่เขาไล่สุนัขจิ้งจอกตัวเมื่อคืน แต่เมื่อเขาเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกข้างหน้ากำลังแกว่งหางอย่างกระตือรือร้น เขารีบหยุดคิดเรื่องเมื่อคืนทันที
"นี่ยังไง ถึงแล้ว โพรงของข้า" วานหันหน้าแล้วก็บอกกับเขา
ชุลมองดูทางข้างในที่วานเดินนำทางเขามา เขาพบว่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าเขา ลำต้นของมันใหญ่มากขนาดต้องผู้ใหญ่หลายสิบคนโอบถึงจะได้ ตัวต้นไม้นั้นอยู่บนเนินซึ่งสูงจากพื้นดินไปราวๆ เมตรกว่าได้ ส่วนข้างล่างนั้นมีรากไม้ขนาดมหึมาเหมือนเป็นรั้วกำแพงกั้น แต่ตรงกลางนั้นแหวกออก มีร่องรอยการกัดแทะซึ่งชุลพอเดาออกได้ว่าพวกสุนัขจิ้งจอกต้องกัดแทะเข้าไปแน่ ข้างในนั้นมีใบไม้และกองฟางสุมกันเอาไว้ราวกับเป็นที่นอนเลยทีเดียว
"เข้าไปได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ นี่โพรงของข้าเอง" จิ้งจอกน้อยวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในโพรงนั้น
ชุลเดินตามเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าโพรงใต้ต้นไม้ยักษ์นี้จะใหญ่มากแต่เขาก็ต้องก้มลงไปอยู่ดี เมื่อเข้าไปข้างใน เขาพบว่าข้างในนี้มีพื้นที่กว้างพอๆ กับห้องเช่าห้องหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าเป็นตอนที่เขาเป็นคนละก็เขาก็ต้องคิดว่าทีนี่น่ารังเกียจ แต่มาในสภาพแบบนี้แล้ว เขากลับรู้สึกว่ามันน่าอยู่โดยที่เจ้าตัวไม่ได้สงสัยเลยว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น ข้างในไม่ได้มืดมากเพราะมีแสงส่องจากข้างนอกส่องเข้ามา ลูกสุนัขจิ้งจอกแกว่งหางอยู่ในนั้น
"เป็นไง โพรงของข้าน่าอยู่ม๊ะ" วานถามเขาโดยที่ยังกระดิกหางไม่เลิก
"ใช้ได้นะ" ชุลตอบ
วานเดินไปยังมุมข้างๆ ของโพรง ซึ่งเมื่อชุลหันไปมอง เขาก็พบว่ามีกองผลไม้วางเอาไว้อยู่เต็ม มีเยอะมากจนถึงขนาดเอาไปตั้งร้านขายได้เลย
ชุลหยิบผลไม้ขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วมองอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาพบว่ามันไม่มีรูหนอนแทะและไม่มีรอบซํ้ามาก เขากัดกินทันที ปากสุนัขจิ้งจอกของเขาทำให้เขากินลำบากขึ้น เขาแทบจะเอียงหัวส่ายไปมาเพื่อกินผลไม้เพียงชิ้นเดียว วานหัวเราะกับการกระทำของเขา
"ท่านนี่ตลกดีเนอะ ทำท่าเหมือนเด็กหัดกินเลย" วานบอกขณะที่มันเองหมอบลงแล้วก็จ้องมองเขา
"จุ้นหน่า" ชุลเอามือปาดนํ้าลายตัวเอง แต่กลับต้องชนโดนจมูกแทน ยิ่งทำให้เขาแอบไม่พอใจมากขึ้น
"กินได้เรื่อยๆ เลยนะท่านชุล ระหว่างรอแม่ข้ากลับมา ข้าว่าแม่ข้าต้องชอบท่านแน่ๆ เลย" สุนัขจิ้งจอกน้อยบอกเขา
"ทำไมหละ" ชุลถามขณะที่เขากินผลไม้ชิ้นแรกไปแล้วและกำลังหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาดู
"ก็ท่านตลกดีออก" มันตอบ
ไม่ใช่เรื่องน่าขำเลยนะ ชุลคิดอย่างนั้นแล้วก็รีบกินต่ออย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกอิ่ม
"ข้าไปก่อนนะ ขอบใจที่เลี้ยง รอแม่เจ้าดีๆ หละ" ชุลรีบบอกและทำท่าจะคลานออกนอกโพรงทันที แต่แล้วจิ้งจอกตัวน้อยก็เอาปากคาบขากางเกงเขาเอาไว้
"อะไรอีกหละ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าขอกินอาหารแค่มื้อเดียวเท่านั้น" ชุลถาม
แต่จิ้งจอกน้อยไม่ตอบ มันส่ายหัวไปมาโดยที่ปากของมันยังคาบกางเกงของเขาอยู่
"ฉันจะไป อย่ามาห้ามเลย" ชุลรีบเอามือดึงขากางเกงออกจากปากของมันอย่างแรงจนหลุด ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางออกทันที
"อย่าไปเลยนะ อยู่กับข้าก่อนเหอะ" จิ้งจอกน้อยขอร้องเขา
"เจ้าอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวแม่เจ้าก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ" ชุลถามมัน
"คือ อันที่จริงแล้ว.. แม่ข้ายังไม่กลับมาเลย" วานก้มหน้าลง
"อะไรนะ" ชุลหันหน้าถามมัน
"ปกติตอนนี้ แม่ของข้าต้องกลับมาแล้ว แต่นี่ข้ารอแม่นานมาก จนทนไม่ไหวต้องออกไปดูนอกโพรง จนไปเจอกับท่านเนี่ยแหละ" วานเงยหน้ามองดูเขา เล่นทำให้เขาตกตะลึงกับภาพที่เห็น
เขามองเห็นนํ้าตาของลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนี้กำลังคลอ เมื่อจิ้งจอกน้อยหลับตาเพื่อสะอื้นไห้ นํ้าตาไหลอาบแก้มของเขาราวกับท่าทางการร้องไห้ของคนไม่มีผิด
"ข้า... ข้าไม่รู้ว่าแม่ข้าอยู่ที่ไหน" วานร้องห่มร้องไห้ "ข้า... ข้าไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว นอกจากท่าน"
ภาพของสุนัขตัวน้อยกำลังร้องไห้นั้นทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมากยิ่งขึ้น เขาเลิกล้มความคิดที่จะหาทางกลับที่พักแล้วหันตัวกลับมานั่งขัดสมาธ พร้อมกับเอามือลูบหัวมันอย่างเบามือ
"ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่ที่นี่ละกัน" ชุลปลอบมัน
ลูกจิ้งจอกตัวน้อยสั่นเทาในอุ้งมือของเขา เขาสัมผัสขนนุ่มๆ ของมันขณะที่ลูบหัวมันอย่างเบามือ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขานึกถึงตอนที่เขายังเด็กกว่านี้ และกำลังมีความสุขกับการลูบหัวสัตว์ในสวนสัตว์ของเขา โดยที่มีพ่อของเขาและด๊อกดูอยู่ข้างๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยทีเดียว
"เล่า ... เรื่องแม่ของเอ๊งให้หน่อย" เขาพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
"คือ เมื่อคืน แม่ของข้าออกไปหาอาหารตามปกติ แต่ช่วงนี้แม่ของข้าอาหารได้ยากขึ้น เพราะพวกมนุษย์เข้ามรุกรานนะ" วานตอบเขา
"รุกรานเหรอ ? บ้ารึเปล่า แถวนี้มันอุทยานแห่งชาติ เขาห้ามล่าสัตว์กันอยู่แล้ว" ชุลแย้งมัน
"อุดยานอะไรเหรอ" วานเงยหน้าถามเขา
"เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไร แต่ปกติแถวนี้ไม่น่าจะมีมนุษย์มานี่นา" ชุลบอก
"ใช่ แม่ข้าก็บอกว่าแถวนี้มีแต่พวกเราเหล่าสัตว์ทั้งนั้น แต่พักหลังมานี่พวกมนุษย์เข้ามากันมากขึ้น แม่เลยต้องระวังในการออกหาอาหาร จนเมื่อคืนนี้แม่ข้าหายไปนานกว่าปกติ จนข้ารู้สึกสงสัยและเป็นห่วง" วานเล่าต่อ
ไม่รู้ทำไม แต่คำบอกเล่าของลูกจิ้งจอกตัวนี้ ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
"เมื่อคืน ฝนก็ตกหนักขึ้น ข้า... ข้าก็ไม่กล้าออกไปไหน แต่แล้วแม่ของข้าจู่ๆ ก็วิ่งเข้ามาหาข้าด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน" วานเล่าพร้อมกับตัวสั่นเทามากขึ้น "แม่ข้าบอกว่า มีมนุษย์คนนึงกำลังมา แม่จะล่อมันไปทางอื่น ให้ ... ข้าอยู่ที่นี่ ซ่อนตัวไว้"
ภาพจากเหตุการณ์เมื่อคืนฉายภาพมาให้เขาเห็นอีกครั้งในหัวของเขา เขามองเห็นตัวเองกำลังวิ่งไล่ตามสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นอย่างบ้าคลั่งทั้งๆ ที่มันเอาแต่วิ่งหนีเขา
"ข้า ... ข้าก็อยู่แต่ในโพรงตามที่แม่ของข้าสั่ง คืนนั้น ข้ากลัวมาก เป็นคืนแรกที่ไม่มีแม่ของข้าอยู่ใกล้ๆ ข้าซ่อนตัวอยู่ไม่นาน เหมือนข้าได้ยินเสียงดังมากๆ แต่ ข้าไม่รู้ว่านั่นมันเสียงอะไร ข้า.... ข้ากลัว"
ภาพตอนที่เขาวิ่งข้ามขอนไม้มาได้และต้อนสุนัขจิ้งจอกตัวเมื่อคืนจนมุม
เด็กหนุ่มเริ่มหยุดลูบหัวของวาน ตัวของเขาเริ่มสั่นเทาขึ้น เหงื่อเริ่มผุดไหลออกมาตามตัวของเขาด้วยความหวาดกลัว
"ข้ารอแม่อยู่ทั้งคืน แต่แม่ก็ไม่เคยกลับมา จนกระทั่งเช้า ข้า ... ข้าเลยออกไปตามหาแม่ จนข้าเจอกับท่านเนี่ยแหละ"
เหตุการณ์ตอนที่เขาเล็งปืนใส่สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นปรากฎขึ้นในหัวของเขาอย่างชัดแจ๋ว
ไอ้สารเลวเอ้ยยยย
เปรี้ยง!
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนเขาสัมผัสได้ ความหวาดกลัวอย่างที่้เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนทำให้เด็กหนุ่มตัวสั่นมากขึ้น เหงื่อของเขาไหลออกมาท่วมตัว มือของเขาชาจนไม่รับรู้ความรู้สึกตอนที่สัมผัสขนของวานเลย
"นะ ชุล อยู่กับข้าจนกว่าแม่ข้าจะกลับมาได้ไหม.." วานเงยหน้าถามเขา แต่ใบหน้าเศร้าสร้อยของมันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าชวนสงสัยเมื่อมันเป็นอาการของชุล
"ท่านชุล ท่านเป็นอะไรรึเปล่า เหมือนท่านไม่สบายนะ" มันถามเขา
เสียงของลูกสุนัขจิ้งจอกที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มหวาดกลัวและรู้สึกผิดมากขึ้น ความกลัวแผ่ซ่านเข้าไปในใจของเขาจนทำให้เขาไม่กล้าสบตามองกับมัน
"ขอโทษนะ" เสียงของเขาสั่นครือ "คือ ฉัน..."
"ทำไมเหรอ" วานเอียงคอถามด้วยความสงสัย
"ฉันขอโทษ" ชุลรีบคลานออกไปนอกโพลงทันที
"ท่านชุล ท่านจะไปไหน" เสียงจิ้งจอกตัวน้อยดังขึ้น "ได้โปรด อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว"
ชุลไม่สนใจเสียงร้องเรียกของสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น เขารีบวิ่งออกไปนอกโพรง ไปยังสถานที่ที่้เขาฆ่าจิ้งจอกตัวเมื่อคืนนี้ และเขาก็เห็นร่องรอยของการต่อสู้ เห็นภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ราวกับมันฉายซํ้าแล้วซํ้าเล่า เด็กหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้น เนื้อตัวสั่นจนควบคุมไม่ได้
"วาน..." นํ้าเสียงของเขาสั่นมากขึ้นและเบาลงจนแทบกระซิบ "ฉัน...ฉันขอโทษ... ฉัน .."
นํ้าตาของเด็กหนุ่มรินไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
"ฉัน...ฆ่าแม่ของนายไปแล้ว" เขาเอามือปิดปากตัวเองโดยไม่สนเลยว่าปากของเขาจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ความรู้สึกผิดท่วมท้นเข้ามาหาเขาอีกครั้ง
"ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." เขาก้มหน้าร้องไห้กับความรู้สึกผิดของตัวเอง
เขาไม่สนใจเลยว่านํ้าตาของเขาจะไหลออกมามากน้อยแค่ไหน ไม่สนใจเลยว่าต่อจากนี้เขาจะทำยังไง ใจของเขาจมปลักอยู่กับความผิดบาปที่เขาก่อขึ้นจนทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก
แกร๊ก...
เสียงเหมือนมีคนเหยีบบกิ่งไม้ดังขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มยกมืออีกข้างปาดนํ้าตาแล้วก็หันไปมองดูต้นเสียงนั้น เขาพบเห็นร่างของมนุษย์ในชุดยูนิฟอร์มสวนสัตว์ของเขา โดยที่มีชุดนายพรานคลุมทับเอาไว้โดยไม่ติดกระดุม เขามองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่รู้ว่ามีกันมาสองถึงสามคน พวกเขามีปืนอยู่ในมือทุกคน และกำลังมองมาที่เราอย่างสงสัย
คนของสวนสัตว์เราเหรอเนี่้ย ทำไมมาอยู่ที่นี่ เขาคิดอย่างสงสัย
"นะ นั่นมันตัวอะไรนะลูกพี่" มนุษย์คนหนึ่งเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างหน้าอย่างสงสัย
"จะเป็นตัวประหลาดอะไรไม่สำคัญหรอก" คนที่อยู่ข้างหน้าสุดเอ่ยอย่างเยือกเย็นพร้อมกับยกปืนขึ้นและเล็งปืนมาที่เขา
เมื่อชุลโดนคนเล็งปืนใส่ เขารีบโบกไม้โบกมือทันที
"เฮ้ อย่า ฉันชุลเอง ช่วยฉันที" เขาตะโกนบอก
"ลูกพี่ มันคำรามใส่พวกเราด้วย" คนเดิมถามด้วยความลังเล สงสัย และหวาดกลัว
"ตูรู้แล้วโว้ย" คนที่ยังเล็งปืนใส่ชุลสบถอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ลดปืนลง
จริงสิ เพราะเราอยู่ในร่างนี้ ทำให้เราพูดภาษาคนไม่ได้ ชุลคิดด้วยความตื่นตกใจ เราจะทำยังไงดี
"ท่านชุล..."
เสียงเรียกเขาดังขึ้น เขารีบหันไปมองต้นเสียง พบว่าวานเดินตามเขามา
"ท่านชุล..." วานเรียกเขา แต่เมื่อมันหันไปมองเห็นคนของสวนสัตว์ของเขา มันหน้าถอดสีทันที
"นั่นใช่ลูกของมันรึเปล่าครับลูกพี่" คนๆ เดิมถามด้วยนํ้าเสียงที่ชวนสงสัยเข้าไปอีก
"จะไปรู้เหรอว่ะ" คนที่เหมือนลูกพี่ตะคอก
"มะ.. มนุษย์..." วานตัวแข็งทื่อ ดวงตาของมันแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่นะวาน หนีไป" ชุลปัดมือทำท่าให้มันวิ่งหนี แต่สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยไม่ยอมขยับ
"เก็บลูกมันก่อนละกัน" คนที่เป็นลูกพี่เล็งปลายกระบอกปืนไปทางวาน
"วาน!" ชุลรีบลุกขึ้นแล้วก็วิ่งไปทางมันทันที เขารีบก้มตัวลงแล้วก็หยิบลูกสุนัขตัวนั้นอุ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
"อ๊ากกกกกก!" เด็กหนุ่มร้องออกมาเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด และเมื่อเขาหันหน้ามองดูหลังตัวเองทางหางตา เขาพบเห็นลูกดอกอันใหญ่เสียบเข้าที่กลางหลังของเขา
นี่มัน... ลูกดอกยาสลบ ชุลคิดอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตกใจ เพราะเขาเคยเห็นลูกดอกนี้ในสวนสัตว์มาแล้ว
นัยน์ตาของเขาพร่ามัว ขาของเขาไม่มีแรงจนเขาต้องคุกเข่าแล้วก็ล้มลงนอนควํ่ากับพื้น วานรีบออกมาจากแขนของเขาแล้วก็รีบเรียกเขาทันที
"ท่านชุล ไม่นะ ลุกขึ้นสิ ลุกขึ้น" มันตะโกนเรียกเขา
"วาน..." ชุลพยายามยกมือขึ้นเพื่อที่จะสั่งให้มันวิ่งหนีไป แต่มือของเขาแทบไม่มีเรี่ยงแรงจะยกขึ้นเลย
"ท่านชุล..." จิ้งจอกน้อยนํ้าตาคลอเป้า
"ฉัน... ขอโทษ...."
เด็กหนุ่มพูดด้วยนํ้าเสียงอันอ่อนแรง ก่อนที่เขาจะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย นอกจากความมืดมิด
ความคิดเห็น