ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Mission 3 : ภารกิจที่สอง
ที่โรงเรียนสหแห่งใหม่โรงเรียนนี้นอกจากจะเป็นที่เด่นดังในฐานะที่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากโรงเรียนชายล้วนมาเป็นโรงเรียนสห โดยเหตุผลในการศึกษา แต่ทุกอย่างที่สามารถเปลี่ยนจากชายล้วนเป็นสหศึกษาได้ ก็เพราะเป็นแรงผลักดันของเหล่ารุ่นพี่ที่จบออกไปแล้วทั้งสิ้น ว่ากันว่ามีรุ่นพี่คนหนึ่งทำงานในกระทรวงศึกษาธิการและได้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วด้วย สงสัยจะทนเห็นรุ่นน้องอัดอั้นมานานไม่ไหวเหมือนเช่นพวกตนในอดีต จึงได้เปลี่ยนให้เป็นโรงเรียนสหสมใจอยากหละมั้ง
และแน่นอนว่าผลของการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้นอกจากระบบการศึกษาและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนจะปรับปรุงให้สวยงามตามากขึ้น แต่สิ่งที่สวยงามและเป็นดอกไม้ประจำโรงเรียนก็คือ เหล่านักเรียนหญิงที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่เป็นปีแรก ทำให้เหล่านักเรียนชายหลายคนแทบนํ้าตาไหลด้วยความสมหวังแล้ว ทำให้สีสันของโรงเรียนแห่งนี้น่ารักขึ้นเยอะมาก
ผมก็หวังเช่นนั้น เหตุผลที่ผมอยากให้โรงเรียนนี้ปรับเป็นสหศึกษามานานแล้ว นอกจากที่อยากให้มีสาวๆ มาเรียนแล้ว ผมยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้
"ทำนายแม่นจริงๆ เลยนะเธอว์"
"ฉันจะเจอเนื้อคู่วันนี้ตอนคาบพละด้วยหละ คิกคิก"
เสียงของนักเรียนสาวๆ คุยกันอย่างสนุกสนาน นี่เป็นวันที่สองของการมาเรียนแล้ว พวกสาวๆ นี่ก็สนิทกันง่ายเหลือเกิน สำคัญก็คือ ตรงหน้าผมนั้นมีกลุ่มนักเรียนสาวๆ กำลังรุมล้อมโต๊ะของชมรมโหราศาสตร์ที่มักจะมีการทำนายให้กับนักเรียนทุกเช้าก่อนออดดัง โดยปกติจะเก็บค่าทำนายคนละห้าบาทสิบบาท แต่พอนักเรียนหญิงมาประธานชมรมปรับให้ทำนายฟรีทันที ไม่ค่อยจะหื่นเล้ย
"เอาหละครับคุณผู้หญิง ขอบคุณนะครับที่มาใช้บริการของชมรมของเรา" เสียงนักเรียนชายสุดเท่คนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความประทับใจของสาวๆ และเมื่อผมมองเห็น ก็พบว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันต่างห้องได้ทำนายให้กับสาวๆ อยู่ หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่ทำไมต้องมาหลงอยู่กับชมรมนี้ด้วยนะ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องคำทำนายอะไรนั่นอยู่แล้ว
"ขอบคุณค่ะ เอ่อ เท่าไหร่เหรอค่ะ" นักเรียนหญิงที่เป็นลูกค้าคนล่าสุดดูท่าทางกระเป๋าหนักที่สุดกำลังหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา
"ไม่เป็นไรหรอกครับ สำหรับสาวน้อยน่ารักอย่างคุณผู้หญิงแล้ว ผมยินดีบริการฟรีทั้งกายและใจครับ" นักเรียนชมรมโหราศาสตร์ยกมือห้าม พร้อมกับโปรยยิ้มจนเห็นฟันขาว เล่นทำเอาสาวๆ กรี๊ดจนแก้วหูแทบระเบิด
"กรี๊ด นอกจากหล่อแล้วยังใจดีอีก ขอบคุณมากๆ ค่า" สาวน้อยคนนั้นกระดี้กระด้าไปอีก ถึงภายนอกจะเรียกว่าสิบเอ็ด รด. แต่สำหรับนักเรียนชายล้วนอย่างผมแล้ว ผมกลับมองว่า น่ารักไปอีกแบบ
แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมอยู่แล้ว ดังนั้น ผมจึงเดินผ่านไปโดยแทบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
"เธอนะ หยุดก่อน!!"
เสียงของนักเรียนชายคนนั้นเอ่ยเรียกผม และเมื่อผมหันไปมอง ก็พบกับสายตาของสาวๆ ที่มองผมแปลกๆ บางคนยังมองด้วยความสงสัย ในขณะที่นักเรียนชายคนนั้นมองผมราวกับกำลังเพ่งพิจารณาอะไรผมอยู่
จะจับตูกินรึไง ผมคิดติดตลก
"เธอนะ กำลังจะมีชีวิตรุ่งในไม่ช้านี้" เขาเริ่มทำนายให้ผมด้วยสีหน้าที่จริงจังสุดๆ "ใช่แล้ว เธอกำลังจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเธอ และในไม่ช้านี้ด้วย"
ผมยืนฟังด้วยความรำคาญเล็กน้อย เพราะตอนนี้ผมโดนนักเรียนสาวๆ ที่เป็นลูกค้าล้อมหน้าล้อมหลัง ทำให้ผมต้องจำใจยืนฟังคำทำนายของเขาให้จบ
"ใช่แล้ว เธอกำลังจะเป็น สุดยอดไอดอลอำดับหนึ่งของเมืองไทย ยอดสาวน้อยที่น่ารักที่สุดในประเทศ!!"
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว สาวๆ หลายคน จากแววตาที่สงสัยกลับกลายเป็นทั้งชื่นชม อิจฉา ไม่ก็มองดูด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม และอีกหลายคน ยิ้มหัวเราะออกมา
"หึๆๆ ไม่ต้องห่วงนะสาวน้อย ผมทำนายอะไรไม่เคยผิดพลาดเสมอ ก้าวบันไดสู่ฝันได้เล้ย!!"
ผมแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว มือของผมหยิบขวดนํ้าที่ผมถืออยู่เขวี้ยงไปที่หัวของหมอนั่นอย่างรวดเร็ว
ผวั๊ะ!!
เจ้าตัวหงายหลังแล้วกระแทกลงกับโต๊ะเก้าอี้ชมรมของเขาเอง นักเรียนสาวหลายคนตกอกตกใจกับอาการของผม หลายคนเอามือปิดปาก
"ผู้หญิงอะไรอ่ะ แรงเยอะจัง" มีเสียงนักเรียนสาวคนหนึ่งซุบซิบออกมา
"ใครจะไปเป็นไอดงไอดอลกันฟะ ตูเป็นผู้ชายนะเฟ้ยยยยยยย!!" ผมตวาดออกมาดังลั่นด้วยความไม่พอใจ "แล้วไม่ต้องมาเรียกตูว่าสาวน้อยอีกนะ"
เมื่อผมพูดจบ ผมสะบัดตัวไปอีกทางแล้วก็เดินออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอใจ เสียงซุบซิบดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
"นั่นนะเหรอ ผู้ชาย"
"สวยกว่าชั้นอีกอ่ะ"
"ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะ ว้าย น่ารักจังเลย"
ผมถูฟันบนฟันล่างด้วยปากตนเองด้วยความหงุดหงิดและเสียวสันหลังที่สุด
และนี่แหละคือเหตุผลที่ผมอยากให้มันเป็นสหศึกษามานานแล้ว เพราะหน้าตาผมมันน่ารักขั้นเทพเนี่ยแหละ!!
--------------------
เนื้อหาในการเรียนวันนี้นั้นแทบไม่เข้าหัวผมทั้งนั้นเลย เพราะตลอดเวลาที่เรียนมาเป็นวันที่สอง มีแต่สายตาจากนักเรียนสาวๆ ที่จับจ้องมองตัวผมแทบตาเป็นมัน เรียกได้ว่า พวกเธอแทบจะมองทะลุให้เห็นตัวผมทั้งหมดเลยมั้ง ส่วนอาจารย์ท่านที่กำลังสอนอยู่นี้เขาเห็นผมมาตั้งแต่ผมเข้ามาเรียนที่นี่เป็นครั้งแรกแล้ว เขาเลยไม่ได้สนใจอะไร
ทำไมอ่ะ ไม่เคยเห็นผู้ชายหน้าหวานกันรึยังไง ผมคิดอย่างอับอาย มองอะไรกันอยู่ได้
"เอาหละ วันนี้เลิกเรียนเพียงเท่านี้" อาจารย์บอกเลิกชั้นพร้อมกับกวักมือเรียกผม
"กอร์ฟ มาหาครูหน่อย"
ผมลุกขึ้นแล้วก็เดินไปหาอาจารย์หน้าชั้นเรียน ด้วยความสงสัยและเกรงกลัวท่านเล็กน้อยเนื่องจากผมแทบหาสมาธิในการเรียนแทบไม่ได้เมื่อผมโดนจ้องแบบนี้มาทั้งวัน
"เดี๋ยวครูฝากให้เราเก็บการบ้านของเพื่อนๆ ส่งให้ครูด้วยนะ" อาจารย์บอก ผมพยักหน้าอย่างโล่งอกเล็กน้อยที่ไม่โดนตำหนิ
"อย่าคิดมากนะกอร์ฟ เดี๋ยวเธอก็ชินๆ ไปเอง" อาจารย์พูดเสียงเบาลงเพื่อเป็นการปลอบใจผม ผมรู้สึกว่าอยากกอดอาจารย์คนนี้ซะจริงๆ เพราะในบรรดาอาจารย์ทั้งโรงเรียนเนี่ยแหละ มีอาจารย์ท่านนี้เห็นใจผมตั้งแต่แรกแล้วที่ผมเกิดมาหน้าตาน่ารักแบบนี้
เมื่ออาจารย์เดินจากห้องไปหลังจากที่หัวหน้าชั้นบอกทำความเคารพแล้ว ผมเดินกลับมานั่งที่พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เหลือเวลาโฮมรูม ก็จะหมดคาบเรียนทั้งหมดของวันนี้แล้ว
"เหนื่อยหน่อยนะกอร์ฟ" เพื่อนของผมเดินมาปลอบใจผม "วันนี้นายเล่นเนื้อหอมทั้งวันเลยวะ"
"หอมทีท่าไหนว่ะ กับการโดนผู้หญิงมาจ้องเอาจ้องเอาเนี่ยนะ" ผมกอดอกอย่างขนลุก "จ้องยังกับไม่เคยเห็นผู้ชายแบบฉันเนี่ย"
"ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ นะสิจ๊ะ" นักเรียนสาวคนใหม่เดินมาทักทายผม "เนี่ย พวกชั้นยังอิจฉากันเลยนะเนี่ย ทั้งผิวกายที่เนียนนุ่ม หรือใบหน้าที่สวยแบบเนี้ย น่าอิจฉาจิงจริ๊ง"
"แต่ฉันไม่เห็นจะอยากได้เลย อยากถลกมันออกไปทั้งตัวด้วยซํ้า" ผมนั่งท้าวคางกับโต๊ะนักเรียน "จะบ้าตายอยู่แล้ว ที่ต้องโดนผู้ชายมาจับจ้องมองยังกับว่าฉันเป็นผู้หญิงปลอมตัวมาเป็นผู้ชายเนี่ย"
"แต่พูดจริงๆ นะเพื่อน ถ้าเอ็งเป็นผู้หญิงจริงๆ ตูเอา" เพื่อนตัวดีของผมทำหน้าเข้มทันที
"ไอ้บ้า!! แกเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันตอนไหนว่ะ" ผมรีบถลาออกมาห่างๆ จากเพื่อนของผมอย่างรวดเร็วจนผมเกือบนั่งตกเก้าอี้
"ตูไม่สนโว้ย น่ารักซะอย่าง แถมสาวดุ้นก็กำลังมาแรงด้วย ซาบู ซาบู" เพื่อนของผมเริ่มทำจมูกฟืดฟาดออกมา เล่นทำเอาผมอยากประเคนหมัดใส่หน้าสักรอบ
"ฮ่าๆ ล้อเล่นเว้ยกอร์ฟ เป็นไง หายเครียดยังว่ะ?" เพื่อนของผมเริ่มหัวเราะลั่น
"เครียดเข้าไปใหญ่สิไม่ว่า" ผมกอดอกด้วยความขนลุก
"จะว่าไป ฉันก็สงสัยมาตั้งนานแล้วนะ ว่าทำไมตัวเธอถึงออกมาเหมือนผู้หญิงแบบนี้อ่ะ"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่โดยปกติ ที่บ้านชอบกินผักผลไม้ ไม่ก็กินเจเป็นประจำ ไอ้ฉันก็กินจนเคยชิน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวสวยก็ได้มั้ง" ผมบอก ก็ตอนแรกๆ ที่ผมเกิดมา พ่อผมอยากได้ลูกผู้หญิง แต่ผมเป็นผู้ชาย ก็เลยพยายามทำให้ตัวผมดูน่ารักขึ้น สงสัยอาจเป็นอิทธิพลของพ่อผมก็ได้มั้งที่ทำให้ผมเป็นแบบเนี่ย
เสียงมือถือผมสั่น ผมหยิบมันขึ้นมาดู พบว่ามีข้อความมาใหม่
เย็นนี้รีบกลับด้วย พ่อจะส่งคนมารับลูกที่เดิม มีภารกิจใหม่มาแล้ว
ผมรีบอ่านข้อความก่อนที่จะรีบปิดมือถือทันทีก่อนที่เพื่อนผมทั้งสองคนจะเริ่มสนใจอยากรู้ข้อความในมือถือของผม
"อะไรเหรอ" เพื่อนผมของถาม นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ
"เมลขยะนะ" ผมบอกโดยไม่ใส่ใจก่อนที่จะรีบกดลบทิ้งก่อนทำลายหลักฐาน
"ว้า นึกว่าแฟนหนุ่มส่งข้อความมาเลิฟๆ ซะอีกนะเนี่ย" เพื่อนสาวหรี่ตามองผมพร้อมกับพยายามหุบยิ้มอย่างเต็มที่
"เฮ้ย ไอ้กอร์ฟ นี่เอ็งนอกใจตูตอนไหนวะ" เพื่อนของผมเริ่มทำสีหน้าจริงจังถาม"
"ใครนอกใจเอ็งฟะ เมลขยะก็เมลขยะสิเฟ้ย" ผมอยากจะเบิ๊ดกระโหลกมันสักที ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้บ้านี่มันคิดอะไรกับผมจริงรึเปล่า แต่ทุกคำที่มันพูดเล่นทำเอาผมคิดไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้
"ล้อเล่นเว้ยเพื่อน ขำๆ" แล้วเพื่อนตัวดีมันก็หัวเราะเหมือนเดิม
ขำตาย ผมมองตาขวางใส่มัน
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน พร้อมกับนึกถึงข้อความที่พ่อส่งมาหาผมเมื่อกี้
ภารกิจใหม่งั้นเหรอ ผมคิด คราวก่อนเราทำเละไม่เป็นท่า ครั้งนี้เราต้องทำให้ดีที่สุดให้ได้ฃ
----------
หลังจากโฮมรูมเสร็จ ผมได้เดินไปยังจุดที่ผมเจอกับเจ้าหน้าที่ CIA คนอื่นๆ เมื่อวานนี้ แล้วก็เจอพวกเขาจอดรถรออยู่จริงๆ และเมื่อพวกเขาพาผมมาส่งที่บ้าน ผมรีบเข้าไปในบ้านโดยไม่รอช้าทันที
"ขอบใจมาก ออกไปได้" พ่อของผมพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ขับรถมาส่งผมให้ออกไปข้างนอก และเมื่อประตูปิดลง ก็เหลือผมกับพ่อตามลำพังสองคน
"เอาหละลูก เราได้มีภารกิจใหม่มาให้ลูกล่ะนะ" พ่อของผมบอก "แน่นอนว่าผู้ต้องหาของเรายังเป็นผู้ก่อการร้ายสิบห้าคํ่าเดือนสิบเอ็ดเหมือนเดิม"
"มันลงมืออีกแล้วเหรอครับ ทั้งๆ ที่การผลิตแบงค์ปลอมพวกนั้นก็ถูกพวกเราจับได้หมดแล้วนะ" ผมถามด้วยความสงสัย
"องค์กรนี้มันบิ๊กระดับโลกนะลูก ถึงชื่อของมันจะเห่ยก็เถอะ" พ่อบอก "มันมีลูกน้องเป็นบริเวณเป็นหมื่นๆ คนด้วยซํ้า และมันก็จะออกอาลาวาดตลอดด้วย และนี่แหละที่พ่อกับลูกจะต้องปิดบัญชีของมันให้ได้ ไม่ว่ามันจะมีแผนอะไรก็ตาม
พ่อของผมหยิบกระเป๋าเอกสารที่มีขนาดใหญ่กว่ากระเป๋าเอกสารทั่วไปขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็เริ่วหมุนรหัสเพื่อเปิดกระเป๋าขึ้น
"อะไรเหรอครับพ่อ" ผมถาม
"สุดยอดอุปกรณ์ของ CIA ยังไงหละ" พ่อของผมยิ้ม
และเมื่อพ่อของผมเปิดกระเป๋าออก ก็พบว่ามีเครื่องหนึ่งอยู่ในนั้น ลักษณะของมันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีกล้องติดอยู่ทั้งสี่ด้าน และเมื่อพ่อกดสวิตซ์อะไรสักอย่าง มีแสงพุ่งออกมาจากเครื่องนี้ แล้วก็ปรากฎเป็นภาพสีฟ้าฉายออกมาเป็นภาพสามมิติกลางอากาศ แถมภาพกลางอากาศนี้กลับมองเห็นได้ชัดเจน สำคัญก็คือ พ่อของผมเอามือไปกดปุ่มรหัสบนภาพกลางอากาศได้อีกด้วย
"ว้าว สุดยอด" ผมพึมพำด้วยความทึ่ง "ไม่นึกเลยว่าไอ้ของแบบนี้จะมีจริงๆ แล้วด้วย"
"จริงๆ มันมีมาสักพักแล้วหละ แต่ทางการไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปใช้นะ" พ่อของผมยิ้ม "อย่าไปบอกใครเขาหละ"
ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น และมองดูพ่อของผมซึ่งยังกดรหัสเข้าอยู่
แสงภาพสามมิติเริ่มเปลี่ยนภาพราวกับภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ พ่อใช้มือลากแทนราวกับเป็นเม้าท์ เพื่อเปิดแฟ้มเอกสารที่อยู่ในนั้น และเมื่อพ่อของผมกดไปจนถึงแฟ้มที่เขาต้องการแล้ว ภาพสามมิติฉายออกมาเป็นตึกของสถานีโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง สถานีโทรทัศน์ช่องสี่
"เอาหละ นี่คือสถานที่ปฏิบัติภารกิจต่อไปของลูก" พ่อของผมชี้ไปตรงอาคาร "สายของเราแจ้งมาว่าพวกคนร้ายอาจใช้สถานที่นี่ให้เป็นประโยชน์ในการทำแผนการอะไรสักอย่าง"
พ่อของผมกดคลิกปุ่มกลางอากาศ ภาพสามมิติเริ่มเปลี่ยนแปลง ภาพจากตัวตึกทั้งหลังเริ่มเห็นโครงสร้างตึกภายในที่มีทั้งทางเดินตามชั้นต่างๆ พร้อมกับลิฟต์ขนส่งในตัวอาคาร
"สายของเราแจ้งมาว่าพวกของมันแฝงตัวเป็นกรรมการบริหารของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ภารกิจของลูกก็คือ แทรกซึมเข้าไปในอาคารแล้วไปยังห้องทำงานของเขา ขโมยไฟล์ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ของมันมาให้ได้ เราต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันวางแผนอะไรกันอยู่ แต่เรามีโอกาสแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะเจ้าตัวกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศพรุ่งนี้"
แผงผังของอาคารจากภาพฉายสามมิติเริ่มหมุนรอบตัวเองช้าๆ และก็มีเส้นสีแดงราวกับเป็นเส้นทางที่ผมต้องเดินขึ้นไปปรากฎขึ้นมา
"ทีนี้ปัญหาก็คือ สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ห้ามบุคคลภายนอกเข้าออกเด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้นลูกคงต้องบุกเดี่ยวเข้าไปข้างในให้ได้" พ่อของผมปิดท้ายก่อนที่จะปิดเครื่องฉายสามมิติลงในกระเป๋าเอกสารดังเดิม
"แล้วจะให้ผมเข้าไปข้างในตึกนั้นด้วยวิธีอะไรเหรอครับพ่อ" ผมถามด้วยความสงสัย
"เดี๋ยวลูกก็รู้คำตอบ เพราะงานนี้มีแต่ลูกคนเดียวที่ทำได้" พ่อของผมพยักหน้า "ยังไงซะ ลูกพร้อมทำภารกิจนี้ไหมหละ"
"แน่นอนครับ ผมจะไม่ให้พลาดเหมือนครั้งก่อนแน่" ผมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
"ดีมาก งั้นเอานี่ไป" พ่อของผมหยิบนาฬิกาข้อมือมาให้ผม ซึ่งเมื่อผมรับดูแล้ว มันก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากนาฬิกาทั่วไปเลย
"ผมมีนาฬิกาข้อมืออยู่แล้วนะครับพ่อ" ผมยื่นข้อมือเพื่อโชว์ให้พ่อผมดู
"นาฬิกา ปืนความร้อน" พ่อของผมเอ่ย
ทันใดนั้น ตรงขอบนาฬิกาเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น ตรงหน้าปัดนาฬิกา เข็มสั้นและเข็มยาวเริ่มประกบกันแล้วก็ยื่นออกมาเหมือนที่จุดเตาแก๊ส พร้อมกับมีปุ่มเล็กๆ ยื่นออกมาด้วย
"ว้าว" ผมพึมพำดูอุปกรณ์นี้ด้วยความทึ่ง
"นี่คือนาฬิกาเอนกประสงค์ สามารถเอามาสื่อสารพูดคุยกันได้ในรัศมีสามกิโลเมตร ใบมีดสำหรับตัดเชือก กุญแจผี เข็มยาสลบ เครื่องสะกดรอยตาม กันกระสุนปืนได้พร้อมปืนพ่นไฟให้ด้วย แถมจะฟังเพลง MP3 ก็ได้นะ แต่ต้องเอาหูฟังมาเสียบ" พ่อของผมอธิบาย "ลูกจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้ในปฏิบัติภารกิจนี้ สวมมันไว้นะ"
"ขอบคุณครับ" ผมมองดูนาฬิกาเรือนใหม่ที่ตอนนี้ยังมีสภาพเป็นปืนพ่นไฟขนาดจิ๊วอยู่ "แล้วจะสั่งเก็บทำไงละครับ"
"บอกไปว่า นาฬิกา เก็บ" พ่อของผมบอก "มันจะใช้งานได้เฉพาะเสียงของคนที่ได้รับอนุมัติแล้วเท่านั้น เรือนนี้มีแต่ลูกกับพ่อเท่านั้นที่ใช้ได้ จะใช้อะไรก็บอกว่านาฬิกาขึ้นต้นเสมอนะ"
"นาฬิกา เก็บ" ผมลองทดลองทันที
ปลายกระบอกปืนพ่นไฟเริ่มหดลงแล้วก็กลายเป็นเข็มสั้นเข็มยาวตามปกติ แล้วหน้าปัดมันก็หมุนกลับมาเป็นเวลาดั่งเดิม ผมมองดูราวกับมองดูอุปกรณ์วิเศษจากหุ่นยนต์แมวโลกอนาคตอย่างไรอย่างนั้น
"เอาหละ เรามีเวลาคุยกันแค่นี้ เราต้องรีบไปที่สถานีโทรทัศน์นั่นก่อนคํ่า ถ้าเรายังจะทำภารกิจนี้" พ่อของผมลุกขึ้น "ไปกันเถอะลูก"
"ได้เลยครับ" ผมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามพ่อไปนอกบ้านไปอย่างกระตือรือร้น
-------------------
เกือบชั่วโมงต่อมา หลังจากผ่านดงรถติดมาได้ ในที่สุด รถของพวกเราก็ได้มาถึงสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว ตึกสูงห้าสิบชั้นแห่งนี้กำลังจะเป็นสถานที่ปฏิบัติภารกิจของผมแล้ว ป้ายโฆษณาละครเรื่องใหม่เบ่อเริ่มเทิ่มประดับอยู่หน้าทางเข้า แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองไหมว่า รถยนต์ที่ทยอยเข้าไปในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะมากันเยอะผิดปกติ
หลังจากที่ผ่านป้อมยามและเอารถไปจอดได้แล้ว พ่อผมทิ้งเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไว้ที่รถ เพราะรู้สึกว่ารถตู้อีกคันที่ตามมาด้วย ข้างในจะเป็นห้องอะไรสักอย่าง แต่ผมยังไม่เห็น ตอนนี้ผมทำได้แค่เดินตามพ่อผมกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่ปฏิบัติภารกิจเมื่อวานนี้ด้วยเข้าไปในตัวตึก
และเมื่อเข้าไปข้างในแล้ว ผมก็พบว่ามีวัยรุ่นหญิงสวยๆ งามๆ เป็นจำนวนมาก กำลังทยอยต่อแถวเข้าไปข้างใน โดยมีเจ้าหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์ยืนเช็ดบัตรจากทุกคนอยู่
"ผู้สมัครเบอร์สิบเอ็ดนะค่ะ" เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นถามพ่อผมเมื่อพ่อผมยื่นบัตรให้ "แล้วทำไมถึงแต่งตัวเป็นนักเรียนชายเหรอค่ะ"
ถามแปลกๆ ตูเป็นผู้ชาย จะให้ใส่กระโปรงไง ผมคิดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
"อ๋อ พอดีเธออยากเปลี่ยนลุคนะครับ" พ่อของผมยิ้มตอบ
"ค่ะ ขอให้โชคดีนะค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นโปรยยิ้มให้ผม ก่อนที่จะให้พวกผมสามคนเดินเข้าไปข้างในได้ ผมเริ่มคิดอย่างสงสัยแล้วว่าพนักงานหญิงคนเมื่อกี้เป็นสายลับเหมือนพ่อด้วยรึเปล่านะ
และเมื่อผมเดินเข้าไปข้างในแล้ว ก็พบว่าตรงห้องออกอากาศนั้นมีป้ายขนาดใหญ่ติดเอาไว้อยู่ และมันก็เขียนว่า
ประกวดไอดอลสาวน่ารัก สถานีช่องสี่ครั้งที่หนึ่ง
ห๊ะ ประกวดอะไรนะ ??
"ใช่ อย่างที่ลูกคิดเลย" พ่อของผมยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย "นี่แหละ คือวิธีการที่ลูกจะต้องแทรกซึมเข้าไปละ"
"จะให้ผมลงประกวดไอดอลเนี่ยนะครับพ่อ!!" ผมถามด้วยความตกตะลึงและหงุดหงิด "จะบ้าเหรอครับ ผมเป็นผู้ชายนะครับพ่อ!!"
"เบาๆ หน่อยซี่" พ่อของผมเริ่มเอามือปิดปากผม "เอาเป็นว่าเข้าไปคุยกันในห้องแต่งตัวก่อนละกัน"
และผมก็โดนพ่อ (บังคับ) พาไปในห้องแต่งตัวที่หน้าประตูเขียนเอาไว้ชัดเจนเลยว่า 'น้องกอร์ฟจัง' เล่นทำเอาหน้าผมร้อนฉ่าด้วยความอับอาย และเมื่อพ่อกับเจ้าหน้าที่คนนั้นพาผมเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ผมไม่รอช้าเลยที่จะเริ่มตะโกนออกมาด้วยความโมโห
"เนี่ยนะครับ จะให้ผมแทรกซึม ด้วยการที่ผมต้องเข้าประกวดไอดอลเนี่ยนะ!! นี่พ่อเพี้ยนไปแล้วเหรอครับ"
"ไม่เพี้ยนหรอก ก็ลูกเหมาะสมดีแล้วนี่นา เนอะ" พ่อของผมเอาศอกทุ้งๆ กับเจ้าหน้าที่อีกคนที่พยักหน้าอย่างจริงจัง
"แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับพ่อ!!" ผมแย้ง
"สภาพแบบนี้เหมือนผู้ชายตรงไหน" พ่อผมตั้งคำถาม
ผมเริ่มหันหน้ามองดูตัวเองในกระจก ใบหน้าของผมแดงซ่านออกมาด้วยความอับอายและโมโห นํ้าตาของผมคลอออกมาเล็กน้อย ดูยังไงมันก็เหมือนผู้หญิงชัดๆ ผมรีบสะบัดหน้าหนีออกจากกระจกทันที เพราะผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเวลาตัวเองตอนโกรธแล้วมันจะน่ารักแบบนี้ ทุเรศตัวเองจริงๆ
"แต่ยังไงผมก็ไม่เอาหรอกนะ" ผมรีบหันหน้าออกไปทางประตู "ผมจะกลับบ้าน!!"
หมับ!
มือของพ่อผมคว้าที่หัวไหล่ผมอย่างรวดเร็วและล็อคตัวผมเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล แถมผมก็ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากมือของพ่อผมได้อีกต่างหาก และเมื่อผมหันหน้าไป ก็พบว่าพ่อของผมหยิบชุดแปลกๆ ออกมาด้วยมืออีกข้าง
"ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า พ่อเตรียมชุดเอาไว้ให้แล้ว นี่ไง"
"ไม่อ้าวววววววววว!!" ผมร้องลั่น "ผมไม่ใช่กระเทยนะครับพ่อ!!"
"เอาหละ ทีนี้จริงจังแล้ว" พ่อของผมเปลี่ยนนํ้าเสียงทันที "การแทรกซึมเข้าไปในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ นะลูก"
"หมายความว่ายังไง" ผมพยายามกลั้นนํ้าตาของผมเอาไว้สุดความสามารถ เจ้าหน้าที่ CIA คนนั้นจ้องมองผมแทบตาไม่กระพริบ
"สังเกตไหมว่าทำไมทั้งๆ ที่มีงานประกวดแล้วทำไมถึงต้องมีการเตรียมบัตรคิว ทำไมไม่มีการโปรโมตอะไรล่วงหน้า" พ่อของผมถาม "เหตุเพราะทางสถานีต้องการปิดข่าวนี้เอาไว้เป็นความลับ จนกว่าจะถึงวันออกอากาศสด เพื่อเป็นการสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมในการเรียกเรตติ้งรายการให้สูงที่สุด งบประมาณในการจัดทำรายการนี้ก็สูงยิ่งกว่าทำรายการข่าวเสียอีก นอกจากนี้ อย่างที่พ่อบอกไปแล้ว คนอื่นภายนอกของสถานีไม่มีสิทธิที่จะเข้าข้างในได้ ต่อให้เราใช้อุปกรณ์สายลับช่วย แต่สำหรับลูกที่เป็นมือใหม่ ลูกมีโอกาสสูงที่จะโดนจับได้ จำไม่ได้เหรอ ที่พ่อเปิดแผงผังในตัวตึกให้ดูนะ ทางเข้าออกมันมีทางเดียวเองนะ"
มันก็จริงอย่างที่พ่อผมพูด ในแผงผังนั้นผมสังเกตทางเข้าออกก็คือมีแต่ลิฟต์ตัวเดียวเท่านั้น ทางหนีไฟจะเป็นระเบียงข้างนอก ถ้าผมเดินออกไปทางนั้นก็ต้องเป็นที่สังเกตของชาวบ้านรอบๆ ตึกแน่ๆ ถึงจะเป็นตอนกลางคืนก็เถอะ"
"สำหรับผู้ที่สามารถผ่านการประกวดรอบแรกไปได้ จะมีสิทธิที่จะเดินเข้าไปในชั้นที่กรรมการผู้บริหารเข้าไปได้ด้วย ถึงจะไม่สามารถเข้าไปถึงในห้องเป้าหมายของเราก็ตาม แต่ลูกก็จะสามารถเข้าออกได้โดยไม่เป็นที่สังเกตด้วย"
พ่อผมสาธยายทั้งหมดออกมา ถึงผมจะเข้าใจว่ามันเป็นทางเดียวที่ตัวผมจะสามารถทำได้ แต่ก็ไม่พอใจเลยที่ว่าทำไมไม่บอกกันก่อนล่วงหน้าเลยนะ จะได้ปฏิเสธทัน
"และที่สำคัญ ถ้าลูกชนะการประกวด ลูกก็จะกลายเป็นไอดอลหญิงของประเทศทันที เงิน เงิน และเงินก็จะไหลมาเทมา แถมพ่อก็พนันกับเพื่อนที่ทำงานด้วยแหละว่าลูกจะชนะการประกวดด้วย" พ่อของผมยิ้มกริ่ม
"เอาผมมาหากินเนี่ยนะครับพ่อ" ผมถามด้วยความไม่พอใจ
"จับตัวไว้" พ่อผมสั่ง
หมับ!!
เจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาข้างหลังตัวผมแล้วก็ล็อคตัวเอาไว้อย่างรวดเร็ว และเรี่ยวแรงของเขาก็มีมากซะด้วย เล่นทำเอาผมดิ้นไม่หลุด
"เอาหละ อย่าขัดขืนเลย เข้าการประกวดซะดีๆ ฮี่ๆๆๆ" พ่อของผมหยิบชุดหวานแหววนั้นขึ้นมา
"ไม่น้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!"
และแน่นอนว่าผลของการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้นอกจากระบบการศึกษาและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนจะปรับปรุงให้สวยงามตามากขึ้น แต่สิ่งที่สวยงามและเป็นดอกไม้ประจำโรงเรียนก็คือ เหล่านักเรียนหญิงที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่เป็นปีแรก ทำให้เหล่านักเรียนชายหลายคนแทบนํ้าตาไหลด้วยความสมหวังแล้ว ทำให้สีสันของโรงเรียนแห่งนี้น่ารักขึ้นเยอะมาก
ผมก็หวังเช่นนั้น เหตุผลที่ผมอยากให้โรงเรียนนี้ปรับเป็นสหศึกษามานานแล้ว นอกจากที่อยากให้มีสาวๆ มาเรียนแล้ว ผมยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้
"ทำนายแม่นจริงๆ เลยนะเธอว์"
"ฉันจะเจอเนื้อคู่วันนี้ตอนคาบพละด้วยหละ คิกคิก"
เสียงของนักเรียนสาวๆ คุยกันอย่างสนุกสนาน นี่เป็นวันที่สองของการมาเรียนแล้ว พวกสาวๆ นี่ก็สนิทกันง่ายเหลือเกิน สำคัญก็คือ ตรงหน้าผมนั้นมีกลุ่มนักเรียนสาวๆ กำลังรุมล้อมโต๊ะของชมรมโหราศาสตร์ที่มักจะมีการทำนายให้กับนักเรียนทุกเช้าก่อนออดดัง โดยปกติจะเก็บค่าทำนายคนละห้าบาทสิบบาท แต่พอนักเรียนหญิงมาประธานชมรมปรับให้ทำนายฟรีทันที ไม่ค่อยจะหื่นเล้ย
"เอาหละครับคุณผู้หญิง ขอบคุณนะครับที่มาใช้บริการของชมรมของเรา" เสียงนักเรียนชายสุดเท่คนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความประทับใจของสาวๆ และเมื่อผมมองเห็น ก็พบว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันต่างห้องได้ทำนายให้กับสาวๆ อยู่ หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่ทำไมต้องมาหลงอยู่กับชมรมนี้ด้วยนะ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องคำทำนายอะไรนั่นอยู่แล้ว
"ขอบคุณค่ะ เอ่อ เท่าไหร่เหรอค่ะ" นักเรียนหญิงที่เป็นลูกค้าคนล่าสุดดูท่าทางกระเป๋าหนักที่สุดกำลังหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา
"ไม่เป็นไรหรอกครับ สำหรับสาวน้อยน่ารักอย่างคุณผู้หญิงแล้ว ผมยินดีบริการฟรีทั้งกายและใจครับ" นักเรียนชมรมโหราศาสตร์ยกมือห้าม พร้อมกับโปรยยิ้มจนเห็นฟันขาว เล่นทำเอาสาวๆ กรี๊ดจนแก้วหูแทบระเบิด
"กรี๊ด นอกจากหล่อแล้วยังใจดีอีก ขอบคุณมากๆ ค่า" สาวน้อยคนนั้นกระดี้กระด้าไปอีก ถึงภายนอกจะเรียกว่าสิบเอ็ด รด. แต่สำหรับนักเรียนชายล้วนอย่างผมแล้ว ผมกลับมองว่า น่ารักไปอีกแบบ
แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมอยู่แล้ว ดังนั้น ผมจึงเดินผ่านไปโดยแทบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
"เธอนะ หยุดก่อน!!"
เสียงของนักเรียนชายคนนั้นเอ่ยเรียกผม และเมื่อผมหันไปมอง ก็พบกับสายตาของสาวๆ ที่มองผมแปลกๆ บางคนยังมองด้วยความสงสัย ในขณะที่นักเรียนชายคนนั้นมองผมราวกับกำลังเพ่งพิจารณาอะไรผมอยู่
จะจับตูกินรึไง ผมคิดติดตลก
"เธอนะ กำลังจะมีชีวิตรุ่งในไม่ช้านี้" เขาเริ่มทำนายให้ผมด้วยสีหน้าที่จริงจังสุดๆ "ใช่แล้ว เธอกำลังจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเธอ และในไม่ช้านี้ด้วย"
ผมยืนฟังด้วยความรำคาญเล็กน้อย เพราะตอนนี้ผมโดนนักเรียนสาวๆ ที่เป็นลูกค้าล้อมหน้าล้อมหลัง ทำให้ผมต้องจำใจยืนฟังคำทำนายของเขาให้จบ
"ใช่แล้ว เธอกำลังจะเป็น สุดยอดไอดอลอำดับหนึ่งของเมืองไทย ยอดสาวน้อยที่น่ารักที่สุดในประเทศ!!"
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว สาวๆ หลายคน จากแววตาที่สงสัยกลับกลายเป็นทั้งชื่นชม อิจฉา ไม่ก็มองดูด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม และอีกหลายคน ยิ้มหัวเราะออกมา
"หึๆๆ ไม่ต้องห่วงนะสาวน้อย ผมทำนายอะไรไม่เคยผิดพลาดเสมอ ก้าวบันไดสู่ฝันได้เล้ย!!"
ผมแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว มือของผมหยิบขวดนํ้าที่ผมถืออยู่เขวี้ยงไปที่หัวของหมอนั่นอย่างรวดเร็ว
ผวั๊ะ!!
เจ้าตัวหงายหลังแล้วกระแทกลงกับโต๊ะเก้าอี้ชมรมของเขาเอง นักเรียนสาวหลายคนตกอกตกใจกับอาการของผม หลายคนเอามือปิดปาก
"ผู้หญิงอะไรอ่ะ แรงเยอะจัง" มีเสียงนักเรียนสาวคนหนึ่งซุบซิบออกมา
"ใครจะไปเป็นไอดงไอดอลกันฟะ ตูเป็นผู้ชายนะเฟ้ยยยยยยย!!" ผมตวาดออกมาดังลั่นด้วยความไม่พอใจ "แล้วไม่ต้องมาเรียกตูว่าสาวน้อยอีกนะ"
เมื่อผมพูดจบ ผมสะบัดตัวไปอีกทางแล้วก็เดินออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอใจ เสียงซุบซิบดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
"นั่นนะเหรอ ผู้ชาย"
"สวยกว่าชั้นอีกอ่ะ"
"ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะ ว้าย น่ารักจังเลย"
ผมถูฟันบนฟันล่างด้วยปากตนเองด้วยความหงุดหงิดและเสียวสันหลังที่สุด
และนี่แหละคือเหตุผลที่ผมอยากให้มันเป็นสหศึกษามานานแล้ว เพราะหน้าตาผมมันน่ารักขั้นเทพเนี่ยแหละ!!
--------------------
เนื้อหาในการเรียนวันนี้นั้นแทบไม่เข้าหัวผมทั้งนั้นเลย เพราะตลอดเวลาที่เรียนมาเป็นวันที่สอง มีแต่สายตาจากนักเรียนสาวๆ ที่จับจ้องมองตัวผมแทบตาเป็นมัน เรียกได้ว่า พวกเธอแทบจะมองทะลุให้เห็นตัวผมทั้งหมดเลยมั้ง ส่วนอาจารย์ท่านที่กำลังสอนอยู่นี้เขาเห็นผมมาตั้งแต่ผมเข้ามาเรียนที่นี่เป็นครั้งแรกแล้ว เขาเลยไม่ได้สนใจอะไร
ทำไมอ่ะ ไม่เคยเห็นผู้ชายหน้าหวานกันรึยังไง ผมคิดอย่างอับอาย มองอะไรกันอยู่ได้
"เอาหละ วันนี้เลิกเรียนเพียงเท่านี้" อาจารย์บอกเลิกชั้นพร้อมกับกวักมือเรียกผม
"กอร์ฟ มาหาครูหน่อย"
ผมลุกขึ้นแล้วก็เดินไปหาอาจารย์หน้าชั้นเรียน ด้วยความสงสัยและเกรงกลัวท่านเล็กน้อยเนื่องจากผมแทบหาสมาธิในการเรียนแทบไม่ได้เมื่อผมโดนจ้องแบบนี้มาทั้งวัน
"เดี๋ยวครูฝากให้เราเก็บการบ้านของเพื่อนๆ ส่งให้ครูด้วยนะ" อาจารย์บอก ผมพยักหน้าอย่างโล่งอกเล็กน้อยที่ไม่โดนตำหนิ
"อย่าคิดมากนะกอร์ฟ เดี๋ยวเธอก็ชินๆ ไปเอง" อาจารย์พูดเสียงเบาลงเพื่อเป็นการปลอบใจผม ผมรู้สึกว่าอยากกอดอาจารย์คนนี้ซะจริงๆ เพราะในบรรดาอาจารย์ทั้งโรงเรียนเนี่ยแหละ มีอาจารย์ท่านนี้เห็นใจผมตั้งแต่แรกแล้วที่ผมเกิดมาหน้าตาน่ารักแบบนี้
เมื่ออาจารย์เดินจากห้องไปหลังจากที่หัวหน้าชั้นบอกทำความเคารพแล้ว ผมเดินกลับมานั่งที่พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เหลือเวลาโฮมรูม ก็จะหมดคาบเรียนทั้งหมดของวันนี้แล้ว
"เหนื่อยหน่อยนะกอร์ฟ" เพื่อนของผมเดินมาปลอบใจผม "วันนี้นายเล่นเนื้อหอมทั้งวันเลยวะ"
"หอมทีท่าไหนว่ะ กับการโดนผู้หญิงมาจ้องเอาจ้องเอาเนี่ยนะ" ผมกอดอกอย่างขนลุก "จ้องยังกับไม่เคยเห็นผู้ชายแบบฉันเนี่ย"
"ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ นะสิจ๊ะ" นักเรียนสาวคนใหม่เดินมาทักทายผม "เนี่ย พวกชั้นยังอิจฉากันเลยนะเนี่ย ทั้งผิวกายที่เนียนนุ่ม หรือใบหน้าที่สวยแบบเนี้ย น่าอิจฉาจิงจริ๊ง"
"แต่ฉันไม่เห็นจะอยากได้เลย อยากถลกมันออกไปทั้งตัวด้วยซํ้า" ผมนั่งท้าวคางกับโต๊ะนักเรียน "จะบ้าตายอยู่แล้ว ที่ต้องโดนผู้ชายมาจับจ้องมองยังกับว่าฉันเป็นผู้หญิงปลอมตัวมาเป็นผู้ชายเนี่ย"
"แต่พูดจริงๆ นะเพื่อน ถ้าเอ็งเป็นผู้หญิงจริงๆ ตูเอา" เพื่อนตัวดีของผมทำหน้าเข้มทันที
"ไอ้บ้า!! แกเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันตอนไหนว่ะ" ผมรีบถลาออกมาห่างๆ จากเพื่อนของผมอย่างรวดเร็วจนผมเกือบนั่งตกเก้าอี้
"ตูไม่สนโว้ย น่ารักซะอย่าง แถมสาวดุ้นก็กำลังมาแรงด้วย ซาบู ซาบู" เพื่อนของผมเริ่มทำจมูกฟืดฟาดออกมา เล่นทำเอาผมอยากประเคนหมัดใส่หน้าสักรอบ
"ฮ่าๆ ล้อเล่นเว้ยกอร์ฟ เป็นไง หายเครียดยังว่ะ?" เพื่อนของผมเริ่มหัวเราะลั่น
"เครียดเข้าไปใหญ่สิไม่ว่า" ผมกอดอกด้วยความขนลุก
"จะว่าไป ฉันก็สงสัยมาตั้งนานแล้วนะ ว่าทำไมตัวเธอถึงออกมาเหมือนผู้หญิงแบบนี้อ่ะ"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่โดยปกติ ที่บ้านชอบกินผักผลไม้ ไม่ก็กินเจเป็นประจำ ไอ้ฉันก็กินจนเคยชิน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวสวยก็ได้มั้ง" ผมบอก ก็ตอนแรกๆ ที่ผมเกิดมา พ่อผมอยากได้ลูกผู้หญิง แต่ผมเป็นผู้ชาย ก็เลยพยายามทำให้ตัวผมดูน่ารักขึ้น สงสัยอาจเป็นอิทธิพลของพ่อผมก็ได้มั้งที่ทำให้ผมเป็นแบบเนี่ย
เสียงมือถือผมสั่น ผมหยิบมันขึ้นมาดู พบว่ามีข้อความมาใหม่
เย็นนี้รีบกลับด้วย พ่อจะส่งคนมารับลูกที่เดิม มีภารกิจใหม่มาแล้ว
ผมรีบอ่านข้อความก่อนที่จะรีบปิดมือถือทันทีก่อนที่เพื่อนผมทั้งสองคนจะเริ่มสนใจอยากรู้ข้อความในมือถือของผม
"อะไรเหรอ" เพื่อนผมของถาม นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ
"เมลขยะนะ" ผมบอกโดยไม่ใส่ใจก่อนที่จะรีบกดลบทิ้งก่อนทำลายหลักฐาน
"ว้า นึกว่าแฟนหนุ่มส่งข้อความมาเลิฟๆ ซะอีกนะเนี่ย" เพื่อนสาวหรี่ตามองผมพร้อมกับพยายามหุบยิ้มอย่างเต็มที่
"เฮ้ย ไอ้กอร์ฟ นี่เอ็งนอกใจตูตอนไหนวะ" เพื่อนของผมเริ่มทำสีหน้าจริงจังถาม"
"ใครนอกใจเอ็งฟะ เมลขยะก็เมลขยะสิเฟ้ย" ผมอยากจะเบิ๊ดกระโหลกมันสักที ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้บ้านี่มันคิดอะไรกับผมจริงรึเปล่า แต่ทุกคำที่มันพูดเล่นทำเอาผมคิดไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้
"ล้อเล่นเว้ยเพื่อน ขำๆ" แล้วเพื่อนตัวดีมันก็หัวเราะเหมือนเดิม
ขำตาย ผมมองตาขวางใส่มัน
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน พร้อมกับนึกถึงข้อความที่พ่อส่งมาหาผมเมื่อกี้
ภารกิจใหม่งั้นเหรอ ผมคิด คราวก่อนเราทำเละไม่เป็นท่า ครั้งนี้เราต้องทำให้ดีที่สุดให้ได้ฃ
----------
หลังจากโฮมรูมเสร็จ ผมได้เดินไปยังจุดที่ผมเจอกับเจ้าหน้าที่ CIA คนอื่นๆ เมื่อวานนี้ แล้วก็เจอพวกเขาจอดรถรออยู่จริงๆ และเมื่อพวกเขาพาผมมาส่งที่บ้าน ผมรีบเข้าไปในบ้านโดยไม่รอช้าทันที
"ขอบใจมาก ออกไปได้" พ่อของผมพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ขับรถมาส่งผมให้ออกไปข้างนอก และเมื่อประตูปิดลง ก็เหลือผมกับพ่อตามลำพังสองคน
"เอาหละลูก เราได้มีภารกิจใหม่มาให้ลูกล่ะนะ" พ่อของผมบอก "แน่นอนว่าผู้ต้องหาของเรายังเป็นผู้ก่อการร้ายสิบห้าคํ่าเดือนสิบเอ็ดเหมือนเดิม"
"มันลงมืออีกแล้วเหรอครับ ทั้งๆ ที่การผลิตแบงค์ปลอมพวกนั้นก็ถูกพวกเราจับได้หมดแล้วนะ" ผมถามด้วยความสงสัย
"องค์กรนี้มันบิ๊กระดับโลกนะลูก ถึงชื่อของมันจะเห่ยก็เถอะ" พ่อบอก "มันมีลูกน้องเป็นบริเวณเป็นหมื่นๆ คนด้วยซํ้า และมันก็จะออกอาลาวาดตลอดด้วย และนี่แหละที่พ่อกับลูกจะต้องปิดบัญชีของมันให้ได้ ไม่ว่ามันจะมีแผนอะไรก็ตาม
พ่อของผมหยิบกระเป๋าเอกสารที่มีขนาดใหญ่กว่ากระเป๋าเอกสารทั่วไปขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็เริ่วหมุนรหัสเพื่อเปิดกระเป๋าขึ้น
"อะไรเหรอครับพ่อ" ผมถาม
"สุดยอดอุปกรณ์ของ CIA ยังไงหละ" พ่อของผมยิ้ม
และเมื่อพ่อของผมเปิดกระเป๋าออก ก็พบว่ามีเครื่องหนึ่งอยู่ในนั้น ลักษณะของมันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีกล้องติดอยู่ทั้งสี่ด้าน และเมื่อพ่อกดสวิตซ์อะไรสักอย่าง มีแสงพุ่งออกมาจากเครื่องนี้ แล้วก็ปรากฎเป็นภาพสีฟ้าฉายออกมาเป็นภาพสามมิติกลางอากาศ แถมภาพกลางอากาศนี้กลับมองเห็นได้ชัดเจน สำคัญก็คือ พ่อของผมเอามือไปกดปุ่มรหัสบนภาพกลางอากาศได้อีกด้วย
"ว้าว สุดยอด" ผมพึมพำด้วยความทึ่ง "ไม่นึกเลยว่าไอ้ของแบบนี้จะมีจริงๆ แล้วด้วย"
"จริงๆ มันมีมาสักพักแล้วหละ แต่ทางการไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปใช้นะ" พ่อของผมยิ้ม "อย่าไปบอกใครเขาหละ"
ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น และมองดูพ่อของผมซึ่งยังกดรหัสเข้าอยู่
แสงภาพสามมิติเริ่มเปลี่ยนภาพราวกับภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ พ่อใช้มือลากแทนราวกับเป็นเม้าท์ เพื่อเปิดแฟ้มเอกสารที่อยู่ในนั้น และเมื่อพ่อของผมกดไปจนถึงแฟ้มที่เขาต้องการแล้ว ภาพสามมิติฉายออกมาเป็นตึกของสถานีโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง สถานีโทรทัศน์ช่องสี่
"เอาหละ นี่คือสถานที่ปฏิบัติภารกิจต่อไปของลูก" พ่อของผมชี้ไปตรงอาคาร "สายของเราแจ้งมาว่าพวกคนร้ายอาจใช้สถานที่นี่ให้เป็นประโยชน์ในการทำแผนการอะไรสักอย่าง"
พ่อของผมกดคลิกปุ่มกลางอากาศ ภาพสามมิติเริ่มเปลี่ยนแปลง ภาพจากตัวตึกทั้งหลังเริ่มเห็นโครงสร้างตึกภายในที่มีทั้งทางเดินตามชั้นต่างๆ พร้อมกับลิฟต์ขนส่งในตัวอาคาร
"สายของเราแจ้งมาว่าพวกของมันแฝงตัวเป็นกรรมการบริหารของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ภารกิจของลูกก็คือ แทรกซึมเข้าไปในอาคารแล้วไปยังห้องทำงานของเขา ขโมยไฟล์ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ของมันมาให้ได้ เราต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันวางแผนอะไรกันอยู่ แต่เรามีโอกาสแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะเจ้าตัวกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศพรุ่งนี้"
แผงผังของอาคารจากภาพฉายสามมิติเริ่มหมุนรอบตัวเองช้าๆ และก็มีเส้นสีแดงราวกับเป็นเส้นทางที่ผมต้องเดินขึ้นไปปรากฎขึ้นมา
"ทีนี้ปัญหาก็คือ สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ห้ามบุคคลภายนอกเข้าออกเด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้นลูกคงต้องบุกเดี่ยวเข้าไปข้างในให้ได้" พ่อของผมปิดท้ายก่อนที่จะปิดเครื่องฉายสามมิติลงในกระเป๋าเอกสารดังเดิม
"แล้วจะให้ผมเข้าไปข้างในตึกนั้นด้วยวิธีอะไรเหรอครับพ่อ" ผมถามด้วยความสงสัย
"เดี๋ยวลูกก็รู้คำตอบ เพราะงานนี้มีแต่ลูกคนเดียวที่ทำได้" พ่อของผมพยักหน้า "ยังไงซะ ลูกพร้อมทำภารกิจนี้ไหมหละ"
"แน่นอนครับ ผมจะไม่ให้พลาดเหมือนครั้งก่อนแน่" ผมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
"ดีมาก งั้นเอานี่ไป" พ่อของผมหยิบนาฬิกาข้อมือมาให้ผม ซึ่งเมื่อผมรับดูแล้ว มันก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากนาฬิกาทั่วไปเลย
"ผมมีนาฬิกาข้อมืออยู่แล้วนะครับพ่อ" ผมยื่นข้อมือเพื่อโชว์ให้พ่อผมดู
"นาฬิกา ปืนความร้อน" พ่อของผมเอ่ย
ทันใดนั้น ตรงขอบนาฬิกาเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น ตรงหน้าปัดนาฬิกา เข็มสั้นและเข็มยาวเริ่มประกบกันแล้วก็ยื่นออกมาเหมือนที่จุดเตาแก๊ส พร้อมกับมีปุ่มเล็กๆ ยื่นออกมาด้วย
"ว้าว" ผมพึมพำดูอุปกรณ์นี้ด้วยความทึ่ง
"นี่คือนาฬิกาเอนกประสงค์ สามารถเอามาสื่อสารพูดคุยกันได้ในรัศมีสามกิโลเมตร ใบมีดสำหรับตัดเชือก กุญแจผี เข็มยาสลบ เครื่องสะกดรอยตาม กันกระสุนปืนได้พร้อมปืนพ่นไฟให้ด้วย แถมจะฟังเพลง MP3 ก็ได้นะ แต่ต้องเอาหูฟังมาเสียบ" พ่อของผมอธิบาย "ลูกจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้ในปฏิบัติภารกิจนี้ สวมมันไว้นะ"
"ขอบคุณครับ" ผมมองดูนาฬิกาเรือนใหม่ที่ตอนนี้ยังมีสภาพเป็นปืนพ่นไฟขนาดจิ๊วอยู่ "แล้วจะสั่งเก็บทำไงละครับ"
"บอกไปว่า นาฬิกา เก็บ" พ่อของผมบอก "มันจะใช้งานได้เฉพาะเสียงของคนที่ได้รับอนุมัติแล้วเท่านั้น เรือนนี้มีแต่ลูกกับพ่อเท่านั้นที่ใช้ได้ จะใช้อะไรก็บอกว่านาฬิกาขึ้นต้นเสมอนะ"
"นาฬิกา เก็บ" ผมลองทดลองทันที
ปลายกระบอกปืนพ่นไฟเริ่มหดลงแล้วก็กลายเป็นเข็มสั้นเข็มยาวตามปกติ แล้วหน้าปัดมันก็หมุนกลับมาเป็นเวลาดั่งเดิม ผมมองดูราวกับมองดูอุปกรณ์วิเศษจากหุ่นยนต์แมวโลกอนาคตอย่างไรอย่างนั้น
"เอาหละ เรามีเวลาคุยกันแค่นี้ เราต้องรีบไปที่สถานีโทรทัศน์นั่นก่อนคํ่า ถ้าเรายังจะทำภารกิจนี้" พ่อของผมลุกขึ้น "ไปกันเถอะลูก"
"ได้เลยครับ" ผมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามพ่อไปนอกบ้านไปอย่างกระตือรือร้น
-------------------
เกือบชั่วโมงต่อมา หลังจากผ่านดงรถติดมาได้ ในที่สุด รถของพวกเราก็ได้มาถึงสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว ตึกสูงห้าสิบชั้นแห่งนี้กำลังจะเป็นสถานที่ปฏิบัติภารกิจของผมแล้ว ป้ายโฆษณาละครเรื่องใหม่เบ่อเริ่มเทิ่มประดับอยู่หน้าทางเข้า แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองไหมว่า รถยนต์ที่ทยอยเข้าไปในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะมากันเยอะผิดปกติ
หลังจากที่ผ่านป้อมยามและเอารถไปจอดได้แล้ว พ่อผมทิ้งเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไว้ที่รถ เพราะรู้สึกว่ารถตู้อีกคันที่ตามมาด้วย ข้างในจะเป็นห้องอะไรสักอย่าง แต่ผมยังไม่เห็น ตอนนี้ผมทำได้แค่เดินตามพ่อผมกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่ปฏิบัติภารกิจเมื่อวานนี้ด้วยเข้าไปในตัวตึก
และเมื่อเข้าไปข้างในแล้ว ผมก็พบว่ามีวัยรุ่นหญิงสวยๆ งามๆ เป็นจำนวนมาก กำลังทยอยต่อแถวเข้าไปข้างใน โดยมีเจ้าหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์ยืนเช็ดบัตรจากทุกคนอยู่
"ผู้สมัครเบอร์สิบเอ็ดนะค่ะ" เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นถามพ่อผมเมื่อพ่อผมยื่นบัตรให้ "แล้วทำไมถึงแต่งตัวเป็นนักเรียนชายเหรอค่ะ"
ถามแปลกๆ ตูเป็นผู้ชาย จะให้ใส่กระโปรงไง ผมคิดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
"อ๋อ พอดีเธออยากเปลี่ยนลุคนะครับ" พ่อของผมยิ้มตอบ
"ค่ะ ขอให้โชคดีนะค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นโปรยยิ้มให้ผม ก่อนที่จะให้พวกผมสามคนเดินเข้าไปข้างในได้ ผมเริ่มคิดอย่างสงสัยแล้วว่าพนักงานหญิงคนเมื่อกี้เป็นสายลับเหมือนพ่อด้วยรึเปล่านะ
และเมื่อผมเดินเข้าไปข้างในแล้ว ก็พบว่าตรงห้องออกอากาศนั้นมีป้ายขนาดใหญ่ติดเอาไว้อยู่ และมันก็เขียนว่า
ประกวดไอดอลสาวน่ารัก สถานีช่องสี่ครั้งที่หนึ่ง
ห๊ะ ประกวดอะไรนะ ??
"ใช่ อย่างที่ลูกคิดเลย" พ่อของผมยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย "นี่แหละ คือวิธีการที่ลูกจะต้องแทรกซึมเข้าไปละ"
"จะให้ผมลงประกวดไอดอลเนี่ยนะครับพ่อ!!" ผมถามด้วยความตกตะลึงและหงุดหงิด "จะบ้าเหรอครับ ผมเป็นผู้ชายนะครับพ่อ!!"
"เบาๆ หน่อยซี่" พ่อของผมเริ่มเอามือปิดปากผม "เอาเป็นว่าเข้าไปคุยกันในห้องแต่งตัวก่อนละกัน"
และผมก็โดนพ่อ (บังคับ) พาไปในห้องแต่งตัวที่หน้าประตูเขียนเอาไว้ชัดเจนเลยว่า 'น้องกอร์ฟจัง' เล่นทำเอาหน้าผมร้อนฉ่าด้วยความอับอาย และเมื่อพ่อกับเจ้าหน้าที่คนนั้นพาผมเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ผมไม่รอช้าเลยที่จะเริ่มตะโกนออกมาด้วยความโมโห
"เนี่ยนะครับ จะให้ผมแทรกซึม ด้วยการที่ผมต้องเข้าประกวดไอดอลเนี่ยนะ!! นี่พ่อเพี้ยนไปแล้วเหรอครับ"
"ไม่เพี้ยนหรอก ก็ลูกเหมาะสมดีแล้วนี่นา เนอะ" พ่อของผมเอาศอกทุ้งๆ กับเจ้าหน้าที่อีกคนที่พยักหน้าอย่างจริงจัง
"แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับพ่อ!!" ผมแย้ง
"สภาพแบบนี้เหมือนผู้ชายตรงไหน" พ่อผมตั้งคำถาม
ผมเริ่มหันหน้ามองดูตัวเองในกระจก ใบหน้าของผมแดงซ่านออกมาด้วยความอับอายและโมโห นํ้าตาของผมคลอออกมาเล็กน้อย ดูยังไงมันก็เหมือนผู้หญิงชัดๆ ผมรีบสะบัดหน้าหนีออกจากกระจกทันที เพราะผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเวลาตัวเองตอนโกรธแล้วมันจะน่ารักแบบนี้ ทุเรศตัวเองจริงๆ
"แต่ยังไงผมก็ไม่เอาหรอกนะ" ผมรีบหันหน้าออกไปทางประตู "ผมจะกลับบ้าน!!"
หมับ!
มือของพ่อผมคว้าที่หัวไหล่ผมอย่างรวดเร็วและล็อคตัวผมเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล แถมผมก็ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากมือของพ่อผมได้อีกต่างหาก และเมื่อผมหันหน้าไป ก็พบว่าพ่อของผมหยิบชุดแปลกๆ ออกมาด้วยมืออีกข้าง
"ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า พ่อเตรียมชุดเอาไว้ให้แล้ว นี่ไง"
"ไม่อ้าวววววววววว!!" ผมร้องลั่น "ผมไม่ใช่กระเทยนะครับพ่อ!!"
"เอาหละ ทีนี้จริงจังแล้ว" พ่อของผมเปลี่ยนนํ้าเสียงทันที "การแทรกซึมเข้าไปในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ นะลูก"
"หมายความว่ายังไง" ผมพยายามกลั้นนํ้าตาของผมเอาไว้สุดความสามารถ เจ้าหน้าที่ CIA คนนั้นจ้องมองผมแทบตาไม่กระพริบ
"สังเกตไหมว่าทำไมทั้งๆ ที่มีงานประกวดแล้วทำไมถึงต้องมีการเตรียมบัตรคิว ทำไมไม่มีการโปรโมตอะไรล่วงหน้า" พ่อของผมถาม "เหตุเพราะทางสถานีต้องการปิดข่าวนี้เอาไว้เป็นความลับ จนกว่าจะถึงวันออกอากาศสด เพื่อเป็นการสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมในการเรียกเรตติ้งรายการให้สูงที่สุด งบประมาณในการจัดทำรายการนี้ก็สูงยิ่งกว่าทำรายการข่าวเสียอีก นอกจากนี้ อย่างที่พ่อบอกไปแล้ว คนอื่นภายนอกของสถานีไม่มีสิทธิที่จะเข้าข้างในได้ ต่อให้เราใช้อุปกรณ์สายลับช่วย แต่สำหรับลูกที่เป็นมือใหม่ ลูกมีโอกาสสูงที่จะโดนจับได้ จำไม่ได้เหรอ ที่พ่อเปิดแผงผังในตัวตึกให้ดูนะ ทางเข้าออกมันมีทางเดียวเองนะ"
มันก็จริงอย่างที่พ่อผมพูด ในแผงผังนั้นผมสังเกตทางเข้าออกก็คือมีแต่ลิฟต์ตัวเดียวเท่านั้น ทางหนีไฟจะเป็นระเบียงข้างนอก ถ้าผมเดินออกไปทางนั้นก็ต้องเป็นที่สังเกตของชาวบ้านรอบๆ ตึกแน่ๆ ถึงจะเป็นตอนกลางคืนก็เถอะ"
"สำหรับผู้ที่สามารถผ่านการประกวดรอบแรกไปได้ จะมีสิทธิที่จะเดินเข้าไปในชั้นที่กรรมการผู้บริหารเข้าไปได้ด้วย ถึงจะไม่สามารถเข้าไปถึงในห้องเป้าหมายของเราก็ตาม แต่ลูกก็จะสามารถเข้าออกได้โดยไม่เป็นที่สังเกตด้วย"
พ่อผมสาธยายทั้งหมดออกมา ถึงผมจะเข้าใจว่ามันเป็นทางเดียวที่ตัวผมจะสามารถทำได้ แต่ก็ไม่พอใจเลยที่ว่าทำไมไม่บอกกันก่อนล่วงหน้าเลยนะ จะได้ปฏิเสธทัน
"และที่สำคัญ ถ้าลูกชนะการประกวด ลูกก็จะกลายเป็นไอดอลหญิงของประเทศทันที เงิน เงิน และเงินก็จะไหลมาเทมา แถมพ่อก็พนันกับเพื่อนที่ทำงานด้วยแหละว่าลูกจะชนะการประกวดด้วย" พ่อของผมยิ้มกริ่ม
"เอาผมมาหากินเนี่ยนะครับพ่อ" ผมถามด้วยความไม่พอใจ
"จับตัวไว้" พ่อผมสั่ง
หมับ!!
เจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาข้างหลังตัวผมแล้วก็ล็อคตัวเอาไว้อย่างรวดเร็ว และเรี่ยวแรงของเขาก็มีมากซะด้วย เล่นทำเอาผมดิ้นไม่หลุด
"เอาหละ อย่าขัดขืนเลย เข้าการประกวดซะดีๆ ฮี่ๆๆๆ" พ่อของผมหยิบชุดหวานแหววนั้นขึ้นมา
"ไม่น้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น