คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 3 : Old Castle
หลังจากเหตุการณ์ตอนนั้น รากไม้ที่เข้ามาคุกคามเมืองโพนี่วิลด์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย สภาพของเมืองที่ราวกับถูกพืชควบคุมเมืองนั้นก็ได้กลับเข้าสู่สภาพเดิมแล้ว เหล่าม้าชาวเมืองทั้งหลายต่างดีใจอย่างมากที่ทุกอย่างจะได้กลับมาเป็นปกติสุข และเห็นว่าพวกเขาดีใจด้วยที่ผมได้กลับมาอีกครั้งและได้พาน้องสาวมาด้วย แม้ว่าน้องสาวผมจะตื่นเต้นที่ผมดูท่าจะมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่โพนี่ด้วยกัน แต่ผมเองก็ไม่อยากจะให้น้องสาวเป็นจุดสนใจของชาวเมืองเท่าไหร่ เลยขอหลบเลี่ยงให้พวกผมไปพักผ่อนกันก่อน ยิ่งน้องผมยังไม่ชินกับร่างโพนี่ด้วย จะลำบากเอาเปล่าๆ และบ้านหลังเดิมของผมนั้นจะยังอยู่เหมือนเดิม รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ด้วย และแทบไม่มีฝุ่นอะไรมาเกาะเลย พอถามว่ามีใครมาทำความสะอาดอะไรให้รึเปล่า คราวไรเดอร์ก็เดินหลบหน้าผมไปซะงั้น แต่แรร์ริรี้ก็มาบอกผมว่า มีม้าแถวๆ นี้แหละมาทำความสะอาดให้ เพราะหวังว่าผมจะกลับมาซักวัน ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงจะรู้นะว่าม้าตัวไหนเป็นคนทำอะนะ
ผมเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองโพนี่วิลด์ทันทีเมื่อผมได้พาน้องสาวผมไปชมบ้านของผมแล้ว แม้ว่าผมจะอยู่ที่เมืองโพนี่วิลด์มานานแต่ก็ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน อารมณ์ของโรงพยาบาลที่นี่จะคล้ายกับโรงพยาบาลเอกชนในชนบท คือไม่ได้มีพื้นที่ที่ใหญ่โตกว้างขวางอะไรมากมาย แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเดียวกันกับอาณาจักรคริสตัล นายแพทย์ยูนิคอร์นที่เป็นหมอประจำโรงพยาบาลได้บอกผมว่าปีกข้างหนึ่งซ้ายของผมกระดูกผมหักตามที่ทไวไลท์บอกมาจริงๆ และจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนกว่าถึงจะสามารถหายดีได้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมเคยโดนควีนคริสซาลิสหักปีกผมเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด แม้ว่าน้องผมจะทำสีหน้าไม่สู้ดีนักที่ผมมาโลกนี้ก็ต้องบาดเจ็บแล้ว แต่ผมก็เฉยๆ เพราะไม่ได้บินแค่เดือนเดียวยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้ว แต่ก็แอบคิดเหมือนกันว่าเหตุการณ์มันจะบังเอิญไปรึเปล่าที่ดันมาแบบเดียวกับครั้งก่อนเลย
วันต่อมา ผมกับน้องสาวได้ไปหาทไวไลท์ที่ห้องสมุด ซึ่งคิดว่าเธอก็คงจะหาคำตอบเรื่องกล่องปริศนาที่โผล่มาจากต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองนั่น โดยผมให้น้องสาวผมได้ไปเดินเที่ยวเมืองโพนี่วิลด์กับคราว เพราะน้องสาวผมยังอ่านภาษาโลกนี้ไม่ออก และเธอก็คงจะเบื่อแย่ถ้ามานั่งเฉยๆ และหลังจากที่ทั้งผม ทไวไลท์ และสไป้ค์นั่งจมอยู่กองหนังสือทั้งวันจนตาแทบลายก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับกล่องปริศนาของต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองเลย แต่เย็นวันนั้น น้องผมก็เริ่มเดินคล่องขึ้น ซึ่งคราวก็ได้บอกผมมาว่าเธอได้ช่วยสอนวิธีการเดิน กระโดดหรือแม้แต่บินให้เธออย่างเต็มใจ (ที่รู้ว่าเต็มใจเพราะเธอบอกผมว่า 'อย่าเข้าใจผิดนะ' ซึ่งถ้าเธอพูดอะไรแบบนี้ออกมามันย่อมหมายถึงว่าเธอเต็มใจอยู่แล้วอะนะ) ทไวไลท์บอกผมว่าเธอจะหาวิธีการให้ได้ว่าจะเปิดกล่องปริศนานั้นให้ได้ยังไง
เย็นวันนั้นพิงค์กี้พายจัดปาร์ตี้ฉลองการกลับมาของผมและต้อนรับน้องสาวผม ซึ่งผมหละงงมากว่าแขกที่มางานทำไมมันเยอะผิดปกติ เพราะมันมากกว่าครั้งก่อนที่พิงค์พี้พายจัดให้ผมอีก แต่ก็มารู้ทีหลังว่ามีเหล่าม้ามาจากทั้งแคนเทอร์ล็อตและเมืองแอปเปิ้ลลูซ่าด้วย เหตุผลเพราะผมเป็นม้าที่ช่วยเหลืออีเควสเทรียเอาไว้ถึงสองครั้ง และทไวไลท์เองก็เป็นเจ้าหญิงแล้ว มันเลยเหมือนมาเยี่ยมงานทีเดียวคุ้มสองต่อเลย ซึ่งตอนแรกๆ มันก็ให้อารมณ์คนเห่อดาราแบบโลกเดียวกับผมไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็รู้ว่าพวกเขานั้นมาด้วยใจจริงๆ ตรงนี้แหละที่ผมตระหนักได้ว่าโลกนี้มันต่างจากโลกผมเอาเรื่อง อย่างน้อยก็เรื่องสังคมเนี่ยแหละ คนที่ร่าเริงที่สุดก็คงเป็นน้องสาวผม เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่เธอได้เข้ามาร่วมจอยงานปาร์ตี้ที่มีคนมางานมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นม้าก็เถอะนะ พวกเราอยู่ร่วมฉลองงานปาร์ตี้กันจนดึกเลยทีเดียว
สองวันต่อมา ผมวางแผนว่าจะสอนน้องบิน แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาแล้วกลับมีแขกมาเยี่ยมหาผมถึงบ้านก่อน นั่นก็คือคราวนั่นเอง
"ว่าไงคราว จะพาน้องฉันไปเดินชมเมืองเหรอ" ผมทักเธอ
"อันที่จริง ฉันมาหานายต่างหากหละ" เธอบ่นพึมพำกับผมเสียงเบาด้วยนํ้าเสียงง้องอน
"ห๊ะ อะไรนะ" ผมถามเธอเพราะได้ยินไม่ชัด
"ปะ... เปล่าซะหน่อย!" เธอโต้ผมกลับ (มันต้องมีอะไรแน่เลย ผมคิดในจังหวะนั้น) "แล้วนี่น้องนายตื่นรึยังหละ"
"น่าจะอีกซักพักแหละมั้ง เพราะตอนนี้มันมีห้องนอนอยู่ห้องเดียว ฉันเลยนอนพื้นไปก่อน กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะขอให้บิ๊กแม็คมาช่วยต่อเติมห้องให้ดีไหม แต่คงจะไปวันอื่นนะ เพราะเห็นว่าวันนี้เขาไม่ว่างนะ" ผมมองบอกพลางมองไปยังห้องนอนตัวเอง เพื่อดูว่าน้องสาวผมตื่นแล้วรึยัง
"เขาคงช่วยได้แหละ ปกติบิ๊กแม็คไม่ค่อยปฏิเสธคำขอร้องอยู่แล้ว" คราวบอก "แล้วปีกเป็นไงบ้าง"
"ก็เหมือนครั้งก่อนนะแหละ แต่รำคาญตรงที่ว่าขยับปีกได้แค่ข้างเดียวอะนะ" ผมตอบพลางกางปีกอีกข้างให้เธอดู เพราะปกติเพกาซัสเวลากางปีกจะกางพร้อมกันสองข้าง ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะเผลอไปขยับอีกข้างที่เจ็บด้วยนั่นเอง
"เป็นไรมากไหม" คราวรีบถามผมด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง
"ไม่สิ น่าจะบอกว่า ต่างเหมือนกัน เพราะครั้่งก่อนฉันบินไม่เป็น เลยไม่ได้กางปีกเลย" ผมบอกกับเธอเมื่อผมหุบปีกอีกข้างเสร็จแล้ว
"บ้า! นายนะแหละชอบฝืนเกินตัวอยู่เรื่อย" คราวบอกด้วยนํ้าเสียงไม่พอใจนัก
"ขอโทษ..." ผมตอบเธอไป
"ทำไมนายต้องขอโทษฉันด้วยหละ" คราวถามผมกลับ
"ฉันอาจทำให้เธอเป็นห่วงฉันโดยไม่รู้ตัวก็ได้" ผมก้มหน้าตอบเธอกลับ "แต่เธอก็พูดถูกอย่างนะ ฉันมันพวกฝืนตัวเองเหมือนกัน"
"ทำไมนายต้องทำแบบนั้นด้วยเล่า" คราวถามด้วยนํ้าเสียงสงสัย
"ไม่รู้สิ ยอมรับว่าตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาโลกนี้ ฉันเป็นตัวประหลาดที่อยู่ต่างโลก แต่ทไวไลท์กับเพื่อนๆ ตัวอื่นๆ ยอมรับในตัวฉัน และช่วยเหลือฉันโดยที่ไม่สนใจที่มาของฉันด้วยซํ้า พวกเธอเชื่อใจฉันมากโดยที่ไม่มีใครรังเกียจฉันเลย ฉันเลยรู้สึกอยากช่วยเหลือพวกเธอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ"
ผมพูดพลางก้มลงและกีบข้างหนึ่งขึ้นมอง ราวกับว่าผมกำลังมองดูมือ แต่จริงๆ แล้วผมดูกีบของตัวเองต่างหาก ซึ่งผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ว่าผมพร้อมที่จะทุ่มทุกอย่างเพื่อไม่ให้เพื่อนผมทุกตัวเป็นอะไรไป
คราวยกกีบมาจับกีบของผมเอาไว้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้ามองเธอ และก็พบว่าเธอยิ้มให้กับผม
"เอาเถอะ ฉันคงห้ามไม่ให้นายฝืนตัวเองไม่ได้ แต่อย่างน้อย ฉันก็อยากที่จะเป็นกำลังให้นายและเคียงคู่นายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" คราวกดกีบผมให้ยืนลงบนพื้นก่อนที่จะจ้องมองหน้าผม "ฉันรอคอยให้นายกลับมานานมากเลยนะ และฉันก็ดีใจอย่างที่สุดเลย"
ภาพใบหน้าที่เธอยิ้มให้กับผมนั้นทำให้ใจของผมเต้นตูมตาม ผมก็เผลอยิ้มและพยักหน้าตอบเธอเหมือนกัน
"ฉันดีใจนะที่เธอรอคอยฉันกลับมา" ผมบอกกับเธอ
"ฉันก็เหมือนกัน" คราวยิ้มตอบ
ราวกับว่าเราสองตัวมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น ดึงดูดให้พวกเราโน้มตัวเข้าหากัน ใบหน้าของเราทั้งสองกำลังจะแนบชิดติดกัน ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามอย่างชัดเจนพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ผมสัมผัสกับลมหายใจของเธอ ผมมองเห็นผิวหน้าของเธออย่างชัดเจน จนราวกับว่าเราทั้งสองตัวนั้นกำลังจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
แอ้ด.....ด..ด...!
เสียงประตูดังขึ้นจนทั้งผมและคราวสะดุ้งโหยงจนต้องรีบผละออกจากกันทันที ผมรีบหันไปมองข้างหลัง และก็มองเห็นน้องสาวผมกำลังยืนมองตาโตอยู่ และเธอก็มีสีหน้าแดงระเรื่อออกมา
"เอ่อ นี่หนูมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า" น้องสาวผมถามขึ้น แม้ว่าแผงคอเธอจะดูยุ่งๆ บ้าง แต่ใบหน้าของเธอแทบจะตื่นเต็มตาทันที
"เอ่อ เปล่าหรอก พอดี คราวเขามาพอดี แล้วพี่เปิดประตูแล้วเจอเธอทันทีเด๊ะๆ เลย ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่า ใช่ไหมคราว" ผมตอบเสียงลนซึ่งดูก็รู้แล้วว่าผมโกหก
"มั้ง" คราวบอกด้วยนํ้าเสียงงอน ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ด้วยอารมณ์ประมาณว่า 'ก็แบบนี้แหละ'
"เดี๋ยวพี่เตรียมอาหารเช้าให้นะ เราก็อยู่คุยกับคราวไปก่อนละกัน" ผมรีบขยับกีบกึ่งเดินกึ่งกระโดดผ่านหน้าน้องผมไปห้องครัวอย่างรวดเร็ว เมื่อน้องสาวผมเห็นว่าพี่ชายของเธอเดินผ่านไปแล้ว เธอก้าวเดินไปยังคราวที่หน้าแดงออกมาไม่เลิก
"ก็ยังดีนะ ที่พี่หนูไม่ได้ทึ่มแบบสุดกู่" น้องสาวผมบอก
"จ๊ะ" คราวตอบด้วยนํ้าเสียงกึ่งประชดเล็กน้อย เพราะคนที่ขัดจังหวะจริงๆ ก็คือตานัทเนี่ยแหละ
-----------------------------------------------
หลังมื้อเช้า ซึ่งกินเวลานานกว่าปกติ เพราะน้องสาวผมยังไม่ชินกับการกินอาหารด้วยปากอย่างเดียว ผมจึงถามจุดประสงค์ที่คราวได้มาหาผมที่บ้านในวันนี้
"นายกับทไวไลท์ยังหาวิธีการเปิดกล่องนั้นไม่ได้สินะ" คราวถามผม
"ใช่ เห็นว่าเมื่อวานทไวไลท์สั่งหนังสือมาจากแคนเทอร์ล็อตเพื่อหาวิธีด้วย แต่ไม่รู้จะเวิร์คไหม" ผมตอบพลางใช้ปากคาบจานที่ว่างเปล่าไปใส่ในอ่างล้างจาน
"ฉันเลยว่า วันนี้นายจะไปดูที่ต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองกับฉันดีไหม เผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง" คราวถามผม
"แล้วชวนตัวอื่นๆ บ้างรึยัง" ผมถามเมื่อผมหมุนก๊อกเพื่อเปิดนํ้าและล้างจาน
"แอปเปิ้ลแจ็ค เรนโบว์แดช กับพิงค์กี้พายเห็นว่าไปแข่งอะไรซักอย่าง ส่วนแรร์ริตี้กับฟรัทเทอร์ชายเห็นว่ามีธุระวันนี้นะ ทไวไลท์ยังไม่ได้บอกแต่ก็เดาๆ ว่าเธอคงไม่ว่างเท่าไหร่" คราวเริ่มก้มหน้าและหน้าแดงระเรื่อมาเล็กน้อย "ก็ เหลือแค่เราสองตัวเนี่ยแหละ"
"งั้นเหรอ" ผมถามพลางเก็บจานที่ล้างเสร็จแล้วเอาไปผึ่งไว้กับที่วางจาน
น้องสาวผมมองไปยังคราวด้วยสายตายิ้มแย้ม เพราะเธอก็รู้เจตนาแฝงของคราวอยู่แล้วว่าจุดประสงค์ที่เธอจะชวนผมไปนั้นคืออะไร เธอพยักอย่างอย่างขึงขังและทำท่าว่า 'สู้ๆ' ออกมาด้วย
"นัทไปกับพี่ด้วยละกัน" ผมหันหน้าไปทักน้องสาวผม
"ห๊ะ! แล้วทำไมหนูต้องไปกับพี่ด้วยอ่ะ" น้องสาวผมถามเสียงแข็ง ทำเอาผมแปลกใจระดับหนึ่งว่าทำไมเธอถึงพูดเสียงห้วนเล็กน้อย
"ถ้าพี่ไปแล้วเราอยู่ตัวคนเดียว เกิดมีอะไรขึ้นมาใครจะดูแลเราหละ เรายังไม่ชินกับร่างโพนี่เลย ไปด้วยกันเนี่ยแหละ เผื่อพี่จะได้สอนวิธีการใช้ชีวิตในร่างโพนี่ให้เราด้วย แถมเข้าไปในป่าตอนกลางวันคงไม่อันตรายเท่าวันก่อนหรอก" ผมตอบ "งั้นเดี๋ยวไปเตรียมอาหารเผื่อไว้ให้นะ"
ผมหันหลังไปยังตู้เก็บอาหารที่แอปเปิ้ลแจ็คเอามาให้ผมตุนเอาไว้เมื่อวาน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าทั้งสองสาวมองผมด้วยสายตาไม่พอใจอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา พร้อมกับคิดในใจว่า
ตานี่ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย
------------------------------------
ผม คราว และนัทได้เดินผ่านเมืองโพนี่วิลด์เพื่อกลับเข้าไปยังตำแหน่งป่าเอเวอร์ฟรีทางเดิม ซึ่งก็ยังมีม้าชาวเมืองโบกกีบทักทายพวกผมอยู่ ซึ่งเหมือนกับว่าน้องสาวผมจะเริ่มอายขึ้นมาบ้างแล้วที่มีคนมาทักทายมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าผมเองก็เหมือนกัน เพราะใช่ว่าผมจะชื่นชอบการเป็นจุดสนใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีกว่าเขามองพวกผมด้วยสายตาประหลาดๆ ก็เถอะนะ
เส้นทางเดินในป่าเอเวอร์ฟรีตอนกลางวันไม่ได้ดูน่ากลัวเมื่อเทียบกับที่ผมกับเพื่อนผมเข้ามาครั้งก่อนจริงๆ เส้นทางในการจำทางเข้ามานั้นจำได้ง่ายกว่าเก่าเพราะมองเห็นได้ง่ายกว่าเก่า และก็ทำให้ผมสังเกตด้วยว่าต้นไม้ต่างๆ ที่ขึ้นในป่าเอเวอร์ฟรีนั้นมีลักษณะต่างจากต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่ผมเจอมาในเมืองโพนี่วิลด์ เพราะมันมีขนาดใหญ่โตและรกรุงรังมากกว่า ซึ่งให้อารมณ์คล้ายกับต้นไม้ในโลกของผมมากกว่าแทบทุกที่เลย บางต้นนั้นยังมีแมลงหรือพวกเห็ดกับสปอร์ขึ้นเต็มไปหมด เลยออกอารมณ์เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง และถึงแม้ว่าวันนี้แสงแดดจะจ้า แต่ใบไม้จำนวนมากที่ขึ้นปกคลุมนั้นก็กลายเป็นหลังคาบดบังแสงให้กับพวกเราทั้งสามตัวไปโดยปริยาย ทำให้อากาศเย็นสบายอย่างมาก แต่จมูกผมก็สัมผัสได้ถึงความชื้น ซึ่งผมเองก็กังวลอยู่เล็กน้อยแล้วว่าฝนมันจะตกรึเปล่า เพราะเมฆในป่าเอเวอร์ฟรีนั้นไม่มีเพกาซัสมาเคลียรเมฆนั่นเอง
ระหว่างทาง ผมได้สอนให้น้องผมระวังการเคลื่อนไหวเพราะมันไม่เหมือนการเดินสองขาแบบมนุษย์ และเริ่มสอนวิธีการกางปีกในการบิน ซึ่งคราวเองก็มาช่วยกำกับดูด้วย แม้ว่าน้องสาวผมจะไม่มีปัญหาในการเดินด้วยขาทั้งสี่เหมือนผมตอนแรกๆ แต่กับการบินนั้นดูเหมือนน้องสาวผมยังไม่ดีเท่าไหร่เพราะเธอยังกางปีกไม่เก่งนัก ซึ่งเห็นละว่าถ้าฝืนให้น้องผมฝึกบินต่อไป เธออาจจะล้มคะมำหรือชนกับต้นไม้ได้ เลยบอกให้หยุดแค่นั้นและเดี๋ยวเอาไว้หลังจากวันนี้ผมจะพาน้องสาวผมไปฝึกบินตรงทุ่งหญ้า สถานที่เดียวกันกับที่เรนโบว์แดชสอนผมบินแทนเพราะน่าจะปลอดภัยกว่านี้
แต่ถึงจะสามารถเดินเข้ามาได้ง่ายกว่าก็จริง แต่ก็ใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าเดิม เพราะผมกับน้องสาวผมบินไม่ได้ คราวเลยไม่บินตามด้วย เลยทำให้ไม่มีใครบินขึ้นกลางอากาศเพื่อมองสถานที่ที่จะไป แต่ในที่สุดพวกเราก็สามารถเดินมาถึงบริเวณสะพานแขวนที่เชื่อมไปยังซากปราสาทเก่า ซึ่งข้างล่างนั้นก็เป็นถํ้าที่ตั้งของต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองนั่นเอง แต่สิ่งที่ผมกังวลเล็กๆ ก็ดันเกิดขึ้นจริง นั่นก็คือ ท้องฟ้าจากเดิมที่สว่างสไลว ตอนนี้เต็มไปด้วยเมฆดำทะมึนแถมลมก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพายุถล่มตอนไหนก็ไม่รู้
"ทำไมท้องฟ้ามันเปลี่ยนไวแบบนี้อ่ะพี่" น้องสาวผมถาม
"พวกเมฆมันไม่น่าจะมากองรวมกันในป่าเอเวอร์ฟรีเยอะขนาดนี้นิ วันนี้เวรใครเคลียรเมฆเนี่ยคราว" ผมหันไปถามเธอ
"ถ้าจำไม่ผิดคือเดอร์บี้นะ เพราะแม่สาวตัวนั้นตบเมฆไม่เป็น เลยไล่ให้เมฆปลิวมาทางป่าแทน" คราวบอก
ผมเงยหน้าขึ้นมองอากาศ มันเลยให้อารมณ์ เมฆที่ถูกกองเป็นกระจุกหลายก้อนมากๆ แสดงว่าที่เดอร์บี้อาจจะกวาดเอาเมฆทุกก้อนมากองรวมตัวไว้ที่นี่เลยก็ได้ เสียงครืนๆ ดังขึ้นรอบๆ ตัวผม ซึ่งทำให้ผมรู้เลยว่าฝนอาจจะตกตอนไหนก็ได้
"เอาไงดีพี่" น้องสาวผมถาม
ผมมองดูถํ้าที่มีต้นไม้ธาตุแห่งความปรองอยู่ และดูจากระยะทางแล้วถ้าเกิดฝนตกกลางทางนี่คงคิดในนั้นนานแน่ และยิ่งทั้งผมและนัทบินไม่ได้ทั้งคู่ กว่าจะหนีฝนคงใช้เวลานาน ผมจึงมองไปยังซากปราสาทเก่าทันที
"เดี๋ยวเข้าไปรอจนกว่าเมฆมันจะลอยไปทางอื่นเถอะ แล้วเราค่อยลงไปดู" ผมบอก ซึ่งคราวเองก็เห็นด้วย เพราะปกติเมฆที่กลายเป็นเมฆฝนไปแล้วจะตบให้มันสลายยากมากนั่นเอง พวกผมทั้งสามตัวจึงได้เดินข้ามสะพานเข้าไปในปราสาทเก่าทันที
พื้นที่ที่ผมเข้าไปนั้นดูเหมือนจะเป็นห้องโถงทางเข้า เพดานนั้นเปิดออกเพราะพังลงเกือบหมดแล้ว แต่ตรงหน้าผมนั้นคือรูปปั้นอะไรซักอย่างที่เหมือนเป็นแท่งยื่นออกมาจากก้อนกลมๆ หลายก้อน ซึ่งเมื่อนับดูแล้วก็พบว่ามันมีทั้งหมด 6 ก้อน โดยจะมีกิ่งก้านสาขายื่นออกมา และตรงกลางนั้นเป็นก้อนวงกลมขนาดใหญ่สุด คล้ายๆ กับแผงจำลองระบบสุริยะแบบโมเดลสามมิติ และผมก็เห็นเงารางๆ เป็นรูปสัญลักษณ์คิ้วตี้มาร์คของเพื่อนผมทุกตัว
"นี่มันอะไรเนี่ย" ผมพึมพำพร้อมกับเดินเข้าไปดู
"ฉันได้ยินมาว่า นี่มันเป็นเครื่องมือที่สมัยก่อน เจ้าหญิงเซเลสเทรียใช้เก็บธาตุแห่งความปรองดองนะ" คราวตอบพลางเดินเข้ามาดูบ้าง
ผมลองยกกีบจับมันดู แต่ก็เจอฝุ่นเกาะหนาเขรอะแทน ผมสะบัดกีบเพื่อเป่าฝุ่นออก แต่มองเห็นรูปสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ก้อนลูกแก้วทรงกลมตรงกลางที่เป็นเสาหลักและอยู่ใกล้กับแท่งที่ยื่นออกไปทั้งห้าแท่ง เมื่อผมใช้กีบปัดฝุ่นมันออกอีกครั้ง ผมก็พบสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะปรากฎอยู่ตรงนั้น
"นี่มัน..." ผมพึมพำออกมา
สัญลักษณ์ที่อยู่ใต้วงกลมลูกแก้วอันใหญ่และอยู่ตรงกลางของกิ่งก้านที่ยื่นออกมานั้นก็คือ ตราสัญลักษณ์รูปคิ้วตี้มาร์คของผมที่เป็นรูปมงกุฎนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นสีทองและมีร่องรอยการแกะสลักอยู่ มันก็เป็นสีเทาทีเดียวกันกับเสาเครื่องมือที่ว่านี้เลย และมันก็เหมือนถูกแกะสลักมาเป็นเวลานานพอๆ กับเครื่องมือนี้เลย
"ทำไมคิ้วตี้มาร์คของนายถึงอยู่บนเครื่องมือของเจ้าหญิงได้หละ" คราวถามผม
"ไม่รู้เหมือนกัน ทไวไลท์บอกว่าพลังของฉันคือการเชื่อมต่อธาตุแห่งความปรองดองเข้าด้วยกัน ฉันว่าปริศนาเรื่องคิ้วตี้มาร์คของฉันอาจจะอยู่ในปราสาทนี้ก็ได้นะ" ผมมองไปยังทางเข้าไปส่วนในของปราสาท
"คิดว่างั้นเหรอพี่" น้องสาวผมถาม
"พี่ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ที่จู่ๆ คิ้วตี้มาร์คของพี่จะติดในเครื่องมือของเจ้าหญิงดื้อๆ โดยเฉพาะมันเป็นของที่ใช้มาเป็นพันปีแล้ว" ผมบอก
เปรี้ยง!
เสียงฟัาร้องดังกึกก้องไปทั่วจนน้องสาวผมร้องเสียงหลงออกมา ผมเงนหน้ามองดูสภาพอากาศที่อยู่บนหัวผม มันทำท่าฝนจะตกลงมาได้ตลอดเวลาเลย
"อย่ายืนกลางแจ้งเลย เข้าไปในปราสาทเถอะ อันตราย" ผมบอก เพราะพวกเราไม่มีใครเป็นยูนิคอร์นเลยซักคน ถ้าเกิดมีฟ้าผ่าเข้ามาจังๆ จะงานเข้าเพราะไม่มีใครร่ายเวทย์บาเรียกันไว้นั่นเอง
ผมเดินนำทั้งสามตัวเข้าไปในปราสาท ซึ่งเมื่อผ่านห้องนั้นไปแล้วก็เป็นห้องโถงยาว มีทางแยกต่อไปยังห้องอีกหกห้อง ฝั่งละสามห้อง และด้านหน้านั้นมีบันไดขึ้นไปทางข้างๆ อีก บนเพดานนั้นก็เปิดโล่งราวกับมีการต่อสู้กันมาก่อน ผมมองดูแล้วให้อารมณ์เหมือนดันเจี้ยนในเกมอย่างไรชอบกล เพราะมีแสงจากแสงจันทร์ส่องผ่านเมฆดำลงมาเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบมืดมิดจนแทบจะมองอะไรไม่ค่อยเห็น แถมบรรยากาศก็ออกดูน่ากลัวพิกลด้วย ถ้าไม่มีป้ายผ้าขนาดใหญ่สองผืนที่เป็นรูปของเจ้าหญิงทั้งสองอยู่ ผมก็คงคิดว่าเป็นปราสาทผีสิงไปแล้ว
"ที่นี่คือปราสาทเก่าของเจ้าหญิงเซเลสเทรียกับเจ้าหญิงลูน่าอย่างนั้นเหรอเนี่ย" ผมถามคราว ซึ่งเธอก็มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจเหมือนกัน
"ใช่ที่นี่เป็นปราสาทเก่าของเจ้าหญิง แต่ภายหลังตอนที่เจ้าหญิงลูน่ากลายเป็นไนท์แมร์มูน เจ้าหญิงเซเลสเทรียก็ได้ย้ายไปประทับที่นครแคนเทอร์ล็อตแทน เหมือนกับว่าพระองค์จะเสียพระทัยเมื่อน้องสาวของพระองค์ต้องถูกจองจำบนดวงจันทร์นะ" คราวบอกผม
"ก็พอเข้าใจความรู้สึกของเจ้าหญิงเวลาที่ต้องยอมทิ้งปราสาทนี้ไปละนะ" ผมมองไปทางน้องสาวที่มองมาทางผมเหมือนกัน ซึ่งเหมือนกับว่าเราสองพี่น้องเองก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าหญิงทั้งสองที่เป็นพี่น้องเหมือนกัน
แกร๊ง!
มีเสียงดังออกมาจากห้องทางขวาตรงกลาง ซึ่งพวกผมทั้งสามตัวรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว
"ได้ยินเสียงนั่นไหม" คราวถามผม
"คงหนูไม่ก็ค้างคาวชนกับอะไรแล้วหล่นมั้ง" ผมแสดงความเห็น
กร๊อง! แกร๊ง!
เสียงของตกกระทบคล้ายแก้วดังก้องขึ้นมาอีกครั้งถึงสองรอบ ซึ่งทำให้พวกผมทั้งสามตัวถึงกับมองไปยังตำแหน่งที่ดังออกมาอีกครั้งและเงียบกริบกันอีกรอบ
"เอ่อ เสียงมันดังอีกแล้วอะพี่" น้องสาวทักผม
"คงจะมีหนูสองตัวไม่ก็ค้างคาวคู่บินผ่านชนของละมั้ง" ผมพยายามมองโลกในแง่ดีท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางในในสถานที่ที่ไม่ควรจะมีใครอยู่นี้มาให้ได้
แกร๊ง! กร๊อง! แกร๊ง!
"เอ่อ แล้วอันนี้หละ" คราวถามผมต่อ
"คงมีวิ่งชนกันเป็นฝูงมั้ง" ผมพึมพำ
กร๊อง! แกร๊ง! กร๊อง! แกร๊ง! กรุ๊ง! กริ๊ง! กร๊อง! กร๊อง! แกร๊ง! โกร๊ง! กรั๊ง! กร๊าง!
"พวกเอ็งวิ่งชนของกันทั้งหมู่บ้านเลยรึไงฟะ!" ผมตวาดเสียงดังไปราวกับกำลังตบมุขอยู่ เหมือนกับอารมณ์มีใครมาแกล้งป่วนผมอย่างนั้นนะ
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!
มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในทางห้องนั้นเป็นเสียงเบาๆ เลยบอกไม่ถูกว่าใครเป็นคนร้อง แม้ว่าจะดูคุ้นๆ อยู่ว่าบ้างเสียงนั้นคล้ายๆ กับใคร แต่ก็ทำให้ทั้งผม คราว และน้องสาวผมถึงกับใจคอไม่ดีแล้วว่าเสียงปริศนานั้นมาจากไหน
"มั่นใจนะว่าที่นี่มันไม่น่าจะมีใครอะพี่" น้องสาวผมยกกีบเกาะกับขาผมแน่น
"ทางเดียวที่จะรู้ได้ คงต้องเข้าไปดูเอง" ผมบอกพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องนั้นและขึ้นบันไดไปก่อนตัวแรก ซึ่งคราวกับนัทก็เดินตามผมมา ผมมองไปรอบๆ ซึ่งเป็นทางเดินยาวมืดๆ ที่ราวกับบ้านในปราสาทผีสิง ผมถ่างตามองให้กว้างๆ เพื่อพยายามมองให้ชัดขึ้น
เส้นทางที่พวกผมเดินอยู่นั้นมีแท่งคบเพลิงตั้งอยู่เป็นจุดๆ ก็จริง แต่เมื่อผมมองดูใกล้ๆ ก็พบว่ามีนํ้ามันแห้งๆ ติดอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าจุดไฟแล้วมันจะติดไหม แต่เนื่องจากผมไม่ใช่ยูนิคอร์น เลยไม่ได้สนใจจะจุด ด้านหน้านั้นมีห้องหนึ่งที่มีบันไดลงไปชั้นล่าง ผมเลยเดาว่าเสียงคงจะดังมาจากตรงนั้น เลยคิดจะเดินไปดู
น้องสาวผมนั้นเดิมตามหลังผมกับคราวมา ซึ่งเธอมองดูสถานการณ์แล้วเธอก็ทำท่าปิ๋งเหมือนนึกอะไรออกขึ้นมาทันที
ใช่แล้ว ถ้าตอนนี้เราแยกออกไปให้พี่กับคราวอยู่กับสองต่อสองได้ละก็ คราวก็จะมีเวลาอยู่กับพี่ได้ด้วย นัทพยักหน้าอย่างขึงขัง ก่อนที่จะกระซิบข้างๆ หูคราวที่เดินอยู่แบบไม่หันหลังทันที
"พี่ เดี๋ยวหนูจะกลับไปรอที่เดิมนะ พี่จะได้มีเวลาอยู่กับพี่หนูสองต่อสองได้ อย่าลืมทำท่ากลัวๆ ให้พี่เขาโอ๋หน่อยนะ จะได้โรแมนติกหน่อย งั้นโชคดีนะพี่" นัทบอกเสร็จก็หันหลังและเดินกลับไปทางเดินอย่างเงียบๆ ทันที
ฮิฮิ แบบนี้ต่อให้ตาพี่บ้านั่นทึ่มแค่ไหน แต่ถ้าบรรยากาศเต็มใจขนาดนี้ยังไงก็ต้องหลงคราวบ้างแหละ สู้ๆ นะพี่คราว นัทยิ้มแป้นทันที
แต่เมื่อเธอเดินกลับไปทางเดิมแล้ว เธอก็ต้องพบว่า ตรงทางเดินชั้นบนใต้ภาพแขวนรูปเจ้าหญิงนั้น มีแสงไฟส่องออกมาและมีเสียงเหมือนใครกำลังคุยกันอยู่ด้วย
"นั่นมัน...." นัทพึมพำออกมา ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาตำแหน่งแสงไฟนั้น
ระหว่างนั้น ผมซึ่งกำลังมองดูความลึกของบันไดที่เป็นบันไดเวียนลงไปข้างล่างว่ามันลึกแค่ไหน ก่อนที่จะหันกลับมามองดูอีกสองตัวที่เดินตามหลังผมมา และก็พบว่าน้องสาวผมไม่อยู่แล้ว
"อ้าวคราว น้องฉันไปไหนละเนี่ย" ผมถามเธอ ซึ่งเธอทำหน้าเรียบนิ่งผิดปกติ
"กะ ก็ นัทบอกว่าจะกลับไปยืนรอที่เก่านะ" คราวบอกด้วยนํ้าเสียงกะกุกกะกัก
"ตาน้องบ้าเอ็ย มีใครอยู่ในนี้บ้างก็ยังไม่รู้เลยยังจะแยกตัวไปอีก" ผมยกกีบเกาหัวตัวเอง ก่อนที่จะทำท่าจะเดินกลับไป แต่คราวนั้นรีบมายืนขวางทันที
"มะ ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เราน่าจะตามหากันต่อนะว่าเสียงร้องนั่นดังมาจากไหน" คราวรีบบอกด้วยนํ้าเสียงลนผิดปกติ
"ไม่ได้หรอก นั่นน้องสาวฉันนะคราว และปราสาทนี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยด้วย ฉันทิ้งให้น้องอยู่ตามลำพังไม่ได้หรอก" ผมตอบเธอก่อนที่จะเดินเลยผ่านเธอไปโดยไม่มองหน้าของเธอเลย
ซึ่งเมื่อผมเดินผ่านเธอไปแล้ว คราวหน้าแดงแป้ดขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับว่าเธอกลั้นสีหน้าไม่ให้แดงออกมานานมาก
ใครจะกล้าบอกย่ะว่าน้องนายอยากให้นายอยู่กับฉันด้วยกันนะ ตาบ้า คราวคิดอย่างไม่พอใจ แต่ก็มองบรรยากาศรอบๆ โดยไม่ไว้ใจด้วยเช่นกัน
ถึงจะบอกว่าแกล้งกลัวก็เถอะ เค้าก็กลัวจริงๆ นะเนี่ย มันคงไม่มีอะไรโผล่มาใช่มั้ย คราวคิดจนตัวสั่นพลางเดินตามผมอย่างเชื่องช้า
แต่เมื่อผมกับคราวเดินไปห้องโถงที่เก่าแล้ว ก็ไม่พบน้องสาวผมยืนอยู่ที่เดิมเลย ห้องโถงนั้นไม่มีใครยืนอยู่ด้วย ซึ่งนั่นทำให้ทั้งผมและคราวนั้นเริ่มมีสีหน้าไม่ดีขึ้นแล้ว
"อย่าบอกนะว่าน้องกลับไปเองนะ" คราวถามความเห็นผม ซึ่งผมเงยหน้ามองดูเพดานปราสาทที่ทะลุมองไปเห็นเมฆครื้มยังล่องลอยปกคลุมบนท้องฟ้า ผมส่ายหัวทันที
"น้องฉันจำทางในป่ายังไม่ได้ เธอไม่น่าจะเสี่ยงเดินกลับไปเอง" ผมมองไปรอบๆ เพื่อพยายามมองดูว่าน้องสาวผมน่าจะเดินไปตรงไหนด้วยความเป็นห่วง
"กรี๊ดดดดดดดดดด!"
เสียงกรีดร้องดังออกมาอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง เสียงยังคงเบาจนจับไม่ได้อยู่เหมือนเดิมว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร แต่ในหัวผมที่ไม่มีน้องสาวข้างกาย จึงเริ่มกังวลอย่างรวดเร็ว
"ทางนี้!" ผมบอกคราวก่อนที่จะวิ่งควบไปห้องที่มีต้นเสียงนั้นทันที ซึ่งคราวเองก็กระพือปีกบินตามมาด้วย เพราะเธอเองก็ใจคอไม่ดีไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก
แต่เมื่อผมวิ่งเข้าไปในห้องนั้น ก็พบว่าในห้องนี้ก็มีชุดเกราะม้าเก่าแบบยุคกรีกโบราณตั้งเอาไว้ รอบๆ และด้วยบรรยากาศมืดๆ ชุดเกราะพวกนี้ก็เลยดูน่ากลัวพิลึก
"นัท เราอยู่แถวนี้รึเปล่า" ผมร้องเรียกหาเธอ
แต๊นนนนนนนนน!
มีเสียงดังคล้ายเสียงไปป์ออร์แกนดังขึ้น ซึ่งผมรีบหันหลังไปมองทันทีเพราะเสียงดังมาจากข้างหลังผม ซึ่งก็ปรากฎว่าคราวเองก็ไม่อยู่แล้ว
"คราว! เธอหายไปไหนนะ!" ผมร้องเรียกหาเธอ แต่แล้วก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่เลย ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีกับปราสาทแห่งนี้แล้ว ผมเริ่มมองไปรอบๆ ด้วยความไม่ไว้วางใจ
แต๊นนนนนนนนน!
เสียงที่คล้ายไปป์ออร์แกนดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าบรรยากาศในปราสาทแห่งนี้กลายเป็นปราสาทชวนสยองขวัญไปเสียแล้ว ผมขนลุกซู่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้นดังออกมา ผมเริ่มมองไปยังชุดเกราะ และก็มองเห็นว่ามีชุดเกราะอยู่ชุดหนึ่งที่มีดาบวางอยู่ ผมรีบไปคาบดาบนั้นเพื่อหวังว่าจะดึงเอามาใช้เป็นอาวุธชั่วคราวก่อนทันที
ครืน....!
ผมถูกรูปเกราะนั้นพุ่งชนและหมุนคว้างราวกับประตูหมุนอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมมองไปรอบๆ ผมก็พบว่าผมหลุดมาอีกห้องหนึ่งที่เป็นทางโล่งยาวและมืดมืดยิ่งกว่าเดิม ผมมองดูชุดเกราะที่น่าจะชนผมนั้น ก็มองเห็นว่ากำแพงด้านที่ผมอยู่นั้นมีชุดเกราะอยู่ชุดเดียว และบรรยากาศในห้องก็ไม่เหมือนเดิมอีกด้วย ผมจึงดูออกทันทีเลยว่ามันเป็นประตูกลอย่างแน่นอน ผมเลยรีบสำรวจชุดเกราะนั่นทันทีเลยว่าจะมีทางไหนที่ผมจะสามารถผลักประตูกลกลับไปอีกฝั่งได้
"ปราสาทนี้มันดันเจี้ยนจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย" ผมพึมพำพลางยกกีบแตะสำรวจตรงชุดเกราะ แต่มองไม่เห็นปุ่มหรืออะไรที่จะทำให้ประตูกลที่อยู่หลังชุดเกราะทำงานเลย
แกร๊ง...!
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงคล้ายขวดแก้วตก เพราะครั้งนี้เสียงมันดังมากจนราวกับมันอยู่ข้างๆ ผม ผมค่อยๆ หันไปมองทิศทางดังกล่าว ก็พบว่ามีร่างเงาของม้าตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง และมองไม่ชัดเลยว่าม้าตัวนั้นเป็นใคร แต่อารมณ์เหมือนใส่ผ้าคลุมอยู่
"คราว... นัท … พวกเธอเปล่าเหรอ" ผมถามเจ้าของร่างนั้น แต่ไม่มีเสียงตอบ เพราะจู่ๆ เงาร่างนั้นก็เดินหายไปอีกทางหนึ่ง
"รอเดี๋ยวก่อน!" ผมรีบหันไปทางดาบที่ติดกับชุดเกราะ ก่อนที่จะใช้ปากคาบแล้วดึงมันออกมา แล้วก็วิ่งควบไล่ตามทางที่ม้าตัวนั้นเดินจากไปทันที
แต่เมื่อผมเลี้ยวตามม้าตัวนั้นเข้าไปในห้องนั้นแล้ว ก็พบว่าห้องนั้นเป็นห้องโล่งกว้าง เหมือนเป็นโรงอาหารของปราสาทแห่งนี้เพราะมีโต๊ะยาววางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด และยิ่งเป็นทางโล่งกว้าง ทำให้ผมมองเห็นอะไรไม่ชัดยิ่งกว่าเดิม
โลกฉันมีผี แล้วโลกนี้จะมีผีไหมเนี่ย ผมเริ่มจิตตกและมองไปรอบๆ เพราะหาไม่เจอเลยว่าม้าตัวนั้นเป็นใครมาจากไหน และจู่ๆ หายไปไหนได้ยังไง ผมเริ่มใจคอไม่ดีและพยายามเดินไปรอบๆ ตั้งท่าดาบเตรียมเอาไว้เพื่อรับมือกับอะไรก็ตามที่จะมาโผล่มาตอนไหนและไม่รู้ว่าจะเป็นตัวอะไร
แกร๊ง!
เสียงมีใครบางตัวเตะแก้ว ผมรีบหันไปทางทิศนั้นทันที แต่ก็ต้องรีบลดดาบลงเพราะคนที่อยู่ตรงนั้นก็คือคราวนั่นเอง
"คราว!" ผมรีบเข้าไปหาเธอทันที ซึ่งเธอเองสีหน้าหวาดผวามากรีบเข้ามาหาผมทันที
"ฉัน... ฉันหลงทาง ฉันไม่รู้อยู่ที่ไหนด้วย" เธอตัวสั่นระริกและมายืนข้างๆ ผม
"ที่นี่มันไม่ปลอดภัย หาทางออกจากที่นี่ก่อนเถอะ" ผมบอกกับเธอ ซึ่งเธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ตึง!
มีเสียงเหมือนอะไรดังขึ้นมาจากอีกฟากห้องนี้ ผมรีบมองไปทางทิศนั้นแล้วเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ โดยที่คราวนั้นเดินถอยหลังพร้อมกับผมด้วย
แม้ว่าจะมีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น แต่เสียงที่ดังตรงหน้าผมนั้นก็ทำให้ผมใจคอไม่ค่อยดีมากขึ้นเรื่อยๆ ผมถอยหลังไปเรื่อยๆ พยายามตั้งสติเอาไว้ให้มั่น และพยายามไม่ประมาทกับตัวอะไรก็ตามที่มันจะพุ่งออกมาทางผม ซึ่งในหัวผมเริ่มจินตนาการเตลิดเปิดเปิงแล้วว่าจะมีตัวอะไรโผล่มารึเปล่า
ใจเย็นๆ ... ใจเย็นๆ .... ใจเย็นๆ เราต้องเย็นไว้..... ผมพยายามคิดในแง่บวกเข้าไว้
หมุ๊บ!
เหมือนท้ายผมจะไปชนกับอะไรบางอย่างที่ทั้งอุ่นและมีขนเหมือนหางตัวอะไรบางอย่าง และผมก็มองไปทางคราวที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอก็รู้สึกแบบเดียวกับผมด้วย
เย็นไม่ไหวแล้วว้อยยยยยยยยยยย!!
"หย๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!"
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!"
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!"
"เหว๊ออออออออออออออออออออ!!"
"จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!"
"แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!"
ผมสติแตกและวิ่งไปรอบๆ ด้วยความตื่นกลัว แม้ว่าผมจะยังคาบดาบเอาไว้กับปากตัวเอง แต่ก็คุมสติคาบมันเอาไว้ไม่อยู่ แถมมีแต่เสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ดังระงมราวกับมีตัวอะไรมาหลอกหลอนรอบๆ ตัวผม ผมมองเห็นอะไรบางอย่างบินผ่านรอบๆ ตัวอย่างรวดเร็วและผ้าคลุมที่ตกลงมาและมีอะไรบางอย่างอยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นและขยับไปมาได้ด้วย และนั่นยิ่งทำให้ผมสติแตกมากเข้าไปอีกเพราะผมไม่รู้แล้วว่าเสียงร้องนั่นมาจากไหนและเป็นตัวอะไร ผมพยายามจะตั้งสติและมองไปรอบๆ แต่ในใจของผมก็หวาดผวาจนไม่กล้าที่จะมองไปรอบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะฟาดดาบไปข้างหน้าด้วยซํ้า ได้แต่ร้องลั่นไปมาพร้อมกับสติที่คุมไม่ไหว
"อย่าเข้ามานะโว้ยย อย่าม๊าาาาา!" ผมพยายามแกว่งดาบไปข้างหน้าเมื่อมีเงาบางอย่างกำลังพุ่งลอยผ่านหัวผมไป แต่ก็ทำให้ผมล้มหงายหลังนอนกองกับพื้น และก็เห็นใครบางตัวกำลังยืนอยู่บนระเบียงทางเดินชั้นสอง พร้อมกับแสงสีม่วงแดงที่ปรากฎขึ้น
"ทุกตัว หยุดเดี๋ยวนี้!!"
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับแสงสีม่วงแดงที่พุ่งผ่านพวกผมไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ตัวผมนั้นถูกแสงสีม่วงแดงนั้นคลุมร่างกายเอาไว้ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ แต่ก็ทำให้ผมมองเห็นว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีแต่ผมกับคราวอยู่กับแค่สองตัว
เพราะทั้งฟรัทเทอร์ชาย , เรนโบว์แดช , แอปเปิ้ลแจ็ค , แรร์ริตี้ เพื่อนๆ ผมเล่นอยู่ในนี้กันหมดเลย
"นี่นาย อยู่ที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย" แรร์ริตี้ที่อยู่ใต้ผ้าคลุมถาม
"พวกเธอก็ด้วย" ผมพึมพำ และกรอกตาไปมองดูบนหัวผม และก็พบว่าเจ้าของเสียงและพลังเวทย์นี้ก็คือทไวไลท์นั่นเอง เธอยืนอยู่กับสไป้ค์และน้องสาวผม รวมไปถึงแองเจิ้ล กระต่ายของฟรัทเทอร์ชายด้วย ทั้งสี่ตัวนั้นกำลังมองพวกผมอย่างงุงงงว่าทำบ้าอะไรกัน
"นัท ปลอดภัยดีใช่ไหม" ผมถามน้องสาวผมที่ยืนอยู่ข้างๆ ทไวไลท์
"หนูไม่เป็นไร แล้วพี่เป็นอะไรกัน ร้องโวยวายกันลั่นเลย" น้องถามผม
เมื่อผมมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก็พบว่าเพื่อนผมตัวอื่นๆ ทุกตัวต่างก็มีอาการเขินอายกันหมด เพราะแสดงว่าที่เดินถอยหลังแล้วชนกับอะไรบางอย่างนั้น ที่แท้จริงแล้วก็คือเพื่อนผมเนี่ยแหละ
"เอ่อ แฮะๆ" เรนโบว์แดชที่ลอยค้างกลางอากาศยิ้มแหะๆ ออกมาอย่างเอียงอาย
เมื่อทไวไลท์คลายเวทย์ออกแล้ว พวกผมรีบมายืนด้วยกันพร้อมหน้าทันที ผมโล่งใจทันทีที่ในนี้ยังมีเพื่อนผมอยู่ด้วยกัน ไม่ได้มีแต่ผมกับคราวอยู่กันตามลำพัง
"ดีนะที่เธอไม่ใช่ม้าเงาผีนะ" แอปเปิ้ลแจ็คพึมพำ
"ม้าเงาผีเหรอ!" สไป้ค์ถามด้วยนํ้าเสียงหวาดผวา
"โถ่สไป้ค์ นั่นมันก็แค่นิทานหลอกเด็กหน่า" ทไวไลท์บอกด้วยนํ้าเสียงไม่น่าเชื่อเท่าไหร่
แต๊นนนนนนนนน!
มีเสียงดังคล้ายเสียงไปป์ออร์แกนดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น แต่เพื่อนผมทุกตัวยกเว้นทไวไลท์กับน้องสาวผมมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นกลัว
"ถ้าบอกว่านั่นเป็นนิทาน แล้วเสียงนั่นมันคืออะไร" แอปเปิ้ลแจ็คถามด้วยนํ้าเสียงผวา
"เสียงมันดังมาจากทางนั้น" คราวชี้ไปทางห้องหนึ่งที่อยู่ทางขวา ผมรีบหยิบดาบขึ้นมาคาบไว้ทันที เพราะผมจะยังกลัวอยู่ แต่มันก็มีเพื่อนอยู่ด้วยก็โล่งใจขึ้นเยอะ
"ทางเดียวที่จะรู้ได้" ทไวไลท์บอก พวกผมรีบเข้าไปชิดตัวเธอทันทีและปล่อยให้เธอนำทางไปเป็นตัวแรก
ทไวไลท์เดินนำทางเสียงไปยังชั้นล่างของปราสาท และก็ปรากฎว่าเป็นห้องที่มีเครื่องไปป์ออร์แกนขนาดใหญ่ และก็มีใครบางตัวใส่ผ้าคลุมหันหลังและเล่นออร์แกนอยู่ ซึ่งหน้าตาคล้ายกันกับม้าตัวที่ผมเห็นหลังจากผมโดนประตูกลมาก
ผมทำใจกล้าเดินไปเคียงคู่กับทไวไลท์ เพราะนอกจากทไวไลท์แล้วผมก็เป็นม้าตัวเดียวที่มีอาวุธอยู่ และเมื่อทไวไลท์ไปยืนข้างๆ เธอพยักหน้าให้ผม ซึ่งผมก็คาบดาบเอาไว้ในปาก และพยักหน้าเตรียมพร้อมไว้ จากนั้นเธอก็ใช้พลังเวทย์ของเธอเลิกผ้าคลุมออกมาเพื่อดูว่าข้างในนั้นเป็นใครทันที และปรากฎว่าม้าตัวนั้นก็คือ....
"ไงพวก!" ม้าสาวสีชมพูทักขึ้น
"พิงค์กี้!" พวกผมร้องกันลั่น เมื่อพบว่าม้าที่น่าจะอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนั้นก็คือ เธอนั่นเอง!
"ช่าย พวกเธอรู้รึเปล่าว่าฉันเล่นออร์แกนได้ เพราะฉันก็เพิ่งรู้ว่าฉันเล่นออร์แกนเป็น" พิงค์กี้ยิ้มกว้างก่อนที่จะลองเล่นออร์แกนโชว์ ปรากฎว่าทำนองเพลงออร์แกนที่เธอเล่นนั้นสดใสผิดจากที่พวกเราได้ยินมาก่อนหน้านี้ลิบลับ
"แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ละเนี่ย" ผมถาม
"ก็ ฉันมาหาดอกเบลบลูว่าจะไปจัดปาร์ตี้ แต่ท้องฟ้ามันมืดลงและฉันก็หนาว ฉันก็เลยหาผ้ามาคลุม และฉันก็เห็นแรร์ริตี้กับฟรัทเทอร์ชายเดินเข้ามา ฉันก็เลยเดินตามมาด้วย และก็เจอห้องออร์แกนนี่ว่ามันทำงานกับประตูกลได้ ฉันเลยว่าชวนพวกเธอมางานปาร์ตี้โดยใช้ออร์แกนนะ" พิงค์กี้พายยิ้มแป้น
"ปาร์ตี้อะไรนะ" แรร์ริตี้ถาม
"ก็ ปาร์ตี้ประมาณทำให้ทุกตัวตกใจกลัววิ่งเล่นกันในปราสาทสยองขวัญที่มีประตูกล อะไรแบบนี้นะ" พิงค์กี้พายกดออร์แกนโชว์ และก็มีสปริงเด้งดีดสไป้ค์ปลิวออกไป
"ปาร์ตี้สยองขวัญรึไงย่ะ!" เรนโบว์แดชถามด้วยนํ้าเสียงไม่ชอบใจนัก
"แหม๋ น่าจะฮาดีนะ เสียดายที่ไม่มีคัพเค้ก ไม่งั้นองค์ประกอบครบสมบูรณ์" พิงค์กี้มองไปทางเรนโบว์แดช ซึ่งเจ้าตัวรีบบินร่อนลงถึงพื้นและเงียบลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
"เดี๋ยวนะ เธออยู่ห้องนี้ตลอด แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าจะสั่งประตูกลทำงานยังไงนะ" ผมมองไปรอบๆ ราวกับว่าผมต้องการมองหากล้องวงจรปิด แต่ก็ลืมไปว่าโลกนี้มันไม่มีไฟฟ้า ดังนั้นคงไม่มีกล้องวงจรปิดแน่ๆ
"ไม่รู้สิ เดาเอง" พิงค์กี้ตอบ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้และกระโดดโลดเต้นลงมาจากเครื่องไป้ป์ออร์แกน ทำเอาพวกผมยืนมองเธอด้วยความอึ้งทันที
ช่างเป็นม้าที่สุดยอดจริงๆ ผมคิด
--------------------------------------
จากนั้น ทไวไลท์ได้พาพวกผมไปยังห้องเก็บหนังสือส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงทั้งสอง จากที่ผมสอบถาม ทไวไลท์กับสไป้ค์นั้นมาที่ปราสาทแห่งนี้เพราะเจ้าหญิงเซเลสเทรียแนะนำว่าในปราสาทแห่งนี้มีห้องสมุดที่น่าจะมีคำตอบเกี่ยวกับกล่องปริศนาของต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดอง ซึ่งน้องสาวผมเห็นทไวไลท์กับสไป้ด์เดินผ่านมาพอดีเลยเดินตามไปนั่งเล่นในห้องนี้ด้วย ส่วนเรนโบว์แดชกับแอปเปิ้ลแจ็คนั้นมาทดสอบความกล้ากันที่ปราสาทแห่งนี้ และแรร์ริตี้กับฟรัทเทอร์ชายมาก็เพราะแรร์ริตี้อยากที่จะมาฟื้นฟูงานศิลปะในปราสาทแห่งนี้ เรียกได้ว่าต่างตัวต่างมากันแบบไม่ได้นัดหมายกันเลย
"เฮ้ ฉันว่าพวกเราน่าจะเขียนเรื่องราวของพวกเรากันเองบ้างนะ เหมือนที่่เจ้าหญิงทั้งสองเขียนบันทึกเรื่องราวลงไป เผื่อว่าให้โพนี่ลูกหลานได้มาอ่านเรื่องราวของพวกเรากันต่อนะ" ทไวไลท์เสนอ
"ก็ดีนะ ฉันถนัดเขียนนิยายอยู่ละ น่าจะช่วยเขียนได้" ผมบอกพลางหยิบดาบขึ้นมาดู "เดี๋ยวฉันคงต้องเอาไปคืนที่เดิมแล้วสิเนี่ย"
"เอพี่ ตรงด้ามดาบมันมีอะไรด้วยเหรอ" น้องสาวผมทักขึ้น และเมื่อผมวางดาบลงดูชัดๆ ผมก็พบว่า ด้ามดาบนี้มีรูปคิ้วตี้มาร์คของผมประดับเอาไว้อยู่ แต่มันก็เป็นสีเทาไปบ้างแล้วเพราะเก็บมานานนั่นเอง
"ดาบที่มีตราคิ้วตี้มาร์คของนายงั้นเหรอเนี่ย" แรร์ริตี้ถามตาโต
"ไม่ได้สังเกตเลยแฮะ แสดงว่าปราสาทหลังนี้มันต้องมีเรื่องราวของคิ้วตี้มาร์คของฉันแน่ๆ" ผมบอกกับเธอ
"หมายความว่ายังไงเหรอ" ทไวไลท์ถาม ซึ่งผมก็บอกว่าผมเจอตราสัญลักษณ์คี้วติ้มาร์คของผมบนเครื่องมือที่เก็บธาตุแห่งความปรองดองของเจ้าหญิงตรงทางเข้าปราสาท
"งั้นเราต้องมาศึกษาหนังสือทุกเล่มในนี้เลยแหละ ฉันว่ามันต้องมีคำตอบแน่ๆ เตรียมตัวไว้หน่อยนะสไป้ค์" ทไวไลท์หันไปบอกกับมังกรคู่ใจของเธอ
"แน่นอน" สไป้ค์พยักหน้า
"อืม.. ฉันว่าถ้าเอาไปให้พี่ฉันซ่อมแซมซักหน่อยน่าจะใช้ได้ จะให้ฉันเอาไปให้บิ๊กแม็คดูให้เลยไหม" แอปเปิ้ลแจ็คดูดาบและถามผม
"จะดีเหรอ ดาบนี้ฉันเจอในปราสาทหลังนี้นะ" ผมหันไปถามทางทไวไลท์
"มันมีสัญลักษณ์คิ้วตี้มาร์คของนาย มันก็น่าจะเป็นของนายแหละ ฉันเดาว่ามันคงเป็นของบรรพบุรุษของนาย แต่เพื่อความชัวร์ ฉันจะลองส่งจดหมายถามเจ้าหญิงให้ละกัน" ทไวไลท์บอกผม
"ก็ดีนะ เพราะตอนนี้เราก็คืนธาตุแห่งความปรองดองไปแล้ว นายก็จะได้มีอาวุธติดตัวไว้บ้าง" เรนโบว์แดชยิ้มกว้าง
"ขอบใจนะ ฝากด้วยละกัน อ้อ แล้วเธอเป็นคนนำทางให้ฉันไปยังห้องที่คล้ายๆ โรงอาหารปะพิงค์กี้ ขอบใจนะ เพราะถ้าเธอไม่นำทาง ป่านนี้ฉันคงไม่เจอคราวที่หายตัวไปตอนนั้นแน่" ผมถามพิงค์กี้พาย ซึ่งคราวยิ้มแหะๆ ออกมา
"หือ นำทางอะไรเหรอ ฉันนั่งอยู่ในห้องออร์แกนตลอดนะ" พิงค์กี้ถามกลับ
"โถ่ พิงค์กี้ อย่าล้อกันเล่นสิ ถ้าฉันไม่ตามเธอไปฉันก็ไม่เจอคราวแล้วนะ" ผมหัวเราะกลับเพราะคิดว่าพิงค์กี้เล่นตลก
แต่เธอนั้นกลับยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ ซึ่งผมมองตาเธอแล้วก็รู้เลยว่าเธอไม่ได้พูดเล่น
"พวกฉันก็ไม่ได้เข้าไปในโรงอาหารเลยนะ ใช่ไหมฟรัทเทอร์ชาย" แรร์ริตี้บอก ซึ่งฟรัทเทอร์ชายก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
"พวกฉันก็เหมือนกัน พวกฉันอยู่ชั้นล่างกันนะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก
"เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าไม่มีใครอยู่ในโรงอาหาร แล้วม้าตัวนั้นคือใครกัน..." ผมถามพร้อมกับขนที่เริ่มลุกซู่ขึ้นมาเล็กน้อย
นั่นทำให้พวกเราทุกตัวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาแล้วว่า สุดท้ายแล้ว ม้าตัวนั้นนะ คือใครกันแน่...และทำให้บรรยากาศที่น่าจะโล่งอกสบายใจกันแล้วกลับกลับเป็นว่าทุกตัวมองไปรอบๆ ด้วยสายตาระแวงทันที
"คงไม่หรอกมั้ง.." ผมพยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้ ซึ่งเพื่อนผมทุกตัวก็พึมพำอย่างเห็นด้วย
แต่หารู้ไม่ว่า มีม้าบางตัวยืนมองพวกผมอยู่นอกห้อง ก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมผ้าคลุมปริศนาอย่างเงียบเชียบ
...
..
.
.
To Be Contined
ความคิดเห็น