ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #3 : Episode 3 : Attack of Queen Chrysalis (Part 3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      18
      28 พ.ค. 57


    เสียงระเบิดและเสียงปืนยังคงดังสนั่นไปทั่วบริเวณเมื่อผมเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ทั่วทุกบริเวณเต็มไปด้วยซากปรักหักพังราวกับเมืองทั้งเมืองถูกทิ้งด้วยระเบิดจำนวนมาก สภาพพื้นที่โดยรอบมันช่างทำให้ผมนึกถึงภาพยนต์ตอนช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอย่างไรอย่างนั้น เส้นทางที่ผมวิ่งผ่านมานั้นแทบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย เสียงไซเรนเตือนภัยของสงครามยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง เหล่าม้าโพนี่อีกหกตัวยังคงวิ่งตามผมมา ยกเว้นตัวหนึ่งที่บินมาแทนการเดิน

    "นี่มันช่างเลวร้ายมาก ควีนคลิสซาลิสมีพลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนิ" แรร์ริตี้มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

    "นั่นแหละที่ฉันกังวล สาวๆ ถ้าขนาดโลกนี้ ควีนคลิสซาลิสยังอาลาวาดได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นโลกของพวกเรา คงไม่เหลือแน่" ทไวไลท์พูดเห็นด้วย

    "และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เราต้องรีบหยุดเธอไว้" เรนโบว์แดชรีบบอกอย่างรวดเร็ว "อีกไกลไหม"

    เธอบินมาโฉบหน้าผมเพื่อถาม ผมมองไปรอบๆ เพื่อดูเส้นทาง ดูเหมือนว่าผมจะวิ่งเข้ามาในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะเป็นใจกลางของเมืองเลยทีเดียว

    "น่าจะนะ" ผมตอบ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องระยะทางเท่าไหร่นัก

    ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถไปถึงได้ในเวลารวดเร็วเท่าไหร่นัก เพราะถ้าดูจากตำแหน่งเสียงหัวเราะเมื่อกี้นี้แล้วน่าจะไกลโขอยู่ ถึงขนาดต้องนั่งรถไฟฟ้าไปถึง 6 สถานีถึงจะถึงเป้าหมาย แต่พอผมอยู่ในร่างม้าโพนี่แล้ว ดูเหมือนผมจะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าร่างคนเสียอีก แถมอาการเหนื่อยหอบก็ไม่ค่อยมีอีกด้วย และนั่นทำให้ผมไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมม้าถึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ชอบเอามาขี่ เพราะสามารถวิ่งในระยะทางได้ยาวๆ นั่นเอง

    บริเวณรอบข้างนั้นเริ่มปรากฎเห็นผู้คนบ้าง แต่ละคนนั้นมีสภาพเนื้อตัวมอมแมมและเสื้อผ้าขาดวิ่น ดูเหมือนพวกเขากำลังเดินทางเพื่อหนีออกมาจากใจกลางของเมือง แต่เมื่อพวกเขาเห็นพวกผม ต่างคนต่างกรีดร้องและรีบถอยหลังหนีทันที

    "พวกเขาหนีเราทำไม" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ในเมื่อควีนคลิสซาลิสเองก็เป็นโพนี่ใช่ไหมหละ" ผมตอบ พยายามไม่สนใจสายตาของคนที่กำลังจ้องมองตัวผมด้วยความหวาดระแวง และนั่นทำให้ผมไม่พอใจในตัวควีนคลิสซาลิสที่ทำให้ตัวผมเป็นแบบนี้มากขึ้น

    เสียงระเบิดและเสียงปืนยังคงดังมากขึ้น เครื่องบินรบอีกสองลำได้แล่นผ่านเหนือหัวของพวกผมไป ดูเหมือนพวกเขาพยายามโจมตีใจกลางของเมือง แต่เสียงระเบิดก็ดังลั่นขึ้นมาอีกเมื่อเครื่องบินลำหนึ่งระเบิดกลางอากาศ ดูเหมือนว่ามิซไซด์ที่พวกเขายิงไปจะย้อนกลับมาโจมตีใส่เครื่องบินลำที่ยิงไปเสียเอง

    "คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้วนะ" ผมบอกกับทุกตัวเมื่อผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อผมกระโดดข้ามซากตึกที่ถล่มลงมาเพื่อไปยังจุดที่สูงขึ้นมาหน่อย ผมถึงกับหยุดเดินและอ้าปากค้าง

    ในบรรดาซากปรักหักพังทั้งหมดนั้น มีอยู่เพียงตึกเดียวที่ยังไม่เป็นอะไร นั่นก็คือตึกที่สูงที่สุดในประเทศของผม แต่บริเวณรอบตึกนั้นกลับมีแสงสีเขียวคลุมตัวตึกเอาไว้เป็นรูปชามควํ่าลงมา ข้างล่างบริเวณใกล้ๆ กับกลุ่มพลังเวทย์รูปชามควํ่าลงมานั้นมีทหารจำนวนมากพร้อมรถถังหลายคันกำลังไล่ยิงโจมตีตัวที่น่าจะเป็นลูกน้องของควีนคลิสซาลิสที่ออกมาจากจากในม่านพลังเวทย์ออกมาเรื่อยๆ และใกล้ๆ กันนั้นก็มีเต้นท์ทหารจำนวนมากตั้งอยู่ ดูเหมือนพวกเขากำลังปักหลักเพื่อโจมตีควีนคลิสซาลิสตรงนี้

    "ไปถามพวกทหารถึงสถานการณ์ปัจจุบันเถอะ" ผมบอกกับตัวอื่นๆ ก่อนที่จะรีบก้าวขาลงไปยังเป้าหมาย

    ดูเหมือนว่าอดีตซากตึกที่ผมยืนอยู่นั้นพื้นดินได้ตัวสูงขึ้น ทำให้ตึกใจกลางที่ยังไม่เป็นอะไรนั้นเหมือนยุบลงไปข้างล่างราวกับแอ่งกระทะเลยทีเดียว ด้วยความสามารถที่เคลื่อนที่ได้เร็วแบบม้า ทำให้ผมสามารถทรงตัวในการไถลลงเนินที่เป็นซากตึกไปได้โดยที่ไม่เป็นอะไร น่าแปลกใจเหมือนกันที่บนพื้นเต็มไปด้วยซากขยะ ขวดแก้วต่างๆ แต่ดูเหมือนกีบเท้าของผมจะไม่ได้บาดเจ็บมากเพราะมันเหมือนสวมใส่รองเท้าที่มองไม่เห็นอยู่แล้ว

    เมื่อพวกผมเข้าไปใกล้มากขึ้น ก็พบเห็นทหารอยู่สามสี่คนที่เหมือนจะเฝ้าทางเข้าออกเอาไว้ พวกเขารีบยกปืนเล็งมาทางผมทันทีเมื่อเห็นพวกผมเข้าไปใกล้

    "เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งยิง เราพวกเดียวกัน" ผมรีบตะโกนบอกเขาและรีบผ่อนฝีเท้าตนเองเพื่อรีบหยุดก่อนที่จะเข้าไปใกล้

    เสียงตะโกนของผมนั้นทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นตื่นตระหนกและตกใจกันเป็นจำนวนมาก หลายคนรีบถอยหลังเพื่อหลีกหนีพวกผมทันที เหล่าโพนี่ทั้งหกตัวที่เริ่มหยุดวิ่งต่างมองมาทางผมด้วยความไม่สบายใจ ถึงในสายตาของพวกเธอนั้นจะยังไม่รู้ว่าวัตถุสีดำๆ ที่พวกทหารถืออยู่นั้นมันทำอะไรได้ก็เถอะ

    "จะให้เชื่อได้ยังไง" ทหารนายนึงยังคงเล็งปลายกระบอกปืนมาทางผมโดยที่ไม่ลดปืนลง

    "ผมมีชื่อว่า... บ้านอยู่ตรง.... เกิดวันที่ .... เดือน ... ปี ... ที่โรงพยาบาล.... เมื่อสามวันก่อน ผมถูกยัยปีศาจนั่นสาปจนผมต้องกลายร่างเป็นพวกเดียวกับมัน ผมจบการศึกษาจาก... ปริญญาสาขา .... ประเทศนี้มีนายกชื่อ .... จะให้ผมร้องเพลงชาติให้ฟังไหมหละครับ!"

    ผมพล่ามพรรณายาวๆ เพื่อหวังว่าข้อมูลซักอย่างจะให้พวกเขาเอ๊ะใจขึ้นมาบ้าง นายทหารทั้งสองคนมองหน้าหากัน

    "ได้โปรด พวกคุณต้องเชื่อผม ยัยปีศาจนั่นมันไม่ได้อยู่ในโลกเรา มันมาจากอีกโลก และตอนนี้เราพบวิธีการที่จะจัดการกับมันได้แล้ว" ผมบอกกับเขาอย่างรวดเร็ว ม้าโพนี่ทั้งหกตัวที่อยู่ข้างหลังผมต่างพยักหน้าด้วยสีหน้าขึงขัง

    ทหารนายหนึ่งหยิบว็อคกี้ท็อกกี้ขึ้นมาแล้วพูดอะไรบางอย่างไป จากนั้นเมื่อเขาลดว็อคกี้่ท็อกกี้ลง เขาก็ลดปืนลงด้วย

    "เข้าใจละ ตามพวกเรามา แต่ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด เรายังไม่ไว้ใจพวกนายเท่าไหร่นัก" นายทหารคนนั้นกล่าว

    "ก็ยังดีครับ ขอบคุณ" ผมพยักหน้า ก่อนที่จะเดินตามเขาไป ดูเหมือนว่าทหารคนที่เหลือยังคงเล็งปืนมาทางพวกผมอยู่ ราวกับว่าถ้าพวกผมทำอะไรตุกติดแม้แต่น้อย โดนยิงทันที

    "ฉันหละสงสัยจริงๆ ว่า ไอ้ของที่พวกเขาถืออยู่มันทำอะไรได้" แรร์ริตี้ถามด้วยความสงสัย

    "ซี่...!" ทไวไลท์รีบจุ๊ปากให้เงียบทันที

    เส้นทางที่พวกผมเดินเข้าไปนั้น เต็มไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังขนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เข้ามา และมีเต้นท์หลายคนที่้เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ โดยที่มีหมอกับพยาบาลจำนวนมากกำลังรักษาอยู่ บริเวณรอบนอกเต้นท์นั้นดูเหมือนจะมีชาวบ้านที่เข้ามาขอความคุ้มครองจากทหารอาศัยอยู่ พวกเขายังคงมองมาทางพวกผมด้วยสายตาที่ยังไม่ไว้วางใจ แต่ผมไม่ได้สนใจสายตาพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ผมเงยหน้ามองไปยังก้อนพลังเวทย์สีเขียวขนาดยักษ์ที่คลุมทั้งตึกอยู่เบื้องหน้า

    ทหารนายนั้นนำทางผมไปยังเต้นท์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว ผมก็มองเห็นทหารยศระดับนายพลกำลังยืนท้าวแขนบนโต๊ะที่มีแผนที่กางเอาไว้อยู่ พร้อมกับนายทหารคนอื่นๆ ที่มียศระดับเดียวกันเพียงแต่สีผมและสีผิวนั้นคนละอย่าง และดูเหมือนจะเป็นทหารจากประเทศมหาอำนาจมาช่วยเหลือพวกเรา

    "พวกนี้นะเหรอ ที่อ้างตัวว่ารู้วิธีการจัดการตัวปีศาจนั่นนะ" นายพลท่านนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงห้าว

    "ครับผม" นายทหารคนนั้นตะเบ๊ะตอบเสียงขึงขัง

    "เอาหละเจ้าม้า เราไม่มีเวลามากพอที่จะมาพูดเล่นกันแล้ว ไหนลองว่ามาซิ พวกเธอรู้วิธีการจัดการกับมันได้ยังไง" นายพลหันหน้ามาถามผม

    ผมได้เล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ควีนคลิสซาลิสโจมตีเมืองครั้งแรก ไปจนถึงการที่เหล่าโพนี่ทั้งหมดได้อาสาที่จะมาพาควีนคลิสซาลิสกลับไปยังโลกของมันเอง ทุกครั้งที่ผมเล่าเรื่องนี้ออกมา นายพลจ้องมองนัยน์ตาผมตาไม่กระพริบพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา

    "ขอแค่บอกชื่อนายกประเทศนี้ถูก ก็แสดงว่าเป็นคนของเราจริงๆ" นายพลตอบ "ถึงจะไม่อยากเชื่อก็เถอะว่าเรากำลังถูกบางสิ่งที่ใช้พลังเวทย์แปลกๆ ในการโจมตีเราอยู่"

    "สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ" ผมรีบถามเขาอย่างรวดเร็ว

    "เห็นแสงนั่นใช่ไหม" ท่านนายพลชี้นนิ้วออกไปทางหน้าต่างเต้นท์ "เมื่อคืนวาน มันได้เข้าไปในตึกนั้น แล้วสร้างแสงประหลาดออกมา เราไม่สามารถเข้าไปในแสงนั่นได้เลย มันเหมือนบาเรียที่ปกป้องมันจากอะไรก็ได้ แถมกระสุนปืนและระเบิดอะไรก็ตามก็ยิงไม่เข้าด้วย ทางกลับกัน พวกของมันกลับเดินออกมาจากแสงนั่นได้หน้าตาเฉย เราทำได้อย่างมากก็แค่จัดการกับพวกที่มันเดินออกมาเท่านั้น แม้ว่าเมื่อยิงโดนพวกมันแล้วพวกมันจะหายไปเฉยๆ แทน"

    "หายไปอย่างนั้นเหรอค่ะ" ทไวไลท์ถาม

    "ใช่เจ้าม้า ไม่มีแม้แต่ศพของพวกมันเลย พวกมันแค่หายไปเฉยๆ แต่ปริมาณพวกมันมีมากเกินไป แค่ตรึงกำลังไม่ให้พวกมันออกมาได้ก็มากพอแล้ว นี่ยังถือว่าโชคดีนะ ที่สามวันไม่มีใครเสียชีวิตจากกองทัพของพวกมันเลย" ท่านนายพลเอ่ย

    "ไม่มีใครตายงั้นเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ตอนที่ควีนคลิสซาลิสบุกโจมตีแคชเทอร์ลอช ถึงกองทัพของยัยนั่นจะอาลาวาดถล่มเมืองแค่ไหนก็ไม่มีม้าตัวไหนเสียชีวิตเหมือนกัน" เรนโบว์แดชที่ตอนนี้ไม่บินแล้วได้เอ่ยขึ้น "ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของเจ้าหล่อนจะยังไม่สามารถฆ่าใครได้"

    "ต้องบอกว่า ในโลกของเรา ไม่มีม้าตัวไหนเสียชีวิตจากพลังเวทย์มาก่อนด้วย" แอปเปิ้ลแจ็คพูดเสริม

    "ที่ฉันบอกพวกเธอได้อีกอย่างก็คือ ถ้าภายในวันนี้เราไม่สามารถหาทางเข้าไปในแสงนั่นได้ละก็ ทางทำเนียบขาวจะสั่งยิงนิวเคลียรถล่มเมืองนี้ทันที ซึ่งตอนนี้เราเองก็เริ่มอพยพประชาชนไปบ้างแล้ว" นายพลพูดเสียงเครียด

    "นิวเคลียรเลยเหรอ!" ผมโพล่งออกมาเสียงดัง

    "ถ้ามันไม่มีทางอื่นนะ" นายพลตอบพร้อมกับหลับตาแน่น

    "นี่ นิวเคลียรนี่มันคล้ายๆ กับครีมป่ะ" พิงค์กี้พายถาม

    "อย่าเพิ่งพิงค์กี้" ทไวไลท์ปรามเธอไว้

    ผมหันหน้ามองไปทางม่านพลังเวทย์สีเขียวที่ยังคงคุ้มกันพวกของมันจากทหาร จริงอยู่ที่ว่าพลังของระเบิดนิวเคลียรมันน่าจะมากพอที่จะสามารถทำลายพลังเวทย์และสังหารควีนคลิสซาลิสได้ในรวดเดียว แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็เท่ากับเมืองนี้ทั้งเมืองจะถูกลบออกไปจากแผนที่ในโลกเลย และผมเองยังไม่รู้ด้วยซํ้าว่าน้องสาวของผมอยู่ในนั้นรึเปล่าด้วย และผมคงยอมให้เกิดเรื่องนั้นไม่ได้แน่

    "ท่านนายพลครับ ท่านบอกว่าในแสงนั่น มีแต่พวกของมันออกมาได้อย่างเดียวใช่ไหมครับ" ผมเอ่ยถาม

    "ใช่" ท่านนายพลตอบ

    "ผมมีแผนละครับ" ผมบอกกับทุกคนในเต้นท์ "พวกผมจะเข้าไปข้างในแล้วหาทางทำลายม่านพลังเวทย์นั่น จากนั้นเมื่อผมให้สัญญาณ พวกท่านก็สามารถส่งกองทัพเข้าไปได้เลย บอกทางทำเนียบขาวก็ได้ว่าเรามีแผนแบบนี้"

    "แล้วถ้าเขาไม่เชื่อหละ" นายพลกอดอกถามผม

    "ท่านจะเสี่ยงพร้อมกับพวกผมไหมหละครับ" ผมยิ้มพร้อมเอ่ยถามกับเขา

    นายพลจ้องมองผมโดยที่ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนที่จะหลับตาและลืมตาขึ้นอีกครั้งราวกับตัดสินใจบางอย่างได้

    "เอาว็อคกี้ท็อกกี้ให้เจ้าม้าตัวนั้นด้วย" นายพลออกคำสั่งกับทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาตะเบะรับคำสั่งแล้วเดินไปทางกองลังที่อยู่ข้างๆ ทันที "พวกเธอจะมีเวลาอยู่สองชั่วโมงก่อนที่ฉันจะสั่งถอนกำลัง ถ้าเกินกว่านั้นเราไม่รับประกันความปลอดภัยให้นะ"

    "แค่ชั่วโมงเดียวก็เหลือเฟือแล้ว ไว้ใจพวกเราได้เลย" เรนโบว์แดชยกกีบเท้าตัวเองทุบอกตัวเองบอก

    "ทางเราก็หวังแบบนั้นครับ" ผมพยักหน้าบอกเขา และเมื่อทหารคนนั้นยื่นว็อคกี้ท็อกกี้มาให้ผม ผมจ้องมองดูวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่ในมือเขาก่อนที่จะเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

    "เอ่อ รบกวนหาเชือกอะไรก็ได้มาผูกมันไว้กับตัวผมหน่อยก็ดีนะครับ ผมหยิบของยังไงผมยังไม่รู้เลย" ผมบอกเขาด้วยนํ้าเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

     

    -------------------------------

     

    หลังจากที่ทหารคนนั้นหาเชือกมาคล้องว็อคกี้ท็อกกี้และห้อยคอผมเอาไว้ราวกับทำ Dogtag นายพลท่านนั้นก็นำทางผมไปยังจุดหนึ่งที่เดินอ้อมจากหน้าเต้นท์ไปมากพอสมควร จุดพื้นที่นี้มีซากตึกขนาดใหญ่ที่ยังถล่มลงมาไม่หมดบังสายตาของพวกลูกน้องของควีนคลิสซาลิสเอาไว้ และเป็นหนึ่งในพื้นที่ไม่ที่จุดที่พวกของมันไม่หลุดออกมาจากตรงนี้ จึงทำให้เหมาะในการลับลอบเข้าไปมาก

    "แล้ว คิดว่าพวกเราจะเข้าไปได้ไหม" ฟลัทเทอร์ชายถามด้วยนํ้าเสียงหวั่นๆ

    "ก็ต้องลองดู มันเป็นทางเดียวของเรา" ผมบอกกับเธอ ก่อนที่จะเดินเข้าประชิดกับแสงสีเขียวตรงหน้าเป็นตัวแรก

    อุณหภูมิไอร้อนแผ่ออกมาจากม่านพลังสีเขียวที่อยู่ตรงหน้าราวกับหลอดไฟนีออนที่เปิดสว่างจ้าเกินเหตุ ผมลองยื่นกีบเท้าไปข้างหน้าเพื่อลองสัมผัสกับม่านพลังพร้อมกับหลับตาแน่นเพื่อว่ามันจะทำอะไรตัวผม แต่เมื่ออุ้งเท้าของผมสามารถทะลุผ่านเข้าไปได้ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่จะกระโดดทะลุผ่านม่านพลังเข้าไปทั้งตัว

    "เอาหละทุกตัว เข้ามาได้เลย" ผมบอกกับคนอื่นๆ ซึ่งทุกตัวก็เริ่มทยอยเข้ามากันทีละตัวแล้ว

    "ทดสอบสัญญาณ ได้ยินไหม" นายพลหยิบว็อคกี้ท็อกกี้ของเขาขึ้นมาแล้วกดใช้งาน ซึ่งว็อคกี้ท็อกกี้อันที่ห้อยคอผมอยู่ก็มีเสียงดังออกมาเช่นกัน

    "ได้ยินชัดเจนไม่มีปัญหาครับ" ผมตอบเขา

    "ดีมาก พวกเราจะรอสัญญาณจากพวกเธอนะ ขอให้โชคดี" ท่านนายพลพยักหน้า ก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วทำท่าชี้นิ้วสั่งทหารที่ตามมาด้วยคอยคุ้มกันบริเวณนี้แทน

    ทันทีที่พวกผมเดินเข้าไปใกล้ตึกมากขึ้น เสียงปืนและเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องข้างนอกนั้นก็เบาลง ราวกับว่าม่านพลังนี้ลดเสียงจากภายนอกไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว บริเวณพื้นที่โดยรอบยังไม่เละมากเมื่อเทียบกับข้างนอกม่านพลัง ผมพาม้าทุกตัวเข้าไปในตึกผ่านประตูหนึ่ง

    "แล้วควีนคลิสซาลิสนั่นมันจะอยู่ที่ไหนหละ" แรนโบว์แดชถาม "จะให้ฉันบินค้นหาไปทุกชั้นไหม"

    "เสียเวลาตาย" ผมบอกกับเธอ "ทไวไลท์ ที่พวกเธอเรียกมันว่า ควีนคลิสซาลิส นี่ หมายความว่าเจ้าตัวก็เป็นราชินีงั้นเหรอ"

    "ใช่ เป็นราชินีของพวก Changeling นะ" เธอตอบ

    "ชา... อะไรนะ" ผมถาม

    "Changeling แต่เดิมพวกนี้เป็นสิ่งชีวิตตามธรรมชาติในโลกของพวกเรา จนกระทั่งควีนคลิสซาลิสได้เข้ามาเป็นผู้นำพวกมันเนี่ยแหละ แต่เป็นได้ยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน" ทไวไลท์ตอบ

    "หมายถึงไอ้พวกนั้นนะเหรอ" พิงค์กี้พายชี้ไปยังห้องข้างหน้า ที่เหมือนจะเป็นส่วนของพื้นที่ร้านค้า

    ทุกตัวรีบแอบมองดูพวกมันทันที ดูเหมือนลูกน้องของควีนคลิสซาลิสที่ชื่อว่า Changeling นั้นกำลังสนใจมองดูเสื้อผ้าลดราคาที่ขายอยู่ และข้างหลังของพวกมันนั้นก็มีบันไดอยู่

    "ถ้าควีนคลิสซาลิสเป็นราชินี ชั้นที่มันน่าจะอยู่คงเป็นชั้นบนสุดของตึกแน่ๆ" ผมพึมพำ พลางเงยหน้ามองดูรอบๆ ห้องที่พวกผมอยู่ ดูเหมือนหลอดไฟจะยังติดอยู่

    ผมมองไปอีกทางหนึ่ง มีลิฟต์อยู่ข้างหน้า ผมจึงเดินเข้าไปแล้วก็ยกกีบเท้ากดปุ่มขึ้นบนลิฟต์ และประตูลิฟต์ก็เปิดออก

    "นี่มันอะไรเหรอ" ทไวไลท์ถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

    "เราเรียกมันว่าลิฟต์นะ เข้าไปเถอะ" ผมบอกทุกคนโดยที่ผมยังไม่เอากีบเท้าออกมาจากปุ่มกดขึ้น และพอม้าทุกตัวเข้าไปแล้ว ผมจึงเข้าตามไป และยืดตัวขึ้นสุดเพื่อกดปุ่มชั้นบนสุดของตึก ลิฟต์ทำงานและพาพวกเราขึ้นไปทันที

    "โว้ว นี่ก็ใช้พลังเวทย์เหมือนกันเหรอ" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "ไม่ใช่หรอก นี่เป็นพลังงานไฟฟ้านะ ถ้าไม่มีพลังงานไฟฟ้าลิฟต์ก็จะไม่ทำงาน" ผมอธิบาย "ยังถือว่าโชคดีที่ควีนคลิสซาลิสไม่ทำอะไรกับระบบไฟฟ้าของตึกนี้นะ"

    "โลกของนายนี่มีแต่ของที่น่าสนใจทั้งนั้นเลยนะ" ทไวไลท์เอ่ยด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น

    ผมมองดูใบหน้าของเธอ เธอมองผมราวกับเด็กๆ ที่เพิ่งเจอของเล่นใหม่ แต่ผมทำได้แค่ส่ายหัว

    "มันไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดหรอก โลกของฉันนะ เชื่อฉันเถอะ" ผมบอกกับเธอ

    ประตูลิฟต์เปิดออก ผมยกกีบเท้าเพื่อกดปุ่มเปิดและให้ม้าโพนี่ทุกตัวออกไปจากลิฟต์ก่อนที่ผมจะเดินออกมาตาม พวกเรามาถึงชั้นบนสุดของตึกแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่ามีแต่ชั้นบนสุดเนี่ยแหละที่สภาพไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะพื้นที่โดยรอบถูกดัดแปลงให้ราวกับเป็นท้องพระโรงและมีบังลังค์อยู่ตรงกลางของห้อง พื้นที่รอบๆ ที่ควรจะมีกำแพงนั้นหายหมดเปลี้ยง คงเหลือแต่เสาที่ยังคํ้าเพดานเอาไว้อยู่ และจากมุมมองบนนี้ทำให้มองเห็นได้ว่าเมืองทั้งเมืองตอนนี้แทบราบเป็นหน้ากลอง มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เหมือนยังไม่ถูกทำลาย โชคดีที่ลิฟต์อยู่หลังของบังลังค์ ทำให้พวกผมสามารถรีบหลบได้อย่างรวดเร็ว

    "หึๆๆๆ เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตหน้าโง่ เจ้าคิดเหรอว่าเจ้าจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้"

    เสียงของควีนคลิสซาลิสดังขึ้น พวกผมรีบแอบดูทันที ดูเหมือนควีนคลิสซาลิสกำลังนั่งอยู่บนบังลังค์ด้วยขาทั้งสี่ข้างของเธอ เจ้าตัวดูเหมือนพอใจมากเมื่อเห็นว่าเฮลิคอปเตอร์จู่โจมของทหารลำหนึ่งพยายามยิงกระสุนใส่ม่านพลังมา แต่ไม่สามารถยิงทะลุเข้ามาได้ เขาของมันมีแสงสีเขียวปรากฎอยู่แทบตลอดเวลา และนั่นทำให้ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างตรงคอมันเป็นครั้งแรก

    "นั่นมันอะไร" ผมหรี่ตาเพื่อมองสิ่งนั้นให้ชัด เพราะตอนที่ผมโดนควีนคลิสซาลิสจับตัวไว้ครั้งแรกผมไม่ทันสังเกตเห็น

    "นั่นมันสร้อยคออัลลิคอนนิ" ทไวไลท์บอก

    "สร้อยคออะไรนะ ?" ผมถามเธอ

    "มันเป็นเครื่องรางวิเศษณ์ ที่จะสามารถมองพลังอำนาจให้กับผู้ที่สวมใส่ได้เสมือนเป็นอัลลิคอนเองเลย" ทไวไลท์อธิบาย "แต่ มันน่าที่จะอยู่ในแคสคาลอสไม่ใช่เหรอ เจ้าหญิงเซเลสเทียร์เคยบอกอยู่ว่ามีในห้องเก็บม้วนคัมภีร์"

    "เป็นไปได้รึเปล่าว่า ตอนที้ควีนคลิสซาลิสบุกแคนเทอร์ลอท ควีนคลิสซาลิสได้พบเจอมันนะ" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "เป็นไปได้ และยิ่งควีนคลิสซาลิสเองก็มีพลังอำนาจมากอยู่แล้ว การที่เธอได้สร้อยคออัลลิคอนมาช่วย นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมเธอถึงมีพลังอำนาจมากขึ้น" ทไวไลท์บอกด้วยนํ้าเสียงที่ไม่สู้ดีนัก

    "และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงสร้างม่านพลังได้ หรือทำให้มิซไซด์หันไปใส่เครื่องบินรบนั่นแทน" ผมรีบถามเธอ

    "เป็นไปได้ แต่ปกติแล้วสร้อยคออัลลอคอน จะไม่สามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริงอยู่แล้ว" เธอบอก

    และนั่นก็อาจอธิบายได้ว่าทำไมเมืองพังพินาศมาสามวัน แต่กลับไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมคิด

    "แล้ว เราจะเอายังไงดี" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    ผมมองดูทางข้างหน้า และผมก็สังเกตเห็นว่า น้องสาวผมยังอยู่ที่นั่น มือของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เรืองแสงสีเขียวพร้อมกับเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันอีกสามสี่คน

    "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! กองทัพของข้าไม่มีวันสิ้นสุดหรอก พวกเจ้าคิดว่าจะต้านข้าได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว" ควีนคลิสซาลิสหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ

    "ทำไมกัน..." เสียงของน้องสาวผมดังขึ้น

    "อะไรเหรอ เด็กน้อย" ควีนคลิสซาลิสถาม

    "ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย" น้องสาวของผมตะโกนเสียงดังลั่น

    "หึๆๆ ทำไมนะเหรอ เพราะในเมื่อข้ายังขาดอะไรบางอย่างที่ข้าไม่สามารถยึดครองอีเควสเทียร์ได้ ข้าจึงมองหาโลกอื่นแทนยังไงหละ กองทัพ หรืออาวุธต่างๆ ที่ข้าจะสามารถครอบครองได้ แต่ก่อนอื่น ข้าจะต้องยึดครองโลกนี้ให้ได้เสียก่อน" ควีนคลิสซาลิสฉีกยิ้ม

    "โหดร้าย..."

    "ใช่ กลัวข้าสิ กลัวข้าเข้าไป เพราะข้าเนี่ยแหละที่จะนำพาหายนะมาให้พวกเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" ควีนคลิสซาลิสหัวเราะเสียงดังลั่น

    "อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ"

    เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น และเป็นเสียงที่สองคนนี้คุ้นเคยเป็นอย่างดีด้วย

    "พะ พี่งั้นเหรอ" น้องสาวผมหันมองมาทางผม

    ผมยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าควีนคลิสซาลิส โดยหันหลังให้กับเมืองของผมที่กำลังกลายเป็นซากไปแล้ว ผมจ้องมองดูควีนคลิสซาลิสโดยที่ไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น

    "โอ้ ดูเหมือนว่าเวทย์ของข้าจะเริ่มได้ผลแล้วสินะ อีกไม่นานหรอกที่เจ้าจะกลายมาเป็นของข้า แต่ก็น่าแปลกนะ ที่เจ้ายังรอดมาได้" ควีนคลิสซาลิสเอ่ย

    "ไม่ต้องรอหรอก ท่านราชินี" ผมเอ่ย

    "เจ้าว่าอย่างไรนะ" ควีนคลิสซาลิสหรี่ตาถาม

    "เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าต่อต้านเธอไปก็เปล่าประโยชน์" ผมก้าวขาออกไปข้างหน้า ตาของผมจ้องมองที่อัลลิคอน เอมูเล็ทที่อยู่ตรงคอของควีนคลิสซาลิส "ฉันขออยู่เป็นฝ่ายเดียวกับเธอดีกว่า"

    "พี่!" น้องสาวผมมองผมด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

    "เลือกทางเลือกได้สวย ไอ้หนุ่ม" ควีนคลิสซาลิสมองผมด้วยใบหน้าพึงพอใจ

    "พี่ จะบ้าเหรอ! ยัยนี่มันทำลายเมืองของเรา ทำลายบ้านของเรา และยังทำให้พี่้เป็นแบบนี้ด้วยนะ" น้องสาวผมตะโกนบอกราวกับต้องการเตือนสติผม

    "มันเป็นหนทางเดียวที่พี่จะช่วยเธอได้ น้องพี่" ผมหลับตาบอกกับเธอ ก่อนที่จะลืมตามองดูควีนคลิสซาลิส

    "หึๆๆ ลูกน้องที่ดีย่อมสวามิภักดิ์กับผู้นำที่คู่ควร" ควีนคลิสซาลิสลุกขึ้นยืน "ก้าวมาข้างหน้าเลย ไอ้หนุ่ม ข้าจะทำให้เจ้ากลายมาเป็นพวกของข้าโดยสมบูรณ์"

    ผมก้าวขาไปข้างหน้าและเข้าไปหาควีนคลิสซาลิสโดยที่ไม่มีการรีรอ

    "พี่ค่ะ อย่าทำแบบนี้ ได้โปรด" น้องสาวผมส่ายหัว นํ้าตาของเธอไหลอาบแก้มของเธอ

    เมื่อผมเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น เธอจ้องมองผมด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่เขาบนหัวของเธอนั้นจะเริ่มเปร่งแสงสีเขียวมากขึ้น

    ผมฉีกยิ้มออกมา

    "ตอนนี้แหละ เรนโบว์แดช!!"

    ผมตะโกนเสียงดังลั่น และจังหวะที่ควีนคลิสซาลิสกำลังงุงงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น สายรุ้งปรากฎต่อหน้าผมและควีนคลิสซาลิส และสร้อยคออัลลิคอนก็หายไปจากตัวของเธอแล้ว

    "อะไรกันเนี่ย!" ควีนคลิสซาลิสร้องลั่น

    "Gotgha!" เรนโบว์แดชร้องออกมาเสียงดังด้วยความสะใจ และในอุ้งเท้าของเธอนั้น สร้อยคออัลลิคอนก็อยู่กับเธอแล้ว

    เปรี๊ยะ....

    เสียงกระจกแตกดังขึ้นทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงระเบิดครืนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ และเมื่อผมหันหลังมองดู ก็พบว่าม่านพลังเวทย์สีเขียวที่ปกลุมทั่วทั้งตึกนั้นได้แตกกระจายสลายหายไปแล้ว

    "ถึงท่านนายพล ผมทำลายบาเรียมันได้แล้ว สั่งทหารบุกเลยครับ" ผมตะโกนลั่นใส่ว็อคกี้ท็อกกี้ที่อยู่ตรงคอผม

    'ทำได้ดีมากพ่อหนุ่ม เราจะส่งกองกำลังเข้าไปเดี๋ยวนี้' เสียงของนายพลดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร

    "นี่แก...." ควีนคลิสซาลิสเอ่ยพร้อมกับสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ

    "พอแค่นั้นแหละ ควีนคลิสซาลิส!" เสียงของทไวไลท์ดังขึ้น และเมื่อควีนคลิสซาลิสหันมองดูต้นเสียง ก็พบว่าพวกของทไวไลท์ได้ยืนอยู่หลังผมและพร้อมประจันหน้าสู้กับเธอ

    "ทไวไลท์ สปาร์คเคิล" ควีนคลิสซาลิสเอ่ยชื่อของเธอด้วยนํ้าเสียงไม่พอใจนัก

    "แผนของเธอมันจบแล้ว และเธอจะต้องกลับไปกับพวกเรายังโลกเดิม หยุดแผนการของเธอได้แล้ว!" ทไวไลท์ตบกีบเท้าบนพื้นข้างหนึ่งด้วยท่าทางที่พร้อมรับมือเต็มที่

    "หึๆๆ เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมง่ายๆ งั้นเหรอ" ควีนคลิสซาลิสเอ่ยด้วยนํ้าเสียงเย็นชา

    ครืน..!

    เหล่าลูกน้องของควีนคลิสซาลิส Changeling จำนวนมากได้เข้ามาโอบล้อมพวกเราทุกทิศทุกทาง และพวกมันมีจำนวนมากจนเกือบครึ่งร้อยเลยก็ว่าได้ พวกมันยิ้มหัวเราะใส่พวกเรา

    "โถ่ เจ้าพวกนี้อีกแล้วเหรอ" แรร์ริตี้ส่ายหัวพร้อมกับทำหน้าเซ็ง

    "อู้ อู้ แล้วพวกนี้จะกลายร่างเป็นฉันอีกไหมหละ" พิงค์กี้พายกระโดดขึ้นลงด้วยความตื่นเต้น

    "ถึงแม้ว่าเจ้าพวกนี้จะแปลงร่างไม่ได้เพราะเป็นตัวกอปปี้ที่่ฉันเสกขึ้นมาด้วยพลังของสร้อยคออัลลิคอน แต่พวกเจ้าจะต่อกรได้ขนาดไหนกันเชียว ควีนคริสซาลิสแสยะยิ้่ม "เก็บพวกมันซะ สมุนของข้า!"

    เหล่า Changeling จำนวนมากเริ่มบุกแห่โจมตีเข้ามากันเป็นจำนวนมากพร้อมกัน ม้าทั้งห้าตัวและอีกหนึ่งตัวที่บินกลางอากาศได้พุ่งใส่โจมตีพวกนี้ทันที แสงพลังเวทย์สีแดงของทไวไลท์ได้พุ่งใส่พวกของมันราวกับห่ากระสุนของปืนเลเซอร์ แอปเปิ้ลแจ็คได้พุ่งตัวและยกขาหลังเตะ Changeling ตัวไหนก็ตามที่เข้ามาใกล้เธอ และเธอสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดายมาก ส่วนเรนโบว์แดชนั้นได้ใช้ความเร็วของเธอในการพุ่งโจมตีและจับมันโยนกลางอากาศ เธอสามารถหมุนตัวเป็นวงกลมรอบๆ และสร้างพายุขนาดย่อมและพัดโจมตีพวก Changeling จนกระเด็นไปรอบๆ ทาง ส่วนแรร์ริตี้นั้นดูเหมือนเธอจะใช้พลังเวทย์ของเธอในการเสกให้ผ้าคลุมของเธอฟาดใส่พวกของมันราวกบัเป็นแส้เลยทีเดียว และที่ไม่เหมือนโพนี่ตัวอื่นเลยก็คือ พิงค์กี้พาย เธอใช้ความเร็วสูงที่เธอมีในการหลอกล่อให้ Changeling หันมองผิดทาง พร้อมกับเอาปืนใหญ่มาจากไหนก็ไม่รู้ยิงใส่พวก Changeling ทันทีที่พวกมันเผลอ แถมดูเหมือนว่ากระสุนที่ยิงออกมาจากปืนใหญ่นั้นกลับเป็นกระสุนที่มีกล่องของขวัญและริบบิ้นเต็มไปหมด ทันทีที่ Changeling พลาดท่าและถูกโจมตี พวกมันจะสลายหายไปทันที แต่ก็มีโพนี่อยู่ตัวหนึ่งที่ไม่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย นั่นก็คือ ฟรัทเทอร์ชาย

    "ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี" เธอบอกพร้อมกับมองไปรอบๆ ด้วยความกังวล ซึ่งก็ได้มี Changeling ตัวหนึ่งเข้ามาหาเธอ

    "เอ่อ มาพูดคุยกันแบบสันติไมตรีกันดีกว่าไหมจ๊ะ" เธอถามด้วยนํ้าเสียงที่หวาดกลัว

    Changeling ตัวนั้นหัวเราะนั่น แต่แล้วก็มีหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้ามันไป มันจึงใช้กีบเท้าเตะหนูตัวนั้นจนกระเด็นมาทางฟลัทเทอร์ชาย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที

    "ตายแล้ว เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ" เธอรีบถามหนูตัวนั้น ซึ่งหนูตัวนั้นก็พยายามลุกขึ้นแต่เหมือนจะลุกไม่ไหว เพกาซัสสาวจึงเงยหน้าและจ้องมองดู Changeling ด้วยใบหน้าที่้เปลี่ยนไปทันที

    "กล้าดียังไง.... กล้าดียังไง ถึงมาทำอะไรกับหนูที่น่าสงสารตัวนี้ไม่ทราบ!"

    พลั่ก!

    Changeling ตัวนั้นยังไม่ทันตอบอะไร ก็เจออะไรบางอย่างของฟลัทเทอร์ชายจนปลิวกระเด็นและไปกระแทกกับ Changeling อีกตัวที่กำลังเข้าโรมรันอยู่กับแอปเปิ้ลแจ็ค จนเจ้าตัวหันมามองด้วยความตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และโพนี่คาวบอยสาวก็ต้องหน้าซีดเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของฟลัทเทอร์ชาย

    "พวกเธอจะต้องมาขอโทษหนูน้อยตัวนี้เดี๋ยวนี้!!" ฟลัทเทอร์ชายกรีดร้องลั่น ก่อนที่เธอจะกระโดดเข้าตะลุมบอลกับ Changeling อีกกว่าโหลที่เข้ามารุมเธอทีเดียว แต่ Changeling ทั้งหลายต่างก็กระเด็นออกไปตัวละทิศตัวละทางจนร่างกายสลายหายไป

    "อย่าหนีนะ กลับมานี่เดี๋ยวนี้!!" ฟลัทเทอร์ชายร้องลั่นราวกับเสียงกรีดร้องของปีศาจ ก่อนที่ Changeling ทั้งหลายเริ่มลังเลและวิ่งหนีจากเธอทันที

    "ของขึ้นเรียบร้อยแล้วสินะ ฟลัทเทอร์ชาย" แอปเปิ้ลแจ็ควิจารณ์ ซึ่ง Changeling ที่ยืนดูข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่พอทั้งคู่มองเห็นซึ่งกันและกัน แอปเปิ้ลแจ็คจึงรีบยกขาหลังแล้วถีบมันไปทันทีเลย

    "เนียนจริงนะพวกเอ็ง" คาวบอยสาวยิ้มร่า

    "พวกเรา พวกนี้อ่อนกว่าที่พวกเขาเคยเจอในแคนเทอร์ลอส จัดการมันได้เลย" ทไวไลท์ตะโกนออกมา ดูเหมือนเธอพึ่งจะใช้เวทย์เลเซอร์ของเธอในการยิงใส่โจมตี Changeling อีกตัวที่พุ่งเข้ามาโจมตีเธอ

    "จัดไปอย่าให้เสีย" เรนโบว์แดชพยักหน้า ก่อนที่เธอจะใช้ความเร็วของเธอในการบินพุ่งโจมตี Changeling จนตัวติดกันจำนวนมาก และจัดการให้กับ Changeling ตัวอื่นๆ ด้วย

    ขณะที่ควีนคริสซาลิสนั้น ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังคงนั่งลงบนบังลังค์ของเธอเหมือนเดิม ผมรีบพุ่งไปหาเธอทันที

    "ควีนคริสซาลิส! รีบปล่อยน้องสาวฉันเดี๋ยวนะโว้ย!"

    ผมตะเบ็งเสียงดังลั่นก่อนที่จะควบเข้าไป หวังว่าจะพุ่งตัวเข้าไปโจมตีใส่มันได้ แต่มันกลับมองมาทางผมด้วยสีหน้าไม่รู้สึกตกใจอะไร

    "ข้าว่าไม่นะ"

    เปรี้ยง!

    "อ๊ากกกกกกกก!"

    มันยิงพลังสีเขียวของมันใส่มาทางผมอย่างรวดเร็วโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวทัน ร่างของผมพุ่งกระเด็นไปชนกับเสาต้นหลักต้นหนึ่ง ซึ่งหากตัวผมไม่พุ่งไปโดนเสา ป่านนี้ผมคงร่วงตกลงไปจากตึกสูงร้อยชั้นแล้ว ผมร้องลั่นออกมาเมื่อรู้ว่าปีกข้างหนึ่งของผมกระแทกกับเสาอย่างจัง ความเจ็บปวดแผ่ขยายไปทั่วปีกทั้งข้างและลามมาจนถึงหลังของผมด้วย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัวอะไรต่อ ควีนคริสซาลิสก็ปรากฎขึ้นข้างหน้าผม และใช้พลังเวทย์ของเธอรัดที่คอของผมราวกับใช้มือที่มองไม่เห็นบีบคอผมอยู่ ความเจ็บปวดและความอึดอัดทำให้ผมหน้าซีดอย่างรวดเร็ว ตัวของผมถูกลอยขึ้นกลางอากาศโดยที่ผมแทบขัดขืนไม่ได้ ปากของผมพยายามที่จะหายใจเอาอากาศเข้าปอด แต่กลับไม่สามารถทำได้เลยเมื่อคอของผมถูกพลังลิบลับบางอย่างบีบเอาไว้แน่นจนแทบจะฉีกขาดออกตอนไหนก็ได้

    "เจ้าโง่! เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะไร้นํ้ายาจนขนาดถูกพวกเจ้าจัดการได้อย่างง่ายดายนะ หา!" ควีนคริสซาลิสท้าทายผม "โลกของเจ้านะมีอะไรน่าสนใจเยอะ และอีกไม่ช้า ข้าก็จะหลบหนีไปกบดานซักที่ก่อน แล้วหลังจากนั้น ข้าก็จะกลับมาใหม่ และทำลายโลกของเจ้าต่อแน่"

    "อั๊ก อึก ไอ้.." ผมพยายามที่จะสบถด่ามันออกมา แต่เสียงของผมกลับไม่ออกมาเลย แถมสายตาของผมก็พร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความทรมาณที่ผมไม่สามารถดิ้นขัดขืนได้เลย

    "ควีนคริสซาลิส! หยุดนะ!!" ทไวไลท์ตะโกนออกมา เธอพยายามที่จะควบมาช่วยผม แต่กลับถูกพวก Changeling อีกครึ่งโหลมาขวางทางเอาไว้

    "แต่ก่อนอื่น ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งก่อนละกันนะ เริ่มจากอะไรดี เด็ดปีกเจ้าทิ้งทีละข้างดีไหม" เธอเบิ่งตาโพลงโตด้วยความเย็นชา

    กร๊อบ....!!

    "อ๊าาาากกกกกกกกก!"

    ถึงผมจะโดนบีบคออยู่ แต่ผมก็ร้องเสียงดังลั่นออกมาเมื่อรู้ว่าอวัยวะที่อยู่ข้างหลังผมข้างหนึ่งแตกหักอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่ากระดูกที่อยู่ในปีกของผมจะหักเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายของผมชาไปหมดทั้่งตัวจนไม่รับรู้ความรู้สึกอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากความเจ็บปวดที่ควีนคริสซาลิสกำลังประเคนมาให้ผม

    "ควีนคริสซาลิส ไอ้เจ้าบ้า!" เรนโบว์แดชพยายามพุ่งตัวมาช่วยผม แต่กลับถูก Changeling บินมาขวางทางเอาไว้

    "หลีกทางเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาเกะกะ!" เรนโบว์แดชพยายามที่จะสลัดพวกนี้ให้หลุด แต่ไม่สามารถทำได้

    "ไม่นะ..." น้องสาวผมร้องสะอื้นไห้ออกมา

    "ทีนี้ ก็อีกข้างสินะ" จ้าวแห่งปีศาจยิ้มร่า เมื่อสายตาของมันเลื่อนไปทางปีกของผมอีกข้างหนึ่ง

    ผมมองเห็นเธอไม่เห็นแล้ว ลมหายใจของผมอ่อนระโรยมากขึ้นเรื่อยๆ ตาของผมเริ่มปิดลงจนเหลือแต่ความมืดมิด ในหัวของผมไม่เหลืออะไรอีกนอกจากความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง ไม่เหลือแม้แต่หนทางที่จะเอาคืนเจ้าตัวได้

    เปรี้ยง!

    "โอ้ยยย!"

    เสียงของควีนคริสซาลิสร้องออกมาดังลั่นพร้อมกับคอของผมที่หลุดออกจากพันธนาการที่มองไม่เห็น ร่างของผมร่วงกระแทกพื้น ผมร้องออกมาเสียงดังลั่นเมื่อปีกข้างที่หักของผมกระแทกโดนพื้นเต็มๆ ผมสำลักออกมาหลายครั้งและพยายามสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปให้มากที่สุด และเมื่อผมสามารถลืมตาขึ้นด้วยอาการที่อ่อนแรง ก็พบว่าท่านนายพลพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งได้ขึ้นมาบนชั้นบนสุดนี้แล้ว และในมือของนายพลเองก็มีปืนพกลูกโม่จ่อมาทางควีนคริสซาลิสอยู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะโดนยิงที่อุงเท้าข้างหนึ่งของมัน เลือดไหลออกมาจากอุ้งเท้าข้างนั้นทันที และเจ้าตัวก็หันไปมองดูเหล่ากองทหารที่ขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น

    "มันจบแล้ว ไอ้ปีศาจ" ท่านนายพลตะโกนออกมาเสียงดัง และดูเหมือนทหารคนอื่นๆ ก็ได้เข้ามาร่วมจัดการกับ Changeling ตัวอื่นๆ ที่เขามารุมโพนี่ตัวอื่นๆ จนเหลือไม่กี่ตัวแล้ว "ยอมแพ้ซะ"

    "กล้าดียังไงที่มาทำให้ร่างกายที่สวยงามของข้าต้องได้รับบาดแผล" ควีนคริสซาลิสเอ่ยด้วยนํ้าเสียงทุ่มตํ่าที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน นัยน์ตาของเธอเปร่งประกายสีเขียวออกมาพร้อมกับแสงที่ปรากฎบนเขาของเธอ

    ครืน!

    คลื่นพลังบางอย่างพุ่งโจมตีกระแทกใส่กองทหารและนายพลจนพวกเขาปลิวกระเด็นกระแทกกับเสาต้นหลักและประตูลิฟต์ทางที่พวกเขาขึ้นมา ทหารบางคนร้องเสียงหลงพร้อมกับร่างไหลไปตามพื้นอาคารหลังนี้

    "ไม่ต้องเจรจาอีกแล้ว ยิงเลย!" นายพลลุกขึ้นมาพร้อมกับหลับตาข้างหนึ่งเพราะเลือดไหลลงมาจนโดนตาข้างนั้น

    เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

    เสียงกระสุนปืนจำนวนมากพุ่งเข้าหาควีนคริสซาลิส แต่เจ้าตัวนั้นกลับสร้างม่านบาเรียสีเขียวคลุมร่างกายของมัน กระสุนจำนวนมากจึงไม่สามารถทะลุผ่านม่านหลังของเจ้าตัวไปได้ เจ้าตัวหัวเราะลั่นเมื่อทหารทั้งหลายพยายามใช้อาวุธที่มีในมือโจมตีใส่มันแต่ไม่ได้ผล

    "เจ้าโง่! อาวุธของพวกเจ้าไม่อาจต่อกรกับเวทย์มนต์ที่แข็งแกร่งของข้าได้หรอก" ควีนคริสซาลิสเยาะเย้ย

    "ยิงเข้าไป! ไม่ต้องสน! จัดการมันให้ได้!" นายพลสั่งขณะที่เขากำลังบรรจุกระสุนใหม่

    "จะให้ข้าพูดอีกกี่ครั้ง พวกเจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้หรอก" ควีนคริสซาลิสถากถาง

    "ได้สิ ถ้าเป็นพลังเวทย์ของธาตุแห่งความปรองดอง!!"

    เสียงของทไวไลท์ดังขึ้น และเมื่อทั้งผมและคนอื่นๆ หันไปมอง ก็พบว่าทไวไลท์และเพื่อนของเธอได้ออกมายืนประจันหน้ากับควีนคริสซาลิสต์ และทั้งสร้อยคอและมงกุฎที่เธอสวมอยู่บนหัวนั้นต่างก็เปร่งแสงออกมา เป็นแสงที่ส่องสว่างจ้ามากที่สุดที่ผมเคยเห็นมาก่อน และแสงเหล่านี้ก็มีความอบอุ่นปรากฎขึ้น เหล่าทหารแทบทุกนายหยุดยิงและจ้องมองจนบางคนอ้าปากค้าง

    "นั่นมันอะไรกัน!" ควีนคริสซาลิสตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก

    "เอาเลย สาวๆ โชว์พลังของเราให้แม่นั่นเห็น!" เรนโบว์แดชตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

    "โฮ้ท!!"

    แสงสีชมพูเปร่งประกายรอบๆ ตัวของโพนี่ทั้งหกตัว ร่างของพวกเขาลอยขึ้นเหนือพื้นราวกับกำลังลอยกลางอากาศ ตราสัญลักษณ์บนสร้อยคอของโพนี่แต่ละคนพุ่งออกมาไปทางควีนคริสซาลิส เจ้าตัวมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก และจากนั้น เมื่อแสงสุดท้ายเปร่งประกายออกมาจากมงกุฎที่ทไวไลท์สวม แสงสีรุ้งก็ปรากฎขึ้นเหนือหัวของพวกเธอ แล้วก็พุ่งโจมตีใส่ควีนคริสซาลิสต์ทันทีพร้อมกับเสียงดังลั่นสนั่นราวกับเสียงระเบิดขนาดย่อม

    "ม่ายยยยยยยยยยย!!"

    แสงสีขาวสว่างจ้าตรงหน้าของพวกผม ผมหยีตาพยายามที่จะมองว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายก็มองไม่เห็น แต่แสงนั้นก็สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนแผ่ขยายทะลุออกไปข้างนอก ผมได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังสร้างสิ่งปลูกสร้างอะไรบางอย่างอยู่ด้วยความรวดเร็วที่เหลือเชื่อ แสงนั้นส่องสว่างมากเสียจนมองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากสีขาวที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ทหารหลายคนถึงร้องเสียงหลงออกมา

    และไม่นานนัก แสงสว่างนั้นก็ค่อยๆ ซาลง ผมกระพริบตาหลายครั้งเพราะแสบตาเอาเรื่องอยู่ แต่ผมก็ต้องมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

    ท้องฟ้าจากเดิมที่เป็นสีแดงน่ากลัว ตอนนี้ได้กลับมาเป็นท้องฟ้าสีดำและเต็มไปด้วยดวงตาพราวเต็มท้องฟ้า ซึ่งเป็นวิวทิวทัศน์ที่ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นในเมืองหลวงด้วย ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่เป็นซากปรักหักพังไปแล้ว บัดนี้ได้ฟื้นฟูกลับมาสภาพเดิมและคงสภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย พื้นถนนบางส่วนที่แตกหักและยุบตัวลงไป บัดนี้ได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว และตรงกลางของห้องนี้ที่แต่เดิมมีบังลังค์นั้น กลับหายไปและมีรูปปั้นนํ้าพุที่น่าจะเป็นของดั้งเดิมวางเอาไว้แทน ทหารหลายคนยังคงอ้าปากค้างราวกับไม่เชื่อในสายตาที่ตนเองเห็น

    "นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" ผมพึมพำ

    "ฉันว่า พลังของธาตุแห่งความปรองดอง มันช่วยฟื้นฟูและรักษาในสิ่งที่ควีนคริสซาลิสทำเอาไว้นะ" ทไวไลท์เดินเข้ามาหาผม ผมยังคงมองเห็นแสงสีชมพูอ่อนๆ เปร่งประกายออกมาจากตัวของเธออยู่ เธอยื่นอุ้งเท้ามาทางผม ผมจึงยื่นอุ้งเท้าไปหาเธอ เธอพยายามฉุดให้ผมลุกขึ้นยืน แต่ผมยังร้องเสียงหลงเพราะอาการบาดเจ็บยังคงอยู่ เรนโบว์แดชรีบบินเข้ามาช่วยพยุงผมอย่างรวดเร็ว

    "พลังมิตรภาพของพวกเราเนี่ยแหละเจ๋งสุดท้าย" เพกาซัสแผงคอสีรุ้งบอกกับผมอย่างตื่นเต้น

    "เวทมนต์แห่งมิตรภาพ (Friendship is Magic) ต่างหากหละ" ทไวไลท์พูดเสริม

    "หมายความว่า..." นายทหารคนหนึ่งเอ่ยออกมา

    "พวกเราชนะแล้วยังไงล่ะ!!" นายทหารอีกคนร้องเสียงดังลั่นด้วยความปลื้มปิติ

    "เฮ้!!"

    นายทหารหลายคนร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น บางคนโยนหมวกขึ้นไปบนอากาศ บางคนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจสุดขีด ทุกคนมีแต่รอยยิ้มบนใบหน้า หลังจากที่ต้องฝ่าฝืนอุปสรรคมาอย่างยาวนาน

    ผมยิ้มกว้างเมื่อสิ่งที่ผมพยายามมาตลอดประสบผล และก็หันไปมองดูน้องสาว ซึ่งโซ่สีเขียวนั้นก็หลุดออกมาจากมือของเธอแล้ว เธอวิ่งเข้ามาโผกอดผมทันที

    "พี่จ๋า..." เธอเรียกผมด้วยความเป็นห่วง

    "เบา บ๊าวววว! พี่เจ็บนะไอ้น้อง" ผมร้องลั่นเมื่อมือของเธอไปโดนปีกข้างที่หักของผม

    "แหะๆ โทษทีนะพี่จ๋า" เธอยิ้มหัวเราะแหะๆ กับผม ก่อนที่จะกอดผมแน่น

    ถ้าผมมีมือทั้งสองข้าง ผมคงจะโอบกอดเธอกลับแล้ว แต่ในร่างของม้านี้ ผมจึงทำได้แค่ยกขาหน้าข้างหนึ่งโอบกอดเธอกลับ ความสูงของผมนั้นสูงเท่ากับเธอพอดี เลยทำให้ขาหน้าของผมโอบกอดตรงหลังของเธอได้พอดี พร้อมกับซบหน้าของผมไว้บนหัวไหล่ของผม

    "ดีจัง ที่เราไม่เป็นอะไร" ผมบอกกับน้องสาวผมด้วยความโล่งอก

    "อื้ม..." น้องสาวผมพยักหน้าถี่ๆ นํ้าตาของเธอไหลหยดบนตัวของผม แต่ผมไม่สนใจมัน

    "เอาหละ แล้วทีนี้ก็มาถึงตัวปัญหาของเราแล้ว" ท่านนายพลลุกขึ้นพร้อมกับปัดฝุ่นที่ติดบนเสื้อของเขา และเดินมาข้างหน้า

    ควีนคริสซาลิสตอนนี้ถูกเชือกอะไรบางอย่างพันธนาการเอาไว้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนเป็นเชือกที่แอปเปิ้ลแจ็คเอามาเอง ตอนนี้เจ้าตัวถูกมัดติดกับ Changeling อีกสองตัวที่น่าจะเป็นตัวจริงอยู่ ควีนคริสซาลิสจ้องมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่เคียดแค้นแต่เหมือนเจ้าตัวจะใช้เวทย์บนเขาของเธอไม่ได้ในตอนนี้

    "ท่านนายพล พวกเราจะนำพาเธอกลับไปยังโลกของเราเพื่อไปรับโทษ ไม่ต้องห่วง" ทไวไลท์เดินเข้าไปบอกกับท่านนายพล

    "ไม่มีปัญหาหรอก แต่รีบหน่อยก็ดีนะ เพราะไม่งั้นพวกของทำเนียบขาวคงส่งกองทัพมาเอาตัวเธอไปแน่" นายพลบอกพร้อมกับถอดหมวกของเขาออก "แต่ฉันต้องขอบใจพวกเธอจริงๆ ถ้าไม่มีพวกเธอช่วยละก็ ป่านนี้โลกของเราคงเละเทะไปมากกว่านี้แล้ว และเราคงไม่สามารถเอาชนะมันได้เลย ถ้าไม่มีพลังเวทมนต์ของพวกเธอ"

    ท่านนายพลตะเบะทำความเคารพให้กับพวกผม ซึ่งนายทหารคนอื่นๆ ก็ตะเบะให้เช่นกัน โพนี่หลายตัวเมื่อมองเห็นท่าทางแบบนั้น บางตัวก็พยักหน้า บางตัวก็ยกอุ้งเท้าตะเบะตอบเช่นกัน ส่วนผมนั้นทำได้แค่ยิ้มกว้างเฉยๆ เพราะเนื้อตัวผมบอบซํ้าไปทั้งตัวแล้ว

    "แล้ว เราจะกลับโลกของเราได้ยังไง นี่ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วนะ" แรร์ริตี้ถาม

    "ตอนที่นายมาโลกของเรา นายบอกว่ามีกระจกอะไรบางอย่างอยู่ที่บ้านของนายใช่ไหม" ทไวไลท์หันมาถามผม

    "ใช่" ผมพยักหน้าตอบ

    "ถ้างั้น..." เธอหลับตาพร้อมกับมีแสงปรากฎขึ้นบนเขาของเธอ และจากนั้น กระจกบานขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นในห้องแห่งนี้ ซึ่งกระจกบานนี้ผมจำได้ว่ามันคือกระจกของตู้เสื้อผ้าห้องนอนผมนั่นเอง

    "เดี๋ยวนะ ถ้างั้นก็หมายความว่า ตู้เสื้อผ้าตู้นี้มันคือประตูมิติมาแต่แรกเหรอเนี่ย" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ไม่รู้ซิ แต่เพียงเท่านี้พวกเราก็สามารถพาควีนคริสซาลิสกลับโลกของเราได้แล้ว" ทไวไลท์บอก พร้อมกับใช้พลังเวทย์ในการยกตัวควีนคริสซาลิสและพวกของเธออีกสองตัวขึ้นกลางอากาศและเตรียมจะจับโยนพวกมันเข้าไปในกระจก

    ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีและจบลงอย่างแฮปปี้ แต่ดูเหมือนจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ ผมคิดขณะที่มองดูร่างกายตัวเองที่ยังคงเป็นร่างม้าอยู่

    "อะ อึก..."

    ผมกัดฟันแน่นเมื่อมีความรู้สึกอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในร่างกายของผม และตาของผมก็เบิ่งโพลงโตขึ้น เมื่อพบว่า หางของผมนั้นเริ่มมีรูพรุนและมีสีดำ ไม่ต่างอะไรจาก Changeling เลยแม้แต่น้อยโดยที่ผมไม่สามารถควบคุมได้

    "นะ นี่มันอะไรกันเนี่ย" แรร์ริตี้ร้องเสียงดังขึ้น

    "ไม่นะ เขากำลังจะกลายเป็น Changeling แล้ว!" พิงค์กี้พายร้องออกมาด้วยความตกใจ

    นายทหารหลายคนที่กำลังร้องไซโยโห่หิ้วด้วยความปลื้มปิตินั้นต่างหยุดและมองมาทางผมด้วยความตื่นตระหนกทันที

    "เกิด... อะไรขึ้นเนี่ย..." ผมกัดฟันแน่น ดูเหมือนผมจะพูดออกมาได้ไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ในเมื่อตอนนี้ช่วงหางและขาหลังของผมเริ่มไม่รู้สึกอะไรแล้วราวกับเป็นอัมพาต

    "หึๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนเวทย์ของข้าจะได้ผลสินะ" ควีนคริสซาซิสที่เงียบมานานก็ได้เอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงที่สะใจทั้งๆ ที่นํ้าเสียงของเจ้าตัวก็อ่อนแรงเอาเรื่อง

    "มันหมายความว่ายังไง!" เรนโบว์แดชพุ่งตัวบินไปหาควีนคริสซาลิสทันทีจนหน้าของเธอแทบชนกับอีกฝ่าย

    "ข้าได้สาปให้พ่อหนุ่มนั้นมาเป็นบริวารของข้า แต่ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของข้าจะใช้ได้ผลเมื่ออยู่ในอีเควสเทียร์เท่านั้น การที่เจ้านั่นพาพวกเธอมากำจัดข้าได้ ก็หมายความว่าเจ้าคงไปที่อีเควสเทียร์มาสินะ" มันจ้องมองมาทางผม "และดูเหมือนเวทย์ของข้าจะประสบความสำเร็จ ด้วยพลังของสร้อยคออัลลิคอน มันทำให้ข้าสามารถเปลี่ยนเผ่าของเจ้าได้ในที่สุด"

    "ถอนคำสาปเดี๋ยวนี้!" เรนโบว์แดชขู่

    "หึๆๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะคำสาปของข้าไม่มีทางแก้ได้ และในที่่สุด เจ้าก็จะต้องกลายมาเป็นพวกข้าในสักวัน"

    ควับ!

    "เฮ้ยย!" เรนโบว์แดชร้องเสียงหลง เมื่อสร้อยคออัลลิคอนที่เจ้าตัวถืออยู่ ควีนคริสซาลิสได้ใช้พลังเวทย์ที่เหลือเล็กน้อยของเธอชิงมันออกมา

    "แล้วเจอกันใหม่นะ โพนี่ทั้งหลาย เมื่อข้าพร้อม ข้าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!"

    ควีนคริสซาลิสใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการพาตัวเองพุ่งเข้าไปในกระจก แล้วก็หายลับไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังลั่นของเธอ

    "กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ ไอ้จอมวายร้าย!" พิงค์กี้พายกำหมัดแน่นและทำท่าจะพุ่งเข้ากระจกตามไป

    "ไม่ต้องห่วงหรอกพิงค์กี้ องค์หญิงเตรียมทหารต้อนรับเธออยู่ที่นั่นแล้ว" แอปเปิ้ลแจ็คปรามเธอ "แต่เรามีปัญหาใหญ่กว่านั้น.."

    ทุกคนเริ่มเข้ามารุมล้อมผมมากขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าขาหลังทั้งสองข้างของผมจะมีสีดำสนิทเรียบร้อยแล้ว ผมเหงื่อแตกซิกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    "ทไวไลท์ เธอใช้เวทย์ช่วยคลายคำสาปไม่ได้เหรอ" ฟลัทเทอร์ชายรีบถาม

    "ฉันไม่รู้เกี่ยวกับคำสาป ฉันไม่เคยคิดว่ามันมีอยู่จริงเสียด้วยซํ้า" ยูนิคอร์นสาวส่ายหัวด้วยนํ้าเสียงเครียด

    "พี่..." น้องสาวผมนํ้าตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง

    "โถ่ แล้วเราจะทำยังไงดี ทีนี้" เรนโบว์แดชกัดฟันกรอด ดูเหมือนเจ้าตัวจะให้อภัยตัวเองไม่ได้ที่เผลอให้ควีนคริสซาลิสแย่งสร้องคออัลลิคอนไป

    ทไวไลท์มองดูตัวผม และมองไปยังกระจกที่เป็นประตูมิติอยู่ข้างๆ

    "มากับเรา" เธอบอกผม

    "อะ..อะไรนะ" ผมเอ่ยถามเธอ

    "มาอยู่กับเราก่อน ฉันมั่นใจว่าองค์หญิงจะต้องช่วยเหลือเธอได้ และที่นั่นมีพลังเวทย์หลายอย่าง ฉันอาจพอศึกษาเพื่อหาทางช่วยเธอได้" ทไวไลท์รีบบอก

    "แต่ ถ้าเขามากับเรา เขาก็อาจจะกลับโลกของเขาอีกไม่ได้เลยนะ" แรร์ริตี้รีบบอกอย่างรวดเร็ว

    "ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าเขาไม่อยากเป็น Changeling เขาต้องมากับเรา" ทไวไลท์บอก

    ผมมองไปรอบๆ ดูเหมือนท่านนายพลและทหารหลายคนเองก็ไม่รู้จะช่วยผมอย่างไร และเมื่อผมก้มลงมองดูขาตัวเองอีกครั้ง มันก็เริ่มลามมาเรื่อยๆ เหมือนเป็นเชื้อโรค และฟันธงเลยว่า ทันทีที่ผมกลายเป็น Changeling ผมอาจถูกกองกำลังของทำเนียบขาวจับตัวไปทดลองตามที่ท่านนายพลบอกแน่ๆ ผมจึงเหลือทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น

    "พยุงฉันลุกขึ้นที" ผมบอกกับโพนี่ตัวอื่นๆ ซึ่งแอปเปิ้ลแจ็คกับฟลัทเทอร์ชายรีบมาช่วยพยุงผมขึ้นทันทีด้วยหัวทั้งสองข้างของเธอ ผมหันไปทางน้องสาวของผมที่ดูเหมือนเธอยังร้องไห้ไม่หยุด

    "พี่จะไปจริงๆ เหรอ" เธอถามผมด้วยนํ้าเสียงสะอื้นไห้

    "ฟังนะน้องพี่ พี่สามารถกลับมาโลกนี้ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะกลับมาอีกครั้งไม่ได้" ผมยิ้มปลอบเธอ "ทไวไลท์เป็นยูนิคอร์นที่เก่งที่สุดที่พี่เคยเห็น และที่โลกนั้นพี่ก็เชื่อว่าเจ้าหญิงต้องหาทางช่วยพี่ได้ และอีกอย่าง..." ผมยื่นขาหน้าทั้งสองข้างให้เธอดู "... ตอนนี้ พี่ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้วนะ"

    "แต่ยังไงพี่ก็ยังเป็นพี่ของหนู ไม่ว่าพี่จะเป็นตัวอะไร พี่ก็ยังเป็นพี่ของหนูนะ!" เธอร้องออกมาเสียงดังลั่น นํ้าตาของเธอพรูออกมาเป็นสายไม่หยุด

    ผมยกกีบเท้าข้างหน้าไปที่แก้มของเธอ เธอหยุดร้องไห้แล้วก็มองดูผม

    "พี่จะต้องกลับมาหาเราแน่ พี่สัญญา" ผมยิ้มกว้างบอกกับเธอ แม้ว่ามันจะเป็นการฝืนยิ้มก็ตาม

    "สัญญานะ" เธอถามผมนํ้าตาคลอ

    "พี่เคยผิดสัญญากับเราด้วยเหรอ" ผมถามเธอ

    "เคยสิ พี่บอกจะช่วยให้หนูแต่งคอสเพล จนตอนนี้ยังไม่ได้ช่วยเลย" เธอส่ายหัวบอกผม

    "งั้น ครั้งนี้พี่จะไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด" ผมบอกกับเธอ "พี่รักเรานะ น้องรัก"

    เธอโอบกอดตัวผมอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผมจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้างเพราะมันสะเทือนโดน แต่ผมก็ปล่อยให้เธอโอบกอดผม เพื่อเป็นการรํ่าลา

    "ลาก่อนนะ พี่จ๋า..."

    "พี่จะต้องกลับมา พี่สัญญา" ผมยืนยันอีกครั้ง

    ผมยอมให้เธอโอบกอดผมนานจนกว่าเธอจะพอใจ ก่อนที่เธอจะคลายการโอบกอดผม ผมพยักหน้าให้แอปเปิ้ลแจ็คและฟลัทเทอร์ชาย ทั้งสองคนพยุงพาผมไปยังประตูมิติทันที

    "ขอให้เธอปลอดภัยและกลับมาเป็นคนให้ได้ ไอ้หนุ่ม" นายพลพยักหน้าบอกผม

    "หวังไว้เช่นนั้นครับ" ผมตอบท่าน

    ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก็คือ ใบหน้าของน้องสาวผมที่ยังร้องไห้ไม่หยุด และยกมือขึ้นโบกมือลาผม พร้อมกับท่านนายพลที่เดินเข้าไปโอบเธอที่หัวไหล่ ราวกับต้องการให้กำลังใจเธอ ก่อนที่จะมีแสงสีขาวของทางเชื่อมมิติปรากฎขึ้นมาแทนที่

    และเมื่อผมลืมตาขึ้น ก็พบเห็นองค์หญิงทั้งสามพระองค์กำลังยืนรอการมาของพวกผมอยู่

    "ขอต้อนรับกลับมา ทไวไลท์ สปาร์คเคิล และทุกคน ขอแสดงความยินดีด้วยที่ทุกคนพาควีนคริสซาลิสกลับมาได้ ตอนนี้เราได้คุมตัวเธอไปยังคุกของแคชทาลอสแล้ว ไม่ต้องห่วง" องค์หญิงเซเลสเทียร์ตรัสต้อนรับ แต่ก็ต้องมองดูด้วยความตกใจเมื่อเห็นแอปเปิ้ลแจ็คกับฟรัทเทอร์ชายพยุงผมเข้ามาด้วย "นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอเนี่ย"

    สไปค์ที่กำลังรอคอยการเดินทางกลับมาของทุกตัวอยู่ก็มีสีหน้าที่ตกใจเหมือนกันที่มองเห็นตัวผมถูกหิ้วปีกเข้ามาด้วย เจ้าตัวรีบกวาดตามองไปทางแรร์ริตี้ทันที ราวกับว่าต้องการดูว่าเจ้าตัวนั้นปลอดภัยไหม จากนั้นเจ้าตัวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่ายูนิคอร์นสาวตัวนั้นไม่ได้เป็นอะไร

    "องค์หญิง คือว่า..." ทไวไลท์ทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้องค์หญิงฟัง

    "ดูเหมือนว่า คำสาปจะเริ่มคลายลงบ้างแล้วนะ" เจ้าหญิงเคเดนส์ตรัส

    เมื่อผมก้มลงมองดูขาหลังและหางของตัวเอง ดูเหมือนว่าลำตัวสีดำนั้นก็หายไปแล้วราวกับปาฏิหาริย์ แถมผมรู้สึกว่าขาหลังของผมสามารถขยับได้แล้ว

    "เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" ผมพึมพำออกมา

    "ดูเหมือนว่า คำสาปของควีนคริสซาลิสนั้นจะไม่ทำงานทันทีเมื่อเธอมาอยู่ในโลกนี้นะ" องค์หญิงเซเลสเทียร์ตรัส "ไม่ต้องกังวล เราจะหาทางรักษาให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมเอง รวมถึงการถอนคำสาปออกมาด้วย"

    "ขอบพระทัยขอรับ องค์หญิง" ผมก้มหัวตอบรับ แต่ก็หน้าเบ้เพราะความเจ็บปวดของปีกที่หักยังมีอยู่

    "ตอนนี้ พาเขาไปรักษาตัวก่อนเถอะ แล้วเราค่อยว่ากัน" องค์หญิงเซเลสเทียร์ตรัส

    "เพค่ะ องค์หญิง" ทไวไลท์ตอบรับ

    "ทางนี้ เดี๋ยวฉันจะนำทางให้" เจ้าหญิงเคเดนส์ตรัสก่อนที่จะสเด็จเดินนำให้โพนี่ตัวอื่นๆ จะพาผมออกไปจากห้องกระจก

    เมื่อประตูห้องกระจกปิดลงแล้ว เจ้าหญิงลูน่าหันพระพักตร์ไปทางพระเชษฐภคินีของพระองค์ทันที

    "ท่านพี่ ท่านคิดว่าการปรากฎตัวของเขาในโลกของเรา จะทำให้สมดุลของทั้งสองโลกสั่นคลอนรึไม่" เจ้าหญิงลูน่าตรัสถาม

    "ฉันไม่รู้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" องค์หญิงเซเลสเทียร์ส่ายกระพักตร์ "เวลานี้ เราทำได้แค่เฝ้ามองดูเท่านั้น"

    เจ้าหญิงลูน่าพยักพระพักตร์รับ ก่อนที่จะมองไปยังประตูทางออกพร้อมกับคำถามที่พระองค์มีอยู่ในพระหฤทัยของพระองค์เอง

     

    ------------------------------

    (ขณะเดียวกัน)

    ควีนคริสซาลิสพร้อมกับสมุนของเธอ Changeling ได้บินออกมานอกอาณาจักรคริสตัลแล้ว แม้ว่าการบินของเธอจะยังทรงตัวไม่ดีนัก แต่เธอก็ยิ้มออกมาด้วยความสะใจ

    "หึๆๆ เจ้าพวกโง่ เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าสามารถกลายร่างเป็นใครก็ได้ แค่แปลงร่างเป็นทหารยามก็สามารถหนีออกมาได้แล้ว ง่ายจริงเชียว" เธอหัวเราะลั่น

    "เฮะ เฮะ เฮะ" Changeling หัวเราะขานรับ

    "และทีนี้ ในเมื่อสร้อยคออัลลิคอนยังอยู่ในมือข้า การวางแผนยึดครองอีเควสเทียร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ใช่ไหม" ควีนคริสซาลิสหันมองดูลูกสมุน

    "เฮะ เฮะ เอ๋อ..." Changeling หยุดหัวเราะและชูมือขึ้นเพื่อมองดูสิ่งที่ควรจะอยู่ในมือมัน แต่กลับไม่อยู่แล้ว

    "เจ้าโง่!" ควีนคริสซาลิสตบหน้ามันทันที "ทำหล่นเนี่ยนะ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!!"

    Changeling ตัวที่โดนตบ พยายามหันหลังเพื่อไปตามหาสร้อยคออัลลิคอนที่มันทำหาย

    "ไม่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวก็โดนจับพอดี ตอนนี้รีบกลับฐานก่อน ฮึ้ย จะบ้าตาย"

    ควีนคริสซาลิสสบถด้วยความไม่พอใจนัก เธอไม่รู้ตัวเลยว่า สร้อยคออัลลิคอนที่เจ้าตัวว่านั้น ตอนนี้มันตกลงไปข้างล่างที่ไม่ห่างไปมากนัก และมันก็ร่วงตกกระเด็นไปตรงถนน ที่มีโพนี่พ่อค้าคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี

    "ไอ้นี่มันอะไรกันเนี่ย" พ่อค้าโพนี่ตัวนั้นหยิบสร้อยคอขึ้นมาดู "ว้าว ถ้าจำไม่ผิด มันคือสร้อยคออัลลิคอนสินะ มันน่าจะเหมาะเอามาประดับร้านข้าได้อย่างดีเลยสิเนี่ย"

    พ่อค้าตัวนั้นเก็บสร้อยคออัลลิคอนใส่กระเป๋าที่เขาสะพายไว้ข้างลำตัว ก่อนที่จะเดินไปและผิวปากอย่างอารมณ์ดี

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×