ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Soul Love : รักนะ วิญญาณของฉัน (ยมทูตโมเอะ)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : ยมฑูตสาว

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 54



    "นี่ เธอเป็นใครแน่" ผมถามเด็กสาวที่นั่งอยู่บนหลังคาบ้านของผม "แล้วมาอยู่บนหลังคาบ้านฉันได้ยังไง เธอขึ้นมาได้ยังไงกันละเนี่ย"

    "เพราะเจ้าแท้ๆ" เธอพึมพำ

    "เอ๋" ผมมองด้วยความสงสัย

    "เพราะเจ้าแท้ๆ ทำให้ข้าไม่สามารถกลับไปยังยมโลกได้" เธอพูดด้วยนํ้าเสียงสั่น "เพราะเจ้าคนเดียว"

    "ยมโลกเหรอ" ผมทวนคำนั้นด้วยความสงสัย

    "ดังนั้น วิญญาณของข้า จงตายได้แล้ว"

    ชิ้ง!

    เธอยกเคียวอันบะเริ่มเทิ่มของเธอขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างเหนือหัว และแววตาที่ดูเหมือนจะเศร้าโศกเสียใจของเธอนั้นก็มองผมด้วยจิตอาฆาตแค้น ราวกับว่าตอนนี้ผมกำลังปีศาจร้ายตัวหนึ่งเลยทีเดียว

    "ดะ เดี๋ยวก่อนซี่ มันอันตรายนะ" ผมรีบตะโกนด้วยความตกใจกลัว

    "ย๊ากกกกก!!" เธอร้องตะโกนก้องโดยไม่สนใจตัวผมด้วยซํ้า

    ควับ

    เธอหวดเคียวพุ่งเข้ามาในห้องของผม ซึ่งผมรีบถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วตามสัญชาติญาณ แต่แล้วผมก็เพิ่งสังเกตว่า เคียวที่เธอฟาดมาหาผมนั้น มันกลับทะลุกำแพงและขอบหน้าต่างของผมหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่มันน่าจะโดนกับกำแพงและขอบหน้าต่างเต็มๆ ด้วยซํ้า

    ทะลุเหรอ บ้าหน่า ผมคิดด้วยความตกใจกับสิ่งที่เหนือคำอธิบายเหล่านี้

    "อย่าหนีนะแก รีบๆ ตายเดี๋ยวนี้" เธอตวาดใส่ผม พร้อมกับลุกขึ้น แล้ววิ่งเข้ามาหาผมในห้องทันที

    "อุกรี๊ดดดดด!!"

    แต่ทว่า เท้าของเธอกลับสะดุดกับขอบหน้าต่างแล้วร่วงล้มคะมำเข้ามาในห้อง ปัญหาก็คือ เธอเล่นล้มกระแทกใส่ตัวของผมเต็มๆ ผมหงายหลังหัวกระแทกกับพื้นห้องเต็มๆ เล่นทำเอาหัวของผมมึนไปชั่วขณะเลยทีเดียว

    "โอ้ย" ผมร้องเสียงหลง ความเจ็บปวดบนศีรษะของผมแผ่ซ่านไปทั่ว ราวกับว่ามันกำลังแผ่ความเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของผม ผมกำลังจะยกหัวขึ้นเพื่อว่าเธอกลับว่า 'มันอันตรายนะ' แต่ภาพที่ผมเห็นนั้นกลับทำให้ผมพูดไม่ออกเลยทีเดียว

    เพราะว่าตอนนี้ร่างของเด็กสาวน้อยที่บอบบางกำลังนอนทับใส่ตัวของผมอยู่ ตัวของเธอราวกับว่ามันเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับขนาดตัวของผม ใบหน้าของเธอซบลงที่ต้นคอของผม แต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์ผมพลุกพล่านด้วยความตื่นเต้นก็คือ มีอะไรที่นุ่มนิ่มทั้งสองกำลังล้มทับกับแผ่นอกของผมอยู่

    กะ กลิ่นหอมจัง ผมเผลดสูดดมกลิ่นของเธอไปโดยไม่ตั้งใจ ไอ้ริวบ้า นี่มันใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ไหมฟะ

    "อะ ไอ้โรคจิต" เสียงของเธอดังออกมาด้วยความโมโห และเมื่อผมสบตามองกับเธอ เล่นทำเอาผมขวัญผวา เพราะว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นมันช่างน่ากลัวยิ่งกว่าหนังผีเสียอีก ใบหน้าของเธอแดงแป้ดออกมาด้วยความอับอาย ดูเหมือนว่าที่ขอบตาของเธอจะมีนํ้าตาเอ่อออกมาด้วย

    "นะ นี่แกคิดที่จะลวมลามยมทูตอย่างข้าเหรอย่ะ" เธอตวาดใส่ผมดังลั่น ยังไงดีหละ น่ากลัวก็น่ากลัวอยู่หรอก แต่นํ้าเสียงนี่เหมือนเด็กประถมกำลังโมโหเลย

    "ใครปลํ้าใครกันแน่ ฉันไม่ผิดนะเฟ้ย" ผมเถียงเธอกลับตามความเป็นจริง (ที่ผมคิด)

    "หุบปากไปเลย" เธอตะโกนดังลั่นพร้อมกับรีบลุกขึ้นนั่งบนตัวของผม และยกเคียวขึ้นเหนือหัวของเธออีกครั้ง "นายได้ตายของจริงแน่"

    ปลายใบมีดของอาวุธที่มีชื่อเรียกว่า 'เคียว' นั้นลอยอยู่เหนือใบหน้าของผมทันที ทำเอาผมเสียวสันหลังวาบทันที

    "อี๋ เดี๋ยวก่อนซี่ จะทำอารายช้านนนนน" ผมร้องด้วยความหวาดเสียว

    "เงียบเดี๋ยวนี้ เจ้ามีหน้าที่ตายก็รีบๆ ตายตอนนี้ซะ ข้าจะได้กลับยมโลกได้ซะที" เด็กสาวที่มีปีกต่อว่าผมด้วยนํ้าเสียงไร้นํ้าใจนัก

    "แต่ฉันยังไม่อยากตายนิเฟ้ย"

    "ระยะแค่นี้โดนแน่ๆ ตายสวยๆ หน่อยนะจ๊ะ"

    "ม่ายอ้าววววววววว"

    ผมร้องเสียงดังลั่น เจออาวุธที่น่ากลัวแบบนี้มีใครบ้างหละครับที่จะไม่กลัวตายแบบผม ผมรีบหลับตาแน่น ราวกับว่ามันจะช่วยหลบเลี่ยงความตายของผมได้

    แต่ว่า ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไร นอกจากตัวของเด็กสาวที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวที่สั่นเทา และเมื่อผมค่อยๆ ลืมตามองดูอย่างกลัวๆ กล้าๆ ผมกลับเห็นเธอหลับตาแน่นปี๋ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและเศร้าสร้อย ราวกับว่าเธอกำลังลังเลที่จะหวดเคียวฆ่าผม

    "ไม่นะ... ข้า.. ข้าทำไม่ได้" เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา

    ทำไม่ได้เหรอ ผมคิดอย่างสงสัย

    "ถ้า... ไม่ทำ...ข้าจะ...กลับ...ไม่ได้ ...แต่...ข้า" ราวกับว่าเจ้าตัวนั้นกำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ใจหนึ่งที่สั่งให้ฆ่าผม อีกใจหนึ่งก็คือปล่อยผมไปเสีย

    อะไรของเธอกันเนี่ย ผมคิดอย่างสงสัย

    ปิ๊บปิ๊บปิ๊บปิ๊บ...ปิ๊บปิ๊บปิ๊บปิ๊บ...ปิ๊บปิ๊บปิ๊บปิ๊บ...

    เสียงดังออกมาจากนาฬิกาข้อมือที่ผมถอดวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งมันจะส่งเสียงเตือนเมื่อตัวเลขไปถึงเลขหก และตอนนี้มันกลับชี้ไปที่เวลาเที่ยงคืน เด็กสาวหยุดนิ่งและลืมตามองดูนาฬิกาข้อมือของผมตาค้าง ใบหน้าที่แสดงความผิดหวังของเธอนั้นปรากฎออกมา

    "ไม่ทันแล้ว" เธอพึมพำ

    และเมื่อผมเห็นว่าเธอเริ่มเผลอแล้ว ผมรีบลุกขึ้นและดันตัวของเธอไปทันที

    ใครจะยอมตายตรงนี้กันเล่า ผมคิดขณะที่เริ่มต่อต้านเธอ

    "ทำ ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย" เธอกรีดร้องดังลั่นปรากฎว่าผมรีบผลักเธอจนหลังของเธอไปชนกับโต๊ะเครื่องเขียนของผม ทำให้โต๊ะสั่น และก็มีของชิ้นหนึ่งตกลงไปใส่เธอพอดี

    และมันก็คือ โหลใส่ปลาที่มันไม่มีปลา

    ซ่า!

    นํ้าจากในโหลปลานั้นหกใส่ตัวของเธอทันที ทำให้ตัวของเด็กสาวชุ่มไปด้วยนํ้าจากในโหลจนตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก ทำให้ผมเผลอจ้องมองเธอด้วยความไม่ตั้งใจ

    อุแว๊กกกก ผมร้องตะโกนในใจ

    ถึงแม้ว่าเด็กสาวที่มีปีกและหางคนนี้จะสวมใส่ชุดดำก็ตาม แต่เมื่อตัวของเธอเปียกแบบนี้ ทำให้ผมเผลอมองเห็นสัดส่วนของเธอเด่นชัดขึ้น มองเห็นส่วนโค้งเว้ามากขึ้น หยดนํ้าแต่ละหยดไหลลงไปจากตัวของเธอเรื่อยๆ และมันทำให้ผมคิดได้คำเดียวว่า

    น่ารักอ่ะ

    "กรี๊ดดดด!! เจ้าทำอะไรกับข้าเนี่ย" สียงกรีดร้องของเธอเรียกสติของผมให้กลับมาอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันได้

    "จะ ใจเย็นๆ ก่อนสิ" ผมรีบปลอบประโลมเธอ

    "ฮือ เปียกหมดเลย ซึกๆ ฮือๆ"

    "แล้วจะร้องไห้ทำไมเนี่ย"

    "เจ้าต้องรับผิดชอบ"

    "แล้วฉันต้องรับผิดชอบอะไรเล่าาาา!!"

    ----------------------

    ซ่า...

    เสียงจากฝักบัวในห้องอาบนํ้าของผมดังขึ้นเมื่อผมยอมให้เธอไปอาบนํ้าในห้องนํ้าของผม โดยชุดของเธอนั้นผมจัดการซักและตากให้เรียบร้อย แต่เหมือนผมจะสังเกตมากไปมั้ง เพราะรู้สึกว่าชุดของเธอเนี่ยไม่มีแม้แต่ กกน. เลย

    หระ หรือว่าที่เธอใส่ชุดนั้นก็ไม่มีชุดชั้นในเลยนะสิ ผมเริ่มจินตนาการเมื่อมองชุดของเธอที่กำลังตากอยู่ แล้วผมรีบส่ายหัวอย่างว่องไว

    ไม่ๆๆๆๆ ไอ้บ้า คิดอะไรแบบนั้น ประเด็นสำคัญที่เราต้องรู้ก่อนก็คือ เธอเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหนมากกว่า

    ผมหันหน้ามองดูอาวุธของเธอที่เธอวางมันเอาไว้ที่ข้างห้องนํ้าก่อนที่เธอจะเข้าไป

    รวมไปถึง เหตุที่เธอจะมาฆ่าฉันด้วย ผมคิดไปทำเอาผมหน้าซีดไปด้วย เมื่อดูขนาดของอาวุธนั่น

    ผมลองเดินไปหยิบอาวุธนั้นขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้ แต่แล้วผมก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าผมยกมันไม่ขึ้น

    "อะ อะไรเนี่ย" ผมพึมพำอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ว่าผมจะออกแรงมากขึ้นอีกเท่าไหร่ ผมก็ไม่สามารถยกเคียวนี้ขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันถูกฝังติดกับพื้นบ้านของผมอย่างแน่นหนาไปแล้ว

    "โถ่เว้ย ยะ ยกไม่ขึ้น ผมหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย

    "มนุษย์นะ ไม่สามารถยกมันขึ้นได้หรอกนะ"

    เสียงของเด็กสาวเจ้าของอาวุธชิ้นนี้ดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมองเธอ ผมก็พบเห็นเธอใส่ชุดนอนของผมที่ผมให้เธอยืมใส่ก่อนชั่วคราว ด้วยขนาดตัวของผมที่ใหญ่กว่าตัวของเธอ ทำให้เธอดูตัวเล็กในทันทีเมื่ออยู่ในชุดของผม มือของเธอยังไม่ออกมาจากเสื้อแขนยาวของผมด้วยซํ้า ทำให้สภาพของเธอในตอนนี้เหมือนเด็กสาวน้อยในชุดผู้ชายตัวใหญ่ๆ มาก

    "มอง มองบ้าอะไรของเจ้านะ หา" เธอหน้าแดงใหญ่เมื่อโดนผมจ้องมองแบบนั้น

    "ปะ เปล่า" ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที "ไม่มีอะไร"

    ตึกตึก...ตึกตึก...

    ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นในอก พร้อมกับความรู้สึกที่ร้อนผ่าวอยู่บนใบหน้าของผม

    อะไรกันนะ ความรู้สึก ผมคิดด้วยความสงสัยในร่างกายของตัวเอง ทำไมเราถึงรู้สึกได้ว่าตัวของเธอมันสวยน่ารักอย่างนี้นะ

    ผมส่ายหัวตัวเองอีกครั้ง

    ไอ้ริว ตั้งสติหน่อย อย่าเพิ่งไปหลงรูปกายแบบนั้นเชียวนะ ผมคิดอย่างหนักแน่น ก่อนอื่นเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเธอเป็นใคร

    และเมื่อผมคิดได้แล้ว ผมหันหน้าไปหาเธอทันที

    "อ่านี่ คือว่านะ.. เจ้ยยยยย!"

    ผมร้องเสียงหลง เพราะว่าตอนนี้เด็กสาวที่ยืนตรงหน้าของผมนั้นยกเคียวขึ้นด้วยมือขวาข้างเดียว แถมเล็งปลายของมันมาหาทางผมอีกต่างหาก เล่นทำเอาผมอยากทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นเลยทีเดียว

    "ดะ เดี๋ยวก่อนซี่ ใจเย็นๆ" ผมรีบขอร้องเธอ

    แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ เธอก็ได้แต่วางเคียวลงกับพื้น แล้วก็ถอนหายใจออกมา

    "ช่างเหอะ ถึงฆ่าเจ้าไปก็เท่านั้น" เธอพึมพำ

    "ว่าไงนะ" ผมเริ่มสงสัยการกระทำของเธอมากขึ้นแล้ว "เดี๋ยวก่อนเลยนะ ฉันขอถามก่อนเลยนะ เธอมีชื่ออะไร และเธอเป็นใครกันแน่"

    ผมถามเธอราวกับกำลังสอบสวนเธอ เอาจริงๆ ก็ไม่ผิดหรอก ผมตั้งใจซักถามเธอให้รู้เรื่องไปเลยว่าเธอเป็นใครกันแน่

    "ข้านะเหรอ" เธอเอียงคอถามผม "ข้าก็คือ ยมทูตฝึกหัด เคียว จากยมโลกไง"

    "หะ หา ยมทูตเหรอ" ผมถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

    "อื้อฮึ" เธอพยักหน้าตอบผมด้วยแววตาบ๊องแบ๊ว

    ------------------------------

    ระหว่างนั้น อีกฟากของเมือง ลึกลงไปในชั้นใต้ดินที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถลงไปถึง พื้นที่ตรงนั้น เต็มไปด้วยหลุมศพของของบุคคลในอดีตที่ถูกฝังอยู่ทับใต้มหานครของเมืองนี้

    แสงสีขาวที่น่าหวาดกลัวร่อนผ่านไปผ่านมาในบริเวณนี้ แสงเหล่านี้มีรูปร่างเหมือนดั่งมนุษย์ เพียงแต่ว่ารูปร่างนั้นต่างกันมาก ตั้งแต่รูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว ใบหน้าที่ซูบผอมจนเหลือแต่กระดูก ใบหน้าที่เน่าเฟะ เต็มไปด้วยเลือดและนํ้าเหลือง บ้างก็ยังมีหนอนเซาะซอนบใบหน้า บ้างหัวก็ขาดหายไปเลยก็มี

    เรียกได้ว่า พวกเขาคือ ผี ดีๆ นี่เอง

    'มีอะไรเหรอ ท่านหัวหน้า' เสียงวิญญาณตนหนึ่งเรียกถามดวงวิญญาณที่มีสีดำสนิท และดวงใหญ่ที่สุด

    ดวงวิญญาณดวงนั้นมีขนาดใหญ่ราวกับตึกสูงหนึ่งชั้น แววตาของมันนั้นเป็นสีแดงน่ากลัวจ้องมองดูดวงวิญญาณที่ถามมัน

    'ข้าสัมผัสได้' ดวงวิญญาณขนาดยักษ์ตอบ 'ว่าได้มีมนุษย์ตนหนึ่งถึงฆาตไปแล้ว แต่ไม่ตายยยย'

    'แล้ววิญญาณของผู้นั้นอยู่ที่ใดหละ ท่านหัวหน้า' ดวงวิญญาณตนนั้นถาม

    'เปล่า' หัวหน้าของดวงวิญญาณตอบ 'มันยังไม่ตาย'

    'หมายความว่ายังไงกัน หัวหน้า' ดวงวิญญาณตนนั้นถาม และทำให้ดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ซุบซิบถามด้วยความประหลาดใจ

    'หมายความว่า วิญญาณของมัน ยังไม่หลุดออกจากร่างยังไงหละ' ผู้นำของเหล่าวิญญาณตอบ

    'ขี้โกง'

    'พวกทรยศ'

    'เห็นแก่ตัว'

    เสียงพึมพำที่ไม่พอใจของเหล่าวิญญาณดังก้องไปทั่ว แต่เมื่อหัวหน้าของพวกมันยกมือขึ้นห้าม เหล่าดวงวิญญาณทุกตนนั้นก็เริ่มเงียบเสียงลงในทันที

    'ไม่หรอก มันเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ว่าแผนของเราใกล้ที่จะเริ่มทำได้แล้ว' หัวหน้าของพวกมันเอ่ยออกมาด้วยความยินดี

    'จริงสิหัวหน้า'

    'เจ๋งไปเลย'

    'มันถึงเวลาของพวกเราแล้ว'

    'ใช่ มันถึงเวลาของพวกเราแล้ว' หัวหน้าของพวกมันพยักหน้าตอบอย่างตื่นเต้น 'ส่งผีจอมสอดแนมไป เฝ้าพวกมันไว้ อย่าให้เทวดาหรือยมฑูตตัวไหนรู้สึกได้'

    เหล่าดวงวิญญาณทั้งหลายนั้นพึมพำออกมาด้วยความยินดียิ่ง ตัวหัวหน้าของพวกมันนั้นหัวเราะเยาะด้วยความดีอกดีใจ

    --------------------------

    "สรุปก็คือ เธอเป็นยมทูตฝึกหัดที่มาจากยมโลกใช่ไหมเคียว"

    "อื้อฮึ"

    "แล้วเธอมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะมาเอาดวงวิญญาณของฉันไป"

    "อื้อฮึ"

    "แต่ว่า ฉันดันไม่ตาย และเธอเอาวิญญาณของฉันไปไม่ได้ก่อนถึงเวลาเที่ยงคืน เธอก็เลยกลับยมโลกไม่ได้ ใช่มะ"

    "อาฮะ"

    ผมยํ้าถามเธอไปเรื่อยๆ ซึ่งเหมือนกับว่าเธอจะใจเย็นเป็นอย่างมากที่จะรอคอยตอบคำถามของผม

    และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่า เธอนี่มันน่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้

    "ขอโทษก้าบบบบบบ"

    ผมรีบก้มหน้าคุกเข่าก้มกราบเธอทันที

    "หะ หา" เธอมองดูผมด้วยความสงสัย

    "ข้าน้อยผิดไปแล้วที่หลบหลู่ท่าน ขอร้อง อย่าเอาวิญญาณผมไปเลย อย่าฆ่าผมไปเลย ผมยังไม่อยากตาย ผมขอ" ผมรีบออดอ้อนเธอทันที

    "เจ้าบ้าเอ้ย" เธอท้าวคางด้วยมือขวาของเธอ "จะมาโอดครวญทำไมอย่างนี้ น่าสมเพศชะมัด"

    "ยอมรับครับ ก็คนยังไม่อยากตายนี่นา" ผมพึมพำ

    "ให้ตายซี่ ถ้าอยากตายขนาดนั้นเดี๋ยวจัดให้" เธอยกเคียวขึ้นมาอีกครั้ง

    "แว๊กกกก ไม่อ้าวววว" ผมร้องตะโกนลั่นบ้าน

    "ข้าล้อเล่นหน่า" ยมทูตสาววางเคียวลงข้างๆ ตัวของเธอ "ถึงข้าจะฆ่าเจ้าไปตอนนี้ ยังไงข้าก็กลับยมโลกไม่ได้อยู่ดี ข้าก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเที่ยงคืนจันทร์เพ็ญเดือนหน้านั่นแหละ"

    "อย่างนั้นเหรอครับ ค่อยยังชั่วหน่อย" ผมหลับตาอย่างโล่งอก

    เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนเด๊ะ แบบนี้ฉันก็มีเวลาเหลืออีกแค่เดือนเดียวเองนี่หว่า ผมคิดถึงจุดนี้

    โอ้ ม่ายยยยย ชีวิตช้านนนนนน ผมอ้าปากร้องโหยหวนทันที

    "ทำบ้าอะไรของเจ้าอีกละเนี่ย" เธอมองผมด้วยสายตาเย่อหยิ่ง "เอาเถอะ ระหว่างนี้ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าหรอก สบายใจได้"

    "งั้นเหรอครับ" ผมยิ้มอย่างโล่งอก

    "ดังนั้นอย่าลืมจัดที่นอนให้ข้าด้วยหละ" เธอบอกผม

    "ได้ครับได้ ห๊ะ อะไรนะ" ผมถามเธอด้วยความสงสัยอย่างแรงกล้า

    "จัดที่นอนให้ข้าหน่อยซิ ข้าจำเป็นต้องนอนที่นี่นะ" เธอบอกกับผม พร้อมกับเดินไปที่เตียงของผม พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างตบที่นอนของผม

    ผมมองดูตัวเธอที่เดินไปที่เตียงของผม ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเธอนั้นจดๆ จ้องๆ มองดูเตียงของผมอย่างสนอกสนใจ เธอเอานิ้วของเธอจิ้มๆ ดูผ้าปูที่นอนผม ราวกับว่าไม่เคยเห็นสิ่งของที่นุ่มนิ่มน่านอนแบบนี้มาก่อน หางปีศาจของเธอกระดิกไปมา บอกให้รู้เลยว่าเธอกำลังตื่นเต้นกับเตียงนอนของผมมาก

    จะว่าไป ตัวเธอก็เหมือนเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเองนี่นา ผมคิด ถึงเราจะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติก็เถอะ แต่นี่ก็เป็นยมฑูตตัวเป็นๆ แถมมาในรูปของสาวน้อยเนี่ยนะ

    จัดที่นอนให้ข้าหน่อยซิ ข้าจำเป็นต้องนอนที่นี่นะ เสียงของเธอดังก้องในหัวของผม

    จะ จะ จะจัดที่นอนเหรอ ผมเริ่มจิตนาการเตลิดเปิดเปิง อย่า อย่าบอกนะว่า

    ตัวผมในจินตนาการนั้นกำลังซุกนอนอยู่บนที่นอนที่เดียวกับยมฑูตสาว ในสภาพที่เปลือยกายทั้งคู่

    'ข้า ข้าหนาวจังเลย' ยมฑูตสาวในจินตนาการส่งเสียงออดอ้อนผม

    'เอ่อ ไม่ต้องนะ ผมอยู่นี่แล้วนะครับ' ตัวผมในจินตนาการปลอบประโลมเธอด้วยนํ้าเสียงที่หล่อ เข้ม เท่!

    'กอด กอดข้าทีซิ' เธอบอกผมด้วยนํ้าเสียงที่ลำบากใจ

    'จะดีเหรอ' ตัวผมในจินตนาการถาม ด้วยนํ้าเสียงที่หล่อ เท่ เข้ม เหมือนเดิม

    'ดีสิ ช่วยข้าที' ตัวเธอในจินตนาการของผมยังออดอ้อนสุดชีวิต

    'งั้นไม่เกรงใจละ ฮี่ๆๆๆ'

    อ๊ากกก คิดบ้าอะไรของตูฟะเนี่ย อีกฝ่ายเป็นยมฑูตนะเฟ้ย ไปทำอะไรกับเธอเข้า ตูได้ตกนรกแน่ๆ ผมเอามือทั้งสองข้างจับที่หัวของผมก่อนที่จะส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการสลัดความคิดนั้นให้ออกจากหัว

    ตุ้บ

    มีหมอนข้างหนึ่งลอยมาโดนหน้าผม และเมื่อผมหยิบมันก่อนที่จะหล่นลงพื้น ก็ปรากฎว่าเด็กสาวยมฑูตตนนั้นได้ขึ้นไปนอนบนที่นอนของผมเรียบร้อยแล้ว

    "อ้าว จะนอนเลยเหรอ" ผมถามเธอ

    "ก็ใช่นะสิ ข้าขี้เกียจรอเจ้า ขอนอนก่อนแล้วกัน" เธอบอกปัดผม พร้อมกับซุกตัวลงไปในผ้าห่ม

    "เดี๋ยวดี้ ไหนบอกให้ผมจัดที่นอนไงหละ" ผมถามเธอ

    "ทำช้าเอง นอนที่พื้นละกัน" เธอบอกผม

    "นี่มันบ้านใครกันแน่ฟะ รอก่อนได้ไหม เดี๋ยวจะจัดที่นอนให้" ผมรีบโวยใส่เธอ

    "คร่อก....."

    แต่คำตอบที่ผมได้ยินกลับมานั้นกลับเป็นเสียงกรนของเธอเอง

    ให้ตายสิ ผู้หญิงอะไรเนี่ย ไม่เกรงใจเจ้าของบ้านแล้วยังกรนเสียงดังโคตร ผมบ่นในใจ พลางเดินเข้าไปดูเธอใกล้ๆ

    ใบหน้าของเธอยามหลับไหลเมื่อต้องแสงจันทร์นั้น ยิ่งทำให้ผมมองดูเธอแล้วเหมือนมองดูเด็กสาวธรรมดาเข้าไปอีก ไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่ถือเคียวหวดผมไปมาเลยแม้แต่น้อย แถมใบหน้ายามหลับไหลของเธอนั้นเล่นทำเอาใจของผมเต้นโครมครามด้วยความหลงไหล

    ยมทูตแน่เปล่าฟะเนี่ย ทำไมน่ารักแบบนี้เนี่ย ผมคิดอย่างเคลิบเคลิ้ม สายตาของผมเริ่มไม่อยู่สุข เริ่มจ้องมองเธอไปเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ใบหน้าของเธอ เส้นผมสีแดงของเธอ ไปจนถึงเรียวแขน...

    พอๆๆๆ เลิกคิดอะไรไร้สาระแบบนั้นได้แล้ว ผมรีบหันหน้าหนีจากเธอทันที สิ่งที่เราเครียดกว่าก็คือเรามีชีวิตเหลืออีกแค่เดือนเดียวเนี่ยแหละ

    ภาพความทรงจำของผมนั้นย้อนกลับไปที่ตอนเย็นของวันนี่ ที่ผมกำลังเกือบโดนรถบรรทุกชนเพราะไปช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่แล้วพอรู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่บนดาดฟ้า และก็มองเห็นเธออยู่ตามลำพัง

    ยมทูตเป็นคนนำวิญญาณไปสู่ความตายไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมเธอถึงมาช่วยเรากันนะ ผมคิดอย่างสงสัย ถ้าเราต้องตายวันนี้ เราก็ต้องโดนรถบรรทุกคันนั้นชนแล้วนี่นา

    สายตาของผมเหลือบไปมองเธออีกครั้ง โดยแอบตั้งใจเล็กน้อย

    คิดมากปวดสมอง ค่อยว่ากันพรุ่งนี้ดีกว่า ผมเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของผม หยิบผ้าปูที่นอนพร้อมผ้าห่มอีกชุดออกมาแล้วก็ปูมันข้างๆ เตียงนอนของผม แล้วก็เริ่มซุกนอนลงบนที่นอนบนพื้นของผม

    แล้วความเหน็ดเหนื่อยของผมนั้น ทำเอาผมหลับสนิทอย่างรวดเร็ว





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×