ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend Of the God Dragon Sword : ตำนานดาบเทพมังกรฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - ทัวร์อวกาศ (แก้ไขรอบ 2)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 52


    เย็นวันหนึ่งในสถานที่ที่เรียกว่า "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" ในศตวรรษที่ยี่สิบสอง วันนี้จะเป็นวันที่ประวัติศาสตร์ของโลกจะต้องจารึก เพราะมนุษย์เราสามารถสร้างพลังงานปฏิกิริยาฟิวชั่นที่เป็นพลังงานสร่างทดแทนใหม่ได้ไม่มีคำว่าสิ้นสุดและอันตรายน้อยกว่านิวเคลียร์ จนสามารถประดิษฐ์ยานท่องเที่ยวอวกาศโดยใช้ทุนและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวได้ต่ำที่สุด และในโอกาสนี้เอง ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในฐานะของจุดปล่อยตัวยานอวกาศ  จึงทำให้วันนี้มีนักท่องเที่ยวผู้โชคดีที่ได้รับคัดเลือกมาทดลองท่องเที่ยวด้วยยานอวกาศกรุ๊ปแรกของโลก

    บริเวณพื้นที่ตรวจสัมภาระผู้โดยสารส่วนหนึ่งนั้นได้ถูกดัดแปลงให้มีเวทีขนาดกลาง มีเก้าอี้วางไว้สำหรับแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนที่เตรียมมาทำข่าว บนเวทีมีการแสดงฟ้อนไทยซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติไทยให้กับนักท่องเที่ยวและนักข่าวจากประเทศต่างๆได้รับการเยี่ยมชม บรรดาผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้มาท่องเที่ยวในครั้งนี้ก็กำลังทยอยเดินทางมาร่วมงานโดยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น เมื่ออีกฝั่งหนึ่งของสนามบินอาคารผู้โดยสาร ได้ปรากฎมีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังหาเรื่องเด็กวัยรุ่นที่อายุน่าจะเท่าๆกันอยู่ หลังจากที่มีผู้โดยสารแจ้งเหตุวิวาทให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ตัวแทนจากทีมงานก็ได้เข้าไปดูที่เกิดเหตุทันที ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังมุงดูกันอย่างหนาแน่น

                    "เฮ้ย แกมาได้ยังไงวะ หา!" เด็กตัวสูงล่ำใหญ่คนหนึ่งกำลังหาเรื่องกับเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางโดยไม่สนใจสายตาของประชาชนที่กำลังมองดูและวิพากษ์วิจารย์การกระทำแบบนี้อยู่

                    "นั่นสิ ไอ้หน้ายากจนแบบเนี่ย มันมาได้ยังไงวะ" เด็กชายผมหยิกที่ยืนอยู่ข้างๆพูดเสริมด้วยน้ำเสียงดูถูก

                    เกิดอะไรขึ้น ทีมงานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพอดี เขามองดูรอบๆว่าเกิดอะไรขึ้น พื้นที่ตรงนั้นมีเด็กวัยรุ่นประมาณ ม.ปลาย 5 คนกำลังยืนรุมล้อมรอบเด็กที่อยู่ตรงกลางอยู่ สภาพการแต่งตัวก็ไม่ได้ดูดีอะไรไปกว่านักเลงข้างถนน ผิดกับเด็กที่ยืนอยู่ตรงกลางและมีสีหน้าที่ลำบากใจที่แต่งตัวออกมาถึงจะไม่ใช่ชุดราคาแพง แต่ก็ดูดีและเรียบร้อย

                    มาก็ดีเลยจ่า ไอ้นี่มันแอบมา จับมันไปเลย เด็กคนที่ตัวสูงที่สุดชี้ไปยังหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงกลางจนนิ้วชี้ของเขาแทบจะจิ้มกับตาเขาอยู่รอมร่อ

                    ไหน ขอดูหน่อยสิ เจ้าหน้าที่ยื่นมือไปหาเด็กที่ยืนตรงกลางเพื่อขอดูหลักฐาน เขายื่นบัตรแสดงสิทธิในการเข้าร่วมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ด้วยให้ เจ้าหน้าที่กวาดตามองดูบัตรราวกับจับจุดผิด

                    นี่ไม่ใช่ตั๋วปลอม เขายื่นตั๋วคืนให้เด็กที่อยู่ตรงกลางคนนั้น เขามาอย่างถูกต้อง"

                    "ไม่มีทาง" เด็กผมหยิกที่อยู่ข้างๆพูด "นี่จ่าโกงใช่ไหมเนี่ย ไม่มีไอ้โง่ที่ไหนหรอกขึ้นเที่ยวบินนี้ได้"

                    พอพูดจบเขาเอามือผลักเด็กคนที่อยู่ตรงกลางจนล้มลง มีเสียงวีดว้ายดังออกมาจากคนที่กำลังมุงดูอยู่

                    "นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ" เจ้าหน้าที่พูดขณะช่วยพยุงตัวเด็กที่ล้มลงลุกขึ้นแล้วพวกเธอหละ กล้าดียังไงถึงมาหาเรื่องเขาแบบนี้ ทำยังกับพวกเธอได้มาร่วมโครงการเที่ยวในครั้งนี้ด้วย

                    ก็ได้มานะสิ เด็กตัวสูงยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ดู ซึ่งเขาก็รับมาตรวจทั้งหมด 5 ใบ ก่อนที่เขาจะส่งคืนให้ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเล็กน้อย มีเสียงคนที่กำลังมุงดูออกมาคนหนึ่งว่า พวกนี้นะเหรอ ได้รับเลือก

                    แต่ยังไงก็ตาม ถ้าพฤติกรรมเป็นแบบนี้ ฉันจะไล่พวกเธอไปให้หมดเลยนะ อย่าลืมนะว่าฉันก็มีสิทธิคัดเลือกคนเข้าร่วมโครงการได้เหมือนกัน"

    เด็กวัยรุ่นตัวใหญ่ที่ผลักเด็กให้ล้มลงจ้องมองเจ้าหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัว

    "โถ่เอ็ย ไปก็ได้วะ" เขาพูดขณะที่เดินจากไป พวกเพื่อนๆของเขาก็เดินตามไปด้วยราวกับเขาเป็นหัวหน้าที่ต้องเดินตามตลอด ฝูงคนยังคงกระซิบกระซาบเรื่องพฤติกรรมของเด็กกลุ่มพวกนั้นต่อ มีนักข่าวบางคนถึงกับถ่ายภาพราวกับว่าจะเก็บเอาไปลงข่าวด้วย

    "ไม่ไหวเล้ย เด็กพวกนั้นนะ" เจ้าหน้าที่ก้มตัวลงและปัดฝุ่นให้กับเด็กที่ล้มลง "ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ไม่เป็นไรใช่ไหมเธอนะ"

    เด็กคนนั้นมองเขาด้วยสีหน้าที่ขอบคุณและรู้สึกโล่งอก

    "ครับ" เขาพูด "ไม่เป็นไรแล้วครับ"

    "งั้นเหรอ " เจ้าหน้าที่ถามขณะที่สายตาของเขามองดูเด็กคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า "ถ้างั้นไปเตรียมตัวเถอะไป พอพิธีเรื่มแล้วก็จะเดินทางกันเลยนะ"

    "ขอบคุณครับ" เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณ

    เจ้าหน้าที่ยิ้มให้แล้วก็พาเด็กคนนั้นเดินไปยังที่นั่งหน้าเวที ซึ่งมีนักท่องเที่ยวและนักข่าวมานั่งรอกันบางส่วนแล้ว สายตาของทุกคนนั้นกลับจ้องมาที่เด็กหนุ่มคนนี้ เขารู้สึกประหม่าเลยได้แต่นั่งสำรวมอยู่เงียบๆ

    เขาชื่อ นิคม อายุ 16 ปี เขามีรูปร่างร่างกายซูบผอม ตัวสูงเก้งก้าง ผมค่อนข้างยาวเล็กน้อยสีดำและชี้ไม่ค่อยเป็นระเบียบซักเท่าไหร่ อันที่จริง เขาชอบให้ผมของเขายุ่งแบบนี้อยู่แล้ว

    พิธีเปิดเริ่มต้นชึ้น โดยมีประธานของโครงการนี้ได้ออกมากล่าวถึงวัตถุประสงค์ต่างๆนาๆ ซึ่งนิยมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อันที่จริงแล้วเขาตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวบนดวงจันทร์กับโครงการนี้เสียจนแทบไม่ได้สนใจอะไรเลย แต่เขาก็อดยิ้มไม่ได้ที่เมื่อได้มีการเชิญกัปตันผู้ควบคุมยานอวกาศการท่องเที่ยวลำนี้ขึ้นมาบนเวที แน่นอนว่ากัปตันกับนิคมนั้นเคยพบกันมาก่อน

                    นิคมนึกถึงวันที่เขาได้บัตรใบนี้มา วันที่เขากลับจากการทำงานพิเศษ นั่นเพราะที่บ้านของเขานั้นอยู่ในห้องเช่าเก่าซอมซ่อ เขาเลยต้องช่วยพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านในการทำงานหาเงินมาเลี้ยงตนเอง ตอนนั้นเขาเห็นกระเป๋าเงินตกอยู่และนำไปส่งคืนให้ตำรวจ มารู้อีกทีก็พบว่ามันมีเงินนับแสนในกระเป๋าใบนั้น และเจ้าองกระเป๋าก็คือกัปตันคนนี้นี่เอง เขาเลยได้รับเชิญให้มาร่วมโครงการนี้ได้เป็นกรณีพิเศษ ใจจริงนิคมอยากชวนพ่อของเขามาด้วย แต่พ่อของเขาปฏิเสธ

                    ไปเที่ยวเถอะลูก พ่อยังต้องทำงานนะ ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตให้คุ้มเลยนะพ่อของเขาพูดออกมาแบบนี้เมื่อนิคมไปชวน

                    พิธีเปิดจบลงเมื่อมีการเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาถ่ายรูปบนเวที และเมื่อทีมงานได้เชิญนักท่องเที่ยวที่ได้ไปนั้นไปยังที่ตรวจสัมภาระ กัปตันเดินมาหานิคมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

    เขาเป็นชายวัยกลางคน ถึงใบหน้าจะยังหนุ่มยังแน่นแต่ก็มีริ้วรอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้ว มีผมหงอกบ้างบนเส้นผม แว่นตาและปากกาต่างๆนั้นเสียบเอาไว้ที่กระเป๋าเสื้อของกัปตันเครื่องบินในยุคสมัยนั้น

    เป็นไงบ้างนิคม กัปตันถามเด็กหนุ่มอย่างสงสัย ตื่นเต้นบ้างไหม

    แน่นอนครับ นิคมตอบด้วยความยินดี ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ให้ผมมาได้

    ไม่เป็นไรหรอก กัปตันโบกมือไปมาราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเอาหละ ฉันต้องไปตรวจเช็ดยานอีกครั้งก่อนที่จะออกยาน ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนะ

    นิยมยกมือไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ซึ่งกัปตันยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินไปยังทางเข้าสำหรับทีมงาน เด็กหนุ่มมองดูเขาเดินจากไปสักพักแล้วก็เดินตามผู้โดยสารคนอื่นๆเพื่อไปยังจุดเช็ดสัมภาระ

    การตรวจสัมภาระในการเดินทางทัวร์อวกาศนี้ ยุ่งยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ นั่นเพราะนอกจากจะมีการตรวจสัมภาระถึง 3 รอบแล้ว เขายังต้องได้รับการตรวจความดัน ตรวจร่างกาย อีกด้วย นั่นเพื่อป้องกันความปลอดภัยและตรวจหาอาวุธก่อนที่จะขึ้นยานนั่นเอง ซึ่งนับว่าการตรวจในครั้งนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว และเมื่อนิคมหลุดออกมาจากการตรวจที่ยาวนานและยืดเยื้อนี้แล้ว เขาก็เดินตามผู้โดยสารเพื่อไปขึ้นยานอวกาศ

    แต่เมื่อนิคมเห็นยานอวกาศแล้วเขาถึงกับอ้าปากค้าง ไม่ใช่แค่ความอลังการของเทคโนโลยีการพัฒนาลานจอดเครื่องบินและยานอวกาศของสนามบินสุวรรณภูมิในศตวรรษที่ 22 เท่านั้น แต่เขาเห็นกระสวยอวกาศลำใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ลำตัวยานนั้นอาจสามารถจุรถบรรทุกได้ทีเดียว 50 คัน ความสูงนั้นเกือบเท่ากับตึก 5 ชั้นเลยทีเดียว ลำตัวของยานนั้นเป็นรูปสีฟ้า ขอบยานเป็นรูปสีแดง ด้านข้างของยานนั้นมีรูปธงประเทศไทยติดอยู่ นิคมมองดูตัวยานแล้วทำให้นิคมนึกถึงลูกไข่ทรงแบนขนาดยักษ์ เส้นทางเดินนี้จะเชื่อมต่อไปยังยานอวกาศโดยอัตโนมัติ ท้องฟ้าข้างนอกนั้นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่และแสงไฟจากอาคารต่างๆทำให้วิวทิวทัศน์สวยงามมาก

    "อึ้งอยู่นั่นแหละ ทำยังกับไม่เคยเห็นยานอวกาศอย่างนั้นแหละ" เพื่อนนักเลงของเขาที่พบกันเมื่อกี้นั่นเอง เขาเดินออกมาพร้อมกับขวดน้ำอัดลมที่ถืออยู่ในมือ โดยมีผู้โดยสารคนอื่นๆที่เดินตามเขามามองดูด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจกันมากเลยทีเดียว แต่แก๊งเด็กพวกนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

    "แต่ก็เอาเถอะ ลงมาจากการทัวร์แล้วระวังฉี่แตกละกันวะ เขามองดูนิคมอย่างดูถูกดูแคลนสักพักแล้วก็หัวเราะเดินจากไปพร้อมกับพรรคพวกของเขา มีผู้โดยสารที่เดินตามเขาไปแล้วก็บ่นอุบอิบเรื่องที่ต้องเดินทางร่วมกับเด็กพวกนี้ นิคมมองดูพวกนั้นเดินไปยังทางเข้ายานอวกาศสักพักแล้วถอนหายใจเพื่อคลายอารมณ์กดดันเมื่อกี้นี้

    นิคมเรียนอยู่ที่โรงเรียนชายล้วน และตัวของเขานั้นก็สอบได้เกรดปานกลาง แต่เขามีพรสวรรค์ทางด้านประดิษฐ์สิ่งของ เขาสามารถนำสิ่งรอบๆตัวมาประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆได้โดยที่เขาไม่ต้องดูคู่มือด้วยซ้ำ แล้วเพื่อนนักเลงของเขาเมื่อกี้นี้เขามีชื่อว่า น๊อต  เป็นหัวหน้าแก๊งกลุ่มเด็กเกเรในโรงเรียนที่มีประวัติในการเข้าห้องปกครองของโรงเรียนไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่อาจารย์ฝ่ายปกครองก็ต้องจำใจปล่อยพวกมันออกมานั่นเพราะหาหลักฐานความผิดที่มันก่อไม่ได้ แก๊งของน๊อตนี้ได้ก่อเรื่องสารพัด ทั้งกลั่นแกล้งเด็กนักเรียนในโรงเรียนเอย ขโมยของเอย สูบบุหรี่เอย และนิคมเองก็เป็นหนึ่งคนที่ถูกพวกนี้กลั่นแกล้งมากที่สุดในโรงเรียน

    แต่พ่อของนิคมก็สอนเมื่อเขามาเล่าตอนที่โดนแกล้งให้ฟังเสมอว่า พวกที่อิจฉาและพวกรังควาญชาวบ้านนั้น เป็นพวกที่ทำอะไรไม่เป็น แต่ก่อนพ่อก็เคยโดน แต่พวกที่อิจฉาและกลั่นแกล้งพ่อนั้น ตอนนี้ทำอะไรไม่เป็น สุดท้ายเขาก็มาเป็นลูกน้องพ่อในอู่ซ่อมรถแทน และคำพูดของพ่อในครั้งนั้น ทำให้นิคมมีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตอยู่เรื่อยมา

    นิคมเดินต่อไปทางเข้ากระสวยอวกาศ และต่อคิวกับผู้โดยสารกำลังต่อแถวยื่นตั๋วให้กับพนักงานที่ประจำอยู่ปากทางเข้าของตัวกระสวยอวกาศ เมื่อนิคมยื่นตั๋วให้กับพนักงานสาวที่อยู่ตรงประตูทางเข้า เธอรับตั๋วแล้วก็ส่งบัตรอีกใบมาให้ นิคมรับบัตรมาด้วยความงุงงงนั่นเพราะไม่มีการอธิบายใดๆ และก็ไม่มีเวลาซักถาม เพราะคนข้างหลังก็จะยื่นตั๋วให้พนักงานต่อ เขาเลยเดินเข้าไปในตัวกระสวยทันที

    ข้างในตัวกระสวยอวกาศนั้นไม่ใช่รูปแบบของเครื่องบินโดยสารหรือยานอวกาศตามที่นิคมคิดเอาไว้เลย แต่บริเวณที่เขายืนอยู่นั้นเป็นเหมือยกับล็อบบี้โรมแรมขนาดย่อม มีแคชเชียร์บริการอยู่ประจำจุด แล้วมีทางเข้าต่อเข้าไปข้างในอีกทางหนึ่ง นิคมมองดูผู้โดยสารคนอื่นๆที่เดินเข้าไปตามทางเดิน เขาจึงเดินตามเข้าไปข้างในบ้าง เส้นทางเดินนั้นทั้งสองข้างทางนั้นเป็นห้องๆเรียงกันไป พื้นปูพรมสีแดงขอบสีเหลือง เขาก้มมองดูบัตร                                         

    ห้อง K – สอง  เหรอ  นิคมคิด เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับสอดส่องห้องตามหมายเลข โดยแต่ละตัวอักษรจะมีเลขแค่หนึ่งถึงห้าเท่านั้น

    H … I … J … K  อะ เจอละ

    นิคมเสียบบัตรเข้าไปในช่อง ประตูเลื่อนอัตโนมัติเลื่อนไปข้างๆ เขาอึ้งกับเทคโนโลยีระดับสูงที่ไม่เคยเจอมาก่อนสักพักก็เดินเข้าไปในห้อง

    นอกจากเขาจะได้มาเที่ยวฟรีซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เขายิ่งดีใจและตื่นเต้นเข้าไปอีกเมื่อมายืนอยู่ในห้องพักที่หรูราวกับโรงแรมระดับห้าดาว เตียงอย่างดีตั้งอยู่ด้านซ้าย มีโทรทัศน์ แอร์ รูมเซอร์วิท ห้องน้ำส่วนตัว และอุปกรณ์เล่นเกมแบบสามมิติ หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เขาก้มมองดูรายละเอียดที่พักที่อยู่ทางขวามือ ใบปลิวนั้นวางอยู่บนโซฟา ซึ่งทำให้เขาเข้าใจทันทีว่า ทำไมต้องมีห้องมากมายทั้งๆที่มีผู้โดยสารแค่ 50 คน เพราะเขาต้องการเอาใจผู้โดยสารประเภทต่างๆนั่นเอง เขาก้มมองดูรายละเอียดที่พักที่อยู่ทางขวามือ ใบปลิวนั้นวางอยู่บนโซฟา

    รายละเอียดที่พัก

    ที่พัก A ผู้โดยสารที่ต้องการความสงบ

    ที่พัก B ผู้โดยสารที่รักการบังเทิง

    ที่พัก C ผู้โดยสารที่ชื่นชอบการกีฬา

    แล้วต่อเนื่องกันถึง ที่พัก Z

    เด็กหนุ่มมองไปยังรอบๆห้องแล้วก็พบกระเป๋าสัมภาระที่ฝากกับเจ้าหน้าที่ไว้วางอยู่ในห้องเรียบร้อย

    เขาถอดรองเท้าแล้วก็ขึ้นไปนั่งเล่นบนเตียงและกระโดดเด้งขึ้นเด้งลงอย่างสนุกสนาน และเมื่อเขาเล่นกระโดดบนเตียงจนหนำใจแล้ว เขาก็นอนลงเอาหัวหนุนหมอนเพื่อครุ่นคิดเรื่องต่างๆ

    แต่ว่า ณ เวลานี้ได้เกิดอาถรรพ์อย่างหนึ่งขึ้น ซึ่งนิคมไม่ได้รู้เรื่องและรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

    เตียงนั้นนุ่มสบายมาก เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด และกำลังเคลิ้มหลับอย่างรวดเร็ว

    สักพักมีเสียงดังออกมาทำให้เขาสะดุ้งตื่น เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นนั่งมองดูไปรอบๆ เขามีอาการประหลาดใจ เมื่อพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางหน้าผา ทิวทัศน์นั้นเห็นทั้งแม่น้ำ ทะเลและภูเขา วิวทิวทัศน์นั้นราวกับว่ามันไม่ได้อยู่ในเมืองไทย แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้ากำลังส่องจ้าลงมากระทบตาของเขา

    ฝันรึไงเนี่ย นิคมคิดในใจเมื่อมองไปมารอบๆ พื้นหญ้าที่สัมผัสโดยตัวเขานั้นกลับราวกับเขาจับมันจริงๆ             นิคมลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังกลับเพื่อสำรวจดูสถานที่ที่เขาอยู่อีก เขาพบว่ามีผู้คนมากมายกำลังคุกเข่า

    ก้มหัวให้กับเขา แต่ผู้คนเหล่านี้เหมือนตัวละครในภาพยนต์และในเกมเหลือเกิน มีทั้งคนที่มีหูแหลมยาว คนที่มีหูสัตว์ออกมา คนที่มีลักษณะครึ่งคนครึ่งม้า คนที่มีปีก ผู้คนกลุ่มนี้นั้นใส่ชุดออกแนวนักรบสมัยโบราณสักหน่อย นิคมมองดูครึ่งคนครึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นแบบนี้อย่างตกใจและสงสัยว่านี่มันอะไรกันแน่

    คนที่อยู่ข้างหน้าสุดนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขา เท่าที่นิคมดู เขาเป็นเด็กวัยรุ่น และเป็นคนที่นิคมแน่ใจว่าตัวของเขากับบุคคลคนนี้จะสูงต่างกันแค่ 2 นิ้วเท่านั้น  เด็กคนนี้ก็สวมชุดคลุมแปลกๆ ที่คลุมทั้งตัว

    "เรากำลังรอท่าน" เด็กหนุ่มคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและทรงอำนาจ "ท่านจะมาพบเราในอีกไม่ช้านี้เพื่อมาช่วยเหลือเรา"

    "แล้วผมจะมาหาคุณทำไมครับ" นิคมพูดพลางคุกเข่าลงบ้าง เพื่อไม่ให้เสียมรรยาท "แล้วที่นี่คือที่ไหนครับ"

    "ท่านจะพบคำตอบในอีกไม่ช้านี้" เขาพูดต่อราวกับไม่สนใจกับคำถามที่นิคมถาม "เพื่อมาช่วยพวกเราต่อกรกับภัยอำนาจมืด ณ หุบเขาฮาร์มเลส "

    นิคมรู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นลอยตัวขึ้น เขามองดูรอบๆ ในขณะที่ตัวเขากำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ แล้วความเร็วในการลอยก็มากขึ้นเรื่อย

     "เราจะรอท่าน" คนที่พูดกับนิคมเมื่อสักครู่นี้ตะโกนบอกเขา นิคมไม่รู้สึกอะไรอีก นอกจากความว่างเปล่า แล้วเขาก็ลอยไปเห็นหุบเขาแห่งหนึ่ง หุบเขาแห่งนั้นมืดมนและมีฟ้าแลบอยู่รอบๆ มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ...เรื่อยๆ

    ...

    "เรียนท่านผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ"

    นิคมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เหงื่อผุดไหลออกมาตามตัวเล็กน้อย เขารู้สึกตัวสั่นเทาและขนลุกอย่างประหลาดแม้ว่าเขายังรู้สึกงัวเงียอยู่ก็ตาม เขานึกถึงความฝันเมื่อสักครู่นี้ที่เขาสามารถจำได้อย่างแม่นยำ ชายคนที่พูดกับเขานั้นดูคุ้นๆหน้ายังไงชอบกล ราวกับว่าหน้าตาละม้ายคล้ายตนเองซะอย่างไรอย่างนั้น

    "ขณะนี้กระสวยอวกาศกำลังจะปล่อยตัวเพื่อเดินทางสู่ดวงจันทร์"

    นิคมมองหาต้นเสียง แล้วเขาก็ค้นพบว่า ต้นเสียงนั้นมาจากโทรทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าเขานั่นเอง ซึ่งราวกับมีคนเปิดโทรทัศน์ให้ ภายในภาพมีรูปพนักงานสาวในชุดเครื่องแบบที่นิคมยื่นตั๋วให้ตอนที่เขาเข้ามาในกระสวยครั้งแรก โดยในภาพนั้นมีตัวอักษรบรรยายเป็นภาษาอังกฤษด้วย

    "ท่านผู้โดยสารกรุณาไปที่โซฟาของท่านแล้วรัดเข็มขัด เพื่อป้องกันการกระแทกระหว่างการปล่อยตัว"

    นิคมเดินไปที่โซฟาข้างๆ และก็สังเกตเห็นเข็มขัดวางอยู่ข้างๆ นิคมนั่งลงแล้วเอาเข็มขัดที่เอวของตนเอง จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่จอโทรทัศน์ต่อไป ความรู้สึกที่ตื่นเต้นอย่างล้นพ้น

    กระสวยอวกาศกำลังจะปล่อยตัวในอีก 10…9…8…7."

    นิคมเอามือจับขอบตรงโซฟาเอาไว้แน่น ราวกับว่านิคมกำลังจะเล่นเครื่องเล่นหวีดสยองในสวนสนุก

    "5…4...3…"

    อ้าว แล้วไม่มีที่ครอบหูเหรอ นิคมคิดอย่างรวดเร็ว พลางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาหูฟัง เพราะปกติเวลาปล่อยยานอวกาศเสียงจะดังมาก เฮ้ย ไม่มีจริงๆเหรอ เขาเริ่มตื่นกลัวเมื่อหาที่ครอบหูฟังไม่เจอ

     "2…1…. ปล่อยตัวยาน…"

    เด็กหนุ่มรีบเอามืออุดหูของตนเองอย่างรวดเร็วและก้มตัวลงอย่างตื่นกลัวเมื่อรู้ว่าถ้าไม่รีบหาอะไรอุดหู จะมีเสียงดังมหาศาลทำให้เขาอาจหูหนวกได้

    แต่ว่า เสียงที่นิคมคิดว่าน่าจะดังมากนั้นกลับเงียบ และไม่มีเสียงอะไรเลย

    เขารู้สึกว่าตัวของเขานั้นสั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ห้องพักทั้งห้องสั่นราวกับเครื่องเล่นตามห้างสรรพสินค้า เสียงที่ควรจะดังนั้นไม่มีเสียงสักกะแอะเดียว ผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆเอามือที่อุดหูของตนเองออกอย่างระมัดระวังง เสียงที่ดังนั้นเป็นเสียงดังเหมือนเครื่องจักรกำลังทำงานอย่างหนัก แต่เสียงนั้นเบาราวกับมีคนหรี่เสียงให้เบาสุด และหลังจากนั้น ห้องทั้งห้องก็หยุดสั่น เสียงที่ดังแบบค่อยๆเมื่อสักครู่นี้ก็ค่อยๆเบาเสียงลง

    ตอนนี้กระสวยอวกาศตอนนี้ได้ทะยานออกสู่นอกโลกแล้วสินะ นิคมคิด ไวจัง

    นิคมมองไปจอโทรทัศน์อีกครั้ง ภาพในจอโทรทัศน์ปรากฎขึ้นอีกครั้ง พนักงานสาวที่ประกาศเมื่อสักครู่นี้ก็ปรากฎออกมา

    "ขณะนี้กระสวยอวกาศได้ออกนอกเขตแรงโน้มถ่วงของโลกแล้ว และจุดหมายปลายทางของเรานั้นคือดวงจันทร์ จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง เชิญผู้โดยสารทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยคะ"

    สิ้นเสียงของเธอ จอโทรทัศน์ก็ดับวูบทันที นิคมเอามือแกะสายเข็มขัดที่รัดตรงเอวของเขาออก นิคมลุกขึ้น ตัวของเขานั้นไม่ลอยและท่าทางการยืนและเดินก็ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่าวิทยาการในโลกอนาคตในสมัยที่นิคมอยู่นั้นมนุษย์สามารถสร้างสนามแรงโน้มถ่วงได้แล้วนั่นเอง

    นิคมเดินไปตรงเตียงที่ข้างบนจะมีหน้าต่างอยู่ บัดนี้จอทีวีตรงเหนือเตียงนั้นแทนที่จะแสงสีจากอาคารของสนามบิน กลับเป็นท้องฟ้าอวกาศอันมืดสนิท ดวงดาวส่องแสงประกายระยิบระยับเต็มไปหมด มีแสงอาทิตย์ที่ส่องออกมาจากขอบโลกด้านหนึ่งซึ่งเป็นภาพที่น่ามองมากๆ หัวใจของเด็กหนุ่มนั้นเต้นเป็นกลองด้วยความตื่นเต้นเป็นล้นพ้น ความฝันของเขาที่อยากจะออกมาสู่อวกาศ ซึ่งบัดนี้ เขากำลังอยู่บนกระสวยอวกาศ และได้เห็นอวกาศของจริงแล้ว

     

    นิคมรู้สึกไม่ค่อยอยากจะอยู่แต่ในห้องพักเท่าไหร่นั้น เกมหรือดีวีดีในห้องพักเขาก็สามารถกลับมาดูมาเล่นตอนไหนก็ได้ เลยคิดว่าน่าจะออกมาเดินเล่นภายในตัวยานสักหน่อย เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว เขาจึงออกจากห้อง และเดินไปทางซ้ายต่อจากทางที่เขาขึ้นมาบนยานมาตอนแรก ทางเดินนั้นทอดยาวไปเรื่อยๆ มีป้ายบอกทางตลอด ระหว่างทางเดินนี้เขาได้เดินสวนทางกับผู้โดยสารบ้าง

    นิคมเดินออกไปจนสุดทาง ข้างหน้านั้นคือห้องโถงอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องที่มีรูปร่างลักษณะโค้ง มีแบบจำลองสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ตรงกลาง ม้านั่งรอบๆแบบจำลองสนามบินและข้างๆห้องโถง พื้นพรมสีแดงของสีเหลืองนั้นปูไปทั่วห้อง รอบๆห้องโถงนั้นเป็นกระจกที่เราสามารถเห็นวิวได้อย่างชัดเจน นั่นคือ อวกาศและโลก นิคมเดินเข้าไปใกล้กระจกเพื่อมองดูวิวดังกล่าว ซึ่งในห้องโถงนี้จะมองวิวด้านนอกได้ชัดเจนกว่าในห้องพัก 

    บัดนี้เราเห็นโลกเพียง 4 ใน 5 ส่วนของโลกทั้งหมด ความสวยงามของโลกนั้นทำให้นิคมตกตะลึง เขารู้สึกว่าเขารักโลกใบนี้มากขึ้นทันที

    ด้านในสุดนั้นมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว ข้างหน้าของร้านอาหารนั้นมีโต๊ะ เก้าอี้ตั้งอยู่เรียงรายบ้าง แต่ไม่มีผู้โดยสารมานั่งอยู่บริเวณนี้เลย นิคมเดินไปที่เค้าเตอร์แล้วสั่งอาหารต้มยำกุ้งจากพ่อครัวออกมาทาน และในขณะที่นิคมกำลังยกช้อนขึ้นตักน้ำแกงแล้วกำลังจะยกเอาปากช้อนขึ้นสู่ริมฝีปากเพื่อลิ้มรสชาติความอร่อยของน้ำต้มยำกุ้งอยู่นั้น กลุ่มแก๊งอัณฑพาล น็อตก็เดินผ่านมา กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส นิคมเห็นพวกนี้ก็ทำให้ความอยากอาหารก็หายไปไปในพริบตา เขาจึงแอบหลบซ่อนพยายามไม่ให้พวกนั้นมองเห็น         

    "ได้เวลาแล้ว ไประเบิดห้องเครื่องกัน"

    นิคมสำลักน้ำแกงต้มยำออกมาเมื่อเขาได้ยินพวกนั้นพูดกัน มือของเขาเอื้อมไปหยิบทิชซู่มาเช็ดริมฝีปาก โชคดีที่กลุ่มของเพื่อนนักเลงนั้นไม่ได้ยินในสิ่งที่นิคมสำลักออกมา นิคมจึงเงี่ยหูฟังต่อไป

    "แล้วเอ๊งจะหนียังไงวะไอ้น๊อต" คนที่อยู่ข้างๆน๊อตอย่างสงสัย

    "ตูวางแผนมาแล้ว" น๊อตพูดต่อราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร "พอเราระเบิดเสร็จ ทางต่อจากนี้จะมีทางอพยพฉุกเฉิน น๊อตมองดูพรรคพวกตนเองที่มองเขาราวกับว่า เอาจริงเหรอ

    พวกเอ๊งจะกลัวไรวะ น๊อตกระคอกใส่พวกนี้อย่างหงุดหงิด เรายังเคยวางตะปูเรือใบหน้าโรงเรียน ยุให้รุ่นน้องยกพวกตีกัน แถมยังรอดพ้นจากความผิดแทบทุกครั้งพวกเราน่าจะสร้างวีรกรรมอะไรเล็กๆน้อยๆหน่อยหน่อยสิวะ หากทำสำเร็จ ผลงานนี้อาจจะทำให้พวกเราสามารถรวบรวมแก๊งให้ขยับขยายใหญ่ได้เลยนะเว้ย ไอ้ที่จริงแล้วไอ้การมาทัวร์บ้าบออะไรเนี่ย ตูไม่สนอยู่แล้ว"

    "นั่นสิลูกพี่" คนที่ตัวเตี้ยที่สุดพูดอย่างฮึกเหิม "ยัยแก่นั้นอึดชะมัดยากตอนไปรุมสกัมเพื่อแย่งตั๋วมาเนี่ย"

    นิคมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เจ้าพวกแก๊งของน๊อตเนี่ยนะเหรอ ที่ก่อเรื่องได้มากมายขนาดนี้

    เขารู้แต่เพียงว่ากลุ่มพวกนี้เป็นหัวโจ๊กในโรงเรียน ชอบหาเรื่องชาวบ้านและดูดบุหรี่ แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกนั้นเลวขนาดนี้

    "แล้วระเบิดหละไอ้น๊อต" คนที่ตัวสูงที่สุดพูถามน๊อต

    ไอ้นี่นะเหรอ" น๊อตชูของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา นิคมมองด้วยความตื่นกลัว เพราะนั่นมันเป็นระเบิด M67 ระเบิดสังหารแบบเดียวกับที่ทหารใช้กัน "ตูแอบเอาผ่านเครื่องตรวจบ้าตรวจบอนั่นมาได้"

    ทั้งกลุ่มดูเหมือนจะชอบใจ พากันเดินไปที่ประตู 'บุคคลภายนอกห้ามเข้า' ที่อยู่ทางด้านขวามือต่อจากเค้าเตอร์ร้านอาหารไปทางขวา

    เมื่อนิคมมั่นใจว่าพวกนั้นไปกันหมดแล้ว เขารีบไปยังเค้าเตอร์สั่งอาหาร แต่ปรากฎว่าพ่อครัวคนที่เขาสั่งอาหารนั้นไม่อยู่แล้ว สายตาของเด็กหนุ่มมองไปยังทางเดินที่พวกนั้นไปอย่างกังวล เขาควรที่จะไปบอกเจ้าหน้าที่ แต่พวกเจ้าหน้าที่จะเชื่อเหรอ อีกอย่าง หากพวกนั้นต้องการระเบิดกระสวยอวกาศจริง มันก็ไม่มีเวลามาก นิคมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเส้นทางที่นำไปสู่ห้องเครื่องนั้นจะไกลสักเท่าไหร่ แถมตัวของเขาเองจะไปมีกำลังสู้กับกลุ่มเพื่อนนักเลงที่มีตั้ง 4 คนไหวเชียวเหรอ

    แต่เขาไม่มีทางเลือกมากนักในช่วงเวลาของความเป็นกับความตายนี้

    เราจะทำยังไงดี เราจะทำยังไงดี เขาคิดอย่างรวดเร็ว

    ฉับพลัน ราวกับสมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว นิคมลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาออกตัววิ่ง วิ่ง ตามพวกนั้นไป ด้วยความหวังอันน้อยนิดว่า นิคมจะสามารถไปหยุดเหตุวินาศกรรมได้ทันเวลา

    แต่หารู้ไหมว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล และเขาเองจะกลายเป็นวีรบุรุษในตำนาน ตลอดไป

    นิคมผลักประตู ข้างในนั้นเป็นทางมืดเล็กน้อย แสงไฟส่องลงมาเป็นระยะ ทางเดินนั้นแคบและมีอยู่ทางเดียว ไม่มีทางแยกทางอื่น เขาสูดหายใจเข้าไปลึกๆ และเริ่มออกตัววิ่ง…..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×