ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria 2 (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode 2 : Rescue Equestria

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 57



     


    ผมกับเพื่อนๆ ของผมเดินออกมาข้างนอกห้องสมุดและรอบไปรอบๆ ตอนนี้รากไม้ประหลาดกำลังโอบล้อมเมืองโพนี่วิลด์มากขึ้นเรื่อยๆ โพนี่บางตัวหลบซ่อนตัวเองในบ้านไม่ก็พยายามหนีออกมาจากบ้านตัวเอง ราวกับว่าตอนนี้เมืองทั้งเมืองถูกรากไม้ประหลาดนี่กลืนกินหมดแล้ว ผมมองเห็นซีโคร่า ม้าลายสาวกำลังช่วยม้าโพนี่ตัวหนึ่งออกมาจากบ้านที่ถูกรากไม้โอบล้อมทั้งบ้าน ซึ่งเมื่อเธอหันมาเห็นผม เธอยิ้มกว้างก่อนที่จะเดินมาทางผมทันที

    "เธอมาจริงๆ ด้วยสินะ ขอต้อนรับกลับสู่ถิ่นนะเจ้าหนุ่ม" ซีโคร่าทักผม

    "สวัสดีครับ" ผมทักเธอตอบ

    "หลังจากที่เจ้าหญิงทไวไลท์ได้รู้ว่าต้นเหตุที่แท้จริงของรากไม้ประหลาดนี่มันมาจากไหน พระองค์ก็ได้พยายามสร้างประตูเพื่อให้เธอกลับมาทันที" ซีโคร่าบอก ผมหันไปทางทไวไลท์ ซึ่งเธอหน้าแดงออกมาหน่อยๆ

    "เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้้ดิสคอร์ดเป็นคนทำเหรอ" ผมถามถึงหนึ่งในคนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะมีอยู่ตัวเดียว

    "เรียกหาชั้นเหรอไอ้หนุ่ม"

    เสียงดิสคอร์ดดังขึ้นข้างๆ หูผมข้างหนึ่งราวกับมีคนกระซิบ และเมื่อผมเหลือบตาไปมอง ก็พบสิ่งมีชีวิตคล้ายมังกรจีนขนาดจิ๋วกำลังยืนอยู่ตรงหูผมพอดีเด๊ะจนผมสะดุ้งตกใจถอยออกมา และดิสคอร์ดก็คืนร่างเดิมทันที

    "ตอนแรกพวกฉันก็สงสัยดิสคอร์ดเหมือนกันแหละ แต่หลังจากที่ซีโคร่าเอานํ้ายามาให้ฉันดื่มเพื่อมองเห็นภาพในอดีต ก็รู้ว่าดิสคอร์ดไม่ได้เป็นตัวการเรื่องนี้" ทไวไลท์บอกผม

    "น่าเชื่อมาก" ผมวิจารณ์ออกมาพลางยกกีบแคะหู เพราะดูจากนิสัยของเจ้าตัวแล้วน่าจะเป็นตัวการทั้งหมดเสียด้วยซํ้า

    "อะไรกันเนี่ย ฉันอุตส่าห์กลับใจแล้วนะ ยังจะสงสัยฉันเหมือนเพื่อนๆ เธออีกงั้นเหรอ ยังกับนัดกันมาเลยนะเนี่ย" ดิสคอร์ดเสกหมวกเด็กสำนึกผิดที่เห็นตามโรงเรียนใส่บนหัวและทำท่าเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ซึ่งผมเห็นแล้วคิ้วกระตุกด้วยความพะอืดพะอมทันที

    "นี่นะเหรอดิสคอร์ด ประหลาดเหมือนที่พี่บอกจริงๆ ด้วย" น้องสาวผมที่ยืนข้างๆ คราวทักขึ้นมา

    "อู้ว นี่น้องสาวนายเหรอเนี่ย น่ารักน่าแกล้งดีเนอะ" ดิสคอร์ดลอยไปทางน้องสาวผมใกล้ๆ จนน้องผมเดินถอยหลังอย่างหวาดผวาทันที

    ชิ้ง...!!

    "ไม่ต้องมายุ่มย่ามน้องฉันเลยนะเฟ้ย" ผมขู่อีกฝ่ายพร้อมกับจับดาบเล็งไปทางคออีกฝ่ายทันที

    "เดี๋ยวๆๆ ขอเวลานอก นี่นายเอาดาบมาได้ยังไงนิ" ดิสคอร์ดมองด้วยความสงสัยและตกใจเอาเรื่องเหมือนกันพร้อมกับลอยถอยห่างไปบนอากาศทันที

    ผมมองดูดาบที่ผมจับมันเอาไว้ด้วยกีบของผม ดาบด้ามยาวที่มีรูปมงกุฎตรงด้ามดาบสีทองปรากฎขึ้น มันเป็นอาวุธชิ้นเดียวที่ผมมีและสามารถใช้มันในการรับมือกับควีนคริสซาลิสได้ในตอนท้าย ซึ่งหลังจากที่จัดการกับเธอแล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดาบมันหายไปไหน และตอนนี้ผมถือมันมาได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

    "อู้ววว นายลองทำท่าเก็บดาบข้างๆ ตัวได้แมะ" พิงค์กี้พายถามผม

    "เก็บดาบเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย เมื่อแม่สาวผมสีชมพูพยักหน้า ผมลองทำท่าเก็บดาบใส่ฝักกลางอากาศข้างๆ ตัวผมแบบสมมุติว่าในมีฝักดาบห้อยอยู่ข้างลำตัวผม

    วู้มมมมม!

    มีเสียงดังออกมาเล็กน้อย เมื่อดาบของผมหายไปพร้อมกับแสงสีทองที่เปร่งออกมา ซึ่งคิ้วตี้มาร์ครูปมงกุฎของผมก็เปร่งแสงสีทองออกมาเช่นกันก่อนที่แสงจะหาย ผมมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าธาตุแห่งความปรองดองที่อยู่บนสร้อยคอของเพื่อนผมทุกตัวและมงกุฎของทไวไลท์เปร่งแสงออกมา และแสงก็หายไปกลับสู่สภาพเดิมของมัน

    "ฉันกะแล้วเชียว ว่าถ้าพวกเรามีธาตุแห่งความปรองดองและอยู่กันพร้อมหน้า นายจะหยิบดาบออกมาตอนไหนก็ได้" พิงค์กี้พายกระโดดโลดเต้นเมื่อเธอเดาถูก

    "เธอรู้ได้ไงเนี่ย" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "ก็แค่เดา" เธอแลบลิ้นออกมา ผมมองแล้วบอกตรงๆ เลยว่าพิงค์กี้พายนี่ดูประหลาดที่สุดในบรรดาเพื่อนผมทั้งหมดละ อะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ เธอดันรู้ซะงั้น

    ผมลองทดลองทำท่าหยิบดาบออกมาจากตำแหน่งเมื่อกี้ ปรากฎว่าก็มีแสงสีทองปรากฎขึ้น และเมื่อกีบของผมสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ผมหยิบมันออกมา และดาบก็ปรากฎตรงหน้าผมอีกครั้งพร้อมกับแสงธาตุแห่งความปรองดองที่เปร่งออกมาจากเพื่อนๆ ของผมทุกตัว และนั่นทำให้ผมรู้วิธีการหยิบอาวุธของผมออกมาละ

    "ฮ่าฮ่า! ดีเลยสิแบบนี้ ถ้าดิสคอร์ดทำอะไรแปลกๆ หรือมีอะไรโผล่มา เราก็แค่ใช้ธาตุแห่งความปรองดอง และเขาก็จะได้ใช้ดาบได้ด้วย เจ๋งใช้ได้เลยนะเนี่ย" เรนโบว์แดชยิ้มกว้างออกมาทันที

    "ทำไมต้องมองมาที่ฉันด้วยเล่า" ดิสคอร์ดกอดอกและมองด้วยสายตาประชด

    "งั้นเธอรู้แล้วสิว่าต้นเหตุของเรื่องมาจากไหน บอกได้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหนและเป็นตัวอะไร" ผมถามทไวไลท์

    "อันที่จริง มันคือต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองนะ" ทไวไลท์บอกผม

    "ต้นไม้.. อะไรนะ" ผมถามเธออีกครั้งเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดไหม

    "ต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดอง มันเป็นต้นไม้พลังเวทย์ที่มีพลังมหาศาล เมื่อพันปีก่อน เจ้าหญิงเซเลสเทรียและเจ้าหญิงลูน่าได้ผลึกธาตุแห่งความปรองดองจากต้นไม้ต้นนั้นแหละ ต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองมันมีพลังเวทย์มหาศาลมากแม้ว่ามันจะไม่มีธาตุแห่งความปรองดองก็ตาม ฉันเลยคิดว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้แน่ๆ" ทไวไลท์บอกผม

    ผมมองไปทางป่าเอเวอร์ฟรี ที่มีจำนวนรากไม้หลุดออกมามากที่สุด ซึ่งมองดูแล้วทำให้ผมนึกถึงดันเจี้ยนในเกมไฟนอลแฟนตาซีอย่างไรอย่างนั้นเลย ถึงจะจำไม่ได้แล้วก็เถอะว่ามันเป็นภาคอะไร

    "ยังกับต้นไม้โลกของพวกเอลฟ์เลยนะ ฟังดูแล้ว" ผมพึมพำ

    "ต้นไม้โลก ? เอลฟ์ ?" แรร์ริตี้ถามด้วยความสงสัย

    "เอ่อ ในนิยายโลกฉัน พวกแนวแฟนตาซีมักจะมีเผ่าหนึ่งที่ชื่อว่าเอลฟ์ พวกเขารักธรรมชาติและมักจะมีต้นไม้โลกที่เหมือนต้นไม้สร้างโลกอะไรแบบนี้นะ" ผมบอกกับเธอ "อย่าบอกนะว่ามันอยู่ในป่าเอเวอร์ฟรีนะ" ผมหันไปถามทไวไลท์

    "ฉันคิดว่าในน่าจะอยู่ในนั้น เพราะรากไม้มันออกมาจากในป่าเยอะที่สุด" ทไวไลท์ตอบผม

    "เราเลยอยากจะได้ทุกตัวมาช่วย และนั่นพวกเราเลยช่วยกันสร้างประตูมิติเพื่อให้นายกลับมาช่วยเรายังไงหละ" แอปเปิ้ลแจ็คบอกผม

    "งั้นก็ไปช่วยต้นไม้กัน คราว ช่วยดูแลน้องฉันทีได้ไหม" ผมหันไปถามคราวที่ยืนข้างหลังผม

    "ได้สิ ไม่ต้องห่วง" คราวยิ้มให้ผม

    "หนูไปด้วยไม่ได้เหรอ" น้องสาวถามผม

    "อย่าดีกว่า ตอนนี้เรายังไม่ชินกับร่างโพนี่ และพี่ไม่มั่นใจด้วยว่าข้างในมันจะมีอะไร มันไม่ปลอดภัยสำหรับเราแน่ เราอยู่กับคราวไรเดอร์ไปก่อนน่าจะดีกว่า แล้วพี่จะรีบกลับมา" ผมบอกกับน้อง

    "อื้ม หนูเชื่อพี่" น้องผมยิ้มกว้าง

    "แล้วไม่ต้องทำอะไรน้องฉันนะเว้ยเฮ้ย" ผมชี้ดาบขู่ดิสคอร์ดที่ทำท่าลอยตุ๊บป่องๆ เหนือรากไม้แบบไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร

    "ไม่ขอรับปากนะตัวเอง ฮี่ๆ" มันยิ้มเยาะออกมา

    ไม่ไว้ใจมันเลยฟะ ผมคิด

    "ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะช่วยจับตาอีกแรง" ซีโคร่าบอกผมก่อนที่จะจ้องไปยังดิสคอร์ด ดูเหมือนดิสคอร์ดเองจะไม่ถูกกับซีโคร่าเท่าไหร่เพราะอีกฝ่ายทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก

    "รบกวนด้วยนะครับ งั้นทไวไลท์ นำทางเลย" ผมบอกกับเธอ

    "ได้ งั้นตามมา" เธอนำทางผมโดยที่ไม่กางปีกบิน ผมเก็บดาบที่ข้างลำตัวและเมื่อดาบหายไปแล้ว ผมก็เดินตามเพื่อนผมทุกตัวไปทางป่าเอเวอร์ฟรีทันที

    และเมื่อผมกับเพื่อนๆ ตัวอื่นๆ เดินจากไปค่อนข้างไกลแล้ว น้องสาวผมหันไปมองคราวไรเดอร์ทันที

    "ชอบพี่หนูงั้นเหรอค่ะ" เธอถาม ทำให้คราวหน้าแดงอย่างรวดเร็วทันที

    "ระ รู้ได้ไงอ่ะ" เพกาซัสสาวถามอย่างเอียงอาย

    "ดูก็รู้แล้วค่ะพี่ แต่ทำใจนิดนะค่ะ พี่หนูมันทึ่มนิดนึง" เธอบอก ซึ่งคราวทำหน้าเซ็งออกมาเล็กน้อย

    "แหม๋ มันเรื่องปกติสำหรับการ์ตูนอะนะ" ดิสคอร์ดยิ้มเยาะก่อนที่จะลอยมาตรงหน้าคราว ซึ่งน้องสาวผมก็เดินถอยหลังออกมาเล็กน้อยเมื่อดิสคอร์ดลอยมาใกล้ๆ

    "ไม่ใช่เรื่องของนายย่ะ" คราวไรเดอร์จ้องเจ้ามังกรอย่างไม่ไว้ใจนัก

     

    -------------------------------------------------

     

    ผมเดินตามทไวไลท์กับเพื่อนๆ ของเธอเข้าไปในป่าเอเวอร์ฟรี ซึ่งดูภายนอกแล้วมันก็ไม่ได้ต่างจากป่าทั่วไปนัก เพียงแต่ว่าต้นไม้มันขึ้นหนาทึบมากกว่า และต้นไม้ก็ค่อนข้างสูงชันจนปิดบังแสงจากโลกภายนอก ซึ่งตอนนี้สภาพอากาศมันก็ผสมทั้งกลางวันและกลางคืนแบ่งกันครึ่งท้องฟ้าอยู่แล้ว และดูเหมือนซีกด้านกลางคืนจะเทมาทางป่าเอเวอร์ฟรี เลยทำให้บรรยากาศรอบๆ มันดูมืดกว่าปกติราวกับเดินตอนกลางคืนเลยทีเดียว ซึ่งยังดีที่บนท้องฟ้ามีดวงดาวเต็ม ทำให้มีแสงจากดวงดาวส่องลงมาทำให้พวกผมมองเห็นทางกันบ้าง

    ด้วยการที่บรรยกาศมันดูมืดและมองไกลๆ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เลยทำให้เงาหรือต้นไม้ต่างๆ ที่ขึ้นซ้อนกันผสมปนเปออกมาจนดูน่ากลัวไปหมด บางจุดก็เหมือนภาพคนผูกคอคาย บ้างก็คล้ายกับสัตว์ประหลาด ฟรัทเทอร์ชายเคยบอกว่าป่าแห่งนี้ไม่เหมือนป่าที่อื่นๆ ในอีเควสเทรีย เพราะมันขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่มีเวทมนต์มาเกี่ยวข้อง แต่สำหรับคนที่อยู่บนโลกที่ไม่มีเวทมนต์มานานหลายสิบปี และก็เคยเดินเที่ยวป่ามาบ้างแล้ว ยังรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของป่าแห่งนี้เลย

    "ฉันพอเข้าใจของคำว่า เอเวอร์ฟรี แล้วหละ แล้วทำไมเมืองโพนี่วิลด์ถึงต้องมาตั้งเมืองใกล้กับป่าแห่งนี้ด้วย" ผมชวนตัวอื่นๆ คุย เพราะผมก็แอบสงสัยจริงๆ แม้ว่าระยะห่างจากชานเมืองเข้าไปในป่าจะห่างกันค่อนข้างไกลก็ตาม

    "ครอบครัวแอปเปิ้ลของฉันมาตั้งรกรากในเมืองนี้นะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก

    "แต่ถึงมันจะน่ากลัว แต่มันก็ทำให้พวกเราได้เจอกันนะ" แรร์ริตี้บอกผม

    "หมายความว่าไง" ผมถาม

    "ตอนที่ทไวไลท์มาครั้งแรก ไนท์แมร์มูนได้ปรากฎตัวอีกครั้ง และพวกเราก็ได้เข้าไปตามหาธาตุแห่งความปรองดองในป่าแห่งนี้นี้และก็ช่วยทำให้ไนท์แมร์มูนกลายมาเป็นเจ้าหญิงลูน่า พวกเราจึงได้เป็นตัวแทนธาตุแห่งความปรองดองยังไงหละที่รัก" แรร์ริตี้อธิบาย

    "เหมือนวันเก่าๆ เลยนะ จำได้ว่าตอนนั้นเธอพยายามจะตามหาธาตุแห่งความปรองดองเองสินะ" เรนโบว์แดชแซวเธอ

    "แหม๋ ก็ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยรู้จักพวกเธอดีนี่นา" ทไวไลท์หน้าแดงออกมา ซึ่งทำให้พวกเราหัวเราะอย่างสนุกสนาน ลืมความน่ากลัวของบรรยาศรอบๆ ไปได้ระดับหนึ่ง

    "เฮ้ เราข้ามนี้ข้ามคลองไปได้นะ" ทไวไลท์บอกเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างที่คล้ายโขดหินอยู่กลางลำธาร และเมื่อเธอกระโดดขึ้นไปเหยียบ ปรากฎว่าโขดหินนั้นขยับได้

    ครืน.....!

    โขดหินได้เคลื่อนที่สูงขึ้น และทำให้เผยให้เห็นว่ามันไม่ใช่โขดหิน แต่มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ นั่นก็คือจระเข้นั่นเอง และไม่ใช่จระเข้ที่มีผิวธรรมดาด้วย เพราะผิวหนังของมันนั้นเป็นหินทั้งหมด!

    "นั่นมันจระเข้หิน! รีบหนีเร็ว!!" แรร์ริตี้ร้องออกมาลั่น

    โครม!

    จระเข้หินขนาดใหญ่ฟาดหางมาทางพวกผม ผมรีบกระโดดหนีไปข้างๆ ทันที และก็พบว่าพวกเพื่อนผมหนีกระจัดกระจายออกไปคนทิศคนละทาง แต่มันกลับเดินไปหาทไวไลท์และสไป้ค์แทน ซึ่งตอนนี้เธอกับมังกรน้อยเดินไปชนกับหินขนาดใหญ่ที่มีรากไม้อยู่ล้อมรอบทั้งบนและข้างๆ เธอเจอทางตันเข้าแล้ว!

    "ทไวไลท์!" ผมตะโกนร้องลั่น ก่อนที่จะหยิบดาบของผมออกมาทางอากาศข้างๆ ตัวผมทันที

    ชิ้ง!!

    ดาบเปร่งแสงสีทองเมื่อผมหยิบมันออกมาด้วยกีบของผม ผมยกด้ามดาบขึ้นคาบเอาไว้ในปาก ก่อนที่จะกางปีกออกแล้วก็กระพือปีกออกแล้วพุ่งกระโจนเข้าไปหาจระเข้หินทางด้านหลังของมันทันที

    ผลั่ก!

    ผมถูกหางของมันฟาดเข้าที่หน้าของผมจนผมร้องเสียงดังลั่น ดาบที่คาบเอาไว้กระเด็นหลุดออกมาทันทีเพราะผมไม่ได้เป็นโพนี่นานหลายวัน ร่างกายเลยยังอืดไม่เท่าก่อนหน้านี้ ผมกลิ้งตัวไปบนพื้นพร้อมกับอาการเจ็บปวดบนหัวราวกับถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบมาจนให้ความรู้สึกราวกับกระโหลกกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ นํ้่าตาของผมไหลพรากออกมาทันทีพร้อมกับตาที่ลายไปทั่ว ผมพยายามฝืนความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นมา แต่ตัวผมเซไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ เรนโบว์แดชรีบมาช่วยพยุงผมเอาไว้ และฟรัทเทอร์ชายรีบมาดูอาการผมทันที

    "เป็นอะไรมากไหม" เธอถามผมด้วยความเป็นห่วง

    "ยังไม่ตาย" ผมตอบติดตลกกลับไป ก่อนที่จะกระพริบตาหลายครั้ง ความเจ็บปวดของผมยังไม่หาย แต่ผมก็มองเห็นว่าจระเข้หินนั้นกำลังไปทางทไวไลท์มากขึ้น ซึ่งเธอพยายามที่จะกระพือปีกบินหนี แต่เธอกลับบินไม่ขึ้น

    "ไปช่วยทไวไลท์ก่อน เราจะให้เจ้าหญิงของอีเควสเทรียเป็นอะไรไม่ได้" ผมรีบบอกกับทุกตัว ก่อนที่ผมจะร้องครางออกมาดังลั่นเพราะหัวผมมันเจ็บจนแทบจะระเบิดออกมา

    "ไหวไหม" พิงค์กี้พายถามด้วยความเป็นห่วง

    "ฉันไม่เป็นไร ไปช่วยเธอก่อน และอย่าเข้าด้านหลังมัน ใช้เถาวัลด์จากรากไม้ประหลาดนี้ดึงจระเข้เอาไว้รอบๆ ฝากคุมทีนะแอปเปิ้ลแจ็ค" ผมยบอกกับ AJ เพราะว่าเธอจะเชี่ยวชาญในการใช้เชือกมากที่สุด

    "เดี๋ยวจัดการให้" แอปเปิ้ลแจ็คพยักหน้าก่อนที่จะไปกัดฉีกเถาวัลด์จากรากไม้ประหลาดใกล้ๆ ออกมาทันที

    เรนโบว์แดชค่อยๆ พยุงให้ผมนั่งลง ก่อนที่เธอจะบินพุ่งเข้าไปช่วยแอปเปิ้ลแจ็คกับตัวอื่นๆ ในการใช้เชือกพุ่งตัวไปจับจระเข้หินเอาไว้รอบด้าน ซึ่งจากการประสานงานของแอปเปิ้ลแจ็ค ทำให้สามารถจับตรึงพวกมันเอาไว้รอบด้านและลากให้มันถอยออกมาให้ห่างๆ ทไวไลท์ได้ และแอปเปิ้ลแจ็คก็ได้จับมันขึงเอาไว้กับต้นไม้จนแน่ใจว่ามันขยับไปไหนไม่ได้ ก่อนที่จะไปดูทไวไลท์ทันที

    "ไม่เป็นอะไรใช่ไหม" แอปเปิ้ลแจ็คถามด้วยความเป็นห่วง

    "ฉันไม่เป็นอะไร" ทไวไลท์ตอบ "แล้วเขาหละ"

    ทไวไลท์รีบมาทางผม ซึ่งผมยังคงปวดหัวจากการถูกแรงกระแทกของหางจระเข้หินอยู่ ทไวไลท์รีบใช้เวทย์รักษาผมทันที ซึ่งทำให้ผมรู้สึกหายปวดหัวอย่างรวดเร็ว และมองเห็นภาพชัดขึ้นทันที

    "กระโหลกเธอเกือบร้าวแนะ ดีนะที่มันไม่ร้าว" ทไวไลท์บอกผม

    "ใช่ โชคดีมาก และดีสำหรับเธอด้วยนะทไวไลท์ที่้เธอไม่เป็นอะไร" ผมบอกกับเธอ

    "ขอบใจนะทุกตัวที่มาช่วยกัน" ทไวไลท์บอก สไป้ค์ยื่นมือมาให้ผมจับแล้วเขาก็ฉุดให้ผมลุกขึ้นยืน ก่อนที่พวกเราทุกตัวจะรีบเดินถอยห่างจากจระเข้หินเผื่อว่ามันจะหลุดจากเถาวัลด์และพุ่งโจมตีใส่พวกเราอีก

    "คือ เธออาจจะไม่ชอบที่ฉันพูดนะทไวไลท์ แต่ฉันว่า มันน่าจะดีกว่าถ้าเธอกลับไปโพนี่วิลด์นะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก

    "หมายความว่ายังไง" เธอหันกลับมาถาม

    "ก็ รู้ไหม มันคงมีอันตรายมากกว่าในป่านะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก

    "ใช่ ฉันรู้..." ทไวไลท์บอก "แล้วยังไง"

    "คือ ต่อให้เราช่วยต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองได้ มันก็ไม่มีหลักคํ้าประกันว่าเจ้าหญิงเซเลสเทรียกับเจ้าหญิงลูน่าจะกลับมา" ม้าสาวคาวบอยบอก "และถ้าทั้งสองพระองค์ไม่กลับมา อีเควสเทรียต้องการผู้นำนะ"

    ทไวไลท์มองไปไปรอบๆ ด้วยความไม่พอใจนัก ผมเองก็มองดูทุกตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งเหมือนทุกตัวจะคิดแบบเดียวกันกับแอปเปิ้ลแจ็คคิด แม้แต่ผมด้วย เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าเจ้าหญิงเซเลสเทรียและเจ้าหญิงลูน่าหายไปไหน

    "แล้วถ้าฉันไม่ไปด้วย พวกเธอจะตามหาต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองได้ยังไง ฉันเป็นคนเดียวที่เห็นมันนะ" ทไวไลท์ถาม

    "ต้นไม้ที่มีพลังเวทย์และมีธาตุแห่งความปรองดองอยู่ ช่าย... ฉันแน่ใจว่าเราคงหาได้ไม่ยากหรอก" เรนโบว์แดชบอก

    ทไวไลท์เริ่มสีหน้าเครียดและมองไปทางผม สายตาของเธอหวังว่าจะผมพูดเข้าข้างเธอ แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

    "โทษทีนะทไวไลท์ ครั้งนี้ฉันเห็นด้วยกับแอปเปิ้ลแจ็ค แม้ว่าอีเควสเทรียแต่ละเมืองจะมีผู้นำอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องการเจ้าหญิง เราจะให้เธอเป็นอะไรไม่ได้" ผมบอกเสียงเคร่งเครียด

    ทไวไลท์นํ้าตาซึมออกมาทันที เธอมองดูเพื่อนๆ ของเธอด้วยความเศร้าเสียใจ

    "นี่คือสิ่งที่พวกเธอต้องการเหรอ ? ให้ฉันกลับไปตัวเดียวงั้นเหรอ" ทไวไลท์ถามด้วยนํ้าเสียงประชด แต่แอบแฝงไปด้วยความเศร้า

    "มันน่าจะดีที่สุดแล้วหละ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก ดูท่าทางเธอเองก็เครียดไม่ใช่น้อย

    "โทษนะทไวไลท์ ฉันจะช่วยทุกตัวตามหาต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองเอง" ผมบอกกับเธอ

    เจ้าหญิงแห่งอีเควสเทรียเดินก้มหน้าผ่านพวกผมไป กลับไปยังทางเมืองโพนี่วิลด์อย่างเชื่องช้า โดยที่สไป้ค์นั้นวิ่งตามเธอไปด้วย ซึ่งเมื่อเธอเดินจากไปแล้ว พวกผมเองก็ตกอยู่ในสภาพตึงเครียดไม่แพ้กันเลย เพราะไม่มีใครอยากไล่เธอกลับไปอยู่แล้ว

    "ออกตามหาต้นไม้กันต่อเถอะ" ผมบอกก่อนที่จะเดินนำหน้าไป เพื่อพยายามสานต่อภารกิจที่ทไวไลท์นำทางเอาเอาไว้

    "อืม" แรร์ริตี้พยักหน้า ก่อนที่ทุกตัวจะเดินตามผมไปข้างหน้า เข้าไปในป่าเอเวอร์ฟรีที่ลึกมากขึ้น

     

    ------------------------------------------------

     

    (สามสิบนาทีต่อมา)

    ที่เมืองโพนี่วิลด์ คราวได้เดินพานัทชมรอบเมืองในระยะที่ปลอดภัยจากรากไม้ โดยเน้นพื้นที่ใกล้ๆ ทาวสแควน์เพราะเป็นพื้นที่เดียวที่อยู่ใจกลางเมืองและไม่ถูกรากไม้เข้าโจมตีเท่าไหร่นัก

    "เหมือนที่พี่เคยเขียนจดหมายเล่าให้หนูฟังเด๊ะเลย" นัทบอกเมื่อคราวได้แนะนำสถานที่ในเมืองให้หมดแล้ว

    "ใช่ แต่น่าเสียดายที่บรรยากาศตอนนี้มันไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่" คราวมองไปรอบๆ เมืองที่ยังมีรากไม้เลื้อยไปมาอยู่รอบๆ เมือง แต่เธอก็มองเห็นดิสคอร์ดกำลังนั่งเล่นอยู่บนรากไม้ประหลาดนั้น และมีโพนี่ชาวเมืองอยู่สองตัวกำลังถูกรากไม้บีบรัดเอาไว้อยู่และร้องขอความช่วยเหลือ แต่ดิสคอร์ดกลับนิ่งเฉย

    "ดิสคอร์ด รีบปล่อยพวกเขาออกมาเดี๋ยวนี้นะ" คราวชี้กีบสั่งเจ้าแห่งหายนะทันที

    "เธอไม่ใช่แม่ฉัน ฉันขี้เกียจทำ ถ้าเป็นเจ้าหญิงทไวไลท์หละว่าไปอย่าง" ดิสคอร์ดตอบอย่างเฉยชา โดยยังปล่อยให้ม้าสองตัวนั้นถูกรากไม้ประหลาดนั้นรัดต่อไป

    "งั้นฉันสั่งเอง ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้นะ!!"

    เสียงทไวไลท์ดังขึ้น ซึ่งทำให้ดิสคอร์ดสะดุ้งและรีบดีดนิ้วช่วยเหลือม้าสองตัวนั้นทันที

    เป๊าะ!

    สิ้นเสียงดีดนิ้ว รากไม้ที่รัดม้าสองตัวนั้นหายออก และม้าทั้งสองตัวนั้นก็รีบวิ่งหนีให้ห่างๆ จากดิสคอร์ดทันที

    "ด้วยความยินดีเน้อ" ดิสคอร์ดโบกไม้โบกมือให้ม้าสองตัวนั้น ก่อนที่จะหันมองดูทไวไลท์ที่ยืนมองด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่นัก

    "ทไวไลท์! หาต้นไม้เจอไหม ? แล้วตัวอื่นๆ หละ" คราวรีบยิงคำถามใส่ทันที แต่เธอกลับก้มหน้านิ่ง

    "ทุกตัวคิดว่าให้ฉันกลับมาน่าจะดีกว่า" ทไวไลท์บอก

    "ทำไมหละค่ะ" นัทถามด้วยความสงสัย

    "ก็ ถ้าสมมุติเจ้าหญิงเซเลสเทรียกับเจ้าหญิงลูน่าไม่กลับมา ฉันก็ต้องเป็นเจ้าหญิงองค์ต่อไปของอีเควสเทรียนะสิ" ทไวไลท์บอกด้วยนํ้าเสียงเครียด ซึ่งดิสคอร์ดนั้นเงี่ยหูฟังตลอดเวลา

    "โฮ่ น่าแปลกใจดีนะ ที่เธอคิดว่าเธอทำตัวดีกว่าเพื่อนของเธอนะ" ดิสคอร์ดแขวะออกมา

    "ฉันไม่ได้คิดว่าฉันดีกว่าเพื่อนของฉันเลยนะ" ทไวไลท์โต้กลับ

    วิ้ง!

    ดิสคอร์ดเสกผ้าคลุมสีม่วงพร้อมกับคทารูปหน้าทไวไลท์ฉีกยิ้มให้เจ้าตัวถือก่อนที่จะบิดตัวไปมาพร้อมกับทำหน้าตากวนโอ้ยออกมา

    "น่าเสียดายจริงๆ นะที่เธอคิดแบบนั้น ที่เธอต้องทำก็แค่ทำตัวเองให้ปลอดภัย โดยปล่อยให้เพื่อนเธอต้องเผชิญกับอันตรายในนั้นตามลำพัง ฉันเชื่อว่าเมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาคงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอต่อไปนะ" ดิสคอร์ดแขวะไปพร้อมกับย่อตัวทะลุหูทไวไลท์จากข้างซ้ายไปข้างขวาบ้าง

    แต่ดูเหมือนคำพูดของดิสคอร์ดจะสะกิดใจอะไรบางอย่างได้ เพราะเจ้าตัวนั้นรีบโยนคทาและเสื้อคลุมทิ้ง ก่อนที่จะหันหลังและวิ่งเข้าไปในป่าเอเวอร์ฟรีทันที

    "ดิสคอร์ด นี่นาย.. พูดให้เจ้าหญิงทไวไลท์คิดได้งั้นเหรอ" คราวยักคิ้วพร้อมกับถามอีกฝ่าย ซึ่งอีกฝ่ายกำลังทำท่าว่ายนํ้าท่ากบกลางอากาศเล่น

    "อัลไล เค้าเปล่านะ แค่อยากเห็นอะไรสนุกๆ เท่านั้นเอง" ดิสคอร์ดยิ้มเยาะ "พูดถึงเรื่องสนุก ฉันนึกอะไรสนุกๆ ออกได้แล้วหละ ทำไมเธอทั้งสองตัวไม่เข้าไปในนั้นด้วยกันเลยหละ"

    "อะไรนะ" นัทถาม

    เป๊าะ!

     

    -------------------------------------------------------------------------

     

    "นี่มันแย่มากเลยนะ"

    แอปเปิ้ลแจ็คทักขึ้นเมื่อพวกผมทุกตัวมองไปยังภาพเบื้องหนัา ซึ่งผมเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีด้วยเหมือนกันเมื่อพวกผมทุกตัวมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า

    รากไม้จำนวนมากกำลังรุมพันต้นไม้ต้นหนึ่งที่ไม่เหมือนต้นไม้ปกติ แต่ราวกับว่าทั้งต้นนั้นเป็นผลึกคริสตัล และมีกิ่งก้านที่ยื่นออกมาถึงหกด้าน ซึ่งตรงปลายกิ่งก้านมันนั้นมีรอยที่หน้าตาคล้ายธาตุแห่งความปรองดองอยู่ ต้นไม้ต้นนี้อยู่ในถํ้าซึ่งอยู่ใต้ซากปราสาทเก่าที่แอปเปิ้ลแจ็คบอกว่ามันคือสถานที่ที่พวกเขาได้รับธาตุแห่งความปรองดองและทไวไลท์ทำให้เจ้าหญิงลูน่ากลับมาเป็นเจ้าหญิงองค์เดิมจากไนท์แมร์มูนได้ และความจริงมันควรจะเป็นต้นไม้ที่น่าจะสวยงามมาก แต่ทว่าตอนนี้กลับมีรากไม้ประหลาดจำนวนมากรุมพันต้นไม้ต้นนี้อยู่ นํ้ายางจากรากไม้ไหลเยิ้มออกมาพร้อมกับสีของต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองนั้นซีดลง ราวกับว่ามันกำลังจะตายในทุกขณะ เพราะรากไม้ประหลาดนั้นยังเคลื่อนที่บีบรัดไม่เลิก

    "รีบจัดการไอ้รากไม้ประหลาดนี้ก่อนที่มันจะบีบรัดต้นไม้นั่นแตกเถอะ" ผมชักดาบออกมาจากข้างลำตัวก่อนที่จะควบเข้าไปข้างหน้าพร้อมกับแอปเปิ้ลแจ็คทันที

    "เอาสิ" สาวคาวบอยพยักหน้า ก่อนที่เธอจะไปกัดรากไม้ตรงด้านล่างที่น่าเป็นต้นตอรากไม้แล้วพยายามดึงออกมา

    เพี๊ยะ!

    แต่รากไม้ประหลาดนั้นสะบัดตบเธอให้กระเด็นกลับออกมา ส่วนผมนั้นวิ่งเข้าไปใกล้ๆ แล้วคาบดาบเอาไว้พร้อมกับยกหัวขึ้นและเตรียมหวดใส่มันทันที

    ฉวั๊ะ!

    ผมใช้ดาบพยายามตัดมันออก และก็สามารถตัดมันออกมาได้ แต่ทว่า มันกลับเชื่อมรอยตัดประสานเอาไว้เหมือนเดิมราวกับว่ามันย้อนเวลากลับไปตอนที่ผมตัดมันไปเมื่อกี้เลย

    "อะไรเนี่ย..." ผมคายดาบออกมาถือพร้อมกับพึมพำออกมา

    ผวั๊ะ!

    ผมถูกรากไม้นี้ฟาดเข้าที่หน้าเต็มๆ จนตัวหมุนกระเด็นออกมา ดาบผมกระเด็นออกมาอยู่ข้างๆ ผม แม้ว่าจะเจ็บไม่มากเมื่อเทียบกับจระเข้หิน แต่ก็ทำให้ผมหัวหมุนเหมือนกัน

    เฟี้ยวว!

    เรนโบว์แดชเมื่อเห็นทั้งผมและแอปเปิ้ลแจ็คพลาดท่า เธอเลยบุกเข้าไปเป็นตัวที่สาม แต่ทว่าเธอก็ถูกรากไม้ปัดกระเด็นกลับมาไม่ต่างกันเลย ทำให้พวกผมเริ่มมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด

    "เราจะจัดการมันออกไปได้ยังไงเนี่ย" แรร์ริตี้ถามด้วยความตื่นตระหนก

    "ขนาดฉันใช้ดาบตัดมันแล้วมันยังกลับคืนมาเหมือนเดิมได้" ผมลุกขึ้นพร้อมกับหยิบดาบแล้วเก็บมันข้างลำตัวไปเพราะเห็นแล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ดาบต่อ

    "ถ้าถามฉัน มีอยู่ตัวเดียวที่จะรู้ว่าเราจะต้องทำยังไง... แต่เราให้เธอกลับบ้านไปแล้ว" แอปเปิ้ลแจ็คเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเครียด ซึ่งทุกคนรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงใคร

    "นี่มันความคิดของเธอนะแอปเปิ้ลแจ็ค" เรนโบว์แดชโวยใส่เธอทันที

    "ความคิดของพวกเราทุกตัวเนี่ยแหละ" แอปเปิ้ลแจ็คโต้กลับ "เราคำนึงถึงความปลอดภัยของเธอไว้ก่อนนะ"

    "เดี๋ยวก่อนนะ" พิงค์กี้พายทักขึ้น "เมื่อกี้นายชักดาบออกมาได้ใช่ไหม"

    "ใช่" ผมพยักหน้าตอบ ซึ่งทั้งแอปเปิ้ลแจ็คและเรนโบว์แดชหันมองมาทางผมทันที

    "นายจะสามารถชักดาบออกมาได้ถ้าพวกเราอยู่กันพร้อมหน้าและมีธาตุแห่งความปรองดอง ตอนนี้ทไวไลท์ไม่อยู่ แต่ทำไมนายถึงชักดาบออกมาได้หละ" พิงค์กี้พายถาม

    ทุกตัวมองมาทางผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมเองก็ตาโตไม่ต่างกัน

    "เออ จริงด้วย หรือว่าทไวไลท์จะตามพวกเรามา..." ผมรีบหันหลังไปดู แต่กลับพบสไป้ค์กลิ้งตกบันไดทางลงมายังถํ้าแทน ซึ่งผมรีบวิ่งเข้าไปดูอาการเขาทันที

    "ทไวไลท์ กำลังมีปัญหา ช่วยด้วย!" สไป้ค์ซึ่งหน้าตามอมแมมไปด้วยบาดแผลจากการตกบันไดลงมา รีบบอกพวกผมก่อนที่จะสลบไป

    "อะไรกันละเนี่ย" ผมพึมพำ

    "กรี๊ดดดดดดดดด!!"

    เสียงกรีดร้องดังขึ้นมากข้างบน ซึ่งผมหน้าซีดทันทีเพราะว่าผมจำเสียงนั้นได้

    "นัท! คราว!" ผมตะเบ็งเสียงดังพร้อมกับกางปีกและบินขึ้นไปข้างบนทันทีโดยไม่รอเพื่อนผมที่กำลังงงอยู่ว่าเสียงกรีดร้องของม้าที่น่าจะรู้จักกันดังมาได้ยังไง

    เมื่อผมบินขึ้นไปและพุ่งตัวไปตามเสียงร้องนั้น ผมก็พบว่ามีรากไม้ประหลาดที่ส่วนตัวคล้ายกับต้นกาบหอยแครงกำลังพ่นอะไรบางอย่างใส่ทไวไลท์ คราวไรเดอร์ และนัท น้องสาวผมอยู่ ทไวไลท์นั้นดูเหมือนจะสลบไปแล้ว ส่วนคราวนั้นพยายามใช้ปีกปัดควันที่ต้นไม้ประหลาดนั้นพ่นใส่ และโอบกอดน้องสาวผมเอาไว้ด้วยอีกปีกข้างเพื่อปกป้องเธอ ทั้งสองตัวยังไม่สลบแต่ดูเหมือนว่าใกล้แล้ว เพราะทั้งคู่นั้นจามออกมาเสียงดังลั่นและเริ่มล้มตัวไปนอนกองกับพื้นแล้ว

    "ไสหัวไปจากน้องสาวและเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้นะโว้ย!" ผมตะโกนเสียงดังลั่นก่อนที่จะชักดาบออกมาจากข้างลำตัว และคาบมันไว้กับปากพร้อมกับพุ่งเข้าหาต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดทันที

    ฉวั๊ะ!

    ด้วยความเร็วและความคมของดาบ ทำให้ผมตัดก้านต้นไม้ประหลาดนั้นออกมาได้ทันที พร้อมกับลงบนพื้นและหันหลังขวางทางพวกมันกับพรรคพวกของผม ต้นไม้อีกสองต้นที่เห็นว่าผมตัดพวกของมันขาดไปตัวนึง มันอ้าปากออกมาราวกับปากของสัตว์ประหลาดราวกับขู่ผมด้วยความอาฆาตแค้นทันที

    "พี่..." น้องสาวผมทักขึ้นด้วยนํ้าเสียงอ่อนแรง

    "อยู่ข้างหลังพี่ไว้" ผมเตือนน้องสาวผมโดยที่ผมไม่ละสายตาจากต้นไม้ประหลาดที่อยู่เบื้องหลัง

    "ก๊าซซซซ!"

    มันส่งเสียงร้องคำถามออกมา พร้อมกับมีพวกของมันอีกนับสิบกว่าตัวเลื้อยเข้ามาโอบล้อมพวกผมราวกับงูหลายสิบตัว มันอ้าปากราวกับงูแผ่แม่เบี้ย และทำท่าจะโจมตีผมแทบทุกด้าน

    เอาไงดี ถ้าอยู่ตัวคนเดียวยังพอว่า แต่นี่มีตั้งสาม ผมคิดเมื่อผมเหล่สายตามองไปยังน้องสาว คราวไรเดอร์ รวมไปถึงทไวไลท์ที่ยังไม่ได้สติอยู่ข้างๆ ผมจ้องมองพวกมันไปรอบๆ ด้วยความไม่ประมาทและจะดูว่าพวกมันจะโจมตีพวกผมตอนไหน

    เฟี้ยววว!

    พวกมันตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหาผม ผมคาบดาบในปากให้แน่นขึ้นก่อนที่จะก้มลงและสะบัดหน้าเงยขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตัดมันขาดครึ่งต่อหน้าต่อตาพวกมันทั้งหมด เมือกของมันไหลเยิ้่มออกแต่ไม่มากนัก เมื่อผมจัดการมันพอได้ตัวหนึ่ง อีกสองตัวที่อยู่ข้างๆ มันก็อ้าปากพุ่งทางผมทันที ผมรีบกางปีกและทะยานบินขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดอกไม้ไฟ ก่อนที่จะพุ่งตัวลงมาข้างล่างแล้วตัดมันขาดทั้งสองตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นผมก็รีบยกขาหลังถีบพวกมันตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีผมทางด้านข้าง และสะบัดหน้าตัดมันเฉียงข้างทันที พวกมันอีกตัวหนึ่งพ่นควันใส่ผม ซึ่งมันฉุนมากราวกับควันบุหรี่ ผมเผลอสำลักออกมาจนดาบที่คาบเอาไว้หล่นออกมาจากปาก ก่อนที่มันจะพ่นควันใส่ผมมากขึ้นจนผมเริ่มหายใจไม่ออก

    "พี่!!!" น้องสาวผมตะโกนเสียงดังไม่มากออกมา เพราะดูเหมือนเธอจะเริ่มไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

    นัยน์ตาของผมเริ่มพร่ามัว ผมกัดฟันแน่นและทำใจกล้าบ้าบิ่น บินเอาหัวไปกระแทกกับส่วนปากของมัน ดูเหมือนฟันของมันจะแหลมมากจนทำให้หัวของผมเจ็บแสบราวกับหัวผมถูกเศษแก้วบาดอย่างไรอย่างนั้น ผมร้องออกมาเสียงดังลั่น แต่ก็ปลุกโสตประสาทให้ผมไม่รู้สึกพร่ามัว แต่เมื่อมันเซถอยออกไป ผมรีบก้มลงคาบดาบที่ตกพื้นแล้วยกหัวขึ้นก่อนที่จะพุ่งตัวแล้วฟาดดาบไปข้างหน้าอย่างรุนแรง เสียงร้องโหยหวนของมันดังลั่นเมื่อผมผ่ามันขาดครึ่งเป็นสองซีกได้ และเมื่อผมเห็นว่ามีพวกมันอีกตัวกำลังจะโจมตีน้องสาวผมและคราวไรเดอร์ ผมเห็นว่าไปไม่ทันแน่ๆ เลยอ้าปากแล้วรับดาบที่ร่วงลงมาด้วยกีบของผม ก่อนที่จะขว้างดาบนั่นใส่มันทันที ปลายดาบพุ่งเสียบกลางปากของต้นไม้ประหลาดทันที ก่อนที่ผมจะบินพุ่งไปหามัน กระแทกดาบที่แทงในปากของมันให้ลึกขึ้น มันร่วงลงพื้นและดิ้นไปมาราวกับแมลงสาป ผมใช้กีบข้างหนึ่งเหยียบมันและปากคาบดาบแล้วกระซากมันออกมา ก่อนที่จะหันมามองไปรอบๆ และก็พบว่างวดนี้มันเล่นพุ่งโจมตีทั้งผมและฝั่งน้องสาวกับคราวพร้อมกัน

    "เสร็จกัน!" ผมสบถออกมาดังลั่นพร้อมกับความรู้สึกตึงเครียดและใจหายไปพร้อมกัน

    ฉึก!

    พวกของมันตัวหนึ่งถูกแรงกระซากถอยหลัง และอีกตัวหนึ่งนั้นมีรากไม้ประหลาดมัดเป็นบ่วงและเหวี่ยงมารัดปากมันเอาไว้ และเมื่อมันตกลงพื้น ม้าสาวคาวบอยก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับเชิดหมวกขึ้น แอปเปิ้ลแจ็คนั่นเอง!

    "ฟังให้ดีนะไอ้ตัวประหลาด ถ้าแกมีเรื่องกับเพื่อนฉันละก็ เท่ากับมีเรื่องกับพวกฉันด้วย" แอปเปิ้ลแจ็คประกาศออกมา และก็พบว่าเพื่อนของผมทุกตัวก็ได้ออกมายืนประจันหน้าพร้อมกัน

    "ทุกคน" ผมยิ้มเมื่อผมรู้แล้วว่าการต่อสู้ของผมนั้นไม่ได้อยู่ตามลำพังแล้ว

    "ก๊าซซซซซ!!"

    พวกต้นไม้ประหลาดเริ่มโจมตีใส่พวกเธอ แต่แอปเปิ้ลแจ็คนั้นไวกว่า เธอกระโดดขึ้นกลางอากาศก่อนที่จะกระทืบมันอย่างรวดเร็ว เธอกระโดดหมุนตัวเมื่อมีพวกมันอีกตัวพยายามพุ่งโจมตีใส่เธอ เธอหมุนตัวหลบทันก่อนที่จะยกขาหลังถีบมันจนมันปลิวกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ข้างๆ อย่างรุนแรง และเธอก็ใช้ปากคาบเชือกเส้นหนึ่งที่เธอพกมันเอาไว้ใต้หมวก ก่อนที่จะหมุนเป็นวงกลมและเหวี่ยงไปรัดของพวกมันต้นหนึ่ง ก่อนที่จะกระซากมันเข้ามาใกล้ๆ จนตัวของมันขาดออกมา เธอใช้แรงของเธอจับมันเหวี่ยงขึ้นกลางอากาศเหนือหัวของเธอ หมุนเป็นวงกลมและเหวี่ยงกระแทกกับพวกของมันอีกสามสี่ตัวจนพวกมันร่วงล้มไปอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มร่าออกมาก่อนที่จะมองไปรอบๆ เมื่อพบว่าฝั่งเธอนั้นปลอดภัยแล้วเธอรีบมาดูอาการน้อสาวผมกับคราวไรเดอร์ทันที

    "ไม่เป็นไรนะที่รัก" เธอถามด้วยความเป็นห่วง

    "ขอบคุณค่ะ" น้องสาวผมยิ้มออกมา

    ทางด้านตัวอื่นๆ นั้นได้มีการหลอกล่อให้พวกมันไล่ตามเป็นวงกลมและพันรัดเข้าหากันเอง ส่วนเรนโบว์แดชนั้นก็พุ่งตัวขึ้นกลางอากาศ ล่อให้มันยืดตัวตาม แต่เมื่อมันยืดตัวตามมาไม่ได้ แม่สาวสายรุ้งก็ตบมันจนมันร่วงหล่นลงมา แม้ว่าพวกมันจะมีกันสิบกว่าตัว แต่เมื่อพวกเรารวมพลังกันสู้ก็สามาถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย

    "เรียบโร้ย!" พิงค์กี้พายโปรยกระดาษสีออกมาเมื่อคิดว่ากำจัดพวกมันหมดแล้ว แต่กลับมีพวกมันอีกสองตัวอ้าปากและกำลังจะฉกโจมตีเธอจากด้านหลัง

    "พิงค์กี้!" ผมตะโกนเตือนเธอก่อนที่จะหยิบดาบขว้างใส่พวกมันตัวหนึ่งจนมันร้องโหยหวนออกมา แต่อีกตัวนั้นกำลังจะกัดเธออยู่แล้ว ผมทำท่าจะบินเพื่อไปให้มันกัดตัวผมแทนที่จะเป็นเธอ

    เปรี้ยง!

    ลำแสงเลเซอร์สีม่วงแดงพุ่งโจมตีใส่มัน และเมื่อทุกตัวหันไปมอง ก็พบว่าเจ้าของลำแสงเลเซอร์นั้นก็คือทไวไลท์นั่นเอง เธอเพิ่งใช้พลังเวทย์ของเธอก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากเล็กน้อย

    "ไม่เป็นอะไรนะ" ฟรัทเทอร์ชายรีบเข้าไปถามเธอ

    "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจมาก" ทไวไลท์พยักหน้าตอบ

    ครืน....

    เสียงแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปรอบๆ พวกผมทุกตัวมองไปด้วยความตื่นตระหนก และก็ต้องหน้าซีดกันแทบทุกตัวเมื่อพบเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

    ดูเหมือนว่าต้นไม้ประหลาดนั้นจะมารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น ทว่า สิ่งที่ตามหลังพวกมันมาก็คือต้นไม้ขนาดใหญ่สูงเกือบสามเมตร มันมีกิ่งก้านขยับไปมาราวกับหนวดของสัตว์ประหลาดนับสิบๆ เส้น แถมต้นไม้ประหลาดขนาดเล็กราวกับเป็นลูกๆ ของมันนั้นก็ได้เข้าไปหลอมรวมกับตัวใหญ่ กลายเป็นส่วนหนึ่งของหนวดของมัน ซึ่งนั่นทำให้พวกผมแทบจะเก็บอาการตื่นตระหนกเอาไว้แทบไม่อยู่

    "บอกฉันทีว่าฉันหลุดมาหนังสัตว์ประหลาดเกรด B รึยังไงฟะ" ผมพึมพำออกมา

    "ก๊าซซซซซซซซซซซ!!"

    สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ได้ร้องคำรามเสียงดังลั่น และแรงลมคำรามจากปากของมันนั้นก็พัดมาแรงมากจนราวกับมีพายุขนาดย่อมพัดเข้ามาทางผม เรนโบว์แดชถึงกับต้องรีบร่อนลงพื้นเพราะดูเหมือนเธอจะถูกซัดปลิวไปแน่ถ้าเธอยังกางปีกบินบนพื้น ผมขนลุกชันเมื่อต้องพบกับศัตรูขนาดใหญ่ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน และน่าจะดูโหดกว่าควีนคริสซาลิสที่ผมเจอมาเสียอีก

    "อี๋... เคยเปรงฟันมาบ้างไหมเนี่ย กลิ่นปากนี่ยังกับมังกรตายมาแล้วพันปีแน่ะ.. ไม่ได้ว่าเรานะสไป้ค์กี้วิคกี้" แรร์ริตี้แขวะออกมาก่อนที่จะหันไปขอโทษสไป้ค์ที่ยืนข้างๆ

    "ไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันไม่ใช่มังกรแบบนั้นอยู่แล้ว" สไป้ค์บอก ดูเหมือนเจ้าตัวตกใจกับตัวประหลาดด้านหน้ามากกว่าอีก

    "เอาไงกันดีทีนี้" แอปเปิ้ลแจ็คถามมาอย่างร้อนรน

    "เอายังไงนะเหรอ" ผมเหลือบตามองไปยังทไวไลท์ที่ยืนข้างหลังผมและมองอย่างตื่นตระหนก "ฉันก็ต้องทำหน้าที่ตามที่ฉันได้รับมอบหมายมายังโลกนี้นะสิ"

    "หน้าที่อะไร" คราวร้องถาม

    "ปกป้องเจ้าหญิงทไวไลท์ สปาร์คเคิลยังไงเล่า!!"

    ผมตะโกนเสียงดังลั่นก่อนที่จะคาบดาบและกางปีกพุ่งขึ้นไปหามันทันทีเป็นตัวแรก

    "พี่!!!!!" น้องสาวตะโกนร้องเรียกผม

    "ฉันจะไม่ยอมถูกปกป้องฝ่ายเดียวหรอกนะ" ทไวไลท์บอกพร้อมกับย่อขาหน้า "ทุกคน บุก!!!"

    สิ้นเสียงของทไวไลท์ โพนี่ทุกตัวยกเว้นคราวกับน้องสาวผมได้ควบไปยังเบื้องหน้า มุ่งหน้าไปหาสัตว์ประหลาดด้านหน้าทันที แอปเปิ้ลแจ็คใช้ปากกัดฉีกเถาวัลด์จากรากไม้ประหลาดออกมาก่อนที่จะทำเป็นบ่วงและควงเหนือหัวอย่างรวดเร็ว เรนโบว์แดชนั้นพุ่งตามผมมาด้วยความเร็วสุดยอดของเธอ พิงค์กี้พายหยิบปืนใหญ่ปาร์ตี้ของเธอมาจากไหนไม่รู้ แต่ดูเหมือนเธอจะยัดอะไรบางอย่างเข้าไปในปลายกระบอกปืนอย่างรวดเร็ว ส่วนแรร์ริตี้นั้นควบตามหลังสไป้ค์ที่ทำท่าจะพ่นไฟใส่มัน และตัวสุดท้ายคือฟรัทเทอร์ชายที่บินออกมาห่างๆ ราวกับว่าเธอจะดูสถานการณ์ก่อนว่าจะเข้าไปช่วยได้อย่างไร

    ฉวั๊ะ!

    ผมพุ่งเข้าไปแล้วใช้ดาบเชือดหนวดข้างหนึ่งของมันจนมันขาดและร้องเสียงโหยหวนดังลั่น มันพยายามใช้หนวดอีกสามเส้นในการฟาดผม แต่ผมหงายหลังตีลังกากลางอากาศเพื่อหลบการโจมตีของมัน และหมุนควงสว่างกลางอากาศเพื่อหลบการโจมตีของหนวดมันอีกสองเส้นที่พุ่งไล่ตามผมมา ผมเร่งความเร็วพุ่งเข้าไปประชิดมันมากขึ้นก่อนที่จะใช้ดาบแทงเข้าที่ตัวของมัน กลุ่มควันจำนวนมาพุ่งออกมาตามบาดแผนที่มันได้รับ ผมสำลักควันเสียงดังก่อนที่จะมองไปรอบๆ เพื่อหาจุดที่ผมจะสามารถเข้าฟาดฟันกับมันได้โดยที่ไม่ถูกมันโจมตีกลับ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อ ผมก็ต้องเอียงหลบหนวดข้างหนึ่งที่พุ่งมาโจมตีใส่ผม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะทิ้งดิ่งความเร็วลงมาข้างล่างเพื่อหลบการโจมตีจากหนวดของมันอีกเส้นเพราะผมได้ยินมันพุ่งมาจากอีกทาง ก่อนที่ผมจะตีลังกาแล้วเชิดขึ้นเหนือฟ้าและเร่งความเร็วใช้ดาบตัดหนวดเส้นหนึ่งที่พุ่งโจมตีใส่ผมพลาดไปเมื่อกี้ มันร้องโหยหวนดังลั่น แขนข้างที่มันถูกตัดไปนั้นดิ้นพรากๆ ราวกับจิ้งจกที่ถูกตัดหางทิ้งเสียน่าจนสะอิดสะเอียน

    "มีแผนไหม" เรนโบว์แดชที่ดูเหมือนเธอจะหลบการโจมตีจากหนวดของมันได้พ้นบินมาถามผมใกล้ๆ ผมมองไปข้างล่างและก็เห็นว่าเพื่อนผมแต่ละตัวพยายามที่จะเข้าไปใกล้มัน แต่หนวดของมันมีจำนวนมากและกำลังขัดขวางเพื่อนผมแทบทุกทาง จนไม่สามารถเข้าไปประชิดตัวมันได้เลย

    "มันจะต้องมีจุดอ่อนที่ไหนซักที่ บอสทุกตัวต้องมีจุดอ่อน" ผมมองไปรอบๆ เพื่อพยายามมองหาจุดอ่อนที่ว่า

    ผวั๊ะ!

    เรนโบว์แดชยกกีบหลังถีบหนวดเส้นหนึ่งที่พุ่งขึ้นมาหวังจะหวดพวกเราทั้งสองตัว ซึ่งผมสะดุ้งเพราะมันมาเร็วมากจนผมมองไม่ทัน โชคดีที่เรนโบว์แดชอยู่ทำให้ผมไม่โดนมันหวดเข้าโจมตี

    "ถ้าเราหาจุดอ่อนมันไม่ได้ เราคงหมดแรงก่อนแน่" เรนโบว์แดชบอกด้วยนํ้าเสียงเจ็บใจ ผมเองยังเห็นด้วยเพราะถ้ามัวแต่หลบการโจมตีมันไปเรื่อยๆ เราคงหมดพลังกันก่อนแน่

    "เอ่อ ทุกตัว น่าจะเป็นตรงนั้นนะ" ฟรัทเทอร์ชายซึ่งแอบตรงต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ๆ บอกออกมา เมื่อผมกับเรนโบว์แดชมองไปยังที่เธอชี้ ผมก็พบเห็นตรงกลางของมันที่มีหนวดสุมกันเยอะผิดปกติ ราวกับว่ามันกำลังปกป้องตำแหน่งนี้มากกว่าจุดอื่น

    "ตรงนั้นสินะ" ผมกระพือปีกเร็วขึ้นให้เหมือนกับกำลังเร่งเครื่องเพื่อเพิ่มความเร็ว "ทุกคน ช่วยกันล่อไอ้หนวดบ้านี้ออกไปจากตรงกลาง ทไวไลท์ เธอเตรียมยิงเวทย์ใส่เมื่อมันเผลอเลยนะ"

    "ตกลง" ทไวไลท์ตะโกนขานรับ

    "งั้นก็ลุยเลย!"

    ผมพุ่งเข้าไปที่ตรงกลางของมัน ซึ่งก็เป็นตามที่ผมคาด หนวดหลายเส้นพุ่งมาทางผมเพื่อปกป้องจุดอ่อนของมัน ผมสะบัดดาบตัดมันออกไปสองเส้นได้ ก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นไปด้านบนเพื่อล่อให้หนวดไล่ตามผมมา เรนโบว์แดชได้ใช้ความเร็วของเธอพุ่งเข้าไปตรงกลาง และหนวดเส้นที่เหลือก็ได้สะบัดไล่ตามเรนโบว์แดชไป พิงค์กี้พายที่อยู่ด้านล่างก็ได้ยิงปืนใหญ่ปาร์ตี้ของเธอใส่ตรงกลาง ซึ่งทำให้หนวดที่เหลือรีบขวางกระสุนที่ทำจากหินผูกริบบิ้นของเธอทันที แต่แล้วก็มีบ่วงสีดำเข้ามามัดและถูกฉุดออกไป แอปเปิ้ลแจ็คใช้ปากของเธอดึงเพื่อเปิดทางให้ช่องว่างตรงกลางนั้นกว้างมากขึ้น และเราก็มองเห็นมีรูโพรงราวกับโพรงรังอะไรซักอย่าง ซึ่งจะเป็นทางเข้าเพียงทางเดียวที่จะเข้าไปในตัวของมันได้ และก็เหลือหนวดไม่กี่เส้นที่พยายามเข้ามาขวาง แต่คนที่มาช่วยไล่ให้หนวดมันถอนออกไปก็คือสไป้ค์นั่นเอง! แรร์ริตี้ยอมให้สไป้ค์ขี่หลังแล้วควบเข้าไปใกล้ๆ เมื่อเข้าไปในระยะที่พอเหมาะแล้ว สไป้ค์รีบกระโดดแล้วพ่นไฟสีเขียวใส่หนวดมันจนมันไหม้และสะบัดไปมาราวกับมันทรมานทันที ซึ่งทำให้ตอนนี้เปิดช่องว่างเพียงพอที่ทไวไลท์จะยิงได้ ซึ่งเจ้าตัวก็พร้อมยิงอยู่แล้ว

    เปรี้ยง!

    เจ้าหญิงทไวไลท์ยิงเวทย์ใส่เข้าไปในโพรงนั้นทันที แต่ทว่ากลับมีหนวดอีกสองเส้นเข้ามาขวาง แม้ว่าหนวดมันจะไหม้สลายไปเมื่อโดนแสงเวทย์ของทไวไลท์ แต่มันก็ทำให้มันมีเวลาเอาหนวดเส้นอื่นมาขวางอยู่ดี

    "อย่ามาขวางจะได้ไหมย่ะ!" ทไวไลท์ตะโกนเสียงดังลั่นก่อนที่เธอจะยิงเวทย์ของเธอถี่ขึ้น

    เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

    แต่มันกลับใช้หนวดขดรวมกันเพื่อสร้างเป็นกำแพงขวางกั้นไม่ให้ลำแสงของทไวไลท์สามารถเข้าไปได้ เสียงกระเพื่อมนํ้าดังออกมาจากข้างในตัวของมัน ราวกับมันกำลังหัวเราะเยาะที่เธอไม่สามารถยิงแสงเข้าไปข้างในได้แม้ว่าเพื่อนๆ ของเธอทุกตัวจะช่วยกันขวางหนวดเส้นอื่นๆ แล้วก็ตาม

    "หนอย..." เธอกัดฟันแน่นและพยายามเล็งเพื่อหาช่องว่างเพื่อยิงเวทย์เข้าไปให้ได้

    "ฉันจัดการเอง" ผมร้องตะโกนออกมา ก่อนที่จะทิ้งดิ่งลงมาที่พื้นเพื่อล่อให้หนวดมันไล่ตามผมมาให้ไกลขึ้นและหวังว่ามันจะไล่ตามผมมาไกลมากๆ จนมันไปช่วยขวางไม่ทัน แต่ทว่ามันกลับไม่ไล่ตามผมมาจนผมแปลกใจ

    "อะไรเนี่ย..." ผมพึมพำออกมาด้วยความสงสัย

    สวบ! สวบ! สวบ!

    เปล่าเลย หนวดมันไม่ได้ไม่ไล่ตามผมมา แต่มันกลับมุดตัวลงดินและพุ่งโผล่ออกมาราวกับปีศาจไส้เดือนดิน มันผลุบๆ โผล่ๆ ไล่ตามผมพร้อมกับอ้าปากแยกเขี้ยวเมื่อมันเข้ามาใกล้ๆ ผมรีบเร่งความจากมัน และทำให้ผมต้องเอียงซ้ายทีขวาทีเพื่อหลบการโจมตีของมันเพราะครั้งนี้ผมแทบเดาไม่ได้เลยว่ามันจะโผล่โจมตีจากผมทางไหนบ้าง

    "อ๊ากกกก!"

    ผมหลบพลาดไปนิดเดียวทำให้มันฝังเขี้ยวเข้ามาที่ปีกข้างหนึ่งของผม ความเร็วผมเริ่มตกลงเมื่อปีกข้างหนึ่งของผมเริ่มบินไม่ถนัด บาดแผลของผมสัมผัสกับอากาศในขณะที่มันยังคงผลุบๆ โผล่ๆ ไล่จี้ตามผมไม่เลิกราวกับว่ามันขนาดความยาวไม่มีขีดจำกัดเลยก็ว่าได้ ซึ่งทำให้ผมรู้แล้วว่าไม่มีทางสลัดพวกนี้หลุดได้แน่ๆ

    ฉวั๊ะ!

    "โอ้ยยยย!"

    ครั้งนี้ผมก็หลบพลาดเพื่อมันเล่นพุ่งโผล่มาจากดินจากอีกด้าน ซึ่งครั้งนี้มันฝังเขี้ยวเข้าที่หน้าของผมจนเป็นแผลทางยาว ความรู้สึกแสบร้อนแผ่ซ่านทั่วทั้งใบหน้าของผม ผมมองกลับไปทางเพื่อนๆ ของผมที่พยายามล่อพวกหนวดหลายเส้นไม่ให้เข้าไปขวางทไวไลท์ยิงเวทย์ใส่มันได้ และผมก็รู้แล้วว่าผมจะต้องทำยังไง

    ก็เอาเซ่! ผมคิดในใจก่อนที่จะบินกลับไปทางมัน

    "ทไวไลท์ ยิงเลย" ผมตะโกนบอกเธอ

    "แต่นายจะโดนไปด้วยนะ" เธอตะโกนโต้ผมมาด้วยนํ้าเสียงเครียด

    "ช่างมัน! ยิงมาเลย!" ผมตะโกนสั่งเธอในช่วงจังหวะที่้ผมบินพุ่งผ่านเธอไปข้างๆ พอดี

    เปรี้ยง!

    เสียงยิงเวทย์ดังขึ้น ผมมองไปทางหางตาซึ่งเห็นได้เลยว่าเธอยิงออกมาด้วยความจำใจ ผมบินนำหน้าลำแสงของทไวไลท์ที่กำลังไล่จี้ตามหลังผมมา ผมฝืนปีกข้างที่บาดเจ็บของผมโดยไม่สนใจว่ามันจะเจ็บจนหลุดออกไปจากตัวผมรึเปล่าเพื่อพุ่งเข้าไปหามัน หนวดอีกสี่เส้นได้เข้ามาขวางผมเอาไว้เพื่อปกป้องจุดอ่อนเอาไว้

    ทนไว้ลูกพ่อ อีกนิดเดียว ผมคิดในใจเมื่อความเจ็บปวดและเมื่อยล้ากำลังโจมตีร่างกายผมอย่างรุนแรงจนทำให้ทั่วทั้งตัวผมชาราวกับแทบไม่มีความรู้สึก

    ย๊ากกกก!

    ผมตวัดดาบฟันฟาดใส่หนวดสี่เส้นที่พุ่งเข้ามาขวางเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ผมมี จนในที่สุดผมสามารถตัดมันขาดพร้อมกันทีเดียวได้สี่เส้น ก่อนที่ผมจะเชิดหน้าตัวเองและฝืนปีกผมให้สะบัดมากขึ้นเพื่อหลบลำแสงเวทย์ของทไวไลท์ให้ทัน ซึ่งเมื่อลำแสงของทไวไลท์พุ่งเฉียดหางผมไปเล็กน้อย ผมสามารถบินขึ้นหนีลำแสงเวทย์ของทไวไลท์ได้ทันเวลาพอดี และแสงนั้นก็พุ่งเข้าไปในรูนั้นทันที

    บรึ้มมมมมม!

    เสียงระเบิดดังลั่น ลำตัวของสัตว์ประหลาดนั้นแตกกระจายไปทั่ว กลุ่มควันและเมือกของมันพุ่งกระเด็นไปทั่ว ทไวไลท์รีบกางเวทย์โล่กันเพื่อนๆ ของเธอทันที หนวดและเศษซากของมันจำนวนมากปลิวกระเด็นไปทั่วบริเวณ ส่วนตัวผมนั้้นเมื่อรู้ว่ามันระเบิดตายไปแล้ว ก็ร่วงหล่นกลางอากาศทันทีเพราะว่าปีกของผมล้าจนไม่สามารถขยับไปไหนได้อีกแล้ว

    หมับ!

    แต่ก็มีโพนี่มาช่วยรับผมเอาไว้ ซึ่งโพนี่ตัวนั้นก็คือคราวนั่นเอง เธอรีบอุ้มผมเอาไว้และประคองไม่ให้ร่วง แต่ดูเหมือนนํ้าหนักของม้าหนุ่มจะหนักเกินไปสำหรับเธอ เรนโบว์แดชจึงรีบบินมาช่วยประคองอีกข้างทันที ทั้งสองสาวค่อยๆ พยุงผมร่อนลงนั่งบนพื้น ทุกตัวรีบมาดูอาการผมทันที

    "พี่ เป็นอะไรไหม" น้องสาวผมรีบมาดูอาการผมด้วยความเป็นห่วง

    "ก็นอกจากปีกแล้วก็ยังไม่ตายอะนะ" ผมพูดติดตลกกับน้องผมไป

    ทไวไลท์รีบเข้ามาดูอาการผมและใช้เวทย์ของเธอรักษาทันที ความเจ็บปวดทั่วทั้งตัว รวมไปถึงบาดแผนบนใบหน้าของผมเธอสามารถรักษาได้ ยกเว้นปีกข้างที่ผมโดนตัวประหลาดนั้นข่วนที่ยังเจ็บอยู่

    "กระดูกปีกนายหัก ฉันรักษาไม่ได้จริงๆ นายต้องไปหาหมอแล้วหละ ขอโทษนะ" ทไวไลท์บอกผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

    "ไม่เป็นไรหรอกทไวไลท์ ฉันก็แค่อาจจะบินไม่ได้ซักพัก... เหมือนตอนที่ฉันมาแรกๆ อะนะ" ผมยิ้มแหะๆ บอกเธอไป พร้อมกับแอบกัดฟันเพราะปีกข้างที่เจ็บเอาเรื่อง

    "มันไม่ตลกเลยนะ ทำไมนายต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วย" ทไวไลท์โวยออกมา ซึ่งเมื่อผมมองใบหน้าของเธอ ผมก็พบว่าเธอนํ้าตาคลออกมาด้วย

    "ทไวไลท์..." ผมเรียกเธอ ซึ่งเมื่อผมมองไปยังน้องสาวผม เธอก็มีสีหน้าไม่ดีเหมือนกัน

    "ถ้านายบินหนีแสงฉันไม่ทัน นายจะทำยังไง นายอาจจะตายได้นะ ทำไมนายต้องเสี่ยงเพื่อฉันขนาดนี้ด้วย ทำไม.. ทำไม!!" ทไวไลท์ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา จนเพื่อนผมมีสีหน้าไม่ค่อยดีเหมือนกันทุกตัว

    "หรือว่าเพราะฉันเป็นเจ้าหญิง นายเลยต้องปกป้องฉันจนต้องเอาชีวิตเข้าแลก แบบนั้นฉันไม่ต้องการนะ" อัลลิคอนสาวยังคงนํ้าตาไหลออกมาไม่หยุด ผมฝืนร่างกายตัวเองเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอแล้วก็เอากีบตบที่หัวไหล่ของเธอ

    "ไม่เกี่ยวหรอกว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงหรือไม่ใช่ แต่เธอคือเพื่อนฉัน" ผมยิ้มให้กับเธอ "ฉันเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือและปกป้องเพื่อนของฉันอยู่แล้ว ไม่ใช่กับเธอหรอกนะทไวไลท์ เพื่อนฉันทุกตัวด้วย"

    ผมยิ้มและมองไปรอบๆ ซึ่งทุกตัวนั้นยิ้มให้ผมทุกตัว น้องสาวผมเองก็มีสีหน้าดีขึ้นเมื่อรู้ว่าท้ายสุดผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่เธอก็ยังทำหน้าง้องอนอยู่

    "แต่แบบนั้นมันก็เสี่ยงมากเลยนะพี่บ้า" น้องสาวผมบ่นพึมพำออกมา

    "สงสัยตอนเป็นคนไม่เคยทำอะไรบ้าๆ แบบนี้มั้ง ไปโทษเรนโบว์แดชไป ที่สอนให้พี่ชอบอะไรเสี่ยงๆ นะ" ผมโบ้ยไปทางเรนโบว์แดชที่ยังบินอยู่

    "ไหงโยนมาทางฉันเล่า" แม่สาวสายรุ้งโวย ซึ่งทำให้พวกเราทุกตัวหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และทำให้บรรยากาศเริ่มดีขึ้้น

    "ขอบคุณนะ ที่กลับมา และขอบคุณนะที่ปกป้องฉัน" ทไวไลท์ยิ้มบอกกับผม สไป้ค์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ และเธอก็ใช้เวทมนต์ของเธอหยิบผ้าเช็ดหน้าซับนํ้าตาทันที

    "ด้วยความยินดี และทไวไลท์ เรามีข่าวจะต้องบอกเธอ พวกเราเจอต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองแล้วนะ" ผมบอกกับเธอต่อ

    "พวกเธอเจอมันแล้วเหรอ" ทไวไลท์ถามด้วยความตื่นเต้น ซึ่งพวกผมพยักหน้า

    "ใช่ มันกำลังแย่มาก และคิดว่ามีแต่เธอเท่านั้นในตอนนี้ที่จะช่วยได้" แอปเปิ้ลแจ็คบอก "เราไม่น่าให้เธอกลับไปเลย

    "อีเควสเทรียอาจต้องการเจ้าหญิง แต่สำหรับพวกเราแล้ว เราต้องการเพื่อนของเรา" ฟรัทเทอร์ชายบอก ซึ่งทำให้ทุกตัวนั้นสวมกอดกันทันที ส่วนตัวผมนั้นก็ถูกเรนโบว์แดชลากผมเข้าไปสวมกอดด้วย

    "อายอะไรเล่านาย มาเถอะหน่า" เรนโบว์แดชแซวผม

    "ฮะๆ" ผมหน้าแดงออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะยอมให้ทุกตัวกอดผมไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคราวและนัท น้องสาวผมเองก็ยิ้มอย่างขัดเขินกับการโดนสวมกอดเหมือนกัน

    "เดี๋ยวก่อนนะ ทไวไลท์กับสไป้ค์กลับมายังพอเข้าใจ แต่คราวกับน้องฉันจะตามมาด้วยทำไมเนี่ย ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าให้น้องตามมาด้วยนะคราว" ผมถามเรื่องนี้กับคราวเมื่อกอดกันเสร็จแล้ว

    "ฉันเปล่าตามมานะ แต่ไอ้ดิสคอร์ดนั้นเล่นเสกให้ฉันกับน้องเธอมาโผล่ใกล้ๆ กับทไวไลท์นะสิ" คราวบ่นออกมา

    "จะให้พวกเขากลับไปเองก็คงไม่ได้ด้วย ฉันเลยให้พวกเขาตามมาด้วยนะ เพราะเล่นเสกพาพวกเขามาตอนที่ฉันใกล้เข้ามาแถวนี้แล้ว" ทไวไลท์บอกผม

    "และตอนที่ฉันปีนขึ้นต้นไม้เพื่อมองหาว่าพวกเธออยู่ไหน ก็พบว่าพวกต้นไม้แปลกๆ นี่โจมตีทไวไลท์กับคราว ฉันเลยรีบวิ่งมาหาพวกเธอ" สไป้ค์บอก

    "ขอบคุณนะสไป้ค์ที่มาบอก ไม่งั้นป่านนี้ฉันอาจจะมาช่วยน้องฉันไม่ทันแล้ว" ผมมองไปทางน้องสาวผม ซึ่งผมเริ่มกังวลแล้วว่าเธออาจจะอยากกลับบ้าน กลับไปยังโลกของเธอ เพราะมาวันแรกเธอก็เจอเรื่องอันตรายแล้ว

    "สุดยอดเลยพี่!" น้องผมเอ่ยออกมา

    "อะไรนะ" ผมยักคิ้วถาม

    "พี่บินเก่งขนาดนั้นและใช้ดาบได้เหมือนที่พี่เขียนเล่ามาเลย ตอนแรกๆ หนูคิดว่าพี่โม้ด้วยซํ้า แต่พอมาเห็นแล้วพี่เก่งจริงๆ" น้องสาวผมเอ่ยชมด้วยแววตาเป็นประกาย "พี่ต้องสอนให้หนูบินเก่งเหมือนพี่บ้างนะ"

    "นั่นๆ พี่ชายของเราถูกน้องสาวชมซะแล้วสิ" คราวแซวออกมา

    "เดี๋ยวไว้ทีหลังนะ รอให้ปีกพี่หายก่อน แต่ตอนนี้เราพาทไวไลท์ไปดูต้นไม้ก่อนเถอะ" ผมรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างเคอะเขิน ซึ่งทไวไลท์พยักหน้าทันที

     

    ------------------------------------------------

     

    หลังจากที่ฟรัทเทอร์ชายกับแรร์ริตี้ใช้ใบ้ไม้ขนาดใหญ่ห่อหุ้มปีกข้างที่บาดเจ็บของผมเอาไว้เสมือนใส่เฝือกชั่วคราวเสร็จแล้ว พวกผมก็พาทไวไลท์ลงไปยังถํ้าที่มีต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองอยู่ เธอมองพิจารณาไปรอบๆ พร้อมกับใช้ความคิดของเธอ ก่อนที่เธอจะหันมามองพวกผมด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น

    "เราต้องคืนธาตุแห่งความปรองให้ต้นไม้" ทไวไลท์บอก

    "โว้ๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ เราจะคืนธาตุของเราไปทำไม ถ้าอีเควสเทรียมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น เราจะทำยังไง" เรนโบว์แดชแย้งออกมา

    "แล้วถ้าดิสคอร์ดอาลาวาดอีก ใครจะผนึกมันเอาไว้ได้" แร์ริตี้ถามด้วยความกังวล

    "ทไวไลท์.. ธาตุแห่งความปรองดองเนี่ยมันเชื่อมต่อพวกเราเข้าไว้ด้วยกันนะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอกด้วยนํ้าเสียงเศร้าสร้อย

    "เธอพูดถูกอย่างนะแอปเปิ้ลแจ็ค ธาตุแห่งความปรองดองมันทำให้พวกเราได้อยู่ด้วยกัน แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่มันผูกพันธ์พวกเราทุกตัวเอาไว้มากกว่าธาตุเสียอีก นั่นก็คือมิตรภาพของพวกเราเนี่ยแหละ ที่มันมีพลังนุภาพมากกว่าเวทมนต์ใดๆ ในโลกเสียอีก" ทไวไลท์ยิ้มบอกกับทุกตัว

    "แน่นอนว่ารวมไปถึงนายด้วยนะ นายทำให้ฉันค้นพบสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องเรียนรู้ นั่นก็คือการเชื่อใจพวกพ้องของเราจนถึงที่สุด" ทไวไลท์ยิ้มมาทางผม ซึ่งผมก็ยิ้มตอบ

    "ฉันต่างหากหละที่ต้องพูดแบบนั้นทไวไลท์ ไม่มีพวกเธอ ฉันคงไม่ชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ และฉันกับน้องสาวก็อาจจะไม่ค้นพบได้ว่าพวกเราคือใครมาก่อน" ผมบอก

    "ถ้างั้น พวกเรามาทำให้มันจบกันเถอะ" ทไวไลท์บอกก่อนที่จะหันหน้าไปทางต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดอง "พร้อมไหมทุกตัว"

    "พร้อม!" พวกผมทุกตัวขานรับ

    วิ้ง...

    ทไวไลท์ใช้เวทมนต์ของเธอหยิบผลึกธาตุแห่งความปรองดองที่ติดเอาไว้บนสร้อยคอของทุกตัวออกมา ซึ่งผมเองก็ยื่นดาบของผมให้เธอหยิบกลางอากาศด้วย และชิ้นสุดท้ายนั่นก็คือผลึกธาตุของทไวไลท์เองที่อยู่บนมงกุฎของเธอ แต่ทว่ารากไม้นั้นกลับพุ่งเข้ามารัดตัวทไวไลท์อย่างรวดเร็ว

    "ทไวไลท์!" ผมย่อตัวและกางปีกเพื่อกะจะไปช่วยเธอ แต่ผมก็นิ่วหน้าเพราะปีกอีกข้างยังบาดเจ็บอยู่ ผมทำท่าจะพุ่งเข้าไปแทน แต่คราวยกกีบจับไหล่ผมเอาไว้ พร้อมกับส่ายหัว ราวกับว่าผมไม่สามารถเข้าไปช่วยเธอได้ ผมจึงเงยหน้ามองดูทไวไลท์ที่กำลังบินกลางอากาศและถูกพวกมันพุ่งมารัดตัวเธอด้วยใจเต้นโครมครามและหวังว่าเธอจะไม่เป็นอะไร

    แต่ทไวไลท์นั้นสามารถตั้งสมาธิและนำเอาผลึกธาตุแห่งความปรองลอยไปติดบนที่ของมันได้ ยกเว้นดาบของผมที่สลายกลายเป็นแสงสีทองและหลอมรวมกับต้นไม้ส่วนลำตัว และธาตุของทไวไลท์ที่พิเศษกว่าเพื่อน เพราะตำแหน่งที่วางผนึกของเธอนั้นมันเปิดออกราวกับประตูรูปผลึกธาตุดาวหลายแฉก และเมื่อธาตุทั้งหมดอยู่บนที่ของมันแล้ว มีเสียงดังเกิดขึ้นจากต้นไม้ต้นนั้น ก่อนที่แสงสีขาวจะปรากฎขึ้นต่อหน้าพวกผม

    ครืน....!

    รากไม้จำนวนมากที่โอบล้อมต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองได้ค่อยๆ สลายหายไป และปลดปล่อยทไวไลท์ออกมาจากการถูกรัดให้เป็นอิสระ เธอร่อนลงบนพื้นก่อนที่จะหุบปีกลงและมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า รากไม้จำนวนมากสลายหายไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมมองไปทางนอกถํ้า มันก็สลายหายไปราวกับมันถูกลบด้วยพลังเวทย์อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งผมคาดเดาว่าพวกรากไม้ที่อยู่ในเมืองโพนี่วิลด์เองก็คงสลายหายไปด้วยเช่นกัน แต่เมื่อผมหันไปมองดูต้นไม้อีกครั้ง ผมก็ต้องอ้าปากค้าง

    จากเดิมที่ต้นไม้ต้นนี้ถูกรากไม้จำนวนมากรัดเอาไว้ราวกับว่ามันกำลังจะตาย ตอนนี้มันเปร่งแสงสว่างจ้าออกมาราวกับทั้งต้นมันสร้างด้วยหลอดไฟนีออน แต่เป็นแสงที่จ้าไม่มาก สว่าง ทรงพลังและอบอุ่น ผมรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจของมัน แสงจากผลึกธาตุแห่งความปรองดองนั้นของพวกเพื่อนผมทั้งหกนั้นเปร่งประกายออกมาสว่างสดใส แต่นั่นก็ทำให้พวกผมสังเกตเห็นสัญลักษณ์อื่นๆ อีก นั่นก็คือ ตรารูปดวงอาทิตย์ของเจ้าหญิงเซเลสเทรียที่อยู่ด้านล่างตรงกลางผลึกธาตุของทไวไลท์ , ตรารูปพระจันทร์ของเจ้าหญิงลูน่าที่อยู่ด้านล่าง และมีรูปมงกุฎอยู่ด้านล่างสุดจนเกือบถึงรากไม้ และมันก็คือสัญลักษณ์คิวตี้มาร์คของผมนั่นเอง

    "เดี๋ยวนะ มีคิวตี้มาร์คของนายด้วยเหรอเนี่่ย" เรนโบว์แดชทักขึ้น ซึ่งผมเองก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยว่าผมจะมีคิวตี้มาร์คอะไรต้นไม้ต้นนี้ด้วย

    "ตอนฉันเห็นอดีตตอนที่เจ้าหญิงเซเลสเทรียมาเอาผลึกธาตุแห่งความปรองดอง เหมือนฉันจะเห็นด้วยเหมือนกันนะ" ทไวไลท์มองมาทางผมด้วยสายตาที่อึ้ง

    "ดูนั่น!" คราวชี้ไปทางข้างหน้า

    บริเวณข้างๆ ต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองนั้น มีรากไม้ประหลาดยังคงพันอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่เมื่อมันสลายหายไปแล้ว ก็พบว่าเจ้าหญิงเซเลสเทรียและเจ้าหญิงลูน่าถูกขังเอาไว้ในนั้น ดังนั้นเมื่อรากไม้ประหลาดสลายหายไปหมดแล้ว ทั้งสองพระองค์ก็ได้เป็นอิสระ และยิ้มพระโอษฐ์ออกมาทันที ผมรีบก้มหัวถวายความเคารพกับพระองค์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว ยกเว้นทไวไลท์ที่วิ่งเข้าไปหาทั้งสองพระองค์พร้อมกับสวมกอดอย่างรวดเร็ว

    "ฉันเข้าใจดีว่าการที่ตัดใจมอบธาตุแห่งความปรองดองนั้นมันทำใจยากขนาดไหน ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากที่จะต้องส่งมันคืนกลับไป ทำดีมากทไวไลท์" เจ้าหญิงเซเลสเทรียตรัส

    "และขอบใจเธอด้วยนะพ่อหนุ่มต่างโลก เธอมาช่วยเราในสถานการณ์คับขันอีกครั้งแล้วสินะ" เจ้าหญิงลูน่าตรัสมาทางผม

    "ขอบพระทัยฝ่าบาท" ผมทูลตอบ

    ทว่า กลับมีบางอย่างที่ดึงดูดพวกเราทุกตัวไปทางต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดอง เมื่อมีแสงเปร่งออกมาจากผลึกธาตุแห่งความปรองดองทุกเม็ด และแสงนั้นก็ไล่มาที่ผลึกของทไวไลท์ตรงกลาง ไล่ลงมาทางตราสัญลักษณ์คิวตี้มาร์คของเจ้าหญิงเซเลสเทรีย เจ้าหญิงลูน่า และของผมตามลำดับ ก่อนที่ตรงรากไม้จะปรากฎมีดอกบัวผุดออกมา ซึ่งเมื่อทไวไลท์เดินเข้าไปดูและยกกีบแตะใกล้ๆ ก็ปรากฎว่าดอกบัวนั้นเปร่งแสงและบานอออกมา และข้างในนั้นก็มีกล่องสมบัติประหลาดสีเงินรูปทรงหกด้าน พร้อมรูกุญแจทั้งหก และด้านบนนั้นมีตราสัญลักษณ์ของคิวตี้มาร์คของทไวไลท์อยู่ ผมไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่เมื่อผมเพ่งมองจากระยะไกล ผมก็พบว่าตรงข้างบนนั้นมีตำแหน่งหนึ่งที่มีรูปคิวตี้มาร์คของผมอยู่ด้านล่างคิวตี้มาร์คของทไวไลท์ด้วย

    "ข้างในมันมีอะไรเหรอเพค่ะ" ทไวไลท์ทูลถามเจ้าหญิง

    "6 รูกุญแจ ต้องใช้กุญแจ 6 ดอก... ฉันไม่รู้ว่าจะเปิดมันได้ยังไง แต่ฉันรู้ได้แค่ว่าเธอจะไม่หาคำตอบมันได้ตามลำพังแน่ๆ" เจ้าหญิงเซเลสเทรียตรัสพร้อมกับทอดพระเนตรมาทางเพื่อนของผม ซึ่งทุกตัวนั้นยิ้มกว้างออกมาทันที

    "แหม๋ มันน่าสนใจดีจริงๆ เลยนะเนี่ย" เสียงของคนที่ไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ดังขึ้น และดิสคอร์ดก็ปรากฎออกมากลางอากาศทันที

    "นี่นายแอบดูพวกเรามาตลอดงั้นเหรอ" คราวโวยใส่ดิสคอร์ดทันที ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจที่ทั้งเธอและนัท น้องสาวผมถูกดิสคอร์ดส่งตัวมาหาทไวไลท์อยู่

    "เปล่านะ ฉันเพิ่งมาเมื่อกี้เอง หลังจากรากไม้สุดน่ารักของฉันสลายหายไปเพราะเธอทำสำเร็จแล้วนะสิ" ดิสคอร์ดบอกด้วยกับรอยยิ้มที่มีเลศนัย

    "เดี๋ยวก่อนนะดิสคอร์ด นายบอกว่ารากไม้ของนายงั้นเหรอ!" ทไวไลท์โวยออกมาทันที เจ้าหญิงลูน่าเองก็ทำท่าจะพุ่งเข้าไป แต่เจ้าหญิงเซเลสเทรียยกกีบของพระองค์ห้ามเอาไว้

    "ฉันจะเล่าเองทำไม ในเมื่อเธอไม่ดูด้วยตัวเองเลยแหละ" ดิสคอร์ดเสกขวดนํ้ายาสีขาวที่คล้ายๆ ขวดนํ้ายาวิทยาศาสตร์มาให้ทไวไลท์ดื่ม ซึ่งเจ้าตัวก็ใช้เวทมนต์หยิบดื่มทันที ซึ่งผมเห็นแล้วก็แอบแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมทไวไลท์ถึงกล้าดื่มของที่ดิสคอร์ดส่งให้

    "แน่นอนว่านายเองก็ต้องดูด้วยเหมือนกันนะไอ้หนุ่ม" ดิสคอร์ดจู่ๆ หายตัวมาปรากฎตัวข้างๆ ผม ก่อนที่จะใช้มือของมันจับปากและกรอกนํ้ายาสีขาวใส่ปากผมอย่างรวดเร็วโดยที่ผมตั้งตัวไม่ทัน ซึ่งทุกตัวที่เห็นนั้นต่างมองมาทางผมด้วยความตื่นตกใจทันที โดยเฉพาะคราวและน้องสาวผม

    "ไอ้...ไอ้... ไอ้อ้าาาา" ผมด่ามันแต่ด่าไม่ถนัดเพราะปากผมถูกมันจับกรอกนํ้ายาใส่ไปแล้ว ทันใดนั้นผมก็รู้สึกแปลกๆ เพราะผมกลับไม่รู้สึกอะไรนอกจากความว่างเปล่า และตาของผมก็มองเห็นแต่สีขาวเต็มไปหมด ซึ่งเมื่อผมกระพริบตา ก็พบว่าทไวไลท์นั้นก็ยืนข้างๆ ผมอยู่ เธอมองผมอย่างประหลาดใจมากว่าทำไมผมถึงมาอยู่ตรงนี้ด้วย

    "ทำไมนายถึงมาได้หละ" ทไวไลท์ถามผมอย่างรวดเร็ว

    "ไอ้บ้าดิสคอร์ดมันจับกรอกยาใส่ฉันนะสิ" ผมแลบลิ้นที่ปากเพราะยังรู้สึกว่ารสชาติของนํ้าตานั้นยังติดปากผมอยู่เลย "แล้วที่นี่มันที่ไหน..."

    ผมมองไปรอบๆ ก็พบว่าเป็นเมืองโพนี่วิลด์ แต่เป็นเมืองโพนี่วิลด์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะทั้งพื้นดินและท้องฟ้าเป็นสีชมพูแปลกๆ ราวกับผมหลุดไปในโลกของอลิสในดินแดนมหัศจรรย์อย่างไรอย่างนั้น และผมมองเห็นดิสคอร์ดนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่คล้ายบังลังค์ และก็มองเห็นเจ้าหญิงเซเลสเทรียกับเจ้าหญิงลูน่าที่มีสภาพพระวรกายไม่ดีนัก กำลังมุ่งไปหาดิสคอร์ดด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

    "ดิสคอร์ด..." ผมกัดฟันกรอดๆ ก่อนที่ทำท่าจะเดินไปหามัน แต่ทไวไลท์ยกกีบจับหลังผมเอาไว้เพื่อห้าม

    "นั่นไม่ใช่ดิสคอร์ดตัวจริงหรอก นี่เป็นภาพในอดีตเมื่อพันปีก่อน ตอนที่เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ผนึกดิสคอร์ดเอาไว้ด้วยตัวเอง" ทไวไลท์อธิบาย ซึ่งพอผมมองไปยังภาพเบื้องหน้า ก็พบว่าดิสคอร์ดเสกหยิบหางของเจ้าหญิงเซเลสเทรียออกมาโดยที่อธิบายไม่ได้ว่ามันทำได้ยังไง

    "หมายความว่ามันคล้ายๆ กับดูวีดีโอที่บันทึกไว้ว่างั้น" ผมถาม ซึ่งผมก็มองเห็นว่าดิสคอร์ดกำลังหยิบอะไรบางอย่างมากิน

    "น่าจะอย่างนั้นนะ" ทไวไลท์บอก

    "เอาหละ ขอวิทยากรอธิบายนะจ๊ะ" เสียงดิสคอร์ดดังมาจากไหนไม่รู้ดังก้องในหัวผม ซึ่งเมื่อผมมองไปทางทไวไลท์ ก็พบว่าเจ้าตัวก็รู้สึกแบบเดียวกับผม "เมื่อพันปีก่อน ฉันวางแผนในการดึงพลังของต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองและกะว่าจะจับเจ้าหญิงทั้งสองเอาไว้ด้วยเมล็ดที่ฉันปลูกเอาไว้ แต่ต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองมีพลังแข็งแกร่งมากจนมันไม่สามารถโตมาได้"

    ภาพแสดงให้เห็นภาพสแกนถํ้าที่พวกผมยืนอยู่นี้เป็นด้านข้างจนมองเห็นพื้นดินและและต้นไม้ ซึ่งเห็นได้ว่ารากไม้ประหลาดที่โตมาจากเม็ดที่ดิสคอร์ดกินนั้นพยายามจะผุดขึ้นมาจากบนดินเพื่อไปโจมตีต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดอง แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้

    "แล้วทำไมนายถึงไม่ยอมบอกแต่แรกย่ะ!" ทไวไลท์โวยออกมา

    "ถ้าฉันบอก เธอจะได้เรียนรู็เรื่องที่สำคัญได้ยังไงหละ" ดิสคอร์ดแขวะเธอออกมาเล็กน้อย

    "เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเมล็ดมันไม่สามารถแตกหน่ออะไรออกมาได้ แล้วทำไมมันเพิ่งมาโตเอาป่านนี้หละ" ผมตั้งคำถาม

    "นั่นแหละที่ฉันเองยังสงสัย เพราะมันเหมือนมีใครบางคนมากระตุ้นทำให้มันสามารถมีพลังจนเอาชนะพลังของต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองได้" ดิสคอร์ดเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงครุ่นคิด

    "ใครบางคนงั้นเหรอ" ผมพึมพำ

    "แต่นายต้องดูไอ้นี้เพิ่มนะ" ดิสคอร์ดบอก

    แว้บบบบ!

    ผมมองเห็นฉากรอบๆ เป็นสีขาวอีกครั้ง และเมื่อภาพสีขาวจางผม ผมกับทไวไลท์ก็ยังยืนที่เดิม แต่ต่างกันตรงที่ภาพที่ผมกับเธอมองเห็นนั้นไม่ใช่ถํ้าที่เดิมหรือโพนี่วิลด์อีกแล้ว แต่เป็นภาพที่ผมฝันเห็นมันมาเป็นอาทิตย์ ก่อนที่ผมจะเดินทางมายังโลกนี้

    "ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย ฉันมองเห็นไม่ชัดเลย" ทไวไลท์เอ่ยถาม

    "นี่มัน.. ความฝันของฉันนิ" ผมพึมพำออกมา

    "ฝันของนายงั้นเหรอ" เธอหันมาถามผมอย่างรวดเร็ว

    "ก่อนหน้านี้ฉันฝันถึงเรื่องนี้ติดต่อกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว" ผมบอกกับเธอก่อนที่ผมจะหรี่ตาเพื่อพยายามเพ่งมองคนที่อยู่เบื้องหน้าผม "พ่อกับแม่ที่แท้จริงของฉัน..."

    ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ปรากฎมากขึ้นเรื่อยๆ และผมกับทไวไลท์ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจนมากขึ้น ควันไฟและฝุ่นที่ฟุ้งไปรอบบริเวณไม่ต่างจากความฝันของผมเลย และผมก็มองเห็นม้าหนุ่มและม้าสาวที่อยู่ตรงหน้า และเราทั้งสองตัวก็ยังมองเห็นใบหน้าไม่ชัดอยู่ดี

    'มั่นใจด้วยเหรอคุณ ว่าจะได้ผล' เสียงของม้าสาวเบื้องหน้าเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด

    'เราไม่เหลือทางเลือกมาก ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จบ' เสียงของม้าหนุ่มตัวนั้นเอ่ยตอบ

    ตู้มมมม!

    เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงก้อนอิฐหล่นร่วงกราวลงมา ดูเหมือนทั้งสองนั้นจะกังวลมากราวกับว่าจะมีใครตามหาพวกเขาอยู่ แสงสีทองเปร่งขึ้นรอบๆ อย่างนุ่มนวลและอบอุ่น ทั้งสองนั้นจ้องมองดูพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

    'เขาจะต้องปลอดภัย เชื่อผมสิ' สียงของชายคนนั้นเอ่ยตอบ

    'ฉันก็หวังแบบนั้นค่ะคุณ' เสียงของหญิงสาวตอบออกมา

    ตู้มมมม!

    เสียงระเบิดดังลั่นอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังกว่าทุกที ทั้งสองเริ่มมองไปยังทิศทางเสียงนั้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่จะหันมามองร่างของใครบางตัวที่ทั้งสองตัวอุ้มอยู่และวางลงบนเปลที่ทำจากผลึกคริสตัล

    'ลาก่อน ลูกรัก...' เสียงม้าหนุ่มตัวนั้นเอ่ยขึ้น

    "อย่าลอกนะว่า นั่นนะคือนายนะ" ทไวไลท์อ้าปากค้าง แต่ผมนั้นกลับนํ้าตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมมองเห็นภาพสถานที่ความฝันแห่งนี้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

    เปรี๊ยะ!

    ภาพด้านหน้าของผมนั้นราวกับมีคลื่นแทรก ภาพสะดุดลงราวกับแผ่น DVD เป็นรอย และพริบตาเดียว ทั้งผมและทไวไลท์ก็กลับมายืนบนถํ้าที่้ดิม ซึ่งทั้งเพื่อนผม น้องสาวผม คราวไรเดอร์ และเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ต่างก็มองมาด้วยสายตาที่เป็นห่วง

    "เป็นไปตามที่ฉันคิดจริงๆ ด้วย" ดิสคอร์ดที่อยู่เบื้องหน้าผม ทำท่าครุ่นคิดออกมา

    "ดิสคอร์ด นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมไม่ให้ฉันดูต่อ" ผมเเอ่ยเสียงเข้มใส่มัน "นายรู้เรื่องะไรบ้าง บอกมาเดี๋ยวนี้นะ!!"

    "ใจเย็นก่อนเพื่อน" ทไวไลท์เตือนผมเมื่อเห็นว่าอารมณ์ผมเริ่มเดือด

    "นั่นพ่อแม่ฉันนะทไวไลท์ มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน ทำไมต้องส่งฉันกับน้องสาวไปโลกมนุษย์ ฉันต้องการคำตอบทไวไลท์ และต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้เลยด้วย!" ผมตบกีบเท้าลงบนพื้นด้วยความฉุนเฉียว

    "ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่นายเจ้าหนุ่ม แต่ความทรงจำของนายมันผูกผนึกเอาไว้ ฉันเองก็ไม่สามารถปลดผนึกมันได้ด้วย" ดิสคอร์เอ่ยตอบ "แต่ที่ฉันจับสัญญาณเวทย์ได้ว่านายถูกผนึกความทรงจำเอาไว้ ก็เพราะต้นไม้ธาตุแห่งควาปรองดองเนี่ยแหละ"

    พวกเราทุกตัวหันไปมองดูต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดองอัตโนมัติ และมองไปยังกล่องสมบัติรูปหกเหลี่ยมทันที

    "อย่าบอกนะว่า ความทรงจำของฉันมันอยู่ในนั้นนะ" ผมพึมพำออกมา

    "ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ฉันคิดว่าน่าจะใช่" ดิสคอร์ดทำท่าเหมือนครูอาจารย์ที่มีไม้เรียวบนมือ "น่าสนใจดีจุงเนอะ"

    ผมมองไปยังกล่องสมบัติหกเหลี่ยมที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งผมนึกถึงคำพูดของดิสคอร์ดว่ามันเหมือนมีใครไปกระตุ้นให้รากไม้ประหลาดที่ดิสคอร์ดปลูกเอาไว้เมื่อพันปีก่อนมันทำงานและออกมารัดต้นไม้ธาตุแห่งความปรองดอง รวมไปถึงจับตัวองค์หญิงทั้งสองพระองค์เอาไว้ได้

    ใครกันนะที่ทำเรื่องแบบนี้ และทำไมเรื่องในอดีตของฉันจะต้องถูกผนึกเอาไว้ด้วย ผมคิดอย่างสงสัย

     

    -------------------------------------------------

     

    (บนโลกมนุษย์)

    คุณแจ็ค ลูกชายของเจ้าของบริษัทที่ล้มละลาย กำลังมองของที่ถืออยู่ในมือในห้องเพ้นเฮ้าท์ของเขาเอง เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายเมื่อมองดูของในมือที่เขาถืออยู่

    มันคือ เมล็ดสีดำ ที่ดิสคอร์ดเป็นคนหยิบมากินและแอบปลูกมันเอาไว้เมื่อพันปีก่อนนั่นเอง ในมือของเขานั้นมีอยู่เมล็ดหนึ่ง

    "ไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันต้องหาทางไปยังโลกนั้นให้ได้" คุณแจ็คฉีกยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว "ฉันจะไม่ยอมให้พวกม้าปีศาจนั้นมาทำลายชีวิตฉันฝั่งเดียวแน่ ฉันจะต้องเอาคืนมันให้ได้ คอยดูละกัน หึๆๆๆ"

     

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×