คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ตอนพิเศษ - เที่ยวตะลุยเหนือ อีสาน ตอนสิบ : คํ่าคืนบนดอยผาชู้
หลังจากที่ต่างคนต่างกระเสือกกระสนวิ่งหาขวดนํ้าเปล่ากินแก้เค็มกัน ( หมดไปเกือบ 15 ขวดใหญ่ได้ ) ปลารับหน้าที่ล้างจานให้ทุกคนโดยที่พวกเราก็ไปนั่งกับที่ก่อกองไฟกันล่วงหน้า โดยแมนที่เอาไฟแช็กมาด้วยได้จุดเศษใบไม้แห้งที่เก็บกันตอนเย็น ( แมวเริ่มสงสัยว่าแมนจะสูบบุหรี่รึเปล่าที่เอาไฟแช็คติดตัวมา ซึ่งพอแมนบอกว่าไม่ได้สูบ แมวกลับบอกโกหกซะงั้น ผมพยายามจะไปห้ามแต่ฝนก็มาห้ามแทนจนสงบสติอารมณ์ได้ เหอ ๆ ) และหลังจากนั้นไม่นาน ไฟก็เริ่มลุกเผากองไม้ที่เจ้าหน้าที่อุทยานเอามาให้และเพิ่มความอบอุ่นให้กับพวกเรา อากาศเย็นเฉียบปะทะกับหน้าและตัวของพวกเรา เหล่าสาว ๆ นั้นต่างใส่ถุงมือ ที่ครอบหู หมวกไหมพรมกันเป็นแถบ ซึ่งมองดูแล้วทำให้ผมนึกว่าเป็นตุ๊กตามากกว่านะนั่น
" แล้วมิ้นไม่ใส่หมวกกับที่ครอบหูบ้างเหรอครับ " ต้าเดินมานั่งขอนไม้อีกที่หนึ่งแล้วก็นั่งมองดูผม เพราะมีแต่ผมคนเดียว ( ในร่าง ) ผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่หมวกกับที่ครอบหู มันหนาวก็จริงอะ แต่จะให้ผมทำตัวเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ เนี่ยนะ ไม่เอาด้วยหรอก
" ไม่เอาหรอก มาที่หนาว ๆ ทั้งที ขอให้มันหนาวสะใจสักหน่อย " ผมกัดฟันตอบไป แต่มันก็หนาวจริง ๆ วุ้ย ราวกับว่าผมไม่รู้สึกว่ามีหูอยู่เลยนะตอนนี้
" ไหวเหรอมิ้น " ฝนถามผมเมื่อเธออยู่ในชุดเสื้อกันหนาวที่เธอใส่มาถึง 2 ตัว " เดี่ยวไม่สบายนะ "
" ใช่ ๆ " ต้าพูดเสริมแล้วก็คลายมือตนเองจากการกอดอกแล้วกำหมัดทุบหน้าอกตัวเอง " ถ้ามิ้นหนาวละก็ มานั่งตรงนี้สิครับ รับรองอุ่นทั้งกายและใจเลย "
" นี่ ๆ หัวหน้าห้อง " ผมถามหัวหน้าที่นั่งข้าง ๆ ผม
" มีอะไรเหรอมิ้น " หัวหน้าห้องถามอย่างสงสัย
" เตะไอ้ต้าเข้ากองไฟนี่บาปไหม " ผมเหล่มองดูต้า
" เอาเลย ฉันสนับสนุน " แมวพูดเสริมและมองตาขวางไปทางต้าบ้าง
" อะโด่ มิ้นอยากให้ผมเดินไปกอดถึงที่ใช่ม้า " ต้าพูดไปทำหน้าตาเคลิ้มไป
ผมลุกขึ้นเพื่อเตรียมไปเตะมัน แต่ผมถึงกับต้องชะงักเมื่อมีลมหนาวพัดเข้ามาหาพวกเรา เปลวเพลิงไหวไปตามลม ผมถึงกับต้องเอามือกอดอกตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะมือผมมันหนาวจนชาไปหมดแล้ว โดยคนอื่น ๆ เห็นผมยืนขึ้นและตัวสั่นอย่างกับเจ้าเข้า
ระหว่างนั้นเอง ต้ามองดูผมด้วยสีหน้าที่ตกใจแวบนึง แล้วก็ถอดเสื้อกันหนาวตัวเองมาห่มให้ผมเพิ่ม ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็มองดูมัน และพบว่าต้าไม่ได้ทำหน้าตาทะเล้นหรือลามกแล้ว ตรงกันข้าม เขามองดูผมด้วยสีหน้าที่ห่วงใยมาก
" อย่าฝืนเลยมิ้น " ต้าพูดกับผมเบา ๆ แล้วก็จับเสื้อกันหนาวที่ห่มร่างผมให้กระซับขึ้น " งั้นเดี๋ยวผมเดินไปเอาผ้านวมในบ้านพักก่อนนะครับ "
ต้าเดินเข้าไปในบ้านพักในสภาพที่ใส่เสื้อแขนยาวแค่ตัวเดียว ลมพัดวิ้ว ๆ ออกมาจนเขาตัวสั่นเล็กน้อยแม้นอยู่ในความมืด แต่ผมก็มองเห็นและรู้ว่าเขาเองก็ทนความหนาวเพื่อเข้าไปเอาเสื้อกันหนาวอีกตัวในบ้านพักโดยที่ยอมเสียสละเสื้อกันหนาวให้ผม
ต้า นายนี่มัน...
" ว้าว ต้ายอมเอาเสื้อกันหนาวตัวเองให้มิ้นจังใส่ด้วยแหละ " ฝนกรี๊ดกร๊าดออกมาอย่างประทับใจโดยที่มีคนอื่น ๆ มองอย่างสนใจไม่แพ้กัน ไม่รู้เพราะอะไรแต่ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนออกมา ผมรีบถอดเสื้อกันหนาวของต้าออกมาทันที
" อ้าว มิ้น ไม่ใส่เสื้อกันหนาวหละ " เทรนถามผม
" ใส่ทำไมกับไอ้ของคนลามกพรรนั้น " ผมถอดเสื้อออกมาจนเสร็จ แต่เมื่อลมหนาวพัดเข้าหาผมอีกรอบ ผมก็ต้องจำใจใส่มันและนั่งลงบนขอนไม้เพื่อผิงไฟคลายความหนาว
" ไม่ต้องเขินหรอกน้า ฝน " ฝนล้อผมอีกรอบ " ไม่ดีเหรอ หวานกันดีออก "
ชักมีความรู้สึกอยากเอาเสื้อกันหนาวตัวนี้โยนเข้ากองไฟจังวุ้ย ผมมองดูเสื้อกันหนาวของต้าอย่างน่าขยะแขยง แต่ก็ต้องเอามันมาห่มกับตัวเองอย่างจำใจ อ๊ากก ทำไมร่างกายผู้หญิงมันถึงหนาวง่ายกว่าผู้ชายฟะ
ไม่นานนักต้าก็เดินออกมาจากบ้านพักโดยสวมเสื้อกันหนาวอีกตัวที่เขาเอามา มือของเขาถืออะไรผมมองไม่ชัดเพราะความมืด ตามมาด้วยปลาที่ดูเหมือยเขาจะล้างจานเสร็จแล้ว เขาออกมาโดยสวมเสื้อกันหนาวแค่ตัวเดียว ดูเหมือนกับว่าสำหรับครึ่งคนครึ่งหมาอย่างเขา อากาศหนาวจะไม่ส่งผลกระทบมากเลย
" ไงครับ มิ้นจัง " ต้าโบกมือเรียกผม " เสื้อกันหนาวของผมอบอุ่นดีไหมคร้าบ "
อ๊ากกกก ไอ้ต้า แก ผมอ้าปากพะงาบอย่างไม่พอใจ
ต้าเดินมาข้างหลังผมแล้วผมก็รู้สึกเหมือนใครบางคนสวมหมวกอุ่น ๆ ให้ เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็พบว่าต้าเอาหมวกไหมพรมมาสวมให้ผม สีหน้าของเขานั้นดูเป็นห่วงเป็นใยผมเหมือนกัน
" ไม่ไหวก็อย่าฝืนนะครับ มิ้น " ต้ายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของผมถึงเต้นโครมครามออกมา และราวกับว่า มือของต้าที่จับหมวกให้ผมนั้นถึงได้ดูอบอุ่นปานนี้ แถมยังไม่อยากต่อต้าน ตรงกันข้าม ผมกลับอยากให้ต้าทำแบบนี้ และอยู่กับผมข้างกองไฟอันแสนอุบอุ่นในบรรยากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้
ไปนาน ๆ
" อย่ามองผมนานสิครับ แม่เหมียวน้อยจอมซน " ต้าล้อเลียนผมแล้วก็เอานิ้วชี้จิ้มที่แก้มผมเบา ๆ ซึ่งทำให้ผมได้สติกลับคืนมา
" เฮ้ย ใครเป็นแม่เหมียวน้อย " ผมตวาดกลับไปโดยไม่พอใจ
" ล้อเล่นคร้าบ ๆ " ต้ายอมถอยทัพกลับไปนั่งที่เดิมของตนเองอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มมองมันอย่างไม่พอใจ
ยิ่งเราได้กลับร่างผู้ชายเร็วเท่าไหร่ ผมหันหน้ามองดูเปลวไฟที่ยังปะทุและลุกไหม้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ไอ้อารมณ์บ้า ๆ แบบนี้จะได้ไม่ต้องเกิดขึ้นอีก
บรรยากาศตอนนี้เริ่มเงียบ เสียงแมลงยามคํ่าคืนร้องเซงแซ่ เสียงของเปลวไฟที่ปะทุขึ้นและเผาไหม้ไม้ที่เจ้าหน้าที่อุทยานอามาให้ พวกเรานั่งผิงไฟเพื่อคลายความหนาว
" อืมนี่ " ฝนพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ " เรามาเล่าเรื่องผีกันดีแมะ เปลี่ยนบรรยากาศกัน "
" เอาสิ " แมนพูดอย่างเห็นด้วย " มาเที่ยวแบบนี้ทั้งทีก็ต้องเล่าเรื่องผีเสริมบรรยากาศนะ "
" ละ เล่าเรื่องอื่นไม่ได้เหรอ " จ๋าเริ่มถามเสียงสั่น แหงหละ เธอกลัวผี ผมก็ด้วย
" งั้น นายเล่าก่อนเลยนะแมน " หัวหน้าห้องผายมือไปทางแมน
" นะ นี่ คุยเรื่องอื่นได้มะ " ผมพยายามเสนอให้คุยเรื่องอื่นแทน ให้มาเล่าเรื่องผีบนภูเขาท่ามกลางป่าเขาเงียบ ๆ แบบนี้เนี่ยนะ
" นี่เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในประเทศญีปุ่น " แมนเริ่มเล่าเสียงตํ่าจนน่าหวาดเสียว
ฟังคนอื่นพูดบ้างไหมเนี่ย ผมคิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
" มีรางรถไฟแห่งหนึ่งที่เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายอยู่บ่อย ๆ " แมนมองไปมารอบ ๆ กองไฟที่ทุกคนต่างเงียบเสียงและฟังสิ่งที่แมนเล่า " ว่ากันว่าในบางครั้งที่รถไฟวิ่งผ่านรางรถไฟแห่งนี้ บางทีจะมีซากศพกระเด็นมากับขบวนรถไฟด้วย กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็กของซากศพต่างลอยมาแตะจมูก "
พวกผมเริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ กัน ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงที่ลมไม่พัดด้วย ทำให้กลิ่นนั้นโชยมาแตะจมูกทุกคน กลิ่นนี่เหม็นอย่างกับอะไรดี
" เฮ้ย " ผมเริ่มหันไปถามทุกคน " นี่ ได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ เปล่า "
" อืม ๆ ได้กลิ่น " ฟ้าตอบอย่างเห็นด้วย สาว ๆ ต่างพากับเอานิ้วบีบจมูกและมองไปรอบ ๆ อย่างแตกตื่น "
" เออ มันเหม็นอะไรวะ " หัวหน้าห้องพูดขึ้นมาอย่างเห็นด้วย
นะ นี่ ผมเริ่มหันไปมารอบ ๆ อย่างตื่นตระหนก อยะ อย่าบอกนะว่า เราโดนเล่นของแล้ว
" นี่ " ชายพึมพำออกมา " ฉันว่ากลิ่นนี้มันสด ๆ ด้วยนะ และมาจากใครบางคน "
" กลิ่นที่ว่านี่ คือคล้าย ๆ ตดใช่มะ " ต้าถาม
" ใช่ " ชายบอก
" คือ ตดฉันเองแหละ " ต้าตอบอย่างเอียงอาย
" เว้ยยย ! " คนที่นั่งอยู่แทบวงแตก เพราะโดนกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยเข้าจมูก สักพักลมก็เริ่มพัดโชยเข้ามา ทำให้พวกเราบรรเทาอาการสุดอุแหวะขึ้นมาได้
" เวร " แมนพึมพำออกมา " คนเขากำลังเล่าได้บรรยากาศเลย ตดทำไมฟะ "
" โทษที อั้นไม่อยู่อะ " ต้าตอบด้วยสีหน้าเอียงอายต่อ ทำให้สาว ๆ เริ่มขยับหนีออกจากต้าอย่างรวดเร็ว ให้ตายสิ กลิ่นยังกับไส้เน่า
" งั้น เอ่อ " แมนหันไปมองทุกคนเมื่อทุกคนนั่งลงกับที่ตนเองแล้ว " งั้นเราเล่าต่อเลยนะ "
เขาหันหน้าไปมองทุกคนเหมือนตอนที่เขาเริ่มเล่า สายตาของเขานั้นเริ่มมองไปมองมารอบ ๆ อย่างน่าหวาดกลัว เสียงรอบข้างเงียบลงแล้วและคงเหลือแต่เสียงกองไฟที่ลุกโซนอยู่เท่านั้น
" ทว่า มีตอนนึง ที่มีเด็กสาวคนหนึ่งกับพ่อของเธอไปงานกินเลี้ยงและกลับกันจนดึก " แมนเอามือทั้ง 2 ข้างที่ไม่ได้ใส่ถุงมือกุมเอาไว้และวางบนหัวเข่า " และจำเป็นต้องกลับไปยังเส้นทางรถไฟสายนั้น "
สาว ๆ ที่ฟังบางคนเริ่มกลัว ซาระกับฟ้าเริ่มนั่งติดกัน ส่วนปลานั้นกลับกอดอกและนั่งฟังอย่างตั้งใจแต่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวอะไรออกมา
" คืนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี " แมนเล่าต่อ " รถยนต์ที่พ่อลูกสองคนนั้นนั่งมากลับดับตรงรางรถไฟนั่นพอดี "
" พ่อคะ " แมนเล่าแสดงตนเองเป็นเด็กสาวคนนั้นในเรื่อง " ทำไมรถถึงดับหละนะพ่อ "
" แปลกจัง " แมนแสดงตนเองเป็นพ่อของเด็ก " นํ้ามันก็ไม่ได้หมดนี่นา "
นัยน์ตาของแมนมองไปรอบ ๆ พวกเราเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวเรื่องของแมนเข้าแล้ว
" พ่อของเด็กคนนั้นจะออกไปเครื่องยนต์หน้ารถแต่ทว่า " เขาหันไปมองดูแมวที่เริ่มจับมือกับฝนด้วยความหวาดกลัว " กลับเปิดประตูไม่ได้ "
" อึ้ยยย... " แมวร้องเสียงหลงเบา ๆ ออกมาด้วยความหวาดกลัว
" เด็กสาวคนนั้นก็เริ่มได้ยินเสียงรถไฟมา " แมนเหลือบมองตาขวางจนราวกับเขาเป็นคนละคน " แน่นอนว่า พ่อเขาเองก็ได้ยิน ทันใดนั้น เสียงหมาหอนก็ร้องกันระงม มีหมอกสีขาวลอยมาปกคลุมรถของสองพ่อลูกคู่นี้ "
หัวใจของผมเริ่มเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว เสียงของแมนเริ่มตํ่าลงเรื่อย ๆ
" และสิ่งสองพ่อลูกคนนั้นได้เห็นหลังจากนั้น " แมนเริ่มแสยะยิ้มออกมา " ก็คือ ส่วนหัวของซากศพผู้หญิงคนหนึ่ง ลอยติดอยู่ที่กระจกหน้ารถ ส่วนล่างจากคอของเธอนั้นขาดหายและมีเลือดไหลออกมาราวกับก๊อกนํ้า ริมฝีปากของเธอ ฉีกไปถึงใบหู ดวงตาของเธอขาวโพลน เส้นผมของเธอสยายยาวไปมาราวกับมีชีวิต ใบหน้าของเธอเน่าเฟะไปทั่ว และเธอก็พูดด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า.... "
" ตัว...ของ...ฉัน...อยู่...ขอ...ยืม...ตัว... หน่อย "
" ทันใดนั้น รถก็กลับสตาร์ทติดได้เอง พ่อคนนั้นได้เหยียบคันเร่งโดยไม่ติดชีวิต หนีออกมาจากรางรถไฟแห่งนั้น โดยที่มีเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นของผีสาวคนนั้นดังจนราวกับว่าเธอมานั่งอยู่ใกล้ ๆ และหลังจากวันนั้น พ่อลูกคู่นี้ ก็ไม่เคยขับรถหรือเดินทางผ่านรางรถไฟแห่งนั้น อีก...เลย... "
" เหวอออออ ! " ต้าร้องออกมาแล้วก็วิ่งเข้ามากอดผมทันทีโดยที่ผมสะดุ้งและไม่ทันตั้งตัว " มิ้นคร้าบ ผมจังเลย "
ต้าเอามือตนเองซุกกอดกับร่างกายของผมแน่น เขาจงใจโอบกอดร่างกายผมไว้ซะจนไม่สนใจเลยว่าจะมีใครมองมารึเปล่า อารมณ์ความกลัวผีของผมนั้นหายไปหมดแล้ว แต่มือของผมเริ่มกำหมัดแน่นขึ้นมา "
ผวั๊ะ ! !
ผมชกเข้าไปที่หน้าของต้าเต็ม ๆ จนเขาเซกลับไปข้างหลังผมจนหงายหลังร่วงไปกระแทกกับพื้นสนามหญ้าหน้าบ้านพัก ไอ้บ้านี่ ฉวยโอกาสตูจริง ๆ
" งะ งั้น " ต้าลุกขึ้นมาในสภาพปากบวมและมีเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูก " ผมขอเล่าต่อนะ "
เพิ่งจะเคยเห็นมิ้นจังน่ากลัวก็วันนี้วุ้ย จ๋ามองผมที่นวดกำปั้นตนเองอย่างไม่สบายใจ
" เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้ " ต้ามองไปมารอบ ๆ เลียนแบบแมน " ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ๆ "
ผมเริ่มเขยิบถอยหลังให้ห่างต้าให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมตัวเตะไอ้ต้าได้ทุกเวลาหากมันมาหาเรื่องโอบกอดผมอีก ต้าทำหน้าเหวอสักพักแล้วก็เริ่มทำหน้าตาเคร่งขรึมต่อ
" ไม่นานมานี้ มีเรือนจำแห่งหนึ่ง " ต้าเริ่มเล่าเรื่อง " ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเรือนจำที่ทรมานนักโทษโหดที่สุด ในตอนนั้น รัฐบาลที่ปกครองโดยระบบเผด็จการ ได้สั่งให้ประชาชนที่ต่อต้านการปกครองระบบเผด็จการไปขังในเรือนจำแห่งนั้น "
ต้าหลับตาสักพัก จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อเตรียมเล่าต่อ
" เหล่านักโทษที่ไม่ได้มีทั้งความผิดต่างโดนผู้คุมทรมานต่าง ๆ นา ๆ รวมทั้งใช้เป็นเหยื่อในการทดลองกับเครื่องประหารแบบใหม่อีกด้วย มันจะเป็นรูปทรงแคปซูลไข่ นักโทษจะถูกบังคับให้เข้าไปในนั้น ซึ่งภายในนั้นว่างเปล่า แต่พอประตูตู้รูปไข่นี้ปิดลง ก็จะมีแสงเลเซอร์เจาะหัวกระโหลกของนักโทษจนถึงแก่ความตาย ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงมีแต่กลิ่นคาวเลือดหรือคราบเลือดอยู่ในนั้น “
แมวขยับไปนั่งข้าง ๆ แมนและเอามือของเธอกุมมือของแมนเอาไว้ ส่วนผู้ชายทุกคน ( รวมทั้งผมด้วย ) สนใจฟังกันอย่างเต็มที่
" เครื่องประหารเครื่องนั้นได้ประหารนักโทษผู้บริสุทธิ์มาแล้วหลายคน จนกระทั่ง ผู้นำเผด็จการ ตัวการทั้งหมดได้มาดูการประหารนักโทษคนสำคัญ หัวหน้ากลุ่มผู้ต่อต้านและรักความเป็นอธิปไตยมากที่สุด แต่ทว่า เครื่องประหารกลับไม่ทำงาน ด้วยความสงสัยในการทำงานของเครื่องประหารเครื่องนี้ ท่านผู้นำเลยเดินเข้าไปตรงเครื่องประหาร และชะเง้อมองดูภายในว่ามันมีอะไร แต่ทันใดนั้น เครื่องกลับทำงานได้ และท่านผู้นำเข้าไปในนั้น "
ต้าเหลือบตามองทุกคน
" ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงเข้าไปข้างใน แต่ฉันรู้ และฉันก็จะบอก " ต้าเริ่มลดเสียงลงจนเหมือนกระซิบ " เขาโดนวิญญาณของนักโทษที่อาฆาตแค้นผลักเข้าไปในเครื่องประหารนั่น "
ไม่มีใครพูดอะไร พวกเราต่างคนต่างเงียบและฟังเรื่องราวที่ต้าเล่า
" สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้นำในนั้น " ต้าเล่าต่อ " หลังจากที่ประตูเครื่องประหารปิดลง เหล่าผู้คุมต่างพยายามปิดเครื่องและนำท่านออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จ และภายในนั้น ก็มีตัวอักษรที่เขียนข้อความด้วยเลือดปรากฎขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่แต่แรกมันไม่มี มันเขียนไว้ว่า
' เรารอคอยมานานแล้ว.... เวลาที่จะได้แก้แค้น .... คนเลว ๆ อย่างแก '
" จากนั้นก็ได้มีเสียงครํ่าครวญของใครก็ไม่รู้ ดังก้องในเครื่องประหารนั่น จากหนึ่งคน เป็นสองคน จากสองคน เป็นสี่จน และราวกับว่ามีคนนับสิบ ๆ คนพูดออกมาพร้อมกัน แรก ๆ เสียงพูดเหล่านั้นเหมือนเสียงโหยหวน แต่ท่านผู้นำจับใจความได้ว่า ' แกทำอะไรไว้ แกต้องโดนด้วย ' "
" ท่านผู้นำคุกเข่าลงในเครื่องประหารนั้น แล้วก็เริ่มยกมือไหว้วินวอนขอร้อง ' ได้โปรด ฉันสำนึกผิดแล้ว อย่า อย่าทำอะไรฉันเลย ' ท่านผู้นำโอดครวญด้วยความหวาดกลัว แต่เสียงของวิญญาณที่ดังขึ้นนั้นกลับไม่ลงเลย สักพักนึงเสียงโหยหวยของวิญญาณเหล่านั้นก็ลดหายลง แต่ก็มีเสียงของเลเซอร์ปรากฎออกมาแทน จากบนหัวของท่านผู้นำ เสียงนั้นไล่ลงมาจนถึงหลังหัวตนเอง และมาหยุดอยู่ที่หลังคอของท่านผู้นำ ท่านพยายามที่จะหันไปมองหรือเอนหัวหลบ แต่ทว่า กลับขยับไม่ได้ เหมือนมีอะไรบางอย่างยึดร่างกายท่านเอาไว้ "
ต้าเริ่มทำสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้น
" กว่าที่ผู้คุมจะงงเป็นไก่ตาแตกว่าทำไมเครื่องไม่ได้เปิดแต่มันกลับทำงานขึ้นมาเอง ก็มีเสียงร้องของท่านผู้นำออกมา และหลังจากนั้น เครื่องประหารก็เปิดขึ้นมาเอง และร่างของท่านผู้นำก็อยู่ในสภาพคุกเข่าล้มลงออกมาจากเครื่องประหารนั่นลงมานอนกองกับพื้น และหัวของท่านก็ค่อย ๆ หลุดออกมาจากร่างกาย ทั้งเนื้อเยื่อ เอ็น และกระดูกโดนเลเซอร์ตัดขาด ทำให้บริเวณลำคอและหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเลือด "
" ว่ากันว่า เครื่องประหารเครื่องนั้นไม่มีใครสามารถเอาออกมาได้ และวันดีคืนดี ก็มีศพของผู้คุมบางคนที่ทรมานนักโทษที่ตายไปแล้วอย่างไร้เหตุผลนอนกองอยู่หน้าเครื่องประหารเครื่องนี้ในสภาพคอขาดเช่นเดียวกับท่านผู้นำ และเครื่องประหารนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้นมาตลอด จนทุกวันนี้ " ต้าเริ่มเปลี่ยนสีหน้าจากมืดมนเป็นร่าเริงขึ้น " เป็นไง ใช้ได้เปล่า "
" ฟังดูเว่อร์ ๆ และไร้เหตุผลไปนิดนะ " ชายบอก " แต่ก็โอเคอะ น่ากลัวดี "
" มิ้นหละคร้าบ " ต้าหันมามองทางผม " เรื่องของผมน่ากลัวดีปะ "
" ใช่ น่ากลัวจนฉันเชื่อเลยแหละ " ผมตอบ
" หะ นี่มิ้นจังกลัวจนเชื่อว่ามันมีจริงเลยเหรอครับ " ต้าถามผมตาโต
" ใช่ ฉันจะได้จับแกเข้าไปในเครื่องประหารนั่นไง " ผมตอบประชดมันกลับไป หนอย ไอ้เรื่องที่แกมาหาเรื่องกอดฉันตอนเผลอนี่มันยังไม่หายแค้นนะเว้ย
" แง้ ไม่เอา ผมกลัว " ต้าทำหน้าทะเล้นออกมา เหอ ๆ
และหลังจากนั้น พวกเราก็เล่าเรื่องผีกันต่อ พวกเราเล่าโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า มีร่างอะไรสีขาว ๆ ไม่รู้มายืนฟังพวกเราอยู่ข้างหลังอย่างตั้งใจเช่นกัน จนกองไฟเริ่มมอดลง ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าไปในบ้านพักเพื่อไปนอนพักผ่อนกัน แต่ทว่า ร่างขาว ๆ ร่างนั้นกลับหายไปโดยไม่รู้และไม่มีใครรู้ตัวเลยว่า
ร่างนั้น หายไปไหน
" นี่ ๆ มิ้นจัง " ต้าทักผมก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปในห้องนอน
" มีอะไรอีก " ผมถามมันอย่างสงสัยปนไม่พอใจเล็กน้อย เพราะทั้งภาพและความรู้สึกของผมตอนโดนมันกอดมันยังติดตาผมเลยนะ
" ถ้ามิ้นจังกลัวละก็ มานอนกับผมไหมคร้าบ " ต้าทำหน้าตาลามกประกอบท่าทางไปด้วย
" แกอยากกลายเป็นวิญญาณสิงที่นี่ไหม " ผมเริ่มแสยะยิ้มและนวดกำปั้นผมเบา ๆ
" ไม่ดีกว่าครับ " ต้ารีบทำท่าทางหวาดกลัวออกมา
" งั้นฉันไปนอนก่อนนะ " ผมหันหลังไปที่ประตูและยื่นมือจับที่ประตู
" เดี๋ยว มิ้น " ต้าเอามือมาจับที่หัวไหล่ผม
วินาทีนั้นผมเกือบจะหันหน้าแล้วชกมันอีกรอบ แต่ผมกลับทำไม่ลง ทำไมกันนะ
" เมื่อกี้นี้ เราขอโทษนะ " ต้าเอ่ยเสียงเข้มขรึม และเมื่อผมมองเขาผ่านหางตา ก็พบว่าเขาทำหน้าตาสำนึกผิดออกมาโดยไม่เสแสร้ง
ต้าเอามือจับไหล่ผมสักพักแล้วก็ปล่อยออก จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้องนอนที่เขานอนพักทันทีโดยไม่รอคำตอบอะไรจากผม
ผมเอามือตนเองจับบริเวณที่ต้าเอามือมาจับหัวไหล่ของผมอย่างเบามือ
หนอย ไอ้ร่างกายบ้า ผมคำรามในใจอย่างหงุดหงิด ทำไมแกทรยศความคิดตูฟะ ! !
ความคิดเห็น