คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนพิเศษ - เที่ยวตะลุยเหนือ อีสาน ตอนสี่ : เที่ยววันแรก
ตะวันสาดส่องสู่พื้นโลก แสงแดดสาดส่องเพิ่มความสว่างสดใสให้กับบรรยากาศของเมืองหนาวคืนแรก ฟ้าลุกขึ้นมาจากที่นอนตนเองพลางกอดอกเพราะความเหน็บหนาวที่โถมใส่โจมตีตนเองและกระซับเสื้อกันหนาวที่เธอใส่ให้แน่นขึ้น เธอเปิดม่านของห้องพักเพื่อดูบรรยากาศเช้าวันใหม่ของจังหวัดน่าน แสงแดดยามเช้าส่องเข้าผ่านหน้าต่างมาเป็นลำ ลมเย็น ๆ โชยเข้ามาสัมผัสหน้าของเธอ เด็กสาวถูมือตนเองเพื่อให้เกิดความอบอุ่น เธอหายใจทางปากออกมาเพราะจมูกของเธอเย็นจนแทบไร้ความรู้สึก ควันสีขาวลอยออกมาจากปากของเธอเล็กน้อย เธอมองดูอย่างแปลกใจ และเริ่มพ่นลมออกมาบ้าง ควันสีขาวจาง ๆ ก็ออกมาจากปากของเธอเช่นกัน
" สุดยอดเลย " ฟ้าพึมพำออกมาอย่างตื่นเต้น แล้วจากนั้นเธอก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของห้องพัก หยิบถุงเท้าออกมา เพราะพื้นห้องพักเป็นพื้นไม้ ทำให้ความเย็นเกาะพื้นห้องพักจนเธอยืนเกือบไม่ได้ เมื่อเธอสวมถุงเท้าเพื่อคลายความหนาวแล้ว เธอก็เดินไปสะกิดจ๋าเพื่อปลุกเธอ
" จ๋า ๆ เช้าแล้วนะ " ฟ้าเอานิ้วจิ้มข้างหนึ่งที่ไม่ได้กอดอกจิ้มที่แก้มจ๋าเบา ๆ " จ๋า ตื่นเถอะ "
เธอยังไม่ตื่น จ๋านอนซุกตัวเองกับผ้านวมของรีสอร์ทและนอนตะแคงหันหน้าหนีฟ้าอยู่ เธอซุกเข้าไปในผ้านวมอย่างหนาจนเหลือแค่วส่วนคอของเธอขึ้นไปเท่านั้นที่โผล่ออกมา
" นี่ จ๋า " ฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากเอานิ้วจิ้มมาเป็นทั้งมือของเธอมาจับที่ต้นคอเพื่อเขย่าร่างของเธอ " 7 โมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่ได้กินข้าวเช้าหรอกเธอ "
แต่จ๋าก็ยังคงหลับสนิท ฟ้าเริ่มเอามือจับที่หัวไหล่ของเธอผ่านผ้านวมเพื่อปลุกเธออีกครั้ง แต่เธอก็ได้แค่พึมพำออกมา ฟ้าจับใจความได้ว่าเธอพึมพำชื่อผมออกมา แต่ฟ้าไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่านั้น
" นี่ จ๋า จะตื่นเองหรือให้ฉันเองนํ้าราดยะ "
ฟ้าเริ่มเหวอย่างหงุดหงิด แต่จ๋าก็ยังหลับสนิท
" ไม่ไหวเล้ย " ฟ้าพึมพำออกมาและเริ่มเอามืออีกข้างมาจับที่ขอบผ้านวมที่จ๋าดึงขึ้นมาห่มส่วนคอของเธอดึงลง และเธอก็ยื่นมือเตรียมจับหัวไหล่ของจ๋าทั้ง 2 ข้างเพื่อเตรียมเขย่าตัวปลุกอีกครั้ง
แต่ทว่า ตอนนั้นเอง จ๋ากลับขยับตัวและใช้มือของเธอทั้ง 2 ข้างของเธอมาคล้องหลังคอของฟ้าอย่างรวดเร็วจนฟ้าต้องทรุดตัวลงไปคุกเข่ากับพื้นด้วยความตกใจ ฟ้ามองดูจ๋าด้วยความตกใจ แต่เปลือกตาของเธอทั้ง 2 ข้างก็ยังปิดสนิท
" หนูชอบนะคะ " จ๋าพึมพำออกมาโดยที่ตาของเธอยังหลับอยู่ เสียงของเธองัวเงียออกมาและฟังแทบไม่ได้ศัพท์ " ชอบมานานแล้วด้วย "
" จะ จ๋า " ฟ้าเริ่มมองเธอไม่ค่อยดีแล้ว
" หนูชอบจริง ๆ นะคะ "
ฟ๊อด !
จ๋าจับร่างของฟ้าซึ่งฟ้าเองตั้งตัวไม่ทันด้วยความตกตะลึงกับอาการของจ๋า เธอลากตัวของฟ้าเข้ามาใกล้ ๆ หมอนที่เธอนอนแล้วก็เริ่มลงมือเอาปากของเธอ ไปหอมแก้มกับแก้มของฟ้าจัง ๆ ปากและจมูกของจ๋าชนกับแก้มของฟ้าและสูดหายใจอย่างแผ่วเบา เพราะว่าเธอยังหลับอยู่นั่นเอง ฟ้าหน้าแดงออกมาเมื่อเธอรู้ตัวว่าจ๋าทำอะไรกับเธอเมื่อสักครู่นี้
เปลือกตาของจ๋าค่อย ๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย และเมื่อเธอพบว่าหน้าของฟ้าอยู่ใกล้เธอมา เธอลืมตาทันทีด้วยความตกใจ มือของเธอรีบปล่อยจากคอของฟ้าทันทีจนฟ้าต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น
" ว้าย ฟ้า " จ๋ารีบยกมือมาปิดปากตนเอง เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าของเธอจนแดงแป้ดออกมาด้วยความตกใจปนอาย " คะ เค้าขอโทษนะ "
" นี่ จ๋า " ฟ้าค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและเอามือมาถูแก้มตนเองโดนจ๋าหอมแก้มเมื่อกี้นี้
ฉันไม่ใช่ผู้ชายตัวแทนใครนะ ที่เธอจะมาหอมแก้มกันง่าย ๆ ฟ้าคิดอย่างไม่ชอบใจ เธอมานึกบ้าอะไรมาหอมแก้มฉัน
" นี่เธอแกล้งฉันรึยังไงกันเนี่ย " ฟ้าถามจ๋าอย่างไม่ชอบใจ
" ปะ เปล่านะ " จ๋ารีบส่ายหัวอย่าวรวดเร็วจนผมสยายยาวของเธอที่ไม่ได้รวบเอาไว้ส่ายไปส่ายมาราวกับเธอจะสะบัดมันให้หลุดจากหัวของเธอ เมื่อเธอหยุดส่ายหัว นํ้าตาของเธอเริ่มนองที่นัยน์ตาของเธอเล็กน้อย " ฉะ ฉันไม่รู้เรื่องนะ ฉันไม่รู้จริง ๆ "
" ก็ได้ ๆ ฉันเชื่อเธอแล้วกัน " ฟ้าพึมพำออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก พลางเอามือถูแก้มข้างที่โดนจ๋าหอมแก้มเมื่อกี้นี้เป็นการใหญ่ " แล้วเมื่อกี้เธอฝันถึงใครหละ "
ภาพของผมปรากฎขึ้นมาในความคิดของจ๋า เธอยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่เมื่อคิดเรื่องนี้
" ปะ เปล่า " เธอส่ายหัวอีกครั้งด้วยความร้อนรน " ไม่มี ไม่มี ไม่มี ๆ ๆ ๆ ๆ "
" เอาเถอะ ๆ " ฟ้าพูดอย่างไม่ถือสา พลางคิดในใจว่าจะขอย้ายห้องมานอนกับผมและฝนแทน เพราะเธอกลัวโดนจ๋าหอมแก้มอีกครั้ง
" จ๋า งั้นเราไปดีกว่า เช้าแล้ว ไปรับบรรยากาศยามเช้ากันนะ " ฟ้ารีบคุยเรื่องอื่น ซึ่งจ๋าพยักหน้าอย่างรู้สึกผิดและเห็นด้วย
เมื่อฟ้าเดินออกมาจากห้องพักตนเองแล้วก็พบเทรนในชุดเสื้อกันหนาวทีขาวและยืนบิดขี้เกียจและอ้าปากหาวอยู่หน้าห้องพักของเขา
" อรุณสวัสดิ " เทรนยกมือขึ้นทักทาย
" แล้วแมนกับต้าหละ " ฟ้าหันไปมองในห้องพักของเทรนที่ยังเปิดอ้าอยู่ แต่ยังไม่มีใคร " ลงไปแล้วเหรอ "
" อันที่จริง พวกเขาไม่ได้มานอนทั้งคืนเลยมั้ง " เทรนพึมพำตอบ
" หา ว่ายังไงนะ " จ๋าถามตาโต
" กำลังจะลงไปดูเหมือนกัน ไปด้วยกันไหม " เทรนชวน ซึ่ง 2 สาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมื่อเทรน จ๋า และฟ้า เดินลงไปยังชั้นล่างของบ้านพัก ก็ต้องพบกับภาพสุดช็อก
" อุ้ย ตายแล้ว " ฟ้าเอามือปิดปากด้วยความตกใจ
สภาพของชั้นล่างในตอนนี้เหมือนกับสภาพของหลังสงครามก็ไม่ผิด เหล่าทหารกล้าที่ไล่ล่าฆ่าตบยุงเมื่อคืน อันได้แก่ ตัวผมเอง แมน ชาย แมว ต้า และหัวหน้าห้องที่ไล่ล่าฆ่าตบยุง ( แค่ตัวเดียว ) นอนสลบไสลกันเกลื่อนชั้นล่าง ผมกับแมวนอนสลบอยู่บนโซฟา ต้า แมน และหัวหน้าห้องที่นอนเรียงบนพื้นต่อกันและเอาร่างกายของแต่ละคนเป็นที่หมุนหัวนอน โดยทั้ง 3 คนนอนบนพื้นพรมและนอนกันเป็นรูปพีระมิด ส่วนชายนั้นยังพยายามยืนทรงตัวให้ได้อยู่ฃ
" เกิดอะไรขึ้นเนี่ย " เทรนพึมพำออกมาอย่างตกใจและมองไปรอบห้อง ตอนนี้ฝนกับซาระกำลังช่วยกันพยุงให้ผมกับแมวลุกขึ้นนั่ง ในขณะที่ปอกับปลามองดูรอบห้องด้วยความสนใจฃ
" จะอะไรซะอีกหละ " แมนเอามือก่ายหน้าผากตัวเองและพึมพำออกมา " ก็ไล่ตบยุงไง "
" ยุงตัวเดียวเนี่ยนะ " เทรนถามต่ออย่างไม่น่าเชื่อ " แล้วตกลงฆ่ามันได้ตอนกี่โมง "
" ไม่ได้ " ผมพึมพำออกมาบ้าง หัวของผมเอียงไปเอียงมาเมื่อฝนพยายามจัดร่างของผมให้อยู่ในท่านั่ง " พยายามตบมันทั้งคืน "
" แต่มันหลบฝ่ามือพวกเราได้หมดเลย " แมวพูดขึ้นมาบ้างและเสียงแทบแหบ " เลยไม่ได้นอนทั้งคืนเลย "
ไม่น่าเชื่อ แค่ยุงตัวเดียวกลับตบมันไม่โดนแถมไม่ได้นอนทั้งคืนอีก เทรนมองสภาพศพของเพื่อนตนเองรอบห้องด้วยความตกตะลึง
" พวกเราลงมาก็เจอพวกเขาในสภาพนี้แล้วนะสิ " ซาระบอกด้วยความเป็นห่วง " ซาระเอาที่ซ็อตยุงมาด้วย น่าจะบอกซาระนะ "
" ไม่ทันแล้ว " ต้าขยับหัวไปมาแล้วก็อ้าปากหาววอด
จะมีใครสังเกตบ้างไหมว่า บนหัวของพวกเขานั้นมียุงเจ้าปัญหายังบินไปบินมาอยู่ และมองดูพวกเราอย่างสนุกสนาน
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง พวกผมก็ลากสังขารออกจากบ้านพักเพื่อไปยังเรือนริมนํ้ารับประทานอาหารเช้ากัน และแน่นอนว่าอากาศยามเช้าช่วยทำให้พวกผมสดชื่นขึ้นบ้าง
หมอกเริ่มจางหายไปแล้ว มีแสงแดดสาดส่องนำพาความอบอุ่นมาให้พวกเรา ลมเย็น ๆ ยามเช้าพัดเข้าหาพวกเราทำให้สาว ๆ บางคนต้องกอดอกเพื่อคลายความหนาว มีแต่ผมและพวกผู้ชายเท่านั้นที่เริ่มสดชื่นขึ้นมาบ้างเพราะอากาศเย็น ใช่แล้ว อากาศเย็นทำให้ผมมีชีวิตชีวา ตอนแรก ๆ พวกผมพูดกันจะมีควันออกมาจากปาก แต่เมื่อสายขนาดนี้แล้วก็ไม่มีควันออกมาจากปากแล้ว เสียงยํ่าเท้าของพวกเราบนพื้นถนนลูกหินดังไปทั่ว
" มิ้นไม่หนาวบ้างเหรอ " ฝนเดินมาข้าง ๆ ผมและกอดอกเงยหน้ามองผม สีหน้าของเธอเหมือนกับเด็กสาวในเมืองหนาวมาก ผมบอกได้คำเดียวว่า น่าร๊ากกก
" หนาวสิ แต่ก็ชอบนะ " ผมยิ้มอย่างร่าเริง แต่ก็ต้องส่ายหัวเพื่อคลายความง่วงต่อ โอ้ยยย ยุงตัวเดียวแท้ ๆ กลับตบมันไม่ได้ !
พวกผมเดินไปยังเรือนริมน้ำ ซึ่งมองเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อคืน มีเก้าอี้ช้อน ๆ กันเป็นจำนวนมากวางเรียงกันอยู่ในสุดของเรือนริมนํ้า วิวภายนอกที่เมื่อคืนเห็นแต่สีดำ บัดนี้เห็นป่าไม้ริมแม่นํ้าปิงจนให้บรรยากาศของธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาที่สวยงามและมองแล้วสดชื่นสบายตามาก นํ้าจากแม่นํ้าปิงไหลผ่านเรือนริมนํ้าไปทางซ้ายของพวกเรา พัดพาเศษใบไม้และกิ่งไม้ไปด้วย นํ้าค่อนข้างใสแต่ท่าทางน่าจะลึกเพราะว่าสีของนํ้าค่อนข้างมืด
อาจารย์จากโรงเรียนของผมก็อยู่ในเรือนรับรองนี้ พวกท่านกำลังกำลังชงกาแฟและกินอาหารเช้า ข้าวต้ม กันอยู่ และเมื่อพวกผมไหว้ทักทายอาจารย์ ท่านก็อดไม่ได้ที่จะทักทายลูกศิษย์ตอบฃ
" เป็นไงลูก เมื่อคืนหลับสบายดีไหม " อาจารย์สอนวิชาสังคมถามพวกผมอย่างอ่อนโยน จนทำให้ผมนึกถึงแม่ไม่ได้
" หลับสบายดีคะ " ฝนตอบอย่างรื่นเริง " อากาศหนาวไหมคะอาจารย์ "
" พวกครูนะไม่ได้เปิดหน้าต่างกันเลย " ครูสอนเคมีหัวเราะร่วน " แหม๋ ก็พวกครูแก่แล้วนี่นา ใครจะสู้หนุ่ม ๆ สาว ๆ อย่างพวกเธอได้ "
" อ้าว แล้วพวกเธอไปทำอะไรมานะ " ครูประจำชั้นเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นพวกผมอยู่ในสภาพที่ โทรม สุด ๆ " ท่าทางไม่ค่อนร่าเริงกันเลยนินา "
" คือ เพิ่งผ่านสงครามคะ " ปอตอบแทนพวกผมแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง อาจารย์ทั้งหลายหัวเราะออกมาจนหยุดไม่ได้ฃ
" ฮือ ครูค้าบ มันไม่ขำนะค้าบ " ต้าพึมพำออกมาราวกับผู้ป่วยโรคร้ายระยะเริ่มต้น
" ใช้ที่ช็อตยุงก็น่าหมดเรื่องนี่นา " อาจารย์ประจำห้องห้องหัวเราะอย่างอารมณ์ " เอ้า มา ๆ มากินข้าวต้มเรียกพลังกันก่อน "
อาหารเช้าของทางรีสอร์ทนั้นตอนแรกเราสั่งต่างหาก แต่พอรู้ว่าอาจารย์พวกผมมาด้วย ซาระเลยสั่งรวมมาเลย นั่นก็คือ ชุดชา กาแฟ และโอวัณตีน แน่นอนว่าพวกผมต้องกินโอวัณตีนกันเพื่อเรียกพลังงาน ยกเว้นหัวหน้าห้องกับต้า 2 คนที่ต้องโด๊ปกาแฟ เพราะว่า 2 คนนี้ต้องขับรถพาพวกเราเที่ยว มีนํ้าร้อนให้พร้อม และอาหารคาวของพวกเรานั้นก็คือ ข้าวต้มนั่นเอง ทางรีสอร์ททำออกมา 2 หม้อใหญ่ โดยแยกเป็นข้าวต้มหมูและข้าวต้มไก่ หม้อมีขนาดใหญ่ประมาณเก้าอี้ได้ แต่กว้างเกือบครึ่งหนึ่งของกะละมัง เครื่องปรุงต่าง ๆ วางอยู่บนโต๊ะอาหารที่เดียวกันกับโต๊ะอาหารเมื่อคืน พวกผมที่ผ่านสงครามมากันทุกคนต่างซัดข้าวต้มด้วยความหิวโหย ( เพราะสูญเสียพลังงานไปเยอะมากเมื่อคืน ) จนกินเข้าไปได้คนละ 3 ชามแล้ว ในขณะที่สาว ๆ คนอื่น ๆ กินแค่ 1 ชามครึ่งก็เริ่มจุกแล้ว
" โอโห อย่างกับอดอยาก " ครูประจำชั้นผมมองดูต้ากับแมนเดินไปตักข้าวต้มอีกเป็นชามที่ 4 แล้ว
" บอกแล้วคะ อาจารย์ ว่าพวกเขาเพิ่งผ่านสงครามมา " ปลาพูดเสริมและมองดูผมลุกไปตักชามที่ 4 บ้าง
หลังจากที่กินข้าวเสร็จกันได้มานาน อาจารย์ทั้งหมดก็ต้องขอตัวลาพวกผมกลับกันก่อน
" น่าเสียดายนะครับอาจารย์ " หัวหน้าห้องพูดเมื่อพวกผมเดินไปช่วยท่านขนกระเป๋าขึ้นรถตู้ " ที่อาจารย์มาค้างแค่คืนเดียวนะครับ "
" นั่นสิ ครูเองก็เสียดายนะ " ครูสอนภาษาไทยยิ้มและมองไปรอบ ๆ " แต่พวกครูมีงานที่โรงเรียนจมเลย คงค้างต่อไม่ได้หรอก "
" สนามหญ้าตรงนั้นก็น่าไปตีแบตเล่นกันนะ " ครูพละผมยิ้มให้ผมอย่างร่าเริง " น่าเสียดายจังเลยนะ หน
มิ้น "
" ฮะฮะ " ผมหัวเราะไปงั้น ลมแรงงี้วิ่งรับลูกทีตาย
" เอาหละ " ครูประจำชั้นห้องผมพูดขึ้นเมื่อคนขับรถปิดฝากระโปรงหลังรถแล้ว " งั้นพวกครูไปก่อนนะ เจอกันวันเปิดเทอมนะเด็ก ๆ "
" เจอกันที่โรงเรียนครับ " ต้าบอกกับอาจารย์
" อย่าลืมทำรายงานด้วยนะ " ครูเคมียํ้าเตือนกับพวกผมก่อนที่ท่านจะขึ้นรถ และเมื่อประตูรถปิด พวกผมโบกมือลาอาจารย์จนกระทั่งรถตู้โรงเรียนทั้ง 2 คันวิ่งหายลับจากทางเข้ารีสอร์ทไป
" เอาหละ " ซาระปรบมือขึ้น " เดี๋ยวทางเราก็ไปเที่ยวต่อกันบ้างนะ ไปอาบนํ้าแปรงฟันเร็วทุกคน "
" อืม นั่นสินะ " ผมพูดอย่างเห็นด้วยและรีบเดินเข้าไปในบ้านพักจนเกือบแข่งกับฝนเพื่อไปอาบนํ้าคนแรก
หลังจากที่พวกเราอาบนํ้าอาบท่ากันเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวกัน โดยตามที่คนของรีสอร์ทแนะนำที่แรกที่น่าไปและอยู่ใกล้ ๆ กับรีสอร์ท นั้นก็คือ อนุสรณ์สถานสมรภูมิ
หลังจากที่รถตู้เช่าของซาระได้มาจอดที่จอดรถของอนุสรณ์สถานแล้ว (โดย 2 หนุ่มที่ขับรถมา) และเมื่อพวกผมเดินออกมาจากรถ แสงแดดเริ่มสาดส่องพื้นโลกแรงขึ้น และอากาศที่เย็นจับใจก็เริ่มอุ่นขึ้นเมื่อผิวกายพวกผมสัมผัสแสงแดด ลมเย็น ๆ พัดมาหาพวกเราอย่างต่อเนื่องสถานที่นี้ราวกับมีอาณาเขตเป็นวงกลม และมีทางขึ้นไปตรงกลาง พวกผมไม่รีรอทันทีที่จะเดินขึ้นไป
อนุสรณ์สถานสมรภูมินั้นมีชื่อเต็มๆว่า อนุสาวรีย์วีรกรรม พลเรือน ตำรวจ ทหาร สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรชน ผู้พลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด และวางพวงมาลา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2519 จึงถือเอาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันวางพวงมาลา และบำเพ็ญกุศลแก่วีรชน นั่นเอง
มีรายชื่อของเหล่าผู้พลีชีพเพื่อแผ่นดินติดเอาไว้และมีจุดธูปเทียนให้ไหว้เพื่อเคารพถึงผู้เสียสละกัน ตอนแรก ๆ พวกผมนึกว่าซาระ ปอกับปลาจะจุดธูปไม่เป็นกัน แต่ซาระสามารถจุดได้อย่างชำนาญ เพราะเธอบอกว่าตอนเธออยู่ที่ญี่ปุ่นก็ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดในญี่ปุ่นบ่อยๆ ส่วนปอกับปลานั้น เนื่องจาก 2 คนนี้โดนพวกองค์กรจับตัวไปขังตั้ง 1 ปี ผมก็นึกว่าพวกเขาจะลืมวิธีการจุดธูปกันแล้ว แต่ทั้ง 2 คนมองดูคนอื่น ๆ จุดธูปแล้วก็ลงมือทำได้โดยไม่มีปัญหาล
เมื่อผมเคารพแด่เหล่าบรรพชนที่เสียสละเพื่อแผ่นดินไปแล้ว ผมมองไปทางคนอื่น ๆ โดยมีต้า ซาระและหัวหน้าห้องกางแผนที่ที่รีสอร์ทให้มาเพื่อจะไปดูต้นชมพูภูคากันตามกำหนดการ (ที่ซาระบอกในรถเมื่อตะเกี้ย แต่ซาระบอกมาเนิ่นๆว่ามันอาจไม่สวยเหมือนตอนมันออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์) ทั้ง 3 คนช่วยกันบอกทางกัน คนอื่น ๆ ก็เดินเล่นรอบ ๆ ว่าแต่ แมวหายไปไหนหว่า
" เอาหละ " ต้าพยักหน้าให้หัวหน้าห้องแล้วก็พับกระดาษแผนที่ที่อยู่ในมือเป็นชิ้นเล็ก ๆ และใส่กระเป๋าอกเสื้อกันหนาว " ไปกันต่อเลยละกันครับ เดี่ยวเราไปดูต้นชมพูภูคากัน "
พวกเราทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วก็เดินลงทางเดินไปที่ขึ้นรถ แต่ทว่า แมวกลับมานั่งรออยู่บนรถคนแรกเลย
" อ้าวแมว " ผมอุทานอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเธอมานั่งรอในรถแล้ว " มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ทำไมไม่เห็นเลย "
" สักพักนะจ๊ะ " แมวยิ้มตอบพวกผม " พอดีไปหาของนิดหน่อยนะ "
" ของอะไรเหรอ " ผมถามแมวอย่างสงสัย เสียงเปิดประตูรถดังขึ้น หัวหน้าห้องเปิดประตูและขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับพอดี
" ฉันหาอุปกรณ์มาฆ่ายุงนะสิ " แมวเริ่มตอบด้วยแววตาโหดเหี้ยมอำมหิต หวึย น่ากลัววุ้ย
และหลังจากนั้นเมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อมแล้ว รถตู้ทั้ง 2 คันก็เดินทางไปยังสถานที่เที่ยวแห่งที่ 2 นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เพื่อไปดูต้นไม้ที่เหลือเพียงต้นเดียวในโลกและกำลังจะสูญพันธุ์ ต้นชมพูภูคา
ทางขึ้นไปบนรีสอร์ทนั้นไม่มีอะไรมาก นอกจากผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่อุทยาน (ที่เสียเวลานิดหน่อยเพราะเจ้าหน้าที่แปลกใจที่คนขับอายุน้อย แต่ต้าโมเมบอกเขาไปว่าอายุ 20 แล้ว แต่หน้าอ่อน เหอ ๆ ) และขึ้นไปบนภูเขาเขตอุทยานแห่งชาติ และเมื่อต้าขับนำทางไปตามทางจนกระทั่งถึงต้นชมพูภูคา โดยมีป้ายบอกทางชัดเจน และเมื่อประตูรถเปิดออก อากาศก็เย็นกว่าข้างล่าง เสียงจิ้งหรีดในป่าก็ดังเซงแซ่ เสียงใบไม้ไหวพร้อมกับลมเย็นของเมืองเหนือพัดหาพวกผมจนผมต้องอิจฉากับคนที่อยู่ที่นี่ เพราะถ้าอากาศเย็นสบายแบบนี้สามารถย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพได้นี่ ไม่ต้องมานั่งเหงื่อแตกเหงื่อแตนทุกวันแน่
ทางเดินไปดูต้นชมพูภูคานั้นยื่นออกไปทางผ้าเล็กน้อย เป็นสะพานไม้ที่มั่นคงและแข็งแรง ทางซ้ายมือมีป้ายบอกรายละเอียดของต้นชมพูภูคาโดยมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รอบ ๆ ผมตอนนี้มีแต่ต้นไม้ขึ้นล้อมรอบ ไหนหละ ต้นชมพูภูคาที่ว่า ?
" นั่นไง มิ้น " ชายชี้ให้ผมดู จนผมต้องมองแล้วแทบตะลึง
มันเป็นต้นไม้ผุ ๆ ต้นนึง
" โอโห " ต้าพึมพำออกมา " นี่พวกตูขับรถมาเป็นพัน ๆ กิโลเพื่อมาดูต้นไมั้ผุๆต้นเดียวเนี่ยนะ "
" ทำไงได้ " ชายอ่านในป้ายที่บอกรายละเอียดต้นไม้ " มันมีต้นเดียวในโลกเลยนะ ยังไม่สามารถหาทางเพาะพันธุ์ได้ เพาะเนื้อเยื่อก็ยังไม่ได้ เลยมีแค่ต้นเดียวในโลก "
" เหอ ๆ แต่ฉันว่านะ " ต้ามองไปอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย " ฝนตกฟ้าผ่าทีโค่นแล้วมั้ง "
" ไอ้ต้า ปากแกมันทำด้วยซักโครกไงยะ ดูพูดเข้า " แมวแว๊ดใส่เขาทันทีด้วยความไม่ชอบใจ
ผมเดินเลี่ยง 2 หน่อนี้ทะเลาะกัน แล้วก็เห็นซาระยืนส่องกล้องถ่ายรูปอยู่ และเมื่อถามเธอก็พบว่าเธอส่องดูดอกของมันที่ยังตูมอยู่ ผมเลยขอยืมกล้องซาระมาดู
เหอ ๆ มันก็ต้นไม้ผุ ๆ จริง ๆ แหละว้า น่าเสียดาย มาผิดเดือน หุ ๆ
" เอาหละ ถ่ายรูปหมู่เร็ว " ซาระเรียกทุกคน พวกเราไปยืนเก๊กท่ากันเพื่อเตรียมถ่ายรูปเต็มที่ แต่คนที่ถ่ายก็คือ
" ทำไมต้องเป็นฉัน " ต้าถามอย่างสงสัยเมื่อโดนแมวยัดเยียดให้เป็นคนถ่ายรูป
" คนปากปีจออย่างนายไม่ต้องมาถ่ายรูปคู่กับต้นไม้ต้นนี้หรอกยะ "
" ชิ เค้าล้อเล่นนิดเดียวเอง "
ผมหันไปมองดูต้นชมพูภูคาอีกครั้ง และอวยพรขอให้เราสามารถเพาะพันธุ์ให้ขยายพันธุ์ได้อีกครั้งก่อนที่มันจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้
คุ้มค่าจริง ๆ ที่มาเที่ยว
------------------------------
ของแถม
จริงๆแล้วการไปเที่ยวจริงๆนั้นมีการแครับลานดูดาวด้วย แต่มันเป็นแค่การชมวิวเฉยๆ เลยไม่ได้ใส่ลงไปครับ
ความคิดเห็น