ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mission CrossDress Spy : ปฏิบัติการเดือด สายลับหน้าหวาน

    ลำดับตอนที่ #12 : Mission 12 : ปฏิบัติภารกิจที่กองถ่ายหนัง

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 54


    ผมวิ่งไปตามทางข้างหน้า เหงื่อจำนวนมากไหลหยดออกมาจากใบหน้าและตามตัวของผม ปากของผมอ้าหอบหายใจไม่หยุด ความเหน็ดเหนื่อยมันเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ผมคิดในใจแค่ว่า อีกเดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้ว

    แต่ทว่า เมื่อผมวิ่งไปสุดทาง ปรากฎว่าข้างหน้านั้นเป็นทางตัน กำแพงสูงขึ้นไปราวสิบกว่าเมตรได้ ยากที่ผมจะกระโดดถึง ผมมองไปทางขวา ผมมองเห็นราวเหล็กอยู่ราวหนึ่ง ผมไม่รอช้าเลยที่จะรีบปีนขึ้นไปข้างบน แล้วพยายามโหนตัวขึ้นไปบนราวนั้น หวังจะไต่ราวขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อปีนหนีข้ามกำแพงไปให้ได้

    เปรี้ยง!!

    เสียงปืนดังสนั่น ผมตกใจจนเผลอปล่อยมือร่วงลงมา ถึงแม้ว่าความสูงของราวเหล็กนี้จะไม่สูงมาก ทำให้ผมร่วงลงมาแล้วไม่เจ็บมาก แต่ก้นของผมก็กระแทกเข้าเต็มๆ จนซํ้าไปเหมือนกัน ผมหลับตาเพราะความเจ็บปวดมันแล่นทั่วสะโพกผม และเมื่อผมเงยหน้ามองดูข้างหน้า ปรากฎว่าปืนหลายสิบกระบอกเล็งมาทางผม ผมยืนขึ้นแล้วคว้ามีดสั้นสองเล่มที่ผมแนบเอาไว้ข้างลำตัวขึ้นมาถือเอาไว้ทันที และจ้องมองดูพวกทหารยามที่ถืออาวุธสงครามเล็งมาทางผม พวกมันมีเป็นสิบๆ คนเลยทีเดียว

    แปะ แปะ แปะ

    เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นข้างหลังทหารยาม และเมื่อทหารยามตรงกลางหลีกทางไปข้างๆ ผมก็ต้องพบกับหัวหน้าของพวกมัน ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนเหยี่ยว ดวงตาคบกริบราวกับนกอินทรี ตัวของมันสูงราวเมตรครึ่งได้ มันสวมใส่สูทเรียบร้อยที่ผิดกับหน้าตาและสถานการณ์ในตอนนี้

    "ยอดเยี่ยมมาก" เขาเอ่ยกับผม ""เจ้าเก่งมากนะ ที่ฝ่าระบบรักษาความปลอดภัยชั้นหนึ่งของข้ามาได้ ไม่เคยมีใครเข้าและออกมาจากฐานของข้าได้โดยที่ตัวเองไม่กลายเป็นศพ..."

    "กับดักของนายนี่มันกะโหลกกะลาสิ้นดี" ผมท้าทายตอบ และนั่นทำให้ปืนหลายกระบอกเล็งมาที่หัวของผมมากขึ้น โดยที่ผมไม่กังวลเลยซักนิด

    "ถึงจะยอดเยี่ยมแค่ไหนแต่ฉันก็คงปล่อยเจ้าไปไม่ได้" ผู้ชายใบหน้าเหมือนเหยี่ยวจ้องมองผมด้วยสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจ "ทีนี้ก็ส่งของที่เจ้าขโมยมาได้แล้ว"

    เขายื่นมือมาทางผม ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

    "ของที่ฉันขโมยมางั้นเหรอ ของที่นายขโมยมามากกว่ามั้ง" ผมเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อที่ผมใส่ และหยิบแผ่น CD ขึ้นมาโชว์ให้พวกมันดู

    "แต่เสียใจด้วยนะ ฉันยกให้แกไม่ได้หรอก" ผมแลบลิ้นใส่มันแล้วก็ใส่แผ่น CD เข้าในเสื้อเหมือนเดิม

    "ข้ายอมรับนะว่าที่ผ่านมาไม่มีใครเก่งเช่นเจ้ามาก่อนแล้ว" ชายที่มีใบหน้าคล้ายเหยี่ยวมองผมอย่างดูถูก "สายลับ"

    ผมกระชับมีดที่อยู่ในมือทั้งสองข้างแน่นขึ้นแล้วก็เตรียมรับมือกับพวกลูกน้องของมันทันที

    "กำจัดนังแม่สาวสายลับนี่ให้ได้ แล้วเอาแผ่น CD มาให้ข้า" หัวหน้าของพวกมันกำหมัดแน่นและตะโกนก้อง "ฆ่ามัน!!"

    "และ... คัท!!"

    เสียงผู้กำกับตะโกนดังออกมาจากโทรโข่ง และเสียงออดก็ดังลั่น ผมปล่อยมือวางลงจากที่ต้องเกร็งถือมีดตั้งนาน และคนที่อยู่ข้างหน้าผมนั้นก็เริ่มถอดหมวกที่ราวกับหมวกกันน็อคออกพร้อมกับเอาผ้าเช็ดหน้าปาดเหงื่อตัวเองด้วย ใส่ชุดแบบนั้นตลอดคงร้อนน่าดูเลยแฮะ

    "ยอดเยี่ยม Perfect และงดงามยิ่ง" ผู้กำกับเดินมาทักทายผม เขาตัวสูงใหญ่ ใบหน้าแก่ที่พร้อมไปด้วยประสบการณ์และใจดีเดินยิ้มมาให้ผม "ผมไม่เคยเจอนักแสดงสาวคนไหนที่แสดงบทบู๊ออกมาได้ทั้งน่ารักและเท่แบบนี้มาก่อนเลย เยี่ยมมากครับน้องกอร์ฟ"

    "แหะๆ ขอบคุณค่า" ผมพูดขอบคุณไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ไม่อยากได้รับคำชมเลยแม้แต่น้อย

    "พี่เห็นด้วย เราแสดงได้เยี่ยมมาก" คนที่แสดงเป็นหัวหน้าฝ่ายร้ายเมื่อนี้ก็เอ่ยชมกับผม นํ้าเสียงของเขาดูเป็นมิตรมากกว่าตอนกำลังถ่ายเป็นตัวร้ายลิบลับเลย "เราถ่ายกันมาได้เกินครึ่งเรื่องแถมไม่ต้องถ่ายใหม่ก็เพราะเราเลยนะเนี่ย เยี่ยมจริงๆ"

    "ค่า" ผมก้มหน้าให้ทุกคน ก่อนที่จะเดินไปยังห้องพักนักแสดงของผม โดยที่มีสายตาทั้งช่างกล้อง ทีมงานกองถ่ายและนักแสดงหลายคนส่งยิ้มชื่นชมให้ผม

    และเมื่อผมปิดประตูห้องพักนักแสดงแล้ว ผมสูดหายใจก่อนที่จะตะโกนสิ่งที่ผมเก็บกดมาตลอดทั้งวัน

    "นี่มันเรื่องบ้าอะไรฟะเนี่ยยยยยยย!!" ผมแหกปากตะโกนดังลั่นโดยไม่กลัวว่าเสียงจะทะลุออกไปข้างนอก เพราะห้องพักนักแสดงของกองถ่ายที่นี่เก็บเสียง "ทำไมผมต้องมาแสดงเป็นสายลับผู้หญิงด้วยละเนี่ย!!!"

    "เอาหน่า แสดงได้สมจริงดีออก" พ่อของผมนั่งอยู่ข้างหน้าและยิ้มแป้น โดยที่มีเจ้าหน้าที่นาม เร้ด ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย เขาชูนิ้วโป้งให้ผม "จริงไหมเทียร์"

    และข้างๆ พ่อผมอีกข้างนั้นก็คือ เด็กสาวเทียร์นั่นเอง เธอมองผมพร้อมทั้งยิ้มแป้น สายตาของเธอนั้นทั้งชื่นชมและอิจฉาไปพร้อมกัน

    "ใช่ๆ ทั้งสวยทั้งน่ารักแบบเนี้ย แถมแสดงเก่งอีก อนาคตรุ่งแน่ๆ" เทียร์บอกกับผม นํ้าเสียงของเธอเหมือนน้อยใจเล็กน้อย

    "แม้แต่เทียร์ก็ด้วย นี่พ่อ ไหนพ่อบอกว่าเรามาทำงานไงครับ แล้วจับลากผมมากองถ่ายเพื่ออะไรเนี่ย" ผมถามพ่อทันที

    "ก็เนี่ยแหละทำงาน" พ่อของผมยิ้มต่อโดยไม่หุบเลย "คนร้ายของเราต้องปรากฎตัวออกมาในกองถ่ายนี้แน่ๆ แต่สำคัญ พ่อผมบทให้ลูกเล่นเป็นสายลับด้วยน้า ไม่ชอบหรา"

    "ผมอยากเล่นเป็นพระเอกมากกว่านางเอกนะเนี่ยถ้าจะเล่นอ่ะ" ผมก้มหน้าสลด เพราะยอมรับว่าโดนหลอกมาโดยตลอด

    เมื่อสามวันก่อน ผมกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องดีๆ ก็ได้มีเสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์เรียกทั้งผมและเทียร์ให้ไปพบผู้ปกครอง และเมื่อผมกับเทียร์เดินไปพบ ก็พบว่าโดนเจ้าหน้าที่หน่วย CIA ของพ่อจับผมลากเข้ารถตู้ โปะยาสลบแล้วขับออกจากโรงเรียนไปในทันที มารู้ตัวอีก ก็อยู่ที่กองถ่ายแล้ว แถมต้องมาเล่นหนังเรื่องใหม่ล่าสุดที่ผมต้องรับบทเป็นนางเอกของเรื่องนี้โดยช่วยไม่ได้ และมารู้ตัวอีกที ปรากฎว่าพ่อของเทียร์เองก็เป็นหนึ่งในสปอนเซอร์รายใหญ่ของโครงการหนังเรื่องนี้ ทำให้เรื่องนี้เทียร์มีเอี่ยวกับเขาด้วย

    "แล้วในโลกนี้มันมีพ่อที่ไหนจับกดยาสลบลูกตัวเองแล้วลักพาตัวออกมาแบบเนี้ย" ผมยิงคำถามใส่พ่อตัวเองซึ่งเป็นคำถามที่ผมอยากรู้มาตั้งสามวันแล้ว

    "ก็ที่นี่ไง" พ่อหัวเราะคิกคัก

    "แล้วหนังเรื่องบ้าบออะไร ที่ให้ผู้ชายมาเล่นบทนางเอกเนี่ย ความไม่แตกเอารึไง" ผมถามกลับ

    "ถ้าลูกกังวลแบบนั้น เดี๋ยวพ่อไปเปลี่ยนข้อมูลในสัมนโนครัวประชากรให้เลยเอาป่ะ" พ่อผมยิ้มอย่างชั่วร้าย "เปลี่ยนจาก นาย เป็น นางสาว ซะก็สิ้นเรื่อง"

    "ไม่เอาเด็ดขาด!!" ผมกับเทียร์พูดเสียงดังออกมาพร้อมกัน และเมื่อผมมองหน้าเทียร์ด้วยความคิดในใจประมาณว่าเธอเข้าข้างผมแล้วใช่ไหม แต่เธอนั้นกลับมองหน้าผมตาค้างก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีไปจากผมอย่างรวดเร็ว อะไรของเขานะ ?

    "พ่อล้อเล่นหน่า หรือจะให้เอาจริง" พ่อผมล้อ

    "ผมไม่ใช่ของเล่นของพ่อนะ" ผมเถียงกลับอย่างหัวเสีย ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งงอนที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

    ฮือ ฉันอยากกลับบ้าน ผมคิดด้วยความน้อยใจ

    พ่อของผมและเร้ดหันหน้ามองหากันก่อนที่จะพยักหน้า

    "เอาหละ ตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว ถึงเวลาที่พ่อจะได้อธิบายภารกิจนี้ให้ลูกฟังแล้วนะ" พ่อของผมบอก และนั่นทำให้ผมหูผึ่งทันที ผมรีบหันหน้ามามองดูด้วยความสนใจ

    เร้ดเดินไปปิดไฟในห้องแต่งตัว และเมื่อในห้องมืดแล้ว พ่อของผมหยิบกระเป๋าเอกสารที่มีเครื่องโฮโลแกรมขึ้นมาแบบเดียวกันกับที่อธิบายให้ผมฟังก่อนไปทำภารกิจที่สถานีโทรทัศน์ และเมื่อกระเป๋าเปิดออก เครื่องฉายแสดงสีนํ้าเงินก็ฉายขึ้นมากลางอากาศทันที โดยที่เทียร์นั่งมองดูด้วยความสนใจ

    "เอาหละ ภารกิจในครั้งนี้ไม่ยาก เพราะคนร้ายเรารู้แน่ชัดแล้วว่าอยู่ในกองถ่ายนี้แน่นอน เพียงแต่แฝงตัวเป็นใครเรายังไม่รู้" พ่อของผมบอก ภาพโฮโลแกรมแสดงรูปสร้อยจี้รูปหัวใจสีแดงเม็ดโตในรูปแบบสามมิติและหมุนรอบร้อยแปดสิบองศา "จี้ที่ลูกเห็นนี้ ไม่ใช่จี้ธรรมดา แต่ข้างในนั้นฝังไมโครชิฟที่บรรจุความลับของพวกผู้ก่อการร้ายของเรา โดยแท้จริงแล้ว พวกมันแอบไปยึดบริษัทที่ผลิตสร้อยเครื่องประดับพวกนี้ แล้วแอบฝังซิปไว้ในจี้เส้นนี้ เพื่อหวังที่จะเอาขึ้นเครื่องบินได้โดยไม่ถูกตรวจจับ"

    "แล้วทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้หละครับ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "มันเกิดข้อผิดพลาด ปรากฎว่าทีมงานของกองถ่ายนี้กำลังมาหาเครื่องประดับที่ใช้สำหรับแสดง และเมื่อพวกเขาไปที่บริษัท ก็เจอกับจี้นี้พอดี จึงได้เสนอราคาเพื่อซื้อมา แน่นอนว่าคนระดับองค์กรสิบห้าคํ่าเดือนสิบเอ็ดนั้น เจอใครมาพูดแบบนี้ก็ต้องชักปืนยิงทิ้งแล้ว แต่คนของกองถ่ายนั้นมาเป็นจำนวนเยอะมาก แถมยังมีนักข่าวตามมาเป็นพรวน เพราะผู้กำกับคนนี้เป็นที่น่าจับตามองในการผลิตหนังเรื่องนี้มาก เพราะจะใช้เอฟเฟคและการถ่ายทำแนวเดียวกับเรื่องอินทรีเงิน ถ้าพวกมันจะปฏิเสธหรือฆ่าทิ้งโดยไม่สนใจราคาที่กองถ่ายเสนอมาเป็นหลักสิบล้านแบบนี้ก็น่าสงสัยเกินไป เพราะบริษัทที่พวกมันไปยึดนั้นมีไว้ทำขายเท่านั้น พวกมันเลยจำใจต้องขายจี้เส้นนี้ไป และเมื่อทีมของพ่อรู้ข่าวมาว่ามีซิปฝังอยู่ในนี้จริงๆ จึงได้ติดต่อกองถ่ายเพื่อนำลูกมาแสดงเนี่ยแหละ"

    "แล้วทำไมต้องให้ผมมาแสดงด้วย ทีมของพ่อไปเอามาเลยไม่ได้เหรอครับ" ผมถามต่อ

    "ประการแรก ขนาดพวกผู้ก่อการร้ายทำอะไรไม่ได้ พ่อจะทำได้เหรอ" พ่อของผมตอบ "ประการที่สอง สร้อยนั้นอยู่ในมือของผู้กำกับตลอดเวลา ไม่มีใครเข้าไปเอาได้ยกเว้นตัวผู้กำกับเอง และประการสุดท้าย จี้เส้นนั้นจะให้นักแสดงสวมใส่ในการถ่ายทำ นั่นก็คือ บทนางเอกที่ลูกต้องเล่นนั่นแหละ และอีกอย่าง ถ้าให้ลูกโชว์ความน่ารักในการเล่นในเรื่องคงแหล่มไม่ใช่น้อย"

    "นี่คือจุดประสงค์หลักสินะ" ผมประชด

    "เกือบๆ" พ่อผมยิ้ม "เอาหละ ฉากหลังจากนี้แหละที่ลูกต้องใส่จี้นี้ในการเล่น และเมื่อลูกเล่นเสร็จแล้ว คอยมองดูว่าจะมีใครคนไหนอีกไหมนอกจากผู้กำกับที่จะมาขอจี้เส้นนี้ ถ้าใช่ แสดงว่ามันนะคนร้าย เพราะผู้กำกับสั่งเองว่าไม่ให้ใครเอาจี้ไปเก็บได้นอกจากเขาเท่านั้น ภารกิจนี้ไม่ยาก แต่เราห้ามให้คนร้ายรู้ตัวเด็ดขาด ตกลงไหม"

    "ได้ครับ ถ้ามันเป็นภารกิจ ผมจะทำ" ผมถอนหายใจด้วยความหนักใจ เพราะตนเองก็ไม่อยากไปเล่นเป็นบทสายลับสาวนั่นอีกทั้ง ถึงแม้ว่าการเมดอัพของช่างแต่งหน้าจะทำให้ใบหน้าผมสวยน่ารักผิดกับตัวจริงจนแยกไม่ออกก็ตาม แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ดีนั่นแหละ

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    "น้องกอร์ฟครับ อีกห้านาทีจะเตรียมพร้อมถ่ายฉากต่อไปแล้ว เดี๋ยวผู้กำกับจะเข้าไปอธิบายการถ่ายทำนะครับ"

    "ค่ะ ได้ค่ะ" ผมแสร้งทำตัวเป็นผู้หญิงก่อนที่เร้ดจะรีบเปิดไฟและพ่อผมรีบเก็บกระเป๋าเอกสารทันที ผมเดินไปเปิดประตู และผู้กำกับพร้อมคนเขียนบทก็เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวของผม

    "ไงครับน้องกอร์ฟ พักหายเหนื่อยแล้วรึยังเอ่ย" ผู้กำกับถามผมอย่างใจดี

    "ค่ะ หายเหนื่อยบ้างแล้วค่ะ" ผมแสแสร้งพูดเป็นผู้หญิงต่อ ถึงจะเกลียดก็เหอะ แต่ถ้าเผลอหลุดครับออกมานี่ความแตกแน่ๆ

    "เอาหละเดี๋ยวฉากต่อไปเราจะต้องสวมใส่จี้นี้เข้าฉากนะ" ผู้กำกับหยิบกล่องใส่จี้ออกมา และมันก็คือจี้รูปหัวใจเม็ดโตแบบเดียวกับที่ผมเห็นในเครื่องโฮโลแกรมเมื่อกี้ เพียงแต่ของจริงเม็ดใหญ่กว่าและส่องประกายกว่า ผมรับมันมาไว้ในมือโดยที่ไม่ตื่นเต้นอะไรนัก ถึงแม้ว่านํ้าหนักของมันจะเบาและผิวของมันเนียนสวยอยู่ก็จริง

    ทำออกมากะว่าจะไม่ให้โดนตรวจจับเลยสินะ ผมยกจี้ขึ้นส่องหลอดไฟข้างบน

    "สวยใช่ไหมหละครับ นี่ผู้กำกับลงทุนซื้อมาเลขหลักร้านเลยนะครับเนี่ย" คนเขียนบทบอกกับผมพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ในขณะที่ผู้กำกับยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่าเขาถ่อมตนมาก "เพื่อเอามาใช้ถ่ายทำการแสดงนี้โดยเฉพาะครับ"

    "แต่ว่าจี้มันเล็กนิดเดี๋ยวเองนะค่ะ แล้วจะถ่ายเห็นเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "อุ้ยๆๆ กอร์ฟจังของเรานี่ต้องการให้เขาถ่ายแบบโคสอัพเลยเหรอจ๊ะ" เทียร์ล้อเลียนผม

    ผมชำเหลือกแอบมองเธอทางทางตาแล้วทำหน้าประมาณว่า 'หุบปากได้ไหม' แต่ทว่า เด็กสาวนั้นกลับยิ้มและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

    "ถ่ายโคสอัพแน่นอนครับ เพราะว่าฉากต่อไปของน้องกอร์ฟเนี่ย เป็นฉากบนเตียงครับ" คนเขียนบทบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

    "อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอ" ผมพยักหน้าเพราะรู้แล้วว่าต้องถ่ายยังไงถึงจะเป็นระยะโคสอัพ แต่เมื่อเพิ่งคิดได้ว่าเมื่อกี้เขาพูดว่าอะไร หน้าของผมถอดสีในทันที

    "อะไรนะ!!" ผมตะโกนออกมาเสียงดังลั่นจนทุกคนในห้องแต่งตัว ยกเว้นพ่อผมกับผู้กำกับยังยืนนิ่งกันอยู่ "ฉากบนเตียงเนี่ยนะ!!"

    "เอ่อ ใช่ครับ เป็นฉากที่น้องกอร์ฟเข้าไปหลอกล่อคนร้าย และจะต้องออกมาจากห้องอาบนํ้าโดยที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวนะครับ แล้วก็สวมใส่จี้นี่เพื่อเอาใจคนร้ายในการล้วงข้อมูลนะครับ" คนเขียนบทบอก สีหน้าของเขาดูสงสัยมาก "น้องกอร์ฟไม่ได้อ่านบทเลยเหรอครับ ?"

    "ไม่ได้อ่านสิค่ะ ก็เลยไม่รู้" ผมรีบบอกอย่างรวดเร็ว แล้วรีบหันควับมองดูพ่อทันที ซึ่งพ่อผมนั้นทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแบบเดียวกับเทียร์ไปอีกคน

    รวมหัวกันแกล้งตูชัดๆ เลยนี่หว่า ผมคิดอย่างไม่พอใจ

    "อื้อหือ ขนาดไม่ได้อ่านบทมาก่อนล่วงหน้า ยังแสดงออกมาได้เยี่ยมเลยทีเดียวนะเนี่ย" ผู้กำกับเอามือลูบคางพร้อมเอ่ยอย่างชื่นชม

    ผมพยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุดก่อนที่จะไปขอร้องคนเขียนบท

    "เอ่อ เปลี่ยนบทหน่อยไม่ได้เหรอค่ะ หรือ ให้นักแสดงแทนมาเล่นแทนไรแบบนี้นะค่ะ" ผมถามเขาอย่างรวดเร็ว

    "คงไม่ได้หรอกครับ เพราะเรื่องนี้มีฉากเซอร์วิสคนดูแค่ฉากเดียว และเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สปอนเซอร์และทางผู้บริหารเองก็ต้องการเน้นมากๆ ด้วยนะครับ" คนเขียนบทบอกอย่างรวดเร็ว "อีกอย่าง นี่เป็นฉากที่ผู้กำกับอยากถ่ายมากที่สุดด้วยนะครับ"

    "พูดอีกก็ถูกอีก" ผู้กำกับพยักหน้าอย่างเข้มขรึม

    หื่นกันทั้งกองเลยว่างั้น ผมคิดอย่างซีเรียส อีแบบนี้ความไม่แตกเหรอฟะ

    "เอาหน่าลูกพ่อ ไปถ่ายสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก พ่ออนุญาติ" พ่อของผมชูนิ้วโป้งยิ้มให้ผมราวกับผมกำลังฉลองจบปริญญาอย่างไรอย่างนั้น

    กอร์ฟน้อยตอนบนเตียงกับฉากอาบนํ้าเหรอเนี่ย เจ้าหน้าที่เร้ดคิดอย่างรวดเร็ว ชักอยากเห็นแล้วสิ

    "ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงนะครับว่าน้องกอร์ฟจะเล่นฉากนี้ งั้นเตรียมตัวเลยนะครับ" คนเขียนบทยิ้มอย่างโล่งอก

    "ดีมาก แบบนี้สินักแสดงที่พี่ต้องการ" ผู้กำกับพยักหน้าอย่างเข้มขรึม ก่อนที่จะหันหน้าไปพยักหน้าให้คนเขียนบท

    "ถ้าอย่างนั้น อีกห้านาทีเตรียมพร้อมด้วยนะครับ" คนเขียนบทบอกก่อนที่จะเดินออกไปกับผู้กำกับ ยังไม่ทันที่ผมจะโต้แย้งหรืออะไรต่อเลย พวกเขาก็ออกไปกันเสียแล้ว

    ผมรีบหันหน้าไปมองทุกคนอย่างรวดเร็ว แต่ละคนนั้นแสดงสีหน้าว่าอยากมองเห็นผมฉากนั้นมากๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมหน้าถอดสีไปเสียแล้ว

    "นี่มันอะไรว่ะเนี่ยยยยยยยยย!!"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×