ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #10 : Episode 10 : Camping

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 57



    ผมจำได้ว่าเมื่อซักครู่นี้ผมกำลังสัมผัสกับสายลมที่พัดเข้ามาหาผม พร้อมกับความรู้สึกที่แสนสบายจากการผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจากนั้นไม่นาน ปากของผมก็สัมผัสกับพื้นดินแทน

    "ไม่ใช่ๆ ฉันบอกแล้วไงว่าให้กระพือปีกพร้อมกัน" เรนโบว์แดชพุ่งตัวลงมาหาผมโดยที่เธอยังลอยอยู่กลางอากาศ

    "มันไม่ง่ายกับฉันเลยนี่สิ" ผมพึมพำก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วก็ส่ายหัวเพื่อเอาดินออกจากหน้าของผม

    "ก็นะ นายก็ทำได้ดีขึ้นเยอะเลยหละ ถ้าเทียบกับเมื่อสิบกว่ารอบที่แล้วอะนะ" เรนโบว์แดชกอดอกพร้อมกับทำหน้าเบ้

    ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมกับเรนโบว์แดชกำลังมาฝึกบินด้วยกันอยู่ หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ได้จบลงไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมกับเรนโบว์แดชจึงได้นัดมาเพื่อฝึกให้ผมเริ่มหัดบินทันที โดยจะเป็นการฝึกซ้อมบินทุกวันในช่วงตอนบ่ายหลังจากที่เรนโบว์แดชเคลียรเมฆเสร็จแล้ว โดยเราจะฝึกกันที่ทุ่งกว้าง ซึ่งอยู่นอกเมืองโพนี่วิลด์และใกล้ๆ กับบ้านของเรนโบว์แดชที่เป็นก้อนเมฆลอยอยู่บนท้องฟ้า

    "หลักสำคัญคือ นายต้องกระพือปีกพร้อมกัน แล้วอย่าเอียงข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไปจนทรงตัวไม่ได้" เรนโบว์แดชอธิบายต่อ "เอ้า ลองดูอีกที"

    "โอเค เอาหละนะ" ผมพยักหน้า

    ผมกางปีกที่อยู่ข้างลำตัวทั้งสองข้างออก ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนผมกางแขนตัวเอง แต่เป็นแขนที่ไม่มีนิ้วและมีนํ้าหนักเบากว่า เมื่อผมกางปีกแล้วจะเห็นได้ว่าปีกนั้นจะขยายยาวเท่ากับความยาวแขนของมนุษย์ ผมกระพือปีกขึ้นลงหลายครั้งพร้อมกัน จนในที่สุดเท้าของผมก็ลอยเหนือพื้น และเมื่อผมค่อยๆ บินขึ้นโดยที่ยืดตัวตรงไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็สามารถบินขึ้นไปบนอากาศได้ ผมต้องขยับปีกกระพือไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นผมจะร่วงลงมาทันที ซึ่งมันไม่ได้เหนื่อยมากเมื่อเทียบกับการใช้กำลังขาของตัวเองเนื่องจากปีกมันมีนํ้าหนักเบากว่าอยู่แล้ว ลมในอากาศมันช่วยทำให้ผมไม่ต้องใช้แรงมากในการกระพือปีกเลย ถ้าให้นึกภาพออกง่ายๆ ก็เหมือนผมกำลังดำนํ้าและใช้แขนมนุษย์ช่วยพยุงตัวนั่นเอง เพียงแต่มันเบากว่าในนํ้ามาก

    "นั่นแหละ อย่างนั้น" เรนโบว์แดชยิ้มกว้าง

    "ฮ่าฮ่า ทำได้แล้ว ฉันทำได้แล้ว!" ผมร้องออกมาด้วยความดีใจ และผมยิ่งดีใจมากเข้าไปอีกเมื่อผมรู้ตัวว่าผมสามารถพูดไปด้วยและบินไปด้วยได้โดยที่ตัวเองไม่เสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย

    "เฮ้! เรนโบว์แดช พ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน!"

    "หยา!"

    ฟิ้วววววว! โครม!

    ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงตะโกนที่ดังออกมาจากเบื้องล่างเสียจนสูญเสียการควบคุมและร่วงลงเอียงไปชนกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ทันที ผมร่วงไหลลงมาจนนอนหงายลงกับพื้น จมูกผมบี้ไปเล็กน้อยเมื่อกระแทกเข้าไปอย่างจัง มีม้าตัวหนึ่งเดินก้มหัวมาดูอาการของผม และม้าตัวนั้นก็คือแอปเปิ้ลแจ็คนั่นเอง

    "เอ่อ โทษทีนะ เป็นอะไรมากไหม" เธอถามผม

    "ดั้งยุบนิดหน่อยมั้ง ถึงฉันจะไม่รู้ว่าในร่างโพนี่จะมีดั้งไหมอะนะ" ผมหมุนตัวแล้วพลิกตัวขึ้นมายืน ซึ่งเรนโบว์แดชเองก็ร่อนลงมาบนพื้นข้างๆ อย่างนุ่มนวล ผิดกับที่ผมทิ่มตัวลงมาและชนกับต้นไม้อย่างไม่เป็นท่า

    "ดูเหมือนนายกำลังฝึกบินอยู่ซินะ ฉันมารบกวนพวกนายรึเปล่าเนี่ย" เธอถามผม ผมส่ายหัวตอบ

    "มีอะไรงั้นเหรอ AJ" เรนโบว์แดชถาม

    "พอดีฉันกับน้องสาวฉันมีแผนที่จะไปเที่ยวแค้มปิ้งค์ชมนํ้าตกสายรุ้งนะ" สาวคาวบอยบอก "เห็นน้องสาวฉันอยากให้เธอไปด้วย สนใจไหมเรนโบว์"

    "แค้มปิ้งงั้นเหรอ" เรนโบว์แดชเอากีบเท้าตนเองลูบคางก่อนที่จะหันมามองทางผม "เอาสิ จะได้พานายไปด้วย"

    "ฉันนะเหรอ" ผมถามเธอ

    "ใช่ เพราะเส้นทางที่ไปชมนํ้าตกสายรุ้งมันเป็นทางชัน จะเป็นสถานที่ที่ดีให้นายฝึกบินด้วย" เธอบอกผม "สนใจไหม นํ้าตกสายรุ้งสวยทีเดียวนะ"

    "สนนะสนอยู่ แต่นํ้าตกมันจะเป็นสีสายรุ้งได้ยังไง" ผมยกกีบเท้าขึ้นมาถามด้วยความสงสัย เพราะถึงผมจะรู้ว่าสายรุ้งในโลกนี้มันเป็นของเหลว แต่ถ้าเป็นนํ้าตกตามธรรมชาติ มันก็ไม่น่าจะมีสีเป็นสายรุ้งได้

    "เอาเป็นว่าถ้านายได้เห็นนายจะรู้เอง สนใจจะไปด้วยกันไหมหละพ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "เอาสิ ฉันเองก็ไม่เคยออกไปเที่ยวนอกเมืองโพนี่วิลด์เหมือนกัน ถ้าไม่นับตอนไปอาณาจักรคริสตัลอะนะ" ผมบอก

    "งั้นตกลงตามนี้นะ ฉันจะไปบอกน้องสาวฉันก่อน เจอกันที่ตั้งแคมป์จุดแรกเลยก็ได้" แอปเปิ้ลแจ็คบอกก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไป

    "เอาหละ ฝึกกันต่อเถอะ" เรนโบว์แดชบอกผมด้วยนํ้าเสียงกระตือรือร้น

    "เอาสิ" ผมพยักหน้า ก่อนที่จะกางปีกออกและกระพือปีกอีกครั้งเพื่อบินไปในอากาศ

    ก่อนที่อีกสามนาทีต่อมาผมจะหน้าทิ่มลงพื้นไปอีกรอบเพราะมัวแต่คิดสงสัยเรื่องนํ้าตกสายรุ้งว่าหน้าตามันเป็นยังไง

     

    ---------------------------------

     

    วันต่อมา ผมได้เตรียมอาหารและนํ้าบางส่วนใส่ลงในกระเป๋าสะพายประจำของผม แอปเปิ้ลแจ็คได้บอกผมว่าเธอจะเตรียมอาหารและเต้นท์เอาไว้ให้เรียบร้อยโดยที่ผมไม่ต้องเตรียมอะไร ดังนั้น ผมจึงมุ่งหน้าไปหาเรนโบว์แดชที่บ้านของเธอเพื่อที่จะเดินทางไปพร้อมกับเธอ

    บ้านของเรนโบว์แดชนั้นมีฐานเป็นเมฆก้อนใหญ่พร้อมกับสายรุ้งประดับเอาไว้ บ้านของเธอนั้นทำจากวัสดุแบบเดียวกันกับบ้านทั่วๆ ไปในเมืองโพนี่วิลด์เพียงแต่จะมีนํ้าหนักที่เบากว่าเพื่อให้สามารถลอยอยู่บนก้อนเมฆได้ อันที่จริงมันมีส่วนผสมของเมฆเนี่ยแหละที่ทำให้มันสร้างบนเมฆได้ โครงสร้างบ้านของเธอนั้นเป็นรูปแบบสิ่งก่อสร้างแบบสไตล์โรมันและมีสามชั้น เห็นว่าบ้านของเธอนั้นตกทอดมาจากครอบครัวของเธอ ซึ่งผมเองก็สงสัยเหมือนกันนะว่า บ้านทำจากเมฆแท้ๆ ทำไมมันไม่เคยลอยไปที่ไหนเลย

    "เรนโบว์แดช ฉันมาแล้วนะ" ผมซึ่งยังยืนอยู่บนพื้น แหงนหน้ามองไปบนบ้านของเธอแล้วตะโกนบอก

    "ทำไมนายไม่บินขึ้นมาเล่า!" เรนโบว์แดชซึ่งบินผ่านเหนือหัวผมไปได้มาบินข้างๆ ผมพร้อมกับมองดูด้วยความไม่พอใจนัก

    "เอ่อ .. ก็นะ" ผมหลบตาเธอพร้อมกับมองดูปีกตัวเองที่กางออกมาเล็กน้อย

    "นายนะต้องบินให้มากๆ เพื่อที่จะได้คุ้นชินกับการบินให้เร็วที่สุด เอาหละ เริ่มกันเลย เริ่มบินจากนี้ไปถึงที่ตั้งแคมป์เถอะ"

    "ก็ได้ ตามนั้น" ผมกางปีกออกทั้งสองข้างก่อนที่จะกระพือปีกเพื่อบินขึ้น โดยเมื่อผมสามารถทรงตัวกลางอากาศได้แล้ว เรนโบว์แดชได้บินนำผมไปก่อนแต่รักษาความเร็วเอาไว้ให้ผมสามารถบินตามเธอทันได้ ผมยืดตัวไปข้างหน้าพร้อมกับเอียงปีกเล็กน้อยเพื่อให้ผมสามารถกระพือปีกเพื่อลอยไปข้างหน้าได้ตามที่เรนโบว์แดชสอนเมื่อวาน

    "โอ้ ทำได้ดีขึ้นแล้วนิ" เรนโบว์แดชชมผม

    "ยังทำได้แค่นี้แหละ" ผมบอกตามความจริง เพราะเอาแค่บินโดนที่ทรงตัวกลางอากาศได้ และบินไปข้างหน้าโดยที่ไม่เอียงจนร่วงลงไปก็ถือว่ายากสำหรับผมแล้ว ตัวผมบินขึ้นๆ ลงๆ เล็กน้อยจนเหมือนเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังร่อนขึ้นร่อนลงไปข้างหน้า ในขณะที่เรนโบว์แดชสามารถบินโดยที่รักษาระดับความนิ่งและความสูงเอาไว้ได้พอดีเด๊ะ

    "ปกติแล้ว เพกาซัสจะหัดบินมาตั้งแต่เด็กๆ เลยใช่ไหม" ผมถามเธอเพื่อชวนคุย ตอนนี้เราทั้งสองคนบินผ่านเหนือเมืองโพนี่วิลด์มาแล้ว

    "ถูกต้อง หลังจากที่เพกาซัสสามารถบินได้ระดับหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่จะไปฝึกต่อที่โรงเรียนสอนการบินนะ" เธออธิบาย "แต่ระดับนายคงเข้าไปไม่ได้แล้วหละมั้ง เพราะตัวโตเกินไปแล้ว"

    "ฉันก็ว่างั้น และขืนฉันเข้าไปจริงๆ ฉันคงเป็นเด็กโข่งไปเลยแหละ" ผมบอก และคงไม่ตลกแน่ถ้านักเรียนรอบข้างมีแต่เด็กในขณะที่ผมดันอายุมากที่สุดไปนั่งเรียนด้วย

    "อืม... ฉันว่าพอมีสถานที่ฝึกให้นายได้นะ นายรู้จักวันเดอร์โบลด์ใช่ไหม" เรนโบว์แดชถามผม

    "เธอพูดกรอกหูฉันทุกวันจนฉันจำได้ละ ฝูงบินที่เร็วที่สุดในอีเควสเทรียสินะ" ผมถาม พลางมองไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอมองวิวข้างล่างนานเกินไปจนเสียสมาธิ

    "ใช่ ฉันสมัครเข้าเรียนที่วันเดอร์โบลด์ อะเคเดมี่แล้ว ฉันจะลองเขียนจดหมายถามดูว่าถ้าฉันผ่าน ฉันจะพานายเข้าไปฝึกด้วยได้ไหม" เธอยิ้มบอกผม

    "แต่ฉันไม่ได้ต้องการเป็นวันเดอร์โบลด์นี่นา" ผมยกอุ้งเท้าที่ยังลอยกลางอากาศขึ้นเพื่อยักไหล่

    "ไม่ต้องห่วง ฉันคิดว่าวันเดอร์โบลด์ต้องอยากให้นายไปฝึกแน่ ฉันเคยเจอพวกเขามาก่อน ฉันรู้ดี" เธอพุ่งตัวไปข้างหน้าก่อนที่จะตีลังกากลางอากาศและร่อนมาบินข้างๆ ผมอย่างรวดเร็ว "เอาหละ เราเร่งความเร็วดีกว่า ก่อนที่จะมืดเสียก่อน"

    ผมมองไปตรงตำแหน่งพระอาทิตย์ ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาบ่ายเย็นแล้วจริงๆ เพราะเราเริ่มเดินทางกันตอนช่วงบ่าย

    "เอาสิ" ผมพยักหน้าก่อนที่จะกระพือปีกให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งความเร็วไปข้างหน้า

     

    --------------------------------------

     

    ผมนอนหงายหมดสภาพทันทีเมื่อไปถึงที่หมายที่แรกที่เป็นจุดแคมป์ปิ้ง เพราะการบินติดต่อกันนานหลายชั่วโมงมันทำให้ผมเหนื่อยอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ เพราะผมต้องระวังไม่ให้ตัวเองเสียสมดุลจนอาจร่วงไปได้ตลอดเวลา แต่ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งทันทีเมื่อกลุ่มของแอปเปิ้ลแจ็คเดินทางมาถึง

    จุดนัดพบที่ผมกับเรนโบว์แดชได้มาเจอกันนั้นก็คือตรงเชิงเขาที่ติดกับแม่นํ้า เรนโบว์แดชพุ่งตัวไปตัดต้นไม้เพื่อมาทำที่นั่งและฟืนสำหรับก่อกองไฟอย่างรวดเร็ว และพุ่งตัวไปหยิบก้อนหินจากแม่นํ้าต่อ ผมมองดูกลุ่มของแอปเปิ้ลแจ็คที่ตามมาสมทบ ดูเหมือนว่ากลุ่มคิ้วตี้มาร์ค ครูเซเดอร์เองก็ตามมาจนหมดทุกตัวด้วย แต่ผมก็ต้องหน้าเหวออย่างแรงเมื่อพบว่านอกจากแรร์ริตี้จะมาด้วยแล้ว สัมภาระของเธอนั้นมันมากเกินกว่าตอนที่ไปอาณาจักรคริสตัล (แถมไม่ได้ใช้ซักอย่าง) เสียอีก และคนที่ขนของตามมาก็คือน้องสาวของเธอ สวิตตี้เบล ซึ่งเจ้าตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากนั่งเฉยๆ แถมให้น้องสาวเข็นมาให้อีก

    "ไง ฝึกบินมาเหนื่อยไหม" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "เอาเรื่องเหมือนกัน ถึงจะไม่มากตอนที่ทำไร่แบบเธอก็เถอะนะ" ผมบอก

    "ใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละพ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน ถึงฉันจะไม่มีปีก แต่ก็พอเดาออกได้ว่าการทำในสิ่งที่ไม่คุ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน" แอปเปิ้ลแจ็คบอกพลางใช้ปากดึงเชือกที่รัดตัวเธอออก กระเป๋าสัมภาระของเธอจึงวางบนพื้น "ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็มาช่วยกางเต้นท์หน่อยนะพ่อหนุ่ม"

    "ตกลง" ผมมองไปรอบๆ และก็เห็นได้ว่าแอปเปิ้ลบลูมและสกูทาลู เพกาซัสตัวน้อยเองก็เตรียมกางเต้นท์เหมือนกัน

    การกางเต้นท์ของเหล่าโพนี่นั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากเราเลย ใช้หลักการเดียวกันเสียด้วยซํ้า เพียงแต่ว่าขนาดของเต้นท์นั้นจะเล็กกว่าของโลกผมเกือบเท่านึงเนื่องจากขนาดของม้าโพนี่เล็กกว่าคนนั่นเอง เต้นท์ของแอปเปิ้ลแจ็คกางได้ค่อนข้างง่าย เพียงแต่ดึงเชือกก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ผมใช้อุ้งเท้าตัวเองตอกเข็มให้ฝังลงไปอย่างง่ายดายเพราะพื้นดินนอกจากจะไม่แข็งมากแล้ว อุ้งเท้าของโพนี่ค่อนข้างทน ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่เวลาตอกลงไปเหมือนใช้ค้อน และเมื่อทำเสร็จ พวกเราก็มีเต้นท์สำหรับนอนอยู่สามหลัง แต่เมื่อผมหันไปทางแรร์ริตี้ก็ต้องอ้าปากเหวอด้วยความอึ้ง เพราะเต้นท์ของแรร์ริตี้นั้นดันใหญ่กว่าชาวบ้าน แถมพองตัวขึ้นมาเองจากการแค่แกะเชือกออกเท่านั้น

    "เวทมนต์นี่ดีจังวุ้ย" ผมพึมพำ

    "นี่ไม่ใช่เวทมนต์หรอกที่รัก แต่เป็นสินค้าจากแคทเทอร์ล็อชนะ" แรร์ริตี้พูดโอ้อวดออกมาในขณะที่สวิตตี้เบล น้องสาวของเธอนั้นเตรียมของต่างๆ เองคนเดียว ซึ่งทำให้ผมแอบคิดเหมือนกันว่าตกลงจะไม่ช่วยอะไรเลยใช่ไหม

    เรนโบว์แดชร่อนลงมายืนดูเต้นท์ทั้งสามหลัง ผมมองดูสองสาวที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับเต้นท์ทั้งหมด ผมจึงนึกขึ้นได้

    "เธอไปนอนกับสกูทาลูก็ได้นะเรนโบว์ ฉันเป็นผู้ชาย นอนด้วยกันไม่เหมาะหรอก" ผมบอกพลางยกกีบเท้าของผมไปยังเต้นท์อันที่เล็กที่สุด

    "หือ ไม่มีปัญหา" เธอพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปข้างๆ สกูทาลูที่นั่งลงบนขอนไม้แล้ว "ดูเหมือนว่าเราสองตัวจะต้องนอนเต้นท์เดียวกันแล้วสินะ"

    "แน่นอน เรนโบว์แดช ไม่มีปัญหา" สกูทาลูยิ้มเฉ่งออกมา ก่อนที่เธอจะทำสีหน้าเรียบร้อนอย่างรวดเร็ว เหมือนเจ้าตัวกำลังทำท่าเก๊กต่อหน้าเรนโบว์แดชเลยแฮะ

    "แต่เธอไม่ได้นอนกรนใช่ไหม" เรนโบว์แดชถามสกูทาลู

    "ไม่ๆๆ หนูไม่กรนหรอก ไม่เคยเลยทั้งชีวิต" สกูทาลูตอบ

    "งั้น ฝากเราไปหาฟืนมาหน่อยนะ" เรนโบว์แดชเอ่ย

    "ได้เลย" สกูทาลูตอบพร้อมกับรีบวิ่งไปหาฟืนมาทันที

    "ดูเหมือนว่าสกูทาลูนี่้จะชื่นชมเธอมากเลยนะเรนโบว์" ผมเดินไปข้างๆ เจ้าตัวพร้อมถาม ขณะที่มองสกูทาลูกำลังมองหากิ่งไม้แห้งอยู่ข้างหน้า

    "ก็นะ มีแต่โพนี่มาชื่นชมฉันอยู่เสมอแหละ" เรนโบว์แดชยิ้มแป้นพร้อมกับพูดอย่างภาคภูมิใจ

     

    ----------------------------------

     

    กองไฟถูกจุดขึ้นมาเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ความร้อนจากกองไฟทำให้ไล่ความหนาวเย็นออกไปได้ แม้ว่าเพกาซัสอย่างผมกับเรนโบว์แดชจะใช้ปีกในการห่อห่มร่างกายตัวเองได้เล็กน้อยอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่นัก จนทำให้ผมนึกถึงเสื้อกันหนาวตัวโปรดที่อยู่ในโลกของผมขึ้นมาทันที ม้าทุกตัวเริ่มนั่งลงบนกองไฟและเริ่มทานอาหารเย็นฝีมือของแอปเปิ้ลแจ็ค อาจเป็นเพราะผมเหนื่อยมาทั้งวันก็ได้ เลยทำให้มื้อนี้เอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ แถมบรรยากาศกินอาหารกลางป่าเขามันก็ไม่เลวทีเดียว และผมก็สงสัยมานานแล้วว่าในโลกนี้มันจะไม่มียุงเลยซักตัวใช่ไหม ขนาดนอนในบ้านผมยังไม่เคยเจอซักตัว

    "งั้น ก่อนนอนเรามาเล่าเรื่ออะไรให้มันสมกับเป็นแคมป์ไฟกันดีไหม" เรนโบว์แดชพูดออกมาอย่างตื่นเต้น ผมดูแล้วรู้เลยว่าเจ้าตัวอยากจะเล่าเรื่องอะไรบางอย่าง เพราะตอนที่ฝึกบินมาที่นี่ เจ้าตัวก็บอกตลอดว่ามีเรื่องเจ๋งๆ อยากเล่า

    "เล่าเรื่องตอนที่พี่แรร์ริตี้มีปีก แล้วพี่เรนโบว์แดชพุ่งตัวไปช่วยตอนที่พี่แรร์ริตี้ตกลงมาได้ไหม" สกูทาลูถามอย่างตื่นเต้น ผมเผลอมองไปทางแรร์ริตี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งก็มองเห็นเจ้าตัวหลบหน้ามองไปทางอื่นและหน้าแดงด้วยความอายทันที

    ชักอยากฟังขึ้นมาทันทีเลยแฮะ ผมคิด

    "จริงๆ ฉันอยากฟังเรื่องโลกของพ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อนมากกว่านะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก ซึ่งทำให้เรนโบว์แดชที่กำลังยกอุ้งเท้าขึ้นนั้นห่อไหล่ลงมาทันที

    "โลกของฉันนะเหรอ" ผมยกกีบเท้าตัวเองขึ้นถาม

    "ใช่ เรายังไม่รู้เรื่องโลกของนายเท่าไหร่เลย ถึงแม้ว่าพวกเราเคยเข้าไปในโลกนายตอนนั้นก็เถอะ ใช่ไหมแรร์ริตี้" แอปเปิ้ลแจ็คหันไปทางแรร์ริตี้ที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้สุดหรูส่วนตัวของเธออยู่โดยไม่มานั่งลงบนขอนไม้เหมือนพวกผม

    "ก็นะ ถึงฉันจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากก็เถอะ" แรร์ริตี้บอก ดูเหมือนเธอยังคงอายกับเรื่องเมื่อกี้อยู่

    ผมมองไปทางเรนโบว์แดชที่ทำท่าทางเซ็งออกมา ใจจริงผมก็ไม่ได้อยากเล่าเรื่องโลกของผมเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากถ้าเทียบในโลกนี้แล้วมันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นัก อีกเหตุผลก็คือ ในระหว่างที่ผมไม่สามารถหาทางคืนร่างเดิมได้ ผมก็ไม่อยากคิดถึงโลกฝั่งนั้นเท่าไหร่นัก เพราะมันจะทำให้ผมรู้สึกเครียดมากขึ้น

    "เอาเป็นคืนพรุ่งนี้ได้ไหม พอดีฉันค่อนข้างเหนื่อยนะ" ผมบอกปัด "แต่เห็นเรนโบว์แดชอยากเล่าเรื่องอะไรบางอย่างนิ ฟังเรื่องของเรนโบว์แดชก็ได้"

    "งั้นก็แจ๋วเลย!" เรนโบว์แดชพุ่งตัวขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะร่อนลงมานั่งที่เดิม "ฉันว่าทุกคนต้องชอบเรื่องนี้แน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องที่เหมาะกับแคมป์ไฟแน่ๆ"

    "เรื่องอะไรเหรอ" แอปเปิ้ลบลูมถาม

    "เรื่องน่ากลัวๆ นะสิ" เรนโบว์แดชทำหน้าตาให้ดูน่ากลัวขึ้นเล็กน้อย "มันเป็นเรื่องราวของม้าแก่ตัวหนึ่ง ที่ตามหาเกือกม้าที่หายไป.. และเรื่องราวมันก็เกิดขึ้นตอนกลางคืน เหมือนคืนนี้... และก็เกิดขึ้นในป่า....เหมือนที่เราอยู่ตอนนี้เลยด้วย...."

    จากนั้น เรนโบว์แดชก็ได้เล่าเรื่องราวที่น่ากลัวนี้ขึ้นมาให้ฟัง จนสวิตตี้เบล แอปเปิ้ลบลูม และสกูทาลูนั่นฟังจนตัวสั่นไปหมด ส่วนแรร์ริตี้และแอปเปิ้ลแจ็คก็นั่งฟังด้วยความสนใจ เพียงแต่ไม่ได้ออกอาการเหมือนเจ้าตัวน้อยทั้งสามตัวเท่านั้น

    "จากนั้น เจ้าตัวก็มาถามว่า ใครเอาเกือกม้าฉันไป..รู้มั้ย ว่าใครเอาไป" เรนโบว์แดชถามไปยังแก๊งคิวตี้มาร์คครูเซเดอร์

    "คะ... ใครเหรอ" เจ้าตัวถาม

    "เธอไง!" เรนโบว์แดชเอ่ยพร้อมกับโผล่มาอีกข้างอย่างรวดเร็ว

    "กรี๊ดดดดดดด!" แอปเปิ้ลบลูมกับสวิตตี้เบลวิ่งเข้าไปหาพี่สาวของตนเอง และทั้งสองตัวก็รีบปลอบน้องๆ ของพวกเธอทันทีด้วย ยกเว้นสกูทาลูที่ดูเหมือนจะไม่มีใครให้ปลอบ พยายามทำสีหน้าสู้เสือเอาไว้

    "เป็นไง เรื่องสนุกไหม" เรนโบว์แดชบินมาถามผมตรงหน้า

    "อืม จะว่าไงดีหละ ฉันยังไม่เก๊ดเท่าไหร่ว่าม้าตัวนั้นจะตามหาเกือกม้าไปทำไม ในเมื่อปกติพวกเราก็ไม่ได้ใส่เกือกม้ากันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" ผมถามพลางยกกีบเท้าขึ้นให้ดู และนั่นทำให้เรนโบว์แดชหน้าเบ้ทันทีเมื่อรู้ว่าผมดันไม่กลัวตามเด็กๆ ไปด้วย

    "ส่วนใหญ่ม้าที่มีอายุแล้วและเริ่มเดินไม่ไหว จะใส่เกือกม้ากันนะพ่อหนุ่ม" แอปเปิ้ลแจ็คอธิบาย "แต่ถ้าม้าตัวนั้นบาดเจ็บที่กีบเท้าตนเอง ก็ต้องใส่เกือกเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บเหมือนกัน ง่ายๆ คือ สำหรับม้าที่มีอายุแล้วจะขาดเกือกม้าไม่ค่อยจะได้นะ แต่เกือกม้าบางอย่างก็ใส่เป็นแฟชั่นเหมือนกัน"

    "งั้นเหรอ อาจเป็นเพราะฉันเพิ่งมาเป็นโพนี่ได้เดือนกว่าเท่านั้น เลยไม่ค่อยรู้อะไรมั้ง โทษทีนะเรนโบว์" ผมหันไปบอกกับแดช

    "ไม่เป็นไรหรอก เพราะเรื่องยังมีต่อ ค่อยเล่าให้ฟังคืนพรุ่งนี้ก็ได้" เรนโบว์แดชบอกพร้อมอ้าปากหาววอด

    "ถูกแล้วหละ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันต่อ เข้านอนเลยก็ดี" แรร์ริตี้บอก พลางมองดูสวิตตี้เบล น้องสาวของเธอที่ยังกอดเธออย่างขบขัน

    "ไม่ต้องกลัวนะ เจ้าม้าแก่นั้นจะไม่มาทำอะไรเธอคืนนี้หรอก" แรร์ริตี้ปลอบ ซึ่งทำให้สวิตตี้เบลยิ้มกว้างทันที

    "ดูเหมือนมันถึงเวลาที่ฉันหมดแรงเหมือนฟางข้าวเหมือนกัน" แอปเปิ้ลแจ็คอ้าปาก ก่อนที่เธอจะหันไปทางเต้นท์ของเธอ แต่แอปเปิ้ลบลูม น้องสาวเธอเกาะตัวเธอเอาไว้แน่นด้วยความหวาดหลัว ซึ่งนั่นทำให้แม่สาวคาวบอลลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนทันที

    "เธอก็เหมือนกัน คืนนี้พี่จะดูแลเราทั้งคืน ไม่ต้องห่วง" เธอปลอบแอปเปิ้ลบลูม "งั้น เจอกันตอนเช้านะ"

    "ตกลง" ผมลุกขึ้นพร้อมยกกีบเท้าขึ้นเพื่อลาม้าทั้งสามตัวที่กำลังเดินเข้าเต้นท์ของตนเอง ผมมองเห็นสกูทาลูที่เริ่มมองไปต้นไม้รอบๆ ด้วยสายตาที่เกรงกลัว

    "นอนเถอะสกูทาลู พรุ่งนี้จะได้เดินทางต่อ" ผมบอกกับเจ้าตัวเล็กที่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงผมทัก

    "อะ อะ อะ อะ โอเค ดะ ดะ ดะ ได้" เจ้าตัวบอกเสียงสั่นก่อนที่จะเดินเข้าไปในเต้นท์เดียวกันเรนโบว์แดชทันทีหลังจากที่เรนโบว์แดชดับไฟ

    ดูเหมือนว่าเรื่องราวสยองขวัญนั่นจะได้ผลแล้วหละมั้งเรนโบว์ ผมคิดติดตลกก่อนที่จะเดินเข้าไปในเต้นท์ของผมที่มีขนาดเล็กกว่าเต้นท์ทั้งสาม ข้างในนั้นมีชุดเครื่องนอนที่ผมปูเตรียมพร้อมเอาไว้ ก่อนที่ผมซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มและนอนหลับอย่างผ่อนคลายและมีความสุขที่ได้นอนท่ามกลางป่าธรรมชาตินอกเมืองเป็นครั้งแรก

    แต่หารู้ไม่ว่า ในคืนนั้นมีม้าอยู่ตัวหนึ่งที่นอนแทบไม่หลับเพราะไม่มีใครช่วยปลอบนั่นเอง

     

    --------------------------------------------

     

    เช้าวันต่อมา ผมลุกขึ้นออกมายืนหน้าเต้นท์เพื่อสูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด อากาศเย็นจากกลางคืนยังคงแผ่เข้ามาสัมผัสกับใบหน้าของผม ผมมองไปรอบๆ เพื่อฟังเสียงนกร้องและเสียงลมที่พัดกระทบกับใบไม้ตามต้นไม้ต่างๆ อากาศที่บริสุทธิแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเสียจริงๆ

    "นอนหลับสบายดีไหม" แอปเปิ้ลแจ็คเดินออกมาจากเต้นท์เป็นคนที่สอง เธอยังไม่ได้สวมหมวก ซึ่งทำให้เธอดูหน้าตาแปลกๆ นิดนึงทันทีเมื่อบนแผงคอของเธอไม่ได้มีหมวกคาวบอยสวมอยู่

    "หลับยาวเลย" ผมพยักหน้า"

    "ถ้างั้น นายก็เตรียมตัวฝึกบินต่อได้เลย" เรนโบว์แดชเดินออกมาจากเต้นท์ของเธอด้วยท่าทางกระตือรือร้น "นายจะโชว์ความห่วยให้วันเดอร์โบลด์เห็นไม่ได้นัะ"

    "เอิ่ม ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้อยากเป็นวันเดอร์โบลด์นะ" ผมหันไปบอกเธอ

    "ก็ใช่ แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายโชว์ความเฉิ่มอยู่ดี" เรนโบว์แดชยิ้มกว้าง ก่อนที่จะร่อนขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็วและบิดขี้เกียจข้างบน

    "วันเดอร์โบลด์อะไรเหรอ" แอปเปิ้ลแจ็คถาม ดูเหมือนตอนนี้ม้าตัวอื่นๆ ก็เริ่มทยอยออกมาจากเต้นท์ของตนเองกันแล้ว

    "เดี๋ยวเล่าให้ฟังละกัน" ผมตอบเธอพลางมองไปรอบๆ แล้วก็ไปสะดุดตากับสกูทาลูที่ขอบตาดำปี๋เดินออกมาด้วยท่าทางอิดโรย

    "นอนไม่หลับเหรอสกูทาลู" ผมถามเธอ ซึ่งเจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นผมทัก

    "เปล่า นอนหลับสนิทดี มากๆ" เธอตอบผมไป หนังตาของเธอก็กระตุกไป

    โคตรเชื่อ ผมคิด เพราะดูก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวคงจะกลัวเรื่องสยองที่เรนโบว์แดชเล่าเมื่อคืนจนนอนไม่หลับ

    หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จและเก็บเต้นท์พร้อมเดินทางกันต่อแล้ว (ข้าวของของผมกับเรนโบว์แดชจะไปรวมถึงรถเข็นรวมสัมภาระของบ้านแรร์ริตี้ที่สวิตตี้เบลเป็นคนลากเองตัวเดียว ผมเองก็ทำท่าจะไปช่วย แต่เรนโบว์แดชสั่งให้ฝึกบินก่อน) ผมก็ได้ฝึกบินต่อตามที่เรนโบว์แดชบอก โดยเส้นทางในการบินนั้นจะเป็นทางขึ้นเขา เท่ากับผมจะต้องฝึกในการเอียงตัวบินขึ้นในระดับเดียวกันทางขึ้นเขา ซึ่งเท่ากับผมจะต้องออกแรงกระพือปีกให้มากกว่าเดิมเพื่อให้ตัวเองสามารถบินลอยตามทางได้ ถ้าผมไม่ออกแรงกระพือปีก ตัวผมจะไปไถลกับทางข้างหน้าที่เป็นเนินขึ้นทันที

    "นั่นแหละอย่างนั้น ถ้าจะบินให้สูงขึ้นก็ต้องออกแรงให้มากขึ้น แต่ถ้าจะบินในระดับเดียวกันก็ต้องรักษาแรงกระพือปีกเอาไว้" เรนโบว์แดชบอก

    "อืม นี่ถ้าเป็นการวิ่งแทนบินนี่มีหวังฉันจุกไปละ" ผมบอก เพราะหลังจากที่กินอาหารอิ่มก็ต้องเริ่มบินเลย ปกติถ้าเป็นการออกแรงทั่วไปไม่จุกก็แปลกละ

    "ถูกต้อง เพราะปีกจะไม่ได้ใช้แรงมากเท่าขา" เรนโบว์แดชตอบ

    "นายนี่ให้อารมณ์เหมือนตอนฉันยังเด็กและหัดใช้เวทมนต์ครั้งแรกเลยนะ" แรริตี้ที่ยังคงนอนอยู่บนโซฟาติดล้อของเธอ (โดยที่มีสวิตตี้เบลเข็นอยู่ข้างหลังพร้อมกับลากของสัมภาระติดมาด้วย) "แต่เรื่องเวทมนต์ต้องใช้สมาธิมากกว่าแรงเสียอีก"

    "ก็ถูกนะ จริงๆ มันก็คล้ายๆ กับตอนขับจักรยานเลย" ผมบอก

    "มันคืออะไรเหรอ จักรยานนะ" เรนโบว์แดชถามด้วยความสนใจ

    "เป็นพาหนะในโลกของฉันที่คล้ายๆ กับรถลากนะ แต่คนขับจะต้องออกแรงปั่นด้วยไม่อย่างนั้นจะไม่เคลื่อนที่" ผมอธิบาย

    "แบบนี้ถ้าเรามีจักรยานที่ว่านั่น ก็จะเดินทางได้เร็วขึ้นใช่ไหม" แอปเปิ้ลแจ็คถามต่อด้วยความสนใจ พลางมองไปทางแรร์ริตี้ที่ขนของมามากเกินเหตุจนทำให้การเดินทางช้าลง

    "ก็นะ ถ้าเดินปกติถึงตอนกลางคืนละก็ มีจักรยานก็คงไปถึงเย็นๆ นะ" ผมตอบ

    ทว่า การสนทนาของพวกผมนั้นทำให้พวกเราทุกตัวลืมไปเลยว่ายังมีม้าอยู่ตัวหนึ่งนอนไม่หลับทั้งคืนและกำลังตื่นกลัวกับเสียงรอบข้างอยู่

    "กะ กลางคืนเหรอ!" สกูทาลูพูดออกมาพร้อมกับรีบหยิบสกู๊ตเตอร์และหมวกกันน็อคของตนเองมาจากรถเข็นสัมภาระของแรร์ริตี้ ก่อนที่จะสวมหมวกกันน็อคเข้ากับตัวเอง และขี่สกู๊ตเตอร์พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยใช้ปีกบนหลังของเธอ

    "หนู เอ่อ ขอตัวไปดูทางข้างหน้าก่อนนะ จะได้แบบว่า เช็ดดูว่ามันปลอดภัยไหมและให้มั่นใจว่าจะไปถึงโดนที่ไม่มืดเสียก่อน" สกูทาลูถามเรนโบว์แดชราวกับขออนุญาติผู้ปกครอง

    "ฉันไม่มีปัญหาหรอก" เรนโบว์แดชตอบพร้อมกับมองด้วยความสงสัยเล็กน้อย

    "ก็แบบว่า โพนี่บางตัวกลัวอยู่ไง" สกูทาลูทำท่ากระซิบบอกและมองไปทางแอปเปิ้ลบลูมกับสวิตตี้เบล ซึ่งทั้งสองตัวก้มหน้ามองพื้นด้วยความอึดอัดทันทีเพราะทั้งคู่ก็กลัวจริงๆ และทันทีที่เรนโบว์แดชพยักหน้าอนุญาติ สกูทาลูก็ใช้ปีกตนเองในการดันตัวเองไปข้างหน้าเหมือนขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าทันที

    "อืม.. สงสัยต้องเพิ่มการฝึกแล้วหละ นายลองบินผ่านต้นไม้ข้างหน้าพวกนั้นเป็นไง" เรนโบว์แดชหันมาทางผมพร้อมชี้ไปทางข้างๆ ซึ่งมีต้นไม้อยู่กันหลายต้นทีเดียว

    "ถ้าฉันบินเข้าป่าแล้วจะออกมายังไงหละ" ผมถาม

    "ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ ถ้าพี่บินไปทางเหนือเรื่อยๆ ก็จะเจอทางเดินข้างหน้าเอง เพราะทางข้างหน้ามันโค้งนะ" แอปเปิ้ลบลูมบอก

    "ถ้านายสามารถบินซิกแซกผ่านต้นไม้ในป่านั่นได้ นายก็จะบินได้เก่งขึ้น ลองดูซิ" เรนโบว์แดชยิ้มกว้าง

    "ลองดูละกัน" ผมบอก พร้อมกับบินเข้าไปในป่าข้างนั่นทันที

    เส้นทางบินตามที่เรนโบว์แดชบอกนั้นค่อนข้างซิกแซกและคดเคี้ยวจริงๆ ผมไม่สามารถบินไปข้างหน้าด้วยความเร็วปกติได้ เพราะต้องชะลอตัวเองไม่ให้พุ่งไปชนกับต้นไม้ข้างหน้า ผมต้องหักเลี้ยวเพื่อหลบหลีกต้นไม้ตามรายทาง ซึ่งเมื่อผมบินผ่านต้นแล้วต้นเล่าไปได้ ก็ทำให้ผมรู้ว่าอารมณ์มันไม่ต่างอะไรจากการขับรถเลยแม้แต่น้อยที่ต้องขับรถซิกแซกเพื่อหลบสิ่งกีดขวางตรงหน้า ดูๆ ไปแล้วเหมือนตอนช่วงที่ผมสอบใบขับขี่รถมอเตอร์ไซด์เสียด้วยซํ้า เพียงแต่เป็นการขับแบบต้องใช้แรงตัวเองช่วย นั่นก็คือปีกตนเองนั่นเอง

    ด้วยความต่างระดับของพื้นที่ที่เป็นเขา ประกอบกับบางจุดนั้นก็เป็นเหวลงไปเลย ทำให้การฝึกบินลอดผ่านต้นไม้แต่ละต้นนั้นบีบบังคับไม่ให้ผมสามารถหยุดบินและยืนบนพื้นได้เลย (ถึงบางจุดจะสามารถหยุดบินแล้วพักได้ก็ตาม) ผมจึงต้องพยายามใช้ปีกในการเคลื่อนที่กลางอากาศแทน และนั่นทำให้บางครั้งผมต้องกระพือปีกตัวเองถี่กว่าปกติซึ่งทำให้ออกอาการเมื่อยได้เหมือนกัน แต่ผมก็กัดฟันจนสามารถบินทะลุออกไปอีกฝั่งได้ โดยยึดตำแหน่งพระอาทิตย์เป็นทิศทางในการนำทาง และเมื่อผมบินออกมาพ้นป่าได้นั้น ก็พบกับกลุ่มทุกๆ ตัวที่เดินมาถึงพอดี ผมร่อนลงแตะเท้ากับพื้นเพื่อหุบปีกและพักเหนื่อยทันที

    "ไม่เลว ถึงจะใช้เวลานานมากก็เถอะ" เรนโบว์แดชซึ่งยังบินอยู่กลางอากาศได้กอดอกและมองผมอย่างชื่นชม

    "ถึงเธอจะไม่บอกก็เถอะนะว่าตรงที่ฉันบินผ่านมามันมีเหวด้วย" ผมเลิกคิ้วบอก

    "ช่าย แต่นายก็ทำได้ดีแล้วนี่นา หายเหนื่อยแล้วก็บินต่อได้เลยนะ นายต้องขยับปีกบ่อยๆ จะได้ไม่เหนื่อยมาก" เรนโบว์แดชบอก

    "แล้วตรงนั้นมัน สกูทาลูไม่ใช่เหรอนั่น" แอปเปิ้ลแจ็คมองไปอีกทาง ก็พบว่าสกูทาลูกำลังนอนหลับอยู่บนพุ่มไม้อยู่

    "เธอทำอะไรอยู่ตรงนั้นกันนะ" ผมเดินไปถาม ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวตื่นทันที

    "ก็ เอ่อ อย่ามาทางนี้เลย มีแต่พุ่มไม้ตลอดทางนะ แฮะๆ" สกูทาลูตอบอย่างลนลาน ก่อนที่จะเดินตามพวกผมมา โดยที่แอปเปิ้ลแจ็คมองดูด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวเดินไปทำตาปรือไป

    กรอบ...!

    "แว๊กกกกก!"

    "เหวอออออ!"

    โครม!

    เธอพุ่งตัวเฉียดหน้าผมไปนิดเดียวขึ้นไปเกาะบนเมฆข้างบน ซึ่งนั่นทำให้ผมซึ่งเริ่มบินพอดีตกใจและสะดุ้งจนเสียการทรงตัวในการบินทันที ผมจึงเผลอบินไปพุ่งชนกับต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าพอดี จนผมรู้สึกว่าดั้งผมยุบเข้าไปซักสองมิลได้แล้วมั้ง

    "เธอนี้ดูน่ากังวลเหมือนหนอนในแอปเปิ้ลเลยนะ มีอะไรเหรอสกูทาลู" แอปเปิ้ลแจ็คถามเมื่อสกูทาลูร่วงลงมาจากการเกาะก้อนเมฆก้อนนั้น

    "มะ ไม่มีอะไร" เจ้าตัวรีบ แต่เสียงนกฮูกที่อยู่ใกล้ๆ ร้อง เจ้าตัวก็สะดุ้งด้วยความตกใจอีก เจ้าตัวพุ่งพรวดถอยหลังจนขุดดินลงไปหลายเซนเลยทีเดียว

    "มั่นใจนะว่าเธอโอเคนะ ดูเหมือนเธอจะกลัวนิดหน่อยนะ" แอปเปิ้ลแจ็คเดินไปถามด้วยความเป็นห่วงมากกว่าเดิมเสียอีก ผมซึ่งเพิ่งจะบินขึ้นกลางอากาศได้อีกรอบก็หันไปมองดูสกูทาลูบ้าง

    "ไม่มีอะไรหรอก หนูก็แค่กำลังกายบริหารนะ มันสำคัญมากในการยืดร่างกายนะ พี่รู้ใช่มั้ย" สกูทาลูรีบตอบ

    ใช่เร้อ ผมคิด

    "อ๊บ อ๊บ"

    เสียงกบที่อยู่บริเวณใกล้เคียงดังขึ้นจนทำให้สกูทาลูรีบวิ่งไปทางแรร์ริตี้ทันที

    "เอ่อ มีะไรให้หนูช่วยไหม" เจ้าตัวรีบถามทันที

    "พอดีเลย งั้นช่วยลากแทนสวิตตี้เบลละกันนะจ๊ะ" แรร์ริตี้บอก แล้วสวิตตี้เบลก็จับที่ลากสวมใส่ที่หลังของสกูทาลูเพื่อให้เธอลากต่อทันที ซึ่งผมมองแล้วก็คิดเหมือนกันว่าสวิตตี้เบลคงเหนื่อยมามากแน่ๆ เลยรีบเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

    "เอาหละ อย่าลืมว่านายมาทำอะไร บินต่อได้เลย" เรนโบว์แดชกางกีบเท้าขึ้นเหนือหัวเพื่อให้ผมบินขึ้น

    "ก็ได้ๆ" ผมกางปีกแล้วกระพือปีกเพื่อลอยตัวขึ้นกลางอากาศทันที โดยที่ระหว่างนั้นสกูทาลูก็กัดฟันลากของอย่างยากลำบากเพราะสัมภาระของแรร์ริตี้นั่นเอง

     

    ----------------------------

     

    ช่วงเวลาทั้งวันที่เดินขึ้นเขานั้นก็หมดไปกับการฝึกบินของผม ซึ่งผมคิดว่าเรนโบว์แดชพูดถูก การที่ผมได้ฝึกบินในพื้นที่ต่างระดับบนเขามันทำให้ผมบินได้ชำนาญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ต้องบินควบคู่ไปกับเหล่าม้าอีกห้าตัวที่บินไม่ได้โดยที่ห้ามเท้าแตะพื้นเป็นอะไรที่แตกต่างจากการเดินบนพื้นมาก ผมพบว่าตัวเองเริ่มบินได้ชำนาญมากขึ้น แต่ก็เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่ผมใช้ปีกขยับปีกตลอดทั้งวัน จึงทำให้ปีกผมค่อนข้างล้าเอาเรื่องเลยทีเดียว ซึ่งโชคดีที่เราไปถึงที่พักคืนที่สองและเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากพักปีกเต็มทีพอดีเด๊ะ

    "ดูเหมือนคืนนี้เราจะต้องนอนพักในถํ้าแทนนะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอกพร้อมกับชี้ไปทางถํ้าข้างหน้า ซึ่งเป็นถํ้าขนาดใหญ่เพียงพอที่พวกเราจะสามารถกางเต้นท์ข้างในได้สบาย

    "โอ้เย้! ถํ้าแสนมืดมิด มันเหมาะสมกับเรื่องที่ฉันจะเล่าต่อดีจริงๆ" เรนโบว์แดชบินไปรอบๆ พร้อมกับยิ้มกว้าง ดูเหมือนเธอจะต่างจากผมตรงที่ไม่เหนื่อยจากการบินเลยแม้แต่น้อย

    "นะ นะ นอนในถํ้าเหรอ" สกูทาลูสะดุ้งพร้อมกับทำที่ลากบนหลังหล่นทันที ผมมองไปทางเจ้าตัว ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็ลืมไปเหมือนกันว่าสกูทาลูลากสัมภาระมาทั้งวันเหมือนกัน

    "งั้นเราจะก่อกองไฟกันตรงนี้ เธอช่วยไปหากิ่งไม้มาทำฟืนได้ไหม" เรนโบว์แดชทักสกูทาลู ซึ่งเจ้าตัวทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ตอบตกลง

    ผมเดินไปช่วยพี่น้องแอปเปิ้ลในการปูที่นอนในถํ้า เพราะเห็นว่าคงไม่มีนํ้าค้างมาลงเกาะหัวตอนที่นอน (ยกเว้นแรร์ริตี้ที่ยังคงกางเต้นท์ในถํ้าอยู่ดี) และหลังจากที่ปูที่นอนกันเสร็จแล้ว พวกเราทุกตัวก็เดินออกมานั่งบนขอนไม้เพื่อรอให้สกูทาลูเอาฟืนมาก่อกองไฟ

    "ระหว่างรอ นายช่วยเล่าเรื่องของโลกนายได้ไหม" แรร์ริตี้ทักผมขึ้น

    ผมหันไปทางป่าที่สกูทาลูเดินเข้าไปหาฟืนเพื่อมองดูว่าเจ้าตัวกลับมารึยัง และเมื่อพบว่ายังไม่กลับมา ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

    "ขอสั้นๆ ละกันนะ" ผมบอกโดยที่ไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก "นี่คือเรื่องราวของโลกฉัน.."

    ผมได้เล่าเรื่องในโลกของผมที่ไม่มีเวทมนต์ ไม่มีใครมีปีกที่สามารถบินไปบนท้องฟ้าได้ แต่จะใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ในการอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวันแทน ผมได้เล่าเรื่องถึงความแตกต่างของชนชาติ ภาษา และประเทศ ไปจนถึงความขัดแย้งทางด้านความคิดที่ปัจจุบันก็ยังมีปัญหากันอยู่ในโลกของผม เมื่อผมเล่าคร่าวๆ จบ ม้าทุกตัวที่ฟังมีปฏิกิริยาต่างกันออกไป

    "ฉันนึกภาพไม่ออกเลยนะว่าพวกมนุษย์เนี่ยขี่หลังพวกเราแล้วใช้เป็นพาหนะได้ยังไง แต่ดีที่บอกว่าเดี๋ยวนี้มีรถใช่ไหม ? ที่ใช้เคลื่อนที่แทนได้นะ" แรร์ริตี้บอกด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออกบอกมา

    "ฉันพอรู้นะว่าโลกของเราทั้งสองมันแตกต่าง แต่ก็ไม่นึกว่าจะต่างกันขนาดนี้ ถึงบางอย่างจะคล้ายๆ กันก็เถอะ" แอปเปิ้ลแจ็คกอดอก

    "อันที่จริง ส่วนตัวฉันนะ โลกของฉันมันก็มีทั้งเสียมีทั้งดีปนๆ กันนะแหละ แต่ถ้าถามว่าโลกไหนดีกว่า ฉันก็ต้องบอกว่าโลกของอีเควสเทรียเนี่ยแหละดีกว่า เพราะฉันว่าม้าทุกตัวเป็นมิตรมากกว่ามนุษย์ด้วยกันเองเสียอีก ดูพวกเธอก็รู้" ผมยกอุ้งเท้าชี้ไปข้างหน้า "พวกเธอแตกต่างกันอย่างมาก เรนโบว์แดชบินได้ แรร์ริตี้ใช้เวทมนต์ได้ แอปเปิ้ลแจ็คก็แข็งแรงและสามารถทำฟาร์มได้ แต่พวกเธอก็สามารถอยู่ด้วยกันได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย"

    "ถูกต้องแล้วหละพ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน และนี่แหละเป็นสิ่งที่ฉันภูมิใจมาก" แอปเปิ้ลแจ็คยิ้มกว้าง

    "ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับมิตรภาพหรอก" เรนโบว์แดชเองก็ยิ้มกว้างไม่แพ้แอปเปิ้ลแจ็คเลย

    "จะว่าไป แล้วสกูทาลูทำไมหายไปนานจังเนี่ย ชักเริ่มหนาวแล้วนะ" แอปเปิ้ลแจ็คกอดอกพร้อมกับตัวสั่นถามทุกตัว

    "นั่นนะสิ ไปหาฟืนไม่น่าจะนานขนาดนี้นะ เป็นอะไรรึเปล่า" สวิตตี้เบลมองไปทางที่สกูทาลูเดินหายไปพร้อมกับแสดงความเห็น

    แต่ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นและอาสาว่าจะออกไปตามหา ปรากฎว่าสกูทาลูร้องลั่นออกมาพร้อมกับกิ่งไม้สามสี่ก้านที่คาบมา โยนเข้าตรงกลางวงที่พวกเรากำลังนั่งอยู่ ซึ่งกิ่งไม้มันมีน้อยเกินกว่าที่จะใช้เวลาไปหานานขนาดนี้

    "หามาได้แค่นี้เนี่ยนะ" เรนโบว์แดชเลิกคิ้วถาม

    "ก็... ยังไงดีหละ แถมนี้มันไม่ค่อยจะมีไม้ให้หาเลยนี่นา.." สกูทาลูแก้ตัวด้วยนํ้าเสียงไม่สู้ดีนัก

    ผมเงยหน้ามองไปรอบๆ มีแต่ต้นไม้ล้อมรอบพวกผมทั้งนั้น ถ้าบอกว่าแถมนี้ไม่มีไม้ให้เก็บ งั้นต้นไม้พวกนี้มันทำมาจากอะไรละนั่น

    "เอาเถอะ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว ไปนั่งข้างๆ เรนโบว์แดชสิ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก ซึ่งทำให้เจ้าตัวรีบไปนั่งชิดกับเรนโบว์แดชอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็ถูกิ่งไม้เข้าด้วยกันเพื่อเสียดสีจนไฟติดขึ้นทันที ผมหันไปข้างหลังแล้วก็หยิบกิ่งไม้และใบไม้แห้งเอามาโยนใส่กองไฟบ้างเพื่อให้ไฟลุกโซนให้มากขึ้น

    "ทีนี้ เรามาฟังเรื่องราวที่น่ากลัวอีกเรื่องกันเถอะ หึหึหึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" เรนโบว์แดชเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าม้าทุกตัวอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว

    "เดี๋ยวก่อน คือ หนูขอเล่าเรื่องเองบ้างได้ไหม" สกูทาลูรีบอาสาทันที

    "ก็ได้ ขอให้มั่นใจว่ามันน่ากลัวนะ" เรนโบว์แดชบอกพร้อมกับทำสีหน้าเบื่อหน่ายทันทีที่ตนเองโดยขัดจังหวะ

    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีม้าตัวหนี่งที่น่ารักสดใส อยู่ในดินแดนที่อบอุ่น มีสายรุ้งอยู่ทุกวัน และมีเพื่อนๆ มากมาย มว๊าก แล้วก็มาย...." สกูทาลูเล่าเรื่องราวกับนิทานเด็กดีจ๋าออกมา ซึ่งทำให้เรนโบว์แดชขัดทันที

    "เอ่อ มันก็ไม่ผิดนะ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องสำหรับแคมป์ไฟเลยอ่ะ" เจ้าตัวบอกพร้อมกับทำเสียง อะแฮ่มในคอออกมา "ดังนั้นขอเล่าต่อเลยละกันนะ..."

    เรนโบว์แดชได้เล่าเรื่องสยองขวัญของม้าไร้หัว (แม้ว่าช่วงแรกๆ จะโดนแอปเปิ้ลแจ็คขัดอยู่บ้างเพราะเธอถามว่า ถ้าม้าไม่มีหัวแล้วสมองมันอยู่ตรงไหน) ซึ่งพอเล่าจบ ก็ทำให้ม้าโพนี่ตัวเล็กๆ ที่สามตัวตื่นกลัวขึ้นมาทันที โดยเฉพาะสกูทาลูที่ตอนนี้ตัวสั่นราวกับโดนแผ่นดินไหวเกินกว่า 7 ริกเตอร์ไปแล้ว ส่วนตัวผมซึ่งยังไม่เคยเห็นม้าหัวขาดมาก่อนก็เลยยังไม่เก๊ตอยู่ดี

    "เดี๋ยวก่อน! ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลานอนใช่ไหม ? ทำไมไม่ร้องเพลงแคมป์ไฟหละ" สกูทาลูรีบพุ่งไปหาสวิตตี้เบลอย่างรวดเร็ว ซึ่งยูนิคอร์นน้อยตาโพลงโตขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

    "ได้เลย! ถ้างั้นฟังหนูร้องเพลงได้เลยนะ" สวิตตี้เบลกระโดดไปตรงที่เรนโบว์แดชยืนอยู่พร้อมกับผลักเจ้าตัวออก แล้วก็เริ่มร้องเพลงทันที

    แต่จะบอกว่าเสียงของเธอมันช่างนรกแตกมาก เพราะร้องผิดคีย์แถมเสียงก็สูงปรี๊ด และเนื่องจากม้าแต่ละตัว ต่างตัวต่างก็ง่วงนอนกัน เลยไม่มีใครคิดจะไปห้าม จนในที่สุด พวกผมก็เผลอสัปหงกจนหลับกันเป็นแถบโดยไม่รู้ตัว และสะดุ้งตัวอีกทีเมื่อสวิตตี้เบลตะโกนร้องท่อนสุดท้ายดังลั่นออกมา ก่อนที่เจ้าตัวจะน็อกและนอนหงายนอนมันตรงนั้น แรร์ริตี้ใช้เวทมนต์ของเธออุ้มน้องสาวขึ้นมาแล้วพากลับเข้าไปในถํ้าเพื่อพาเธอไปนอนทันที

    "โอเค ไปนอนกันเถอะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอกโดยที่ตาของเธอหรี่จนแทบจะปิดให้ได้ ซึ่งม้าตัวอื่นๆ รวมทั้งผมก็กล่าวราตรีสวัสดิ์กันและกัน

    "เดี๋ยวก่อน ทำไมเราไม่ร้องอีกซักเพลงหละ" สกูทาลูร้องบอก แต่ตอนนี้ไม่มีม้าตัวไหนสนใจฟัง เพราะต่างตัวต่างอยากนอนจะแย่แล้ว

    "หรือ... เต้นดีหละ ? หนูรู้ว่าพี่มีพรมอยู่ มันคงเจ๋งนะถ้าเราเต้นบนพื้นถํ้านี้เลย อู้ๆ ไม่ๆ หนูมีความคิดที่ดีกว่า เล่นซ่อนหากันไหม ? ใครจะเล่นบ้าง!" สกูทาลูหันไปถามแรร์ริตี้ที่พาสวิตตี้เบลเข้าไปในเต้นท์แล้ว ก่อนที่จะวิ่งไปทางเรนโบว์แดช และไปถามแอปเปิ้ลบลูมที่ซุกตัวเข้าฟูกที่นอนของเธอแล้ว

    "บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้" แอปเปิ้ลบลูมบอกด้วยเสียงงัวเงียก่อนที่เจ้าตัวจะหลับสนิททันที

    "ดูเหมือนเธอไม่อยากที่จะนอนเลยนะ บอกเหตุผลได้ไหมว่าทำไม ?" แอปเปิ้ลแจ็คที่เข้านอนในฟูกของเธอแล้วถามด้วยความสงสัย

    "ก็.. หนูอยากที่จะสนุกสนานให้เต็มที่กับแคมป์ปิ้งกับเรนโบว์แดชที่เจ๋งที่สุดนี่นา หนูเลยไม่อยากที่จะอยากนอนเลย" สกูทาลูบอกออกมาพร้อมกับชี้ไปทางเรนโบว์แดช ซึ่งผมมองเห็นหน้าเจ้าตัวแล้วบอกได้เลยว่าอารมณ์มันคนละอย่างกันเลยนะ

    "ใช่ แต่ตอนนี้ม้าบางตัวต้องการที่ปิดตาและต้องการจะนอนเดี๋ยวนี้แล้ว" เรนโบว์แดชบอกด้วยนํ้าเสียงที่เริ่มรำคาญ ก่อนที่เจ้าตัวจะเสียบที่อุดหูกับหูของเธอก่อนที่จะนอนเอียงหันหลังทันที

    "งั้น พี่ก็ได้ อยู่คุยกับหนูทีนะ" เมื่อทุกตัวเริ่มเข้านอนกันหมด สกูทาลูมาพึ่งผมทันที

    "โทษทีนะสกูทาลู พี่เองก็ฝึกบินมาทั้งวัน เหนื่อยแทบบ้าเลย เราเองก็นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางกันต่อ" ผมพึมพำก่อนที่จะหลับตาลงทันที แม้ว่าผมจะยังไม่หลับสนิททันทีก็ตาม

    ผมได้ยินเสียงสกูทาลูบ่นพึมพำเล็กน้อยก่อนที่จะเงียบลง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะล้มตัวลงนอนได้ในที่สุด ทำให้บรรยากาศในตอนนี้มีแต่เสียงนํ้าที่หยดจากในถํ้าและเสียงแมลงกลางคืนที่ร้องออกมาจากข้างนอกถํ้าเท่านั้น บรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้ทำให้ผมหลับสนิทได้ในเวลาอันรวดเร็ว

     

    -------------------------------------

     

    ผมกำลังบินอยู่กลางอากาศแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นป่าที่คล้ายกับป่าที่ผมหัดบินมาในตอนนี้ ผมซึ่งบินอยู่นั้นบอกได้เลยว่าผมกำลังบินได้อย่างชำนาญและไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้น ผมก็มองเห็นสกูทาลูกำลังขี่สกู๊ตเตอร์หนีอะไรบางอย่างอยู่

    'เจ้าหนุ่ม'

    เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากข้างบนเหนือของผม ซึ่งเมื่อผมแหงนหน้ามอง ผมก็พบเห็นท้องฟ้าที่เป็นสีส้มแดง ซึ่งดูผิดปกติกับบรรยากาศที่ผมกำลังบินอยู่มาก เพราะมันควรจะเป็นตอนกลางคืน แต่ทำไมท้องฟ้าเหมือนเป็นยามเย็นเลย

    'เจ้าหนุ่มจากต่างโลก รีบเร็วเข้า!'

    เสียงนั้นดังขึ้นมามากขึ้น และเมื่อผมจับทิศทางได้ว่ามาจากไหนก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าทันที ผมมองเห็นดวงจันทร์กลมโตลอยเหนือหัวของผม และมีใครบางคนกำลังบินลงมาหาผม และบุคคลคนนี้ผมก็เคยพบมาก่อนตอนอยู่อาณาจักรคริสตัลนั่นเอง

    'เจ้าหญิงลูน่าเหรอ' ผมเอ่ยชื่อท่าน เมื่อองค์หญิงแห่งราตรีได้ร่อนลงมาข้างหน้าผมแล้ว เธอจ้องมองผมทันที

    'เจ้าหนุ่มจากต่างโลก รีบตื่นเร็วเข้า' พระองค์ตรัสกับผม 'สกูทาลูอยู่ในอันตราย'

    'สกูทาลูเหรอพะย่ะค่ะ ทำไม...' ผมทูลถามพระองค์กลับ

    'ไม่มีเวลาแล้ว รีบตื่นเร็วเข้า!'

     

    -------------------------------------

     

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆ ผมยังคงนอนอยู่ในถํ้าบนฟูกที่นอนของผม ผมหอบหายใจแรงเพราะเหตุการณ์ที่ผมฝันเมื่อกี้มันสมจริงมาก ราวกับว่าผมเจอเจ้าหญิงลูน่ามาพบกับผมด้วยตนเองเลย

    "สกูทาลูงั้นเหรอ" ผมมองไปทางตำแหน่งฟูกที่นอนที่สกูทาลูน่าจะนอนอยู่ แต่ก็ต้องพบว่า ฟูกของสกูทาลูนั้นว่างเปล่า!

    ผมรีบลุกขึ้นแล้วก็วิ่งไปดูฟูกของสกูทาลู ก่อนที่จะควบไปดูรถเข็นสัมภาระของแรร์ริตี้ และก็พบว่าสกู๊ตเตอร์พร้อมหมวกกันน็อตของเพกาซัสตัวน้อยนั้นหายไปจริงๆ

    "ฝันเป็นจริงงั้นเหรอเนี่ย" ผมรีบควบไปทางเรนโบว์แดชที่กรนออกมาแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน แล้วรีบเขย่าตัวปลุกเธอทันที

    "เรนโบว์แดช สกูทาลูหายตัวไป สกู๊ตเตอร์ของเธอก็ไม่อยู่ด้วย" ผมรีบบอกกับเธอหลังจากที่เธอสะลืมสะลือตื่นแล้ว

    "หายไปงั้นเหรอ.." เรนโบว์แดชมองไปยังฟูกที่นอนของสกูทาลูที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็รีบดึงที่อุดหูออกทันที "มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน"

    "ฉันไม่รู้ เรารีบไปตามหาเธอกันก่อนเถอะ" ผมมองไปทางพี่น้องแอปเปิ้ลที่ยังคงหลับสนิทอยู่ ทั้งสองตัวยังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น

    "ตกลง" เรนโบว์แดชพยักหน้าก่อนที่จะบินนำผมออกไปนอกถํ้าทันที ผมกางปีกแล้วก็บินตามเธอไปทันที แม้ว่าจะทำความเร็วได้ไม่เท่าก็ตาม

    "แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าสกูทาลูหายไปนะ" เรนโบว์แดชถามเมื่อผมสามารถทำความเร็วจนบินไปข้างๆ เธอได้

    "ก็ ตื่นมาเมื่อกี้ก็เห็นว่าไม่อยู่แล้ว" ผมบอกตามความจริง แต่ไม่ได้บอกว่าเพราะผมฝัน "จริงๆ ฉันว่าสกูทาลูดูแปลกๆ มาทั้งวันแล้วเหมือนกันนะ"

    "งั้นเหรอ ฉันก็ว่างั้น" เรนโบว์แดชหรี่ตาราวกับครุ่นคิด

    พวกเราทั้งสองตัวบินไปทางตามเดินเรื่อยๆ ตามรอยสกู๊ตเตอร์ของสกูทาลูตามทาง และก็พบว่ารอยล้อของสกู๊ตเตอร์นั้นขาดหายไปข้างทาง

    "สกูทาลู เธออยู่ที่ไหน" เรนโบว์แดชตะโกนพร้อมกับมองไปรอบๆ โดยที่เธอยังคงบินกลางอากาศ

    ผมเองก็มองไปรอบๆ เช่นเดียวกัน และหูของผมก็ได้ยินเสียงตะโกนของใครบางตัวอยู่ และผมคิดว่านั่นเป็นเสียงของสกูทาลู และเสียงนั้นก็มีเสียงนํ้าไหลอยู่ด้วย

    "ทางนี้" ผมรีบบอกกับเธอก่อนที่จะบินนำเธอไปทางเสียงนํ้าไหล และเมื่อผมกับเรนโบว์แดชบินไปถึง ก็พบกับแม่นํ้าสายหนึ่งที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่ข้างหน้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

    "มั่นใจนะว่าได้ยินเสียงเธอจากตรงนี้นะ" เรนโบว์แดชถามผม

    ผมหรี่ตาและมองไปรอบๆ เพื่อมองหาเจ้าตัว และผมก็เห็นสกูทาลูโผล่หัวออกมาจากแม่นํ้าจริงๆ ผมรีบชี้ให้เรนโบว์แดชดูทันที เราทั้งคู่รีบบินไปตามทางแม่นํ้าทันที

    "รอก่อน สกูทาลู เรากำลังมาแล้ว" ผมตะโกนบอกเธอ แต่ไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวได้ยินรึเปล่า เพราะเจ้าตัวเองก็ผลุบๆ โผล่ๆ กลางแม่นํ้าตลอด และผมก็ต้องตื่นตกใจมากขึ้นเมื่อพบว่า ทางข้างหน้านั้นเป็นนํ้าตก!

    ฟิ้วววววว!

    เรนโบว์แดชเร่งความเร็วไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่รอผม และด้วยความเร็วของเธอ ทำให้เธอสามารถคว้าตัวสกูทาลูขึ้นมาได้ทันก่อนที่เธอจะตกลงไปทางนํ้าตกพอดี เรนโบว์แดชอุ้มเธอไปบนเนินแถวนั้นทันที ผมซึ่งร่อนไปถึงพอดีก็มองเห็นว่าเธอยังสวมหมวกกันน็อตอยู่ แต่สกู๊ตเตอร์เจ้าตัวหายไป

    "สกู๊ตเตอร์เธอตกไปในนํ้าด้วยรึเปล่า" ผมรีบถามเธอ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าตอบผมเงียบๆ ดูเหมือนเธอยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

    "ฉันดูแลเธอเอง นายไปเช็ดตรงนํ้าตกทีนะว่าสกู๊ตเตอร์หล่นไปข้างล่างรึเปล่า" เรนโบว์แดชบอก ซึงผมก็พยักหน้าพร้อมกับบินไปทางนํ้าตกทันที

    นํ้าตกตรงแถวนั้นสูงราวๆ ตึกหนึ่งชั้นกว่าได้ และข้างล่างนั้นผมก็เห็นสกู๊ตเตอร์ของสกูทาลูเกยติ้นอยู่ริมฝั่งลำธารข้างล่างจริงๆ ซึ่งเมื่อผมร่อนลงไปเก็บนั้นก็พบว่าลำธารที่ว่ามีความลึกไม่มากนัก ถ้าเมื่อกี้เรนโบว์แดชไปคว้าตัวสกูทาลูไม่ทันละก็ อีกฝ่ายคงปางตายแน่ๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมอึ้งในความเร็วของเรนโบว์แดชจริงๆ ที่เธอสามารถช่วยชีวิตม้าตัวน้อยได้ทันเวลาพอดีทั้งๆ ที่เมื่อกี้ระยะห่างกันตั้งเกือบสิบเมตร

    เห็นทีเราคงจะยอมแพ้ไม่ได้แล้วสินะ ผมหันไปมองดูปีกตัวเองที่ยังคงกระพืออยู่ เพราะขนาดอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงยังสามารถเร่งความเร็วได้ ทำไมม้าหนุ่มอย่างผมจะบินเร็วแบบเธอไม่ได้กัน

    เมื่อผมบินขึ้นไปข้างบนพร้อมกับสกู๊ตเตอร์ของเธอแล้ว ผมก็พบกับเรนโบว์แดชกำลังใช้ปีกของเธอโอบกอดสกูทาลูอยู่ ผมวางสกู๊ตเตอร์ของเธอข้างๆ พร้อมกับร่อนลงยืนบนพื้นมองดูทั้งสองคน ซึ่งทั้งคู่ก็หันมามองผมทันที

    "ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่สกูทาลู ทำไมถึงออกมานอกถํ้าโดยไม่บอกกันเลย" ผมหุบปีกตนเองลงข้างๆ ตัวพร้อมกับถาม

    "เรื่องมันยาวนะพี่" เจ้าตัวยิ้มแหะๆ ก่อนที่เรนโบว์แดชจะพยักหน้าให้ เพื่อให้เจ้าตัวเล่าเรื่องนี้กับผมด้วยตนเอง

     

    -----------------------------------------

     

    สกูทาลูได้ยอมรับว่าเจ้าตัวนั้นกลัวเรื่องที่เรนโบว์แดชเล่าเรื่องมาตั้งแต่คืนวานจนนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่อยากแสดงความกลัวออกมาต่อหน้าเรนโบว์แดชเพราะอยากให้เรนโบว์แดชเป็นพี่สาวให้กับเธอ รวมไปถึงอยากให้เรนโบว์แดชช่วยฝึกบินให้กับเธอเหมือนผมด้วย ผมจึงได้บอกไปแค่ว่าถ้ามีอะไรก็บอกกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย ถึงแม้ว่าเรื่องที่เรนโบว์แดชเล่าเรื่องมาผมจะไม่ได้กลัวอะไรมากก็เถอะ

    วันต่อมา พวกผมก็เดินทางไปยังนํ้าตกสายรุ้งต่อตามโปรแกรมโดยที่ไม่ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ม้าตัวอื่นๆ ฟัง และเมื่อผมไปถึงแล้วก็ต้องเข้าใจเลยว่าทำไมนํ้าตกที่นี่ถึงมีชื่อว่านํ้าตกสายรุ้ง และทำไมต้องเดินขึ้นมาบนยอดเขาเพื่อดูด้วย เพราะว่านํ้าตกแห่งนี้มีต้นนํ้ามาจากก้อนเมฆข้างบนนั่นเอง สายรุ้งจำนวนมากได้ตกลงมาจากบนเมฆไหลลงมาตรงยอดขาจนทำให้เกิดเป็นนํ้าตกขนาดใหญ่และกว้างราวกับนํ้าตกไนแองกาล่าขนาดมินิเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อนํ้าตกไหลลงไปข้างล่างมันก็กลับไปเป็นสีนํ้าปกติราวกับถูกกรองเอาสายรุ้งออกเรียบร้อย ความสวยงามของมันนั้นทำให้ผมหายเหนื่อยที่ต้องเสียเวลาเดินทางมาถึงสองคืนทันที เรนโบว์แดชได้อุ้มสกูทาลูบินขึ้นไปชมแหล่งกำเนิดของนํ้าตกสายรุ้งบนก้อนเมฆเหล่านั้นด้วยตนเอง และผมเองก็บินขึ้นไปดูด้วยเช่นกัน และทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่า การที่ผมมีปีกและสามารถบินได้ มันทำให้ผมมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และนั่้นทำให้ผมรู้สึกยิ่งอยากที่จะบินให้เก่งมากขึ้นไปอีก

    "เป็นไงบ้าง บอกแล้ว ว่าเพกาซัสทุกตัวชอบการบินทั้งนั้นแหละ" เรนโบว์แดชที่ยังคงอุ้มสกูทาลูบินมาบอกกับผมพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งคู่

    "เป็นที่ประจักษ์แล้วหละ" ผมพยักหน้าบอกเขาด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบจากใจจริง

    หลังจากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาในการเดินทางเดินลงเขาอีกสองวันเพื่อเดินทางกลับบ้าน แม้ว่าจะเป็นการเดินทางกลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าการฝึกบินของผมจะสิ้นสุด เพราะเรนโบว์แดชยังคงให้ผมฝึกบินต่อ ซึ่งหลังจากที่กลับมาที่เมืองโพนี่วิลด์แล้ว ผมก็พบได้ว่าผมเริ่มบินได้คล่องขึ้นจนสามารถบินโดยที่ไม่ต้องเอาเท้าแตะพื้นเลยตอนที่เดินเข้าไปในเมืองแล้ว ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณเรนโบว์แดชและแอปเปิ้ลแจ็คสำหรับทริปนี้ที่ทำให้ผมได้อะไรมากกว่าการไปเที่ยว

    คืนนั้น หลังจากที่ผมเก็บข้างของอะไรเรียบร้อยและเตรียมตัวเข้านอน ผมได้นึกถึงเรื่องราวที่เรนโบว์แดชเล่าตอนแคมป์ไฟ เกี่ยวกับเรื่องราวสยองขวัญของม้าแก่ที่ตามหาเกือกม้าที่หายไปและม้าไร้หัวที่ตามหลอกหลอกกับม้าทุกตัวที่เข้าไปในป่า

    "แค่เกือกม้าสองคู่ ซื้อใหม่ไม่ง่ายกว่าเร้อ" ผมยิ้มพร้อมกับส่ายหัวกับเรื่องที่เรนโบว์แดชเล่า

    กึก...กึก....กึก

    เสียงเหมือนมีใครกำลังเดินอยู่รอบๆ บ้านผม ซึ่งเมื่อผมลุกขึ้นไปมองดูนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่าตอนนี้มันก็มืดมากแล้ว และบ้านผมก็อยู่นอกเมืองโพนี่วิลด์ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีม้าตัวไหนมาเดินรอบๆ บ้านผม แถมบรรยากาศก็เงียบมากเสียจนทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวที่เรนโบว์แดชเล่าทันที

    'ไม่มีม้าตัวไหนสามารถหนีรอดไปได้...' เรื่องที่เรนโบว์แดชเล่าดังก้องในหัวของผม

    ผมกลืนนํ้าลายอึกใหญ่ พยายามคิดว่ามันคงไม่เกี่ยวกันและไม่บังเอิญขนาดนั้น ผมลุกขึ้นจากเตียงและทำท่าว่าจะเดินออกไปดู แต่เสียงลมพัดทำให้แก้วนํ้าที่ผมวางไว้บนโต๊ะกินข้าวนอกห้องนอนก็ล้มลงจนเสียงดังลั่นบ้าน และนั่นทำให้ผมสะดุ้งทันที

    'เธอจะตามเรามาทุกที่ ไม่ว่าเราจะหนีออกมาจากป่าได้แล้วก็ตาม...' เรื่องที่เรนโบว์แดชเล่าดังก้องในหัวของผมต่อเนื่อง

    ผมมองไปยังรอบบ้านตัวเองอย่างไม่ไว้วางใจ แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่ผมอยู่อาศัยมานาน แต่กลับมีบรรยากาศที่ผมไม่คุ้นเคย แม้แต่เก้าอี้และโต๊ะที่มันอยู่ของมันอย่างนั้นราวกับมันไม่ใช่ของในบ้านของผมเลยแม้แต่น้อย ผ้าม่านที่ปลิวไปตามลมก็ราวกับมีจะมีใครพุ่งตัวออกมาจากผ้าม่านผืนนั้น

    'และเมื่อเธอปรากฎขึ้น เธอก็จะถามว่า... ใครเอาเกือกม้าของฉันไป...' เสียงของเรนโบว์แดชยังดังก้องในหัวของผม และนั่นทำให้ผมมองไปรอบๆ บ้านตัวเองอีกครั้ง และเมื่อยังมีแต่ความเงียบ ผมก็ถอนหายใจออกมาเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไร

    ตึง! ตึง! ตึง!

    เสียงทุบประตูดังลั่นออกมาจนผมสะดุ้งโหยง และนั่้นทำให้ผมไม่ไว้ใจใครก็ตามที่อยู่หน้าบ้านของผมทันที เพราะดึกป่านนี้แล้วมันต้องไม่มีใครมาอยู่แล้ว แล้วคำถามก็คือ ใครกันแน่ที่มาเคาะประตูหน้าบ้านผม

    แซ่ก...แซ่ก... แซ่ก...

    เสียงเหมือนมีใครกำลังเดินอยู่หน้าบ้านของผมดังขึ้นอีก เสียงหน้าต่างบานหนึ่งที่ผมปิดไม่สนิทก็ดังขึ้นเอี๊ยดอ๊าดและนั่นทำให้บรรยากาศดูไม่น่าไว้วางใจมากขึ้น และนั่นทำให้เรื่องเล่ของเรนโบว์แดชดังก้องในหัวของผมมากขึ้น

    'ใครเอาเกือกม้าของฉันไป...'

    'เธอเองสินะ ที่เอาเกือกม้าของฉันไป....'

    'เอาคืนมา.. เอาเกือกม้าของฉันคืนมา!'

    ผมเดินตัวสั่นไปที่ประตูหน้าบ้านของผม และพยายามยื่นอุ้งเท้าไปเปิดประตูข้างหน้า พร้อมกับใจที่สั่นกลัวที่ไม่รู้ว่าคนที่อยู่นอกประตูนี้จะเป็นผีม้าตัวไหนรึเปล่า

    "ว๊ากกกกกกกกกกก!!" ผมตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อเปิดประตูอ้าสุดบานพร้อมกับกระโจนถอยหลังออกมาเพื่อเตรียมหลบอีกฝ่าย แต่ผมก็ต้องมองไปยังอีกฝ่ายที่อยู่หน้าบ้านของผมเสียจนผมอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

    เพราะว่าอีกฝ่ายที่ยังยืนอยู่หน้าบ้านของผมนั้น ไม่ใช่ทั้งผีและไม่ได้เป็นม้าเสียด้วยซํ้า!

    แต่กลับเป็นวิโวน่า สุนัขของแอปเปิ้ลแจ็คที่กำลังนั่งแลบลิ้นกระดิกหางมองผมอยู่หน้าบ้าน

    "อ้าว วิโวน่า เธอเองเหรอ" ผมเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัวเมื่อกี้เดินไปหามันใกล้ๆ และก็พบว่าข้างๆ ตัวมันนั้นมีกระเป๋าเป้ของผมอยู่พร้อมกระดาษโน๊ตที่เสียบเอาไว้ในช่องกระเป๋า พอผมแกะมันออกมาดูก็พบว่ามีลายมือของแอปเปิ้ลแจ็คอยู่

     

    ไง พ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน

    ดูเหมือนนายจะลืมกระเป๋าเอาไว้สินะ สวิตตี้เบลเจอตอนขนสัมภาระกลับมาที่บ้านฉัน ฉันเลยฝากให้วิโวน่าเอามาส่งให้นะ

    AJ

     

    "โฮ่ง!" วิโวน่าเห่าใส่ผมราวกับมันต้องการบอกว่ามันทำหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่มันจะแลบลิ้นใส่ผมที่หน้า ก่อนที่จะหันหลังและวิ่งกลับไปทางบ้านของแอปเปิ้ลแจ็คอย่างแสนรู้ ผมมองไปรอบๆ นอกบ้านอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่านอกจากวิโวน่าแล้ว ไม่มีใครอยู่แถวบ้านผมอีก

    "โถ่เอ้ย คิดไปเองเหรอเนี่ย ตกใจแทบบ้า" ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนที่จะก้มลงและคาบกระเป๋าเป้ของผมแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

    หลังจากที่ผมปิดประตูลงแล้ว ก็ปรากฎว่ามีใครบางตัวยืนมองบ้านของผมอยู่จริงๆ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ และกระโดดขึ้น กางปีกสีนํ้าเงินเข้มและบินขึ้นไปบนอากาศ ก่อนที่จะหายตัวไปท่ามกลางราตรีที่เงียบสงบในคืนนั้น

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×