ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ : การพบกันที่แปลกประหลาด
บรรยากาศที่มืดมิด เต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชกช่วงพุ่งขึ้นมาหลายร้อยเมตร เสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานดังกึกก้องกัมปนาท เสียงเหล็กฟาดฟันดังไปทั่ว สถานที่เต็มไปด้วยความตายแห่งนี้ เป็นสถานที่เหล่าดวงวิญญาณที่ต้องมาชดใช้กรรมที่ตนเองได้ก่อเอาไว้ ที่นี่คือสถานที่มนุษย์เรียกกันว่า "นรก"
ร่างหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ที่จริงน่าจะเรียกว่าสูญญากาศเสียมากกว่า เพราะในภพนี้อากาศย่อมไม่มีอยู่แล้ว ร่างนั้นมีหมอกควันปิดบังเอาไว้อยู่โดยรอบ และเมื่อหมอกควันนั้นค่อยๆ จางสลายหายไปแล้ว ก็ปรากฎร่างหนึ่งขึ้นมา ร่างนั้นมีความสูงไม่มากนัก มีนัยน์ตาเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด และร่างนั้นกำลังกวักแกว่นอาวุธที่มีความยาวราวๆ เกือบหนึ่งเมตร ตรงส่วนหัวของมันนั้นเป็นใบมีดขนาดใหญ่รูปเสี้ยวจันทร์ สีที่ดำสนิทของมันทำให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เสียวหวดดังลั่นเมื่อร่างนั้นทดลองฟาดอาวุธชิ้นนั้น และเมื่อเสียงดังฟังชัด ร่างนั้นยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ
'เจ้าชินกับเครื่องมือของเจ้าแล้วล่ะสินะ' เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าของร่างนั้น เจ้าของร่างจึงรีบคุกเข่าทันที แม้ว่าลอยอยู่ก็ตาม
"ค่ะ ข้าชื่นชอบเครื่องมือนี้มาก" ร่างนั้นตอบเสียงฉะฉาน บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นเพศหญิง
'ดีมาก หน้าที่แรกของเจ้าได้มาแล้วนะ จงทำให้ดีที่สุดหละ' เสียงที่ทรงพลังสั่งเธอ
"ข้ายินดีทำตามหน้าที่นั้น ในฐานะของยมทูตอย่างข้า" เธอตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ
'งั้นก็ดี นี่คือดวงวิญญาณที่เจ้าจะต้องไปจัดการ' เสียงนั้นตอบ พร้อมกับมีแสงปรากฎขึ้นตรงหน้าของเธอ แสงนั้นส่องสว่างออกมา เผยให้เห็นว่าหญิงสาวเจ้าของร่างนี้มีผิวพรรณสีขาวนวล ผิดกับสภาพแวดล้อมที่น่าสยดสยองที่นี่นัก
แสงนั้นส่องสว่างออกมาเป็นรูปทรงไข่ขนาดใหญ่ แล้วก็ปรากฏภาพราวกับเปิดจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฎภาพของชายคนหนึ่งให้เธอเห็น
ชายที่อยู่ในจอภาพแสงนั้นมีอายุราวๆ สิบห้าถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้น เส้นผมสีดำสนิทยาวจนมาจนถึงต้นคอ ใบหน้าแหลมคมพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย แต่เป็นแววที่ที่บอกถึงความมุ่งมั่น ผิวสีขาวอมเหลืองของเขาทำให้เขาดูเป็นคุณหนูมาก เขากำลังใส่ชุดสีขาวและกางเกงสีนํ้าเงิน เขานั่งอยู่บนโต๊ะที่มีหนังสือวางอยู่ มือของเขาข้างหนึ่งกำลังจดอะไรบางอย่างในสมุดอยู่
ยมทูตสาวเมื่อเห็นเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้านั้น เธอถึงกับมองด้วยความตกตะลึง ใบหน้าของเธอแดงซ่านออกมาเล็กน้อย เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในร่างกายของเธอที่เต้นตึกๆ ราวกับตีกลอง สายตาของเธอจดจ้องมองดูภาพเด็กหนุ่มที่อยู่ในจอแสงนั้นอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่า ภาพที่เธอกำลังเห็นอยู่นี้ เป็นภาพที่เธอต้องการที่จะมองมันอย่างมาก
เพราะอะไรกันนะ ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ กับชายคนนี้ เธอคิดอย่างสงสัย
'มีอะไรอย่างนั้นเหรอ' เสียงนั้นถามอย่างสงสัย
"ปะ เปล่าค่ะ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ" เธอรีบตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
'เอาหละ งั้นฟังข้า เป้าหมายนี้มีชื่อว่า ริว ดวงของเขากำลังจะถึงฆาตในคืนนี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องไปเอาดวงวิญญาณของเขามาให้ได้ก่อนเวลาเที่ยงคืนตามเวลาของมนุษย์โลก จงจำไว้ว่า เจ้าต้องได้ดวงวิญญาณมาก่อนเที่ยงคืนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่สามารถกลับสู่ยมโลกได้ เจ้าก็ต้องรอจันทร์เพ็ญต่อไปถึงจะสามารถกลับมาได้ เจ้าพร้อมที่จะรับงานนี้ไหม' เสียงที่ทรงอำนาจนั้นถาม
"ค่ะ ข้ายินดีรับ" เธอตอบเสียงฉะฉาน แม้ว่าสายตาของเธอจะยังแอบจดจ้องมองดูภาพของเด็กหนุ่มอยู่
'ดีมาก' เสียงนั้นตอบด้วยความพึงพอใจ 'นี่คืองานชิ้นแรกของเจ้า ยมทูตฝึกหัด เคียว'
"แล้วข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง" ยมทูตสาวที่ชื่อ เคียว ตอบด้วยความมั่นใจ พร้อมกับชูเคียวไปข้างหน้า ราวกับว่าเธอปฏิฎาณตนเอง
อ็อด...!!
เสียงออดดังขึ้น บ่งบอกสัญญาณถึงวันที่เลิกเรียนแล้ว ผมไม่รอช้าหลังจากที่หัวหน้าห้องบอกทำความเคารพอาจารย์ประจำชั้นเมื่อโฮมรูมจบ เก็บข้าวเก็บของหนังสือเรียนของผมใส่กระเป๋าทันที
"เฮ้ ริว"
เสียงเรียกของเพื่อนผมดังขึ้นมา ทำเอาผมหงุดหงิดไม่ใช่น้อย อยู่ห้องเดียวกันแค่นี้จะตะโกนทำไมก็ไม่รู้
"มีอะไร" ผมถามกลับไปอย่างไร้อารมณ์
"เย็นนี้เราไปคาราบาเกะกันดีปะเพื่อน" เพื่อนของผมพูดด้วยนํ้าเสียงเริงร่า
"คงไม่ดีกว่า ฉันว่าจะแวะไปร้านหนังสือก่อนกลับบ้านนะ ของเดือนนี้มันวางขายวันนี้พอดี" ผมตอบปฏิเสธ
"อะไรว้า ไอ้เพื่อนฝูง ฉันชวนแกทุกคนไม่เคยที่จะไปกันเลยนะ ไอ้ไร้มนุษยสัมพันธ์" เพื่อนของผมประนามผมทันที
"จะว่ายังไงก็เชิญเถอะ" ผมถอนหายใจ
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปหรอกนะครับ ผมไม่เคยเข้าคาราโอเกะอะไรนั่นกับเขาหรอก ที่ไม่อยากไปเพราะมันเสียเงินเสียทองอย่างไร้ประโยชน์มากกว่า กะแค่ไปร้องเพลงแค่เนี้ย เสียเงินค่าชั่วโมงเป็นร้อย เอาไปกินข้าวได้ตั้งหลายมื้อ อยากร้องเพลงขนาดนั้นแหกปากร้องเอาที่บ้านก็ได้นี่ฝ่า
อ้อ ผมแนะนำตัวช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยนะครับ ผมมีชื่อว่าริวครับ เพิ่งจะได้ขึ้นเรียน ม.สี่ อยู่หมาดๆ อยู่แผนกศิลป์ - คำนวณครับ เหตุเพราะว่าผมไม่ค่อยชอบเรียนวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่นัก โรงเรียนที่ผมมาเรียนนั้นเป็นโรงเรียนสหศึกษา ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าโรงเรียนนี้มีประวัติอะไร รู้แต่ว่ามันใกล้บ้านผม ก็เลยมาสมัครเรียน ม.ปลาย ที่นี่ซะเลย โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนมัธยมธรรรมดาที่เปิดสอนระดับชั้น ม.ต้น ไปจนถึง ม.ปลาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของฟุตบอลอยู่นะครับ
ส่วนเพื่อนผมที่ทำหน้าน้อยอกน้อยใจนั้น มีชื่อว่า อาร์ม เป็นเพื่อนผมตั้งแต่ ม.หนึ่งได้ พอหมอนี่รู้ว่าผมย้ายมาเรียนที่ไหนมันก็สมัครมาสอบเรียนกับผมด้วย ทั้งๆ ที่หัวของเพื่อนคนนี้เก่งจนถึงขนาดเรียนวิทย์ - คณิตได้ แต่กลับมาเรียนศิลป์ - คำนวณกับผม แถมเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นเป็นอย่างสูง เห็นอย่างนั้นหมอนี่ทำคะแนนได้สูงสุดตอนที่สอบเข้าเลยนะครับ
"เอาเถอะ พอรู้นะว่านายอยากเก็บเงินนะ แต่ว่างๆ นะไปเที่ยวพักผ่อนกับเขาบ้างก็ดีนะเพื่อน" อาร์มยกกระเป๋าถือนักเรียนขึ้นสะพายบ่า "ไม่พักผ่อนอะไรบ้างเลยเดี๋ยวนายจะได้สมองแตกตายกันพอดี"
"ขอบใจมากเพื่อน ฉันคงไม่ตายวันนี้หรอก" ผมอมยิ้มให้เพื่อนผม เพราะผมรู้ดีว่าเจ้าอาร์มมันหวังดีอยากให้ผมไปพักผ่อนขนาดไหน
"อะไรนะ ริวจะตายงั้นเหรอ!"
เสียงเด็กสาวดังขึ้นมาจนคนทั้งห้องหันมามองกันพรึบ และเมื่อผมรู้ว่าใครเป็นคนพูด ผมเอามือปิดหน้าพร้อมกับส่ายหัวด้วยความอับอาย
"ริวคูงงงงง"
เสียงของเด็กสาวดังขึ้นข้างหน้าผม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็พบกับเพื่อนสมัยเด็กของผมยืนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงสุดซึ้ง เธอมีใบหน้ารูปไข่ ผิวสีขาวนวลราวกับไข่มุก ดวงตากลมโตราวกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่ขึ้น ม.ปลาย แล้ว เธอไว้ผมทรงหางม้าเรียบร้อย และท่าทางเป็นกุลสตรีมาก ถึงขนาดหน้าอกจะใหญ่ผิดกับหน้าของเธอก็เถอะ แต่ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ ปัญหาก็คือ การกระทำของเธอนั้นเรียกร้องทำให้คนทั้งห้องพร้อมใจกันมองมาทางผมทันที
"ริวคุงจะตายวันนี้เหรอ ริวคุงจะตายไม่ได้นะ เอริไม่ยอมนะ" เธอพูดกับผมราวกับเด็กๆ
"จะบ้าเหรอเอริ ใครจะไปตายวันนี้กันเล่า" ผมบอกปัด "ฉันแค่ล้อเล่นกับไอ้อาร์มเฉยๆ"
"ไม่หรอก ไม่จริงเลย ดูนี่นะ" เพื่อนสมัยเด็กของผมที่ชื่อ เอริ รีบเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอแล้วล้วงของบางอย่างออกมาวางบนโต๊ะให้ผมดู
มันเป็นแผ่นกระดาษที่ดูเก่าแก่พอสมควร และเมื่อเธอกางแล้ว ตรงกลางกระดาษนั้นเป็นรูปวงกลม ซึ่งมีตัวอักษร วัน เดือน ปี เวลา พร้อมไว้เลย ผมดูๆ ไปแล้วมันยังกับกระดาษเล่นผีถ้วยแก้วเลยนะเนี่ย
"เนี่ย มันมีคำทำนายเอาไว้ ว่าวันนี้ริวคุงจะต้องเจอกับภัยคุกคามอย่างหนึ่ง แต่ฉันนึกไม่ออกเลยนี่สิ ว่าริวคุงจะเจอกับภัยแบบไหน" เอริเอามือทั้งสองข้างจับหัวตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างกระวนกระวาย "ฉัน ฉันยังแก้คำนายนี้ไม่ออกเลย ฮือ"
"นี่ๆ อย่าร้องไห้เลยหน่า" ผมรีบปลอบเธอ "มันอาจจะมีบ้างแหละที่เธอจะทำนายไม่ได้นะ"
"ไม่ๆ นี่มันเกี่ยวข้องกับริวคุงนะ ฉัน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคำทำนายมันเป็นยังไง" เธอส่งสายตาออดอ้อนมองผมราวกับเด็กๆ ที่มุ่งมั่นจะทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ
เอรินั้นดูเหมือนว่าเธอจะสืบเซื้อสายมาจากหมอผีไทยในสมัยก่อน และองเมียวจิของญี่ปุ่นด้วย เพราะพ่อของเธอเป็นคนไทย ส่วนแม่ของเธอนั้นเป็นมิโกะศาลเจ้าแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทั้งคู่พบรักกันจนได้เอริมาเป็นพยานรัก ผมหละสงสัยจริงๆ ว่าพ่อกับแม่ของเอริมารักกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่วิชาปราบผีของทั้งสองประเทศนี้ต่างกันสุดขั้วเลย ถึงผมจะค่อยชอบเรื่องที่เหนือธรรมชาติแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเอริเก่งเรื่องลี้ลับพวกนี้อย่างมาก ถึงขนาดสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำจนเหลือเชื่อ แต่เธอจะรับทำนายเอาไว้เฉพาะเมื่อเธออยากทำนายเท่านั้น แต่จะมีครั้งนี้แหละที่เธอทำนายพลาด
"เอาหน่าเอริ แล้วนี่ ม.สามเลิกเรียนแล้วเหรอ" ผมถามเธอ เพราะว่าเธอนั้นอ่อนกว่าผมปีหนึ่ง จึงอยู่ชั้น ม.สาม นั่นเอง
"แง้ ริวคุงง่า อย่าเปลี่ยนเรื่องซี่" เธออ้อนผมราวกับว่าเธอกำลังจะร้องไห้
"ว่าแต่เอริ แล้วคำทำนายของไอ้เจ้าริวมันว่ายังไงเหรอ" อาร์มเป็นฝ่ายถามเธอ
"เท่าที่ฉันรู้นะ มันเหมือนกับจะบอกว่าวันนี้ริวคุงจะต้องถึงฆาตวันนี้ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ เหมือนกับว่าริวคุงกำลังจะเจอกับอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวันถึงฆาตเนี่ยแหละ" เธออธิบายฉอดๆๆ ออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปบนกระดาษทำคำนาย บอกตรงๆ นะ ผมดูยังไงผมก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ
"เอาหน่า สรุปก็คือฉันจะไม่ตายวันนี้ใช่ไหม" ผมกระซับกระเป๋าสะพายให้ขึ้นหลังมากขึ้น "งั้นฉันกลับก่อนนะ"
"ริวคุง อย่าเพิ่งไปซี่ เค้าเป็นห่วงตัวเองน้า" เอริออดอ้อนผม
เป็นห่วงก็อย่าแสดงท่าทางที่โอเว่อร์มาแบบนี้ได้ไหม อายเขาจะตายอยู่แล้ว ผมคิดพร้อมกับรีบก้าวขาเดินออกจากห้องเรียนให้ไวที่สุด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่ผมเดินออกจากโรงเรียนแล้ว ผมมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือทันที และเมื่อผมซื้อหนังสือเป้าหมายของผมออกมาแล้ว ผมก็เดินกลับบ้านและเปิดดูมันพลางๆ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแต่งรถมอเตอร์ไซด์นั่นเอง
ใช่แล้วครับ ผมชื่นชอบพวกกีฬาที่เน้นความเร็วอย่างมาก อย่างพวกแข่งมอเตอร์ไซด์หรือแข่งรถยนต์อะไรทำนองนี้ ผมชื่นชอบมากจนขนาดไปรับซื้อมอเตอร์ไซด์ใกล้พังจากร้านขายของเก่าถูกๆ แล้วเอามาหัดซ่อมมันด้วยตนเอง จนตอนนี้มันสามารถขับได้แล่นฉิวไม่แพ้รถมอเตอร์ไซด์คันใหม่เลยทีเดียว แต่เนื่องจากผมยังอายุไม่ถึงสิบแปด การที่จะขี่มอเตอร์ไซด์นั้นผมจึงขี่ได้ในซอยบ้านตัวเองเท่านั้น ออกไปโดนจับแน่ แถมโดนปรับอีก ไม่คุ้มเลย
ส่วนพ่อแม่ของผมนั้นไปทำงานต่างประเทศทั้งคู่ แล้วท่านส่งเงินให้ผมทุกๆ เดือน ทำให้ทุกวันนี้ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด จะมีเอริมาเยี่ยมที่บ้านผมบ้าง เอ่อ ไม่บ้างแล้วหละ เพราะว่าเธอมาบ้านผมวันเว้นวันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าพ่อแม่ผมจะทำงานจนมีเงินเยอะ แต่เงินที่ส่งมาแต่ละเดือนนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้ทุกๆ เดือนผมจึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด อะไรที่ไม่จำเป็นผมจะไม่ซื้อเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ไปคาราโอเกะกับเจ้าอาร์มมัน แม้ว่ามันจะชอบชวนผมมาโดยตลอด ถึงกับออกปากว่าจะเลี้ยง แต่ถ้าผมไป มันก็จะถือว่าผมติดบุญคุณมัน ก็ต้องเลี้ยงมันตอบอีก รู้แบบนี้ไม่ไปดีกว่า
ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงท่าทีของเอริที่ทำท่าทางห่วงผมอย่างมาตอนที่ผมอยู่ในห้องเรียน ถึงผมจะรู้ว่าเอรินั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นห่วงผมมากแค่ไหน แต่เล่นมาอธิบายเรื่องวันตายของผมให้เพื่อนตัวเองฟังนี่เป็นใครก็ไม่ปลื้มนะนั่น
ตายวันนี้เหรอ ผมคิดติดตลก คงไม่หรอกมั้ง
ผมเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องผีสาง ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมาแค่ไหนแค่ไรแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าคำทำนายของเอริจะแม่นยำแค่ไหน แต่ผมบอกตรงๆ นะ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก
ผมยักไหล่กับความคิดนั้น ก่อนที่จะเดินไปยังทางแยกเพื่อที่จะข้ามทางม้าลายกลับบ้านผม เพราะตอนนี้มันหกโมงกว่าแล้ว ผมกำลังคิดว่ากลับไปจะทำอะไรกินดี
แต่ทว่า ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมนั้น ทำเอาหัวใจของผมแทบหยุดเต้น
เด็กนักเรียนสาวที่น่าจะอยู่ชั้นประถมปลายคนหนึ่ง เดินข้ามถนน แต่กลับสะดุดล้มลง แถมเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวด้วย และทางขวาของเธอนั้นก็กำลังมีรถบรรทุกสิบล้อวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
"กรี๊ดดดด! เด็กล้มกลางถนน"
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์กรีดร้องดังลั่น ทำให้มีคนเข้าไปมุงดูกันเป็นจำนวนมาก ปริมาณของคนที่อยู่ข้างถนนนั้นมามุงดูกันมากขึ้น
แต่กลับไม่มีใครออกตัวไปช่วยเด็กคนนั้นสักคนเลย
"แง้ แม่จ๋า"
เสียงของเด็กร้องไห้ดังจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีคนมุงคนไหนคิดที่จะเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นเลย ส่วนผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็ยังคงกรีดร้องต่อไป
ไอ้พวกแล้งนํ้าใจเอ้ย ผมคิดอย่างเจ็บใจ และยิ่งตกใจเมื่อขึ้น เมื่อรถบรรทุกสิบล้อนั้นแล่นเข้ามาในระยะห้าสิบเมตรแล้ว
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผม ผมรีบวิ่งออกไปข้างหน้า ผลักคนที่ขวางทางออกไปข้างๆ ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะว่าอะไร ผมไม่สงสัยหรอกว่าทำไมรถบรรทุกสิบล้อคันนั้นถึงยังไม่ยอมหยุด แต่ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมก็คือ เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่กำลังจ้องมองดูรถบรรทุกด้วยความหวาดกลัว ในหัวของผมสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือต้องรีบไปช่วยเธอให้ปลอดภัย
และเมื่อผมไปถึงตัวเด็กแล้ว ผมยื่นมือไปข้างหน้า แล้วก็ผลักให้เด็กคนนั้นกระเด็นไปข้างๆ จนล้มไปอยู่ตรงเกาะกลางถนน แต่เมื่อผมผลักเธอไปได้แล้ว เสียงแตรดังลั่นกลางถนนพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน และเมื่อผมมองไปยังต้นเสียงนั้น รถบรรทุกคันดังกล่าวก็อยู่เบื้องหน้าผมแล้ว
นี่เรา กำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ ผมคิดโดยที่ในหัวของผมโล่งไปหมด เมื่อเห็นภาพความตายที่อยู่เบื้องหน้าผม
เรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกหลายอย่างนะ ทำไมเราต้องตายตอนนี้ด้วยนะ ผมคิดด้วยความหวาดกลัวที่เอ่อล้นไปทั่วร่างของผม
ปี้นนนนน!!
ผมหลับตาแน่น เตรียมตัวรอรับความตายที่กำลังจะพรากเอาชีวิตของผมไป
ชิ้วววว!!
ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมนั้นกระเด็นออกมา ลอยล่องกลางอากาศ ไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอะไรเลย แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น มันเป็นความรู้สึกที่ต้องการปกป้อง ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่กระนั้น ผมก็ยังไม่กล้าที่ลืมตามองดู
ลมพัดมหาศาลพัดเข้าหาผม และสักพักหนึ่ง ผมรู้สึกได้ว่าผมจะเริ่มหยุดลอยแล้ว มีมือข้างหนึ่งกำลังอุ้มตัวผมอยู่ และค่อยๆ วางผมลง จนผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดไหลออกมาตามร่างกายของผม พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของผม ความหวาดกลัวของผมยังไม่ทุเลาลง
"เกือบไม่ทันแล้วสิ"
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น เสียงของเธอนั้นผมคาดเดาได้ว่าเธอคงจะมีอายุราวๆ แค่สิบสามถึงสิบห้าปีเท่านั้น เสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนหวานราวกับก้อนนํ้าตาลเลยทีเดียว มันทั้งอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงความห่วงใย และโล่งอก
ผมทำใจกล้า ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อมองดูว่าใครที่อยู่ตรงหน้าของผม
ผมกำลังนอนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบข้างของผมนั้นเริ่มมืดลงแล้ว มีแสงจากพระอาทิตย์กำลังส่องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่กำลังจะลับขอบฟ้า ลมพัดเข้าสู่ตัวผมดังวิ้วๆ ราวกับเรื่องราวเสี่ยงตายเมื่อกี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และผมก็เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าของผม
เธอเป็นเด็กสาวที่น่าจะมีความสูงถึงแค่หัวไหล่ของผมเท่านั้น เธอกำลังยืนหันหลังให้ผม เส้นผมของเธอเหมือนจะรวบเอาไว้สองข้าง ดูเหมือนเธอจะสวมใส่ชุดสีดำสนิท เป็นเสื้อคล้ายกับชุดเกาะอกสีดำ และกระโปรงขาสั้นสีดำสนิท ขอบหลุดลุ่ยราวกับถูกฉีกขาดมา ตัวของเธอนั้นตัวเล็กมาก ผิวสีขาวนวลที่ผิดกับชุดแต่งกายของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใส่รองเท้าอีกต่างหาก
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจจนแทบเสียสติ นั่นก็คือ ที่กลางหลังของเธอนั้นมีปีกค้างคาวยื่นออกมา ปีกนี้มีขนาดใหญ่ น่าจะใหญ่กว่าลำตัวของเธอสองเท่าได้ ผมมองไม่ชัดเลยไม่รู้ว่ามันมีรูปร่างละเอียดยังไง รู้แต่ว่าสีของมันดำสนิท และดูเหมือนจะขยับขึ้นลงได้ด้วย และก็มีหางยื่นออกมาจากสะโพกของเธออีกต่างหาก หางนั้นมีขนาดน่าจะเท่ากับเชือก และมีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมที่อยู่ปลายหาง ซึ่งหางทรงแบบนี้ผมรู้จักทันที ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของหางปีศาจ
และที่ผมตกใจมากกว่านี้อีกก็คือ ของที่เธอกำลังถือมันและเอาพาดบ่าของเธอนั้น มันเป็นใบมีดที่มีขนาดใหญ่มาก และขนาดของใบมีดนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่เด็กสาวร่างบอบบางแบบนี้น่าจะถือได้ ความคมกริบของมันสร้างความสยดสยองให้ผมได้ในทันที ชื่อของมันนั้นผมรู้ทันทีว่ามันเรียกว่า 'เคียว' นั่นเอง
เธอค่อยๆ หันหน้ามาหาผม ใบหน้าของเธอนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ใบหน้าของเธอนั้นมันช่างใสซื่อยิ่งนัก เหมือนกับเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรโลกในนี้เลย ใบหน้าที่ดูสดใสของเธอนั้นผิดกับชุดแต่งกายที่เธอกำลังสวมใส่อยู่นี้เป็นอย่างมาก
"แย่หละสิ" เธอพึมพำด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่เธอจะรีบกระโดดลงไปจากดาดฟ้าตึก
"เฮ้ เดี๋ยวก่อน" ผมตะโกนเรียกเธอด้วยความตกใจ เพราะว่าดาดฟ้านี้ถึงผมจะไม่รู้ความสูงก็เถอะ แต่บอกได้คำเดียวเลยว่า ตกลงไปนี้เละแน่ๆ ไม่ต้องสืบ
ผมฝืนตัวเองพยุงร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้น บังคับขาตัวเองไม่ให้สั่น ก่อนที่จะรีบวิ่งไปที่ขอบรั้วระเบียงของดาดฟ้าทันที และรีบมองลงไปข้างล่าง ความสูงของมันนั้นเล่นทำเอาผมหวาดเสียว เพราะว่ามันเห็นรถข้างล่างมีขนาดเล็กเท่านิ้วชิ้ผมเท่านั้น ส่วนผู้คนนั้นราวกับฝูงมดดีๆ นี่เอง ผมดูแล้วประมาณได้เลยว่าตึกนี้ต้องมีความสูงไม่น้อยกว่ายี่สิบชั้นได้ ข้างล่างนั้นผมมองเห็นมีรถบรรทุกคันที่กำลังจะชนผมจอดอยู่ริมถนน พร้อมกับคนที่มามุงดูเป็นจำนวนมาก แต่ที่รู้ๆ ผมไม่เห็นตัวเด็กสาวเมื่อกี้เลย ไม่แม้กระทั่งศพ และข้างล่างตึกนี้นั้นก็ไม่มีระเบียงให้ยึดเกาะอะไรด้วย
"เธอเป็นใครกัน" ผมคิดอย่างสงสัย "แล้วสำคัญ เธอหายไปไหนกันแน่นะ"
กว่าผมจะขอโทษและหาข้อแก้ตัวกับยามที่ตึกนั้นได้ว่าผมขึ้นไปทำอะไรบนดาดฟ้าก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว โดยผมอ้างว่ามาหาคนรู้จัก แต่ไม่รู้ว่าอยู่ชั้นไหน เลยลองไปดูบนดาดฟ้าแทน แน่นอนว่าสิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาก็คือ การเทศนาเป็นชุดๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ผมออกมาได้ เล่นทำเอาขี้หูผมเต้นแทงโก้สี่ตลบเลยทีเดียว เหลือเชื่อ เป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัย แต่บ่นออกมายังกับเป็นแม่ผมเลยให้ตายสิ
และเมื่อผมไปถึงหน้าบ้านของผมได้ ก็ปาไปสองทุ่มกว่าเลยทีเดียว ผมมองดูบ้านของผม มันเป็นบ้านเดี่ยวธรรมดาสองชั้น สวนหน้าบ้านมีอยู่กระจึ๊ดนึง ในบ้านนั้นไมได้เปิดไฟเพราะผมยังไม่ได้กลับ ผมไขกุญแจเข้าไปในบ้าน มองดูรถมอเตอร์ไซด์ที่ผมซ่อมเสร็จและจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนที่จะล็อคประตูรั้วหน้าบ้าน และเข้าไปในบ้าน เปิดไฟให้สว่างรอบด้าน โยนกระเป๋านักเรียนไปบนเก้าอี้รับแขก ปิดประตูบ้านพร้อมล็อคเรียบร้อย ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง
ว่าแต่ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครกันนะ ผมคิดอย่างสงสัย เพราะภาพของเธอที่สวมใส่ชุดสีดำแปลกๆ พร้อมกับมีทั้งปีกและหางยื่นออกมานั้นติดตาผมอย่างมาก ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ตาฝาด เพราะว่าผมเห็นตัวเธอชัดแจ๋วเต็มสองลูกตา แถมได้ยินเสียงของเธออีกต่างหาก มันเป็นเสียงที่น่ารักแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้เลยด้วยซํ้า
ผมเริ่มนึกถึงคำทำนายที่เอริพยายามบอกผมตอนที่อยู่ในชั้นเรียน ผมเริ่มสงสัยในเรื่องของการทำนายของเธอขึ้นมาตะหงิดๆ ซะแล้วสิ
หรือว่า เธอจะเป็นนางฟ้ามาช่วยเรากันนะ ผมเริ่มคิดอะไรออกแนวเด็กๆ แต่แล้วผมก็ต้องส่ายหัวกับความคิดนั้น
ไม่สิ นางฟ้าบ้าอะไรจะแต่งตัวราวกับเป็นปีศาจแบบนั้น ผมยืนยันกับความคิดนั้น จะเป็นอะไรก็ช่าง เรารอดตายมาก็ได้บุญโขแล้ว
ผมคิดได้แค่นั้นก็ได้ไปเตรียมตัวทำอาหารเย็นต่อตามปกติ และเนื่องจากมันถึงเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ผมไม่อยากนอนดึก ก็เลยต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเองซะเลย
ขณะนี้เวลาสี่ทุ่ม
หลังจากที่ผมอาบนํ้าล้างจาน จัดตารางเรียนของวันต่อไปแล้ว ผมรีบเข้านอนทันที แต่วันนี้มีอย่างหนึ่งที่แปลกสักหน่อย เพราะว่าผมไม่สามารถข่มสายตาให้สามารถหลับได้ในทันทีนั่นเอง
ภาพของสาวน้อยในชุดสีดำราวกับปีศาจ พร้อมกับปีกและหางของเธอนั้นก็ยังฉายขึ้นในหัวของผม
ตกลงแล้วเธอเป็นใครกันนะ คำถามนี้ก็ยังวนเวียนในหัวของผมเช่นเดียวกัน ผมพยายามข่มตาของผมให้หลับ เพราะมัวแค่คิดมาก ผมคงจะนอนไม่หลับพอดี และถ้านอนไม่หลับ มีหวังวันพรุ่งนี้ผมเผลอไปหลับในห้องเรียนแทนแน่ ทำแบบนั้นไม่ดีแน่นอน
"ฮือ...ฮือ..."
มีเสียงกระซิกๆ ดังออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของผม เล่นทำเอาผมสะดุ้งเฮือกขนลุกไปสักพักหนึ่ง แต่เสียงนั้นก็เงียบลง ทำให้ผมส่ายหัวก่อนที่จะหลับตานอนต่อ
คิดไปเองมั้ง ผมคิด
"ฮึก...ฮือ... แง้"
เสียงบ้าอะไรวะ ผมคิดด้วยความหวาดผวา หลอนนะว้อย
"ฮือ... กลับไม่ได้แล้ว..."
ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เดินไปที่หน้าต่างห้องนอน หยิบโหลปลาที่ยังมีนํ้าอยู่เพราะเมื่อวานผมเพิ่งปล่อยปลาออกแต่ไม่ได้เอานํ้าไปทิ้งเอามาวางไว้ที่ริมๆ โต๊ะ เพราะมันขวางทางผ้าม่าน ก่อนที่จะเปิดผ้าม่านและหน้าต่างออกไปดูว่าเสียงนั้นมันคือเสียงอะไร
และภาพตรงนั้นเล่นทำเอาผมถึงกับหยุดหายใจไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะว่าเด็กสาวปริศนาที่มีปีกกับหางนั้น กำลังคุกเข่าอยู่บนหลังคาบ้านของผม กำลังร้องห่มร้องไห้ เอามือปิดหน้าตัวเองอยู่ แถมอาวุธเคียวของเธอก็วางอยู่ข้างๆ ตัวเธอด้วยเหมือนกัน
การปรากฎขึ้นของเธอนั้น เล่นทำเอาผมหายง่วงในบันดล
"นะ นี่ เธอ เป็นใครกันแน่" ผมถามด้วยความสงสัยและหวาดกลัวไปพร้อมกัน
และเธอนั้นก็กำลังสบตามองกับผม ผมเพิ่งจะเคยสังเกตเห็นครั้งแรก ว่านัยน์ตาของเธอนั้น เป็นสีแดง เหมือนสีเลือด
ร่างหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ที่จริงน่าจะเรียกว่าสูญญากาศเสียมากกว่า เพราะในภพนี้อากาศย่อมไม่มีอยู่แล้ว ร่างนั้นมีหมอกควันปิดบังเอาไว้อยู่โดยรอบ และเมื่อหมอกควันนั้นค่อยๆ จางสลายหายไปแล้ว ก็ปรากฎร่างหนึ่งขึ้นมา ร่างนั้นมีความสูงไม่มากนัก มีนัยน์ตาเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด และร่างนั้นกำลังกวักแกว่นอาวุธที่มีความยาวราวๆ เกือบหนึ่งเมตร ตรงส่วนหัวของมันนั้นเป็นใบมีดขนาดใหญ่รูปเสี้ยวจันทร์ สีที่ดำสนิทของมันทำให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เสียวหวดดังลั่นเมื่อร่างนั้นทดลองฟาดอาวุธชิ้นนั้น และเมื่อเสียงดังฟังชัด ร่างนั้นยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ
'เจ้าชินกับเครื่องมือของเจ้าแล้วล่ะสินะ' เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าของร่างนั้น เจ้าของร่างจึงรีบคุกเข่าทันที แม้ว่าลอยอยู่ก็ตาม
"ค่ะ ข้าชื่นชอบเครื่องมือนี้มาก" ร่างนั้นตอบเสียงฉะฉาน บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นเพศหญิง
'ดีมาก หน้าที่แรกของเจ้าได้มาแล้วนะ จงทำให้ดีที่สุดหละ' เสียงที่ทรงพลังสั่งเธอ
"ข้ายินดีทำตามหน้าที่นั้น ในฐานะของยมทูตอย่างข้า" เธอตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ
'งั้นก็ดี นี่คือดวงวิญญาณที่เจ้าจะต้องไปจัดการ' เสียงนั้นตอบ พร้อมกับมีแสงปรากฎขึ้นตรงหน้าของเธอ แสงนั้นส่องสว่างออกมา เผยให้เห็นว่าหญิงสาวเจ้าของร่างนี้มีผิวพรรณสีขาวนวล ผิดกับสภาพแวดล้อมที่น่าสยดสยองที่นี่นัก
แสงนั้นส่องสว่างออกมาเป็นรูปทรงไข่ขนาดใหญ่ แล้วก็ปรากฏภาพราวกับเปิดจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฎภาพของชายคนหนึ่งให้เธอเห็น
ชายที่อยู่ในจอภาพแสงนั้นมีอายุราวๆ สิบห้าถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้น เส้นผมสีดำสนิทยาวจนมาจนถึงต้นคอ ใบหน้าแหลมคมพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย แต่เป็นแววที่ที่บอกถึงความมุ่งมั่น ผิวสีขาวอมเหลืองของเขาทำให้เขาดูเป็นคุณหนูมาก เขากำลังใส่ชุดสีขาวและกางเกงสีนํ้าเงิน เขานั่งอยู่บนโต๊ะที่มีหนังสือวางอยู่ มือของเขาข้างหนึ่งกำลังจดอะไรบางอย่างในสมุดอยู่
ยมทูตสาวเมื่อเห็นเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้านั้น เธอถึงกับมองด้วยความตกตะลึง ใบหน้าของเธอแดงซ่านออกมาเล็กน้อย เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในร่างกายของเธอที่เต้นตึกๆ ราวกับตีกลอง สายตาของเธอจดจ้องมองดูภาพเด็กหนุ่มที่อยู่ในจอแสงนั้นอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่า ภาพที่เธอกำลังเห็นอยู่นี้ เป็นภาพที่เธอต้องการที่จะมองมันอย่างมาก
เพราะอะไรกันนะ ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ กับชายคนนี้ เธอคิดอย่างสงสัย
'มีอะไรอย่างนั้นเหรอ' เสียงนั้นถามอย่างสงสัย
"ปะ เปล่าค่ะ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ" เธอรีบตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
'เอาหละ งั้นฟังข้า เป้าหมายนี้มีชื่อว่า ริว ดวงของเขากำลังจะถึงฆาตในคืนนี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องไปเอาดวงวิญญาณของเขามาให้ได้ก่อนเวลาเที่ยงคืนตามเวลาของมนุษย์โลก จงจำไว้ว่า เจ้าต้องได้ดวงวิญญาณมาก่อนเที่ยงคืนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่สามารถกลับสู่ยมโลกได้ เจ้าก็ต้องรอจันทร์เพ็ญต่อไปถึงจะสามารถกลับมาได้ เจ้าพร้อมที่จะรับงานนี้ไหม' เสียงที่ทรงอำนาจนั้นถาม
"ค่ะ ข้ายินดีรับ" เธอตอบเสียงฉะฉาน แม้ว่าสายตาของเธอจะยังแอบจดจ้องมองดูภาพของเด็กหนุ่มอยู่
'ดีมาก' เสียงนั้นตอบด้วยความพึงพอใจ 'นี่คืองานชิ้นแรกของเจ้า ยมทูตฝึกหัด เคียว'
"แล้วข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง" ยมทูตสาวที่ชื่อ เคียว ตอบด้วยความมั่นใจ พร้อมกับชูเคียวไปข้างหน้า ราวกับว่าเธอปฏิฎาณตนเอง
อ็อด...!!
เสียงออดดังขึ้น บ่งบอกสัญญาณถึงวันที่เลิกเรียนแล้ว ผมไม่รอช้าหลังจากที่หัวหน้าห้องบอกทำความเคารพอาจารย์ประจำชั้นเมื่อโฮมรูมจบ เก็บข้าวเก็บของหนังสือเรียนของผมใส่กระเป๋าทันที
"เฮ้ ริว"
เสียงเรียกของเพื่อนผมดังขึ้นมา ทำเอาผมหงุดหงิดไม่ใช่น้อย อยู่ห้องเดียวกันแค่นี้จะตะโกนทำไมก็ไม่รู้
"มีอะไร" ผมถามกลับไปอย่างไร้อารมณ์
"เย็นนี้เราไปคาราบาเกะกันดีปะเพื่อน" เพื่อนของผมพูดด้วยนํ้าเสียงเริงร่า
"คงไม่ดีกว่า ฉันว่าจะแวะไปร้านหนังสือก่อนกลับบ้านนะ ของเดือนนี้มันวางขายวันนี้พอดี" ผมตอบปฏิเสธ
"อะไรว้า ไอ้เพื่อนฝูง ฉันชวนแกทุกคนไม่เคยที่จะไปกันเลยนะ ไอ้ไร้มนุษยสัมพันธ์" เพื่อนของผมประนามผมทันที
"จะว่ายังไงก็เชิญเถอะ" ผมถอนหายใจ
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปหรอกนะครับ ผมไม่เคยเข้าคาราโอเกะอะไรนั่นกับเขาหรอก ที่ไม่อยากไปเพราะมันเสียเงินเสียทองอย่างไร้ประโยชน์มากกว่า กะแค่ไปร้องเพลงแค่เนี้ย เสียเงินค่าชั่วโมงเป็นร้อย เอาไปกินข้าวได้ตั้งหลายมื้อ อยากร้องเพลงขนาดนั้นแหกปากร้องเอาที่บ้านก็ได้นี่ฝ่า
อ้อ ผมแนะนำตัวช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยนะครับ ผมมีชื่อว่าริวครับ เพิ่งจะได้ขึ้นเรียน ม.สี่ อยู่หมาดๆ อยู่แผนกศิลป์ - คำนวณครับ เหตุเพราะว่าผมไม่ค่อยชอบเรียนวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่นัก โรงเรียนที่ผมมาเรียนนั้นเป็นโรงเรียนสหศึกษา ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าโรงเรียนนี้มีประวัติอะไร รู้แต่ว่ามันใกล้บ้านผม ก็เลยมาสมัครเรียน ม.ปลาย ที่นี่ซะเลย โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนมัธยมธรรรมดาที่เปิดสอนระดับชั้น ม.ต้น ไปจนถึง ม.ปลาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของฟุตบอลอยู่นะครับ
ส่วนเพื่อนผมที่ทำหน้าน้อยอกน้อยใจนั้น มีชื่อว่า อาร์ม เป็นเพื่อนผมตั้งแต่ ม.หนึ่งได้ พอหมอนี่รู้ว่าผมย้ายมาเรียนที่ไหนมันก็สมัครมาสอบเรียนกับผมด้วย ทั้งๆ ที่หัวของเพื่อนคนนี้เก่งจนถึงขนาดเรียนวิทย์ - คณิตได้ แต่กลับมาเรียนศิลป์ - คำนวณกับผม แถมเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นเป็นอย่างสูง เห็นอย่างนั้นหมอนี่ทำคะแนนได้สูงสุดตอนที่สอบเข้าเลยนะครับ
"เอาเถอะ พอรู้นะว่านายอยากเก็บเงินนะ แต่ว่างๆ นะไปเที่ยวพักผ่อนกับเขาบ้างก็ดีนะเพื่อน" อาร์มยกกระเป๋าถือนักเรียนขึ้นสะพายบ่า "ไม่พักผ่อนอะไรบ้างเลยเดี๋ยวนายจะได้สมองแตกตายกันพอดี"
"ขอบใจมากเพื่อน ฉันคงไม่ตายวันนี้หรอก" ผมอมยิ้มให้เพื่อนผม เพราะผมรู้ดีว่าเจ้าอาร์มมันหวังดีอยากให้ผมไปพักผ่อนขนาดไหน
"อะไรนะ ริวจะตายงั้นเหรอ!"
เสียงเด็กสาวดังขึ้นมาจนคนทั้งห้องหันมามองกันพรึบ และเมื่อผมรู้ว่าใครเป็นคนพูด ผมเอามือปิดหน้าพร้อมกับส่ายหัวด้วยความอับอาย
"ริวคูงงงงง"
เสียงของเด็กสาวดังขึ้นข้างหน้าผม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็พบกับเพื่อนสมัยเด็กของผมยืนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงสุดซึ้ง เธอมีใบหน้ารูปไข่ ผิวสีขาวนวลราวกับไข่มุก ดวงตากลมโตราวกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่ขึ้น ม.ปลาย แล้ว เธอไว้ผมทรงหางม้าเรียบร้อย และท่าทางเป็นกุลสตรีมาก ถึงขนาดหน้าอกจะใหญ่ผิดกับหน้าของเธอก็เถอะ แต่ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ ปัญหาก็คือ การกระทำของเธอนั้นเรียกร้องทำให้คนทั้งห้องพร้อมใจกันมองมาทางผมทันที
"ริวคุงจะตายวันนี้เหรอ ริวคุงจะตายไม่ได้นะ เอริไม่ยอมนะ" เธอพูดกับผมราวกับเด็กๆ
"จะบ้าเหรอเอริ ใครจะไปตายวันนี้กันเล่า" ผมบอกปัด "ฉันแค่ล้อเล่นกับไอ้อาร์มเฉยๆ"
"ไม่หรอก ไม่จริงเลย ดูนี่นะ" เพื่อนสมัยเด็กของผมที่ชื่อ เอริ รีบเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอแล้วล้วงของบางอย่างออกมาวางบนโต๊ะให้ผมดู
มันเป็นแผ่นกระดาษที่ดูเก่าแก่พอสมควร และเมื่อเธอกางแล้ว ตรงกลางกระดาษนั้นเป็นรูปวงกลม ซึ่งมีตัวอักษร วัน เดือน ปี เวลา พร้อมไว้เลย ผมดูๆ ไปแล้วมันยังกับกระดาษเล่นผีถ้วยแก้วเลยนะเนี่ย
"เนี่ย มันมีคำทำนายเอาไว้ ว่าวันนี้ริวคุงจะต้องเจอกับภัยคุกคามอย่างหนึ่ง แต่ฉันนึกไม่ออกเลยนี่สิ ว่าริวคุงจะเจอกับภัยแบบไหน" เอริเอามือทั้งสองข้างจับหัวตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างกระวนกระวาย "ฉัน ฉันยังแก้คำนายนี้ไม่ออกเลย ฮือ"
"นี่ๆ อย่าร้องไห้เลยหน่า" ผมรีบปลอบเธอ "มันอาจจะมีบ้างแหละที่เธอจะทำนายไม่ได้นะ"
"ไม่ๆ นี่มันเกี่ยวข้องกับริวคุงนะ ฉัน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคำทำนายมันเป็นยังไง" เธอส่งสายตาออดอ้อนมองผมราวกับเด็กๆ ที่มุ่งมั่นจะทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ
เอรินั้นดูเหมือนว่าเธอจะสืบเซื้อสายมาจากหมอผีไทยในสมัยก่อน และองเมียวจิของญี่ปุ่นด้วย เพราะพ่อของเธอเป็นคนไทย ส่วนแม่ของเธอนั้นเป็นมิโกะศาลเจ้าแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทั้งคู่พบรักกันจนได้เอริมาเป็นพยานรัก ผมหละสงสัยจริงๆ ว่าพ่อกับแม่ของเอริมารักกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่วิชาปราบผีของทั้งสองประเทศนี้ต่างกันสุดขั้วเลย ถึงผมจะค่อยชอบเรื่องที่เหนือธรรมชาติแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเอริเก่งเรื่องลี้ลับพวกนี้อย่างมาก ถึงขนาดสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำจนเหลือเชื่อ แต่เธอจะรับทำนายเอาไว้เฉพาะเมื่อเธออยากทำนายเท่านั้น แต่จะมีครั้งนี้แหละที่เธอทำนายพลาด
"เอาหน่าเอริ แล้วนี่ ม.สามเลิกเรียนแล้วเหรอ" ผมถามเธอ เพราะว่าเธอนั้นอ่อนกว่าผมปีหนึ่ง จึงอยู่ชั้น ม.สาม นั่นเอง
"แง้ ริวคุงง่า อย่าเปลี่ยนเรื่องซี่" เธออ้อนผมราวกับว่าเธอกำลังจะร้องไห้
"ว่าแต่เอริ แล้วคำทำนายของไอ้เจ้าริวมันว่ายังไงเหรอ" อาร์มเป็นฝ่ายถามเธอ
"เท่าที่ฉันรู้นะ มันเหมือนกับจะบอกว่าวันนี้ริวคุงจะต้องถึงฆาตวันนี้ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ เหมือนกับว่าริวคุงกำลังจะเจอกับอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวันถึงฆาตเนี่ยแหละ" เธออธิบายฉอดๆๆ ออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปบนกระดาษทำคำนาย บอกตรงๆ นะ ผมดูยังไงผมก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ
"เอาหน่า สรุปก็คือฉันจะไม่ตายวันนี้ใช่ไหม" ผมกระซับกระเป๋าสะพายให้ขึ้นหลังมากขึ้น "งั้นฉันกลับก่อนนะ"
"ริวคุง อย่าเพิ่งไปซี่ เค้าเป็นห่วงตัวเองน้า" เอริออดอ้อนผม
เป็นห่วงก็อย่าแสดงท่าทางที่โอเว่อร์มาแบบนี้ได้ไหม อายเขาจะตายอยู่แล้ว ผมคิดพร้อมกับรีบก้าวขาเดินออกจากห้องเรียนให้ไวที่สุด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่ผมเดินออกจากโรงเรียนแล้ว ผมมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือทันที และเมื่อผมซื้อหนังสือเป้าหมายของผมออกมาแล้ว ผมก็เดินกลับบ้านและเปิดดูมันพลางๆ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแต่งรถมอเตอร์ไซด์นั่นเอง
ใช่แล้วครับ ผมชื่นชอบพวกกีฬาที่เน้นความเร็วอย่างมาก อย่างพวกแข่งมอเตอร์ไซด์หรือแข่งรถยนต์อะไรทำนองนี้ ผมชื่นชอบมากจนขนาดไปรับซื้อมอเตอร์ไซด์ใกล้พังจากร้านขายของเก่าถูกๆ แล้วเอามาหัดซ่อมมันด้วยตนเอง จนตอนนี้มันสามารถขับได้แล่นฉิวไม่แพ้รถมอเตอร์ไซด์คันใหม่เลยทีเดียว แต่เนื่องจากผมยังอายุไม่ถึงสิบแปด การที่จะขี่มอเตอร์ไซด์นั้นผมจึงขี่ได้ในซอยบ้านตัวเองเท่านั้น ออกไปโดนจับแน่ แถมโดนปรับอีก ไม่คุ้มเลย
ส่วนพ่อแม่ของผมนั้นไปทำงานต่างประเทศทั้งคู่ แล้วท่านส่งเงินให้ผมทุกๆ เดือน ทำให้ทุกวันนี้ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด จะมีเอริมาเยี่ยมที่บ้านผมบ้าง เอ่อ ไม่บ้างแล้วหละ เพราะว่าเธอมาบ้านผมวันเว้นวันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าพ่อแม่ผมจะทำงานจนมีเงินเยอะ แต่เงินที่ส่งมาแต่ละเดือนนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้ทุกๆ เดือนผมจึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด อะไรที่ไม่จำเป็นผมจะไม่ซื้อเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ไปคาราโอเกะกับเจ้าอาร์มมัน แม้ว่ามันจะชอบชวนผมมาโดยตลอด ถึงกับออกปากว่าจะเลี้ยง แต่ถ้าผมไป มันก็จะถือว่าผมติดบุญคุณมัน ก็ต้องเลี้ยงมันตอบอีก รู้แบบนี้ไม่ไปดีกว่า
ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงท่าทีของเอริที่ทำท่าทางห่วงผมอย่างมาตอนที่ผมอยู่ในห้องเรียน ถึงผมจะรู้ว่าเอรินั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นห่วงผมมากแค่ไหน แต่เล่นมาอธิบายเรื่องวันตายของผมให้เพื่อนตัวเองฟังนี่เป็นใครก็ไม่ปลื้มนะนั่น
ตายวันนี้เหรอ ผมคิดติดตลก คงไม่หรอกมั้ง
ผมเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องผีสาง ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมาแค่ไหนแค่ไรแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าคำทำนายของเอริจะแม่นยำแค่ไหน แต่ผมบอกตรงๆ นะ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก
ผมยักไหล่กับความคิดนั้น ก่อนที่จะเดินไปยังทางแยกเพื่อที่จะข้ามทางม้าลายกลับบ้านผม เพราะตอนนี้มันหกโมงกว่าแล้ว ผมกำลังคิดว่ากลับไปจะทำอะไรกินดี
แต่ทว่า ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมนั้น ทำเอาหัวใจของผมแทบหยุดเต้น
เด็กนักเรียนสาวที่น่าจะอยู่ชั้นประถมปลายคนหนึ่ง เดินข้ามถนน แต่กลับสะดุดล้มลง แถมเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวด้วย และทางขวาของเธอนั้นก็กำลังมีรถบรรทุกสิบล้อวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
"กรี๊ดดดด! เด็กล้มกลางถนน"
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์กรีดร้องดังลั่น ทำให้มีคนเข้าไปมุงดูกันเป็นจำนวนมาก ปริมาณของคนที่อยู่ข้างถนนนั้นมามุงดูกันมากขึ้น
แต่กลับไม่มีใครออกตัวไปช่วยเด็กคนนั้นสักคนเลย
"แง้ แม่จ๋า"
เสียงของเด็กร้องไห้ดังจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีคนมุงคนไหนคิดที่จะเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นเลย ส่วนผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็ยังคงกรีดร้องต่อไป
ไอ้พวกแล้งนํ้าใจเอ้ย ผมคิดอย่างเจ็บใจ และยิ่งตกใจเมื่อขึ้น เมื่อรถบรรทุกสิบล้อนั้นแล่นเข้ามาในระยะห้าสิบเมตรแล้ว
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผม ผมรีบวิ่งออกไปข้างหน้า ผลักคนที่ขวางทางออกไปข้างๆ ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะว่าอะไร ผมไม่สงสัยหรอกว่าทำไมรถบรรทุกสิบล้อคันนั้นถึงยังไม่ยอมหยุด แต่ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมก็คือ เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่กำลังจ้องมองดูรถบรรทุกด้วยความหวาดกลัว ในหัวของผมสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือต้องรีบไปช่วยเธอให้ปลอดภัย
และเมื่อผมไปถึงตัวเด็กแล้ว ผมยื่นมือไปข้างหน้า แล้วก็ผลักให้เด็กคนนั้นกระเด็นไปข้างๆ จนล้มไปอยู่ตรงเกาะกลางถนน แต่เมื่อผมผลักเธอไปได้แล้ว เสียงแตรดังลั่นกลางถนนพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน และเมื่อผมมองไปยังต้นเสียงนั้น รถบรรทุกคันดังกล่าวก็อยู่เบื้องหน้าผมแล้ว
นี่เรา กำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ ผมคิดโดยที่ในหัวของผมโล่งไปหมด เมื่อเห็นภาพความตายที่อยู่เบื้องหน้าผม
เรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกหลายอย่างนะ ทำไมเราต้องตายตอนนี้ด้วยนะ ผมคิดด้วยความหวาดกลัวที่เอ่อล้นไปทั่วร่างของผม
ปี้นนนนน!!
ผมหลับตาแน่น เตรียมตัวรอรับความตายที่กำลังจะพรากเอาชีวิตของผมไป
ชิ้วววว!!
ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมนั้นกระเด็นออกมา ลอยล่องกลางอากาศ ไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอะไรเลย แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น มันเป็นความรู้สึกที่ต้องการปกป้อง ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่กระนั้น ผมก็ยังไม่กล้าที่ลืมตามองดู
ลมพัดมหาศาลพัดเข้าหาผม และสักพักหนึ่ง ผมรู้สึกได้ว่าผมจะเริ่มหยุดลอยแล้ว มีมือข้างหนึ่งกำลังอุ้มตัวผมอยู่ และค่อยๆ วางผมลง จนผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดไหลออกมาตามร่างกายของผม พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของผม ความหวาดกลัวของผมยังไม่ทุเลาลง
"เกือบไม่ทันแล้วสิ"
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น เสียงของเธอนั้นผมคาดเดาได้ว่าเธอคงจะมีอายุราวๆ แค่สิบสามถึงสิบห้าปีเท่านั้น เสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนหวานราวกับก้อนนํ้าตาลเลยทีเดียว มันทั้งอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงความห่วงใย และโล่งอก
ผมทำใจกล้า ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อมองดูว่าใครที่อยู่ตรงหน้าของผม
ผมกำลังนอนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบข้างของผมนั้นเริ่มมืดลงแล้ว มีแสงจากพระอาทิตย์กำลังส่องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่กำลังจะลับขอบฟ้า ลมพัดเข้าสู่ตัวผมดังวิ้วๆ ราวกับเรื่องราวเสี่ยงตายเมื่อกี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และผมก็เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าของผม
เธอเป็นเด็กสาวที่น่าจะมีความสูงถึงแค่หัวไหล่ของผมเท่านั้น เธอกำลังยืนหันหลังให้ผม เส้นผมของเธอเหมือนจะรวบเอาไว้สองข้าง ดูเหมือนเธอจะสวมใส่ชุดสีดำสนิท เป็นเสื้อคล้ายกับชุดเกาะอกสีดำ และกระโปรงขาสั้นสีดำสนิท ขอบหลุดลุ่ยราวกับถูกฉีกขาดมา ตัวของเธอนั้นตัวเล็กมาก ผิวสีขาวนวลที่ผิดกับชุดแต่งกายของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใส่รองเท้าอีกต่างหาก
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจจนแทบเสียสติ นั่นก็คือ ที่กลางหลังของเธอนั้นมีปีกค้างคาวยื่นออกมา ปีกนี้มีขนาดใหญ่ น่าจะใหญ่กว่าลำตัวของเธอสองเท่าได้ ผมมองไม่ชัดเลยไม่รู้ว่ามันมีรูปร่างละเอียดยังไง รู้แต่ว่าสีของมันดำสนิท และดูเหมือนจะขยับขึ้นลงได้ด้วย และก็มีหางยื่นออกมาจากสะโพกของเธออีกต่างหาก หางนั้นมีขนาดน่าจะเท่ากับเชือก และมีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมที่อยู่ปลายหาง ซึ่งหางทรงแบบนี้ผมรู้จักทันที ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของหางปีศาจ
และที่ผมตกใจมากกว่านี้อีกก็คือ ของที่เธอกำลังถือมันและเอาพาดบ่าของเธอนั้น มันเป็นใบมีดที่มีขนาดใหญ่มาก และขนาดของใบมีดนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่เด็กสาวร่างบอบบางแบบนี้น่าจะถือได้ ความคมกริบของมันสร้างความสยดสยองให้ผมได้ในทันที ชื่อของมันนั้นผมรู้ทันทีว่ามันเรียกว่า 'เคียว' นั่นเอง
เธอค่อยๆ หันหน้ามาหาผม ใบหน้าของเธอนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ใบหน้าของเธอนั้นมันช่างใสซื่อยิ่งนัก เหมือนกับเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรโลกในนี้เลย ใบหน้าที่ดูสดใสของเธอนั้นผิดกับชุดแต่งกายที่เธอกำลังสวมใส่อยู่นี้เป็นอย่างมาก
"แย่หละสิ" เธอพึมพำด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่เธอจะรีบกระโดดลงไปจากดาดฟ้าตึก
"เฮ้ เดี๋ยวก่อน" ผมตะโกนเรียกเธอด้วยความตกใจ เพราะว่าดาดฟ้านี้ถึงผมจะไม่รู้ความสูงก็เถอะ แต่บอกได้คำเดียวเลยว่า ตกลงไปนี้เละแน่ๆ ไม่ต้องสืบ
ผมฝืนตัวเองพยุงร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้น บังคับขาตัวเองไม่ให้สั่น ก่อนที่จะรีบวิ่งไปที่ขอบรั้วระเบียงของดาดฟ้าทันที และรีบมองลงไปข้างล่าง ความสูงของมันนั้นเล่นทำเอาผมหวาดเสียว เพราะว่ามันเห็นรถข้างล่างมีขนาดเล็กเท่านิ้วชิ้ผมเท่านั้น ส่วนผู้คนนั้นราวกับฝูงมดดีๆ นี่เอง ผมดูแล้วประมาณได้เลยว่าตึกนี้ต้องมีความสูงไม่น้อยกว่ายี่สิบชั้นได้ ข้างล่างนั้นผมมองเห็นมีรถบรรทุกคันที่กำลังจะชนผมจอดอยู่ริมถนน พร้อมกับคนที่มามุงดูเป็นจำนวนมาก แต่ที่รู้ๆ ผมไม่เห็นตัวเด็กสาวเมื่อกี้เลย ไม่แม้กระทั่งศพ และข้างล่างตึกนี้นั้นก็ไม่มีระเบียงให้ยึดเกาะอะไรด้วย
"เธอเป็นใครกัน" ผมคิดอย่างสงสัย "แล้วสำคัญ เธอหายไปไหนกันแน่นะ"
กว่าผมจะขอโทษและหาข้อแก้ตัวกับยามที่ตึกนั้นได้ว่าผมขึ้นไปทำอะไรบนดาดฟ้าก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว โดยผมอ้างว่ามาหาคนรู้จัก แต่ไม่รู้ว่าอยู่ชั้นไหน เลยลองไปดูบนดาดฟ้าแทน แน่นอนว่าสิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาก็คือ การเทศนาเป็นชุดๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ผมออกมาได้ เล่นทำเอาขี้หูผมเต้นแทงโก้สี่ตลบเลยทีเดียว เหลือเชื่อ เป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัย แต่บ่นออกมายังกับเป็นแม่ผมเลยให้ตายสิ
และเมื่อผมไปถึงหน้าบ้านของผมได้ ก็ปาไปสองทุ่มกว่าเลยทีเดียว ผมมองดูบ้านของผม มันเป็นบ้านเดี่ยวธรรมดาสองชั้น สวนหน้าบ้านมีอยู่กระจึ๊ดนึง ในบ้านนั้นไมได้เปิดไฟเพราะผมยังไม่ได้กลับ ผมไขกุญแจเข้าไปในบ้าน มองดูรถมอเตอร์ไซด์ที่ผมซ่อมเสร็จและจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนที่จะล็อคประตูรั้วหน้าบ้าน และเข้าไปในบ้าน เปิดไฟให้สว่างรอบด้าน โยนกระเป๋านักเรียนไปบนเก้าอี้รับแขก ปิดประตูบ้านพร้อมล็อคเรียบร้อย ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง
ว่าแต่ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครกันนะ ผมคิดอย่างสงสัย เพราะภาพของเธอที่สวมใส่ชุดสีดำแปลกๆ พร้อมกับมีทั้งปีกและหางยื่นออกมานั้นติดตาผมอย่างมาก ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ตาฝาด เพราะว่าผมเห็นตัวเธอชัดแจ๋วเต็มสองลูกตา แถมได้ยินเสียงของเธออีกต่างหาก มันเป็นเสียงที่น่ารักแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้เลยด้วยซํ้า
ผมเริ่มนึกถึงคำทำนายที่เอริพยายามบอกผมตอนที่อยู่ในชั้นเรียน ผมเริ่มสงสัยในเรื่องของการทำนายของเธอขึ้นมาตะหงิดๆ ซะแล้วสิ
หรือว่า เธอจะเป็นนางฟ้ามาช่วยเรากันนะ ผมเริ่มคิดอะไรออกแนวเด็กๆ แต่แล้วผมก็ต้องส่ายหัวกับความคิดนั้น
ไม่สิ นางฟ้าบ้าอะไรจะแต่งตัวราวกับเป็นปีศาจแบบนั้น ผมยืนยันกับความคิดนั้น จะเป็นอะไรก็ช่าง เรารอดตายมาก็ได้บุญโขแล้ว
ผมคิดได้แค่นั้นก็ได้ไปเตรียมตัวทำอาหารเย็นต่อตามปกติ และเนื่องจากมันถึงเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ผมไม่อยากนอนดึก ก็เลยต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเองซะเลย
ขณะนี้เวลาสี่ทุ่ม
หลังจากที่ผมอาบนํ้าล้างจาน จัดตารางเรียนของวันต่อไปแล้ว ผมรีบเข้านอนทันที แต่วันนี้มีอย่างหนึ่งที่แปลกสักหน่อย เพราะว่าผมไม่สามารถข่มสายตาให้สามารถหลับได้ในทันทีนั่นเอง
ภาพของสาวน้อยในชุดสีดำราวกับปีศาจ พร้อมกับปีกและหางของเธอนั้นก็ยังฉายขึ้นในหัวของผม
ตกลงแล้วเธอเป็นใครกันนะ คำถามนี้ก็ยังวนเวียนในหัวของผมเช่นเดียวกัน ผมพยายามข่มตาของผมให้หลับ เพราะมัวแค่คิดมาก ผมคงจะนอนไม่หลับพอดี และถ้านอนไม่หลับ มีหวังวันพรุ่งนี้ผมเผลอไปหลับในห้องเรียนแทนแน่ ทำแบบนั้นไม่ดีแน่นอน
"ฮือ...ฮือ..."
มีเสียงกระซิกๆ ดังออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของผม เล่นทำเอาผมสะดุ้งเฮือกขนลุกไปสักพักหนึ่ง แต่เสียงนั้นก็เงียบลง ทำให้ผมส่ายหัวก่อนที่จะหลับตานอนต่อ
คิดไปเองมั้ง ผมคิด
"ฮึก...ฮือ... แง้"
เสียงบ้าอะไรวะ ผมคิดด้วยความหวาดผวา หลอนนะว้อย
"ฮือ... กลับไม่ได้แล้ว..."
ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เดินไปที่หน้าต่างห้องนอน หยิบโหลปลาที่ยังมีนํ้าอยู่เพราะเมื่อวานผมเพิ่งปล่อยปลาออกแต่ไม่ได้เอานํ้าไปทิ้งเอามาวางไว้ที่ริมๆ โต๊ะ เพราะมันขวางทางผ้าม่าน ก่อนที่จะเปิดผ้าม่านและหน้าต่างออกไปดูว่าเสียงนั้นมันคือเสียงอะไร
และภาพตรงนั้นเล่นทำเอาผมถึงกับหยุดหายใจไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะว่าเด็กสาวปริศนาที่มีปีกกับหางนั้น กำลังคุกเข่าอยู่บนหลังคาบ้านของผม กำลังร้องห่มร้องไห้ เอามือปิดหน้าตัวเองอยู่ แถมอาวุธเคียวของเธอก็วางอยู่ข้างๆ ตัวเธอด้วยเหมือนกัน
การปรากฎขึ้นของเธอนั้น เล่นทำเอาผมหายง่วงในบันดล
"นะ นี่ เธอ เป็นใครกันแน่" ผมถามด้วยความสงสัยและหวาดกลัวไปพร้อมกัน
และเธอนั้นก็กำลังสบตามองกับผม ผมเพิ่งจะเคยสังเกตเห็นครั้งแรก ว่านัยน์ตาของเธอนั้น เป็นสีแดง เหมือนสีเลือด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น