ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Soul Love : รักนะ วิญญาณของฉัน (ยมทูตโมเอะ)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ : การพบกันที่แปลกประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 54


        บรรยากาศที่มืดมิด เต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชกช่วงพุ่งขึ้นมาหลายร้อยเมตร เสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานดังกึกก้องกัมปนาท เสียงเหล็กฟาดฟันดังไปทั่ว สถานที่เต็มไปด้วยความตายแห่งนี้ เป็นสถานที่เหล่าดวงวิญญาณที่ต้องมาชดใช้กรรมที่ตนเองได้ก่อเอาไว้ ที่นี่คือสถานที่มนุษย์เรียกกันว่า "นรก"
        ร่างหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ที่จริงน่าจะเรียกว่าสูญญากาศเสียมากกว่า เพราะในภพนี้อากาศย่อมไม่มีอยู่แล้ว ร่างนั้นมีหมอกควันปิดบังเอาไว้อยู่โดยรอบ และเมื่อหมอกควันนั้นค่อยๆ จางสลายหายไปแล้ว ก็ปรากฎร่างหนึ่งขึ้นมา ร่างนั้นมีความสูงไม่มากนัก มีนัยน์ตาเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด และร่างนั้นกำลังกวักแกว่นอาวุธที่มีความยาวราวๆ เกือบหนึ่งเมตร ตรงส่วนหัวของมันนั้นเป็นใบมีดขนาดใหญ่รูปเสี้ยวจันทร์ สีที่ดำสนิทของมันทำให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เสียวหวดดังลั่นเมื่อร่างนั้นทดลองฟาดอาวุธชิ้นนั้น และเมื่อเสียงดังฟังชัด ร่างนั้นยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ
        'เจ้าชินกับเครื่องมือของเจ้าแล้วล่ะสินะ' เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าของร่างนั้น เจ้าของร่างจึงรีบคุกเข่าทันที แม้ว่าลอยอยู่ก็ตาม
        "ค่ะ ข้าชื่นชอบเครื่องมือนี้มาก" ร่างนั้นตอบเสียงฉะฉาน บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นเพศหญิง
        'ดีมาก หน้าที่แรกของเจ้าได้มาแล้วนะ จงทำให้ดีที่สุดหละ' เสียงที่ทรงพลังสั่งเธอ
        "ข้ายินดีทำตามหน้าที่นั้น ในฐานะของยมทูตอย่างข้า" เธอตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ
        'งั้นก็ดี นี่คือดวงวิญญาณที่เจ้าจะต้องไปจัดการ' เสียงนั้นตอบ พร้อมกับมีแสงปรากฎขึ้นตรงหน้าของเธอ แสงนั้นส่องสว่างออกมา เผยให้เห็นว่าหญิงสาวเจ้าของร่างนี้มีผิวพรรณสีขาวนวล ผิดกับสภาพแวดล้อมที่น่าสยดสยองที่นี่นัก
        แสงนั้นส่องสว่างออกมาเป็นรูปทรงไข่ขนาดใหญ่ แล้วก็ปรากฏภาพราวกับเปิดจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฎภาพของชายคนหนึ่งให้เธอเห็น
        ชายที่อยู่ในจอภาพแสงนั้นมีอายุราวๆ สิบห้าถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้น เส้นผมสีดำสนิทยาวจนมาจนถึงต้นคอ ใบหน้าแหลมคมพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย แต่เป็นแววที่ที่บอกถึงความมุ่งมั่น ผิวสีขาวอมเหลืองของเขาทำให้เขาดูเป็นคุณหนูมาก เขากำลังใส่ชุดสีขาวและกางเกงสีนํ้าเงิน เขานั่งอยู่บนโต๊ะที่มีหนังสือวางอยู่ มือของเขาข้างหนึ่งกำลังจดอะไรบางอย่างในสมุดอยู่
        ยมทูตสาวเมื่อเห็นเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้านั้น เธอถึงกับมองด้วยความตกตะลึง ใบหน้าของเธอแดงซ่านออกมาเล็กน้อย เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในร่างกายของเธอที่เต้นตึกๆ ราวกับตีกลอง สายตาของเธอจดจ้องมองดูภาพเด็กหนุ่มที่อยู่ในจอแสงนั้นอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่า ภาพที่เธอกำลังเห็นอยู่นี้ เป็นภาพที่เธอต้องการที่จะมองมันอย่างมาก
        เพราะอะไรกันนะ ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ กับชายคนนี้ เธอคิดอย่างสงสัย
        'มีอะไรอย่างนั้นเหรอ' เสียงนั้นถามอย่างสงสัย
        "ปะ เปล่าค่ะ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ" เธอรีบตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
        'เอาหละ งั้นฟังข้า เป้าหมายนี้มีชื่อว่า ริว ดวงของเขากำลังจะถึงฆาตในคืนนี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องไปเอาดวงวิญญาณของเขามาให้ได้ก่อนเวลาเที่ยงคืนตามเวลาของมนุษย์โลก จงจำไว้ว่า เจ้าต้องได้ดวงวิญญาณมาก่อนเที่ยงคืนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่สามารถกลับสู่ยมโลกได้ เจ้าก็ต้องรอจันทร์เพ็ญต่อไปถึงจะสามารถกลับมาได้ เจ้าพร้อมที่จะรับงานนี้ไหม' เสียงที่ทรงอำนาจนั้นถาม
        "ค่ะ ข้ายินดีรับ" เธอตอบเสียงฉะฉาน แม้ว่าสายตาของเธอจะยังแอบจดจ้องมองดูภาพของเด็กหนุ่มอยู่
        'ดีมาก' เสียงนั้นตอบด้วยความพึงพอใจ 'นี่คืองานชิ้นแรกของเจ้า ยมทูตฝึกหัด เคียว'
        "แล้วข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง" ยมทูตสาวที่ชื่อ เคียว ตอบด้วยความมั่นใจ พร้อมกับชูเคียวไปข้างหน้า ราวกับว่าเธอปฏิฎาณตนเอง

        อ็อด...!!
        เสียงออดดังขึ้น บ่งบอกสัญญาณถึงวันที่เลิกเรียนแล้ว ผมไม่รอช้าหลังจากที่หัวหน้าห้องบอกทำความเคารพอาจารย์ประจำชั้นเมื่อโฮมรูมจบ เก็บข้าวเก็บของหนังสือเรียนของผมใส่กระเป๋าทันที
        "เฮ้ ริว"
        เสียงเรียกของเพื่อนผมดังขึ้นมา ทำเอาผมหงุดหงิดไม่ใช่น้อย อยู่ห้องเดียวกันแค่นี้จะตะโกนทำไมก็ไม่รู้
        "มีอะไร" ผมถามกลับไปอย่างไร้อารมณ์
        "เย็นนี้เราไปคาราบาเกะกันดีปะเพื่อน" เพื่อนของผมพูดด้วยนํ้าเสียงเริงร่า
        "คงไม่ดีกว่า ฉันว่าจะแวะไปร้านหนังสือก่อนกลับบ้านนะ ของเดือนนี้มันวางขายวันนี้พอดี" ผมตอบปฏิเสธ
        "อะไรว้า ไอ้เพื่อนฝูง ฉันชวนแกทุกคนไม่เคยที่จะไปกันเลยนะ ไอ้ไร้มนุษยสัมพันธ์" เพื่อนของผมประนามผมทันที
        "จะว่ายังไงก็เชิญเถอะ" ผมถอนหายใจ
        ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปหรอกนะครับ ผมไม่เคยเข้าคาราโอเกะอะไรนั่นกับเขาหรอก ที่ไม่อยากไปเพราะมันเสียเงินเสียทองอย่างไร้ประโยชน์มากกว่า กะแค่ไปร้องเพลงแค่เนี้ย เสียเงินค่าชั่วโมงเป็นร้อย เอาไปกินข้าวได้ตั้งหลายมื้อ อยากร้องเพลงขนาดนั้นแหกปากร้องเอาที่บ้านก็ได้นี่ฝ่า
        อ้อ ผมแนะนำตัวช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยนะครับ ผมมีชื่อว่าริวครับ เพิ่งจะได้ขึ้นเรียน ม.สี่ อยู่หมาดๆ อยู่แผนกศิลป์ - คำนวณครับ เหตุเพราะว่าผมไม่ค่อยชอบเรียนวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่นัก โรงเรียนที่ผมมาเรียนนั้นเป็นโรงเรียนสหศึกษา ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าโรงเรียนนี้มีประวัติอะไร รู้แต่ว่ามันใกล้บ้านผม ก็เลยมาสมัครเรียน ม.ปลาย ที่นี่ซะเลย โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนมัธยมธรรรมดาที่เปิดสอนระดับชั้น ม.ต้น ไปจนถึง ม.ปลาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของฟุตบอลอยู่นะครับ
        ส่วนเพื่อนผมที่ทำหน้าน้อยอกน้อยใจนั้น มีชื่อว่า อาร์ม เป็นเพื่อนผมตั้งแต่ ม.หนึ่งได้ พอหมอนี่รู้ว่าผมย้ายมาเรียนที่ไหนมันก็สมัครมาสอบเรียนกับผมด้วย ทั้งๆ ที่หัวของเพื่อนคนนี้เก่งจนถึงขนาดเรียนวิทย์ - คณิตได้ แต่กลับมาเรียนศิลป์ - คำนวณกับผม แถมเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นเป็นอย่างสูง เห็นอย่างนั้นหมอนี่ทำคะแนนได้สูงสุดตอนที่สอบเข้าเลยนะครับ
        "เอาเถอะ พอรู้นะว่านายอยากเก็บเงินนะ แต่ว่างๆ นะไปเที่ยวพักผ่อนกับเขาบ้างก็ดีนะเพื่อน" อาร์มยกกระเป๋าถือนักเรียนขึ้นสะพายบ่า "ไม่พักผ่อนอะไรบ้างเลยเดี๋ยวนายจะได้สมองแตกตายกันพอดี"
        "ขอบใจมากเพื่อน ฉันคงไม่ตายวันนี้หรอก" ผมอมยิ้มให้เพื่อนผม เพราะผมรู้ดีว่าเจ้าอาร์มมันหวังดีอยากให้ผมไปพักผ่อนขนาดไหน
        "อะไรนะ ริวจะตายงั้นเหรอ!"
        เสียงเด็กสาวดังขึ้นมาจนคนทั้งห้องหันมามองกันพรึบ และเมื่อผมรู้ว่าใครเป็นคนพูด ผมเอามือปิดหน้าพร้อมกับส่ายหัวด้วยความอับอาย
        "ริวคูงงงงง"
        เสียงของเด็กสาวดังขึ้นข้างหน้าผม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็พบกับเพื่อนสมัยเด็กของผมยืนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงสุดซึ้ง เธอมีใบหน้ารูปไข่ ผิวสีขาวนวลราวกับไข่มุก ดวงตากลมโตราวกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่ขึ้น ม.ปลาย แล้ว เธอไว้ผมทรงหางม้าเรียบร้อย และท่าทางเป็นกุลสตรีมาก ถึงขนาดหน้าอกจะใหญ่ผิดกับหน้าของเธอก็เถอะ แต่ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ ปัญหาก็คือ การกระทำของเธอนั้นเรียกร้องทำให้คนทั้งห้องพร้อมใจกันมองมาทางผมทันที
        "ริวคุงจะตายวันนี้เหรอ ริวคุงจะตายไม่ได้นะ เอริไม่ยอมนะ" เธอพูดกับผมราวกับเด็กๆ
        "จะบ้าเหรอเอริ ใครจะไปตายวันนี้กันเล่า" ผมบอกปัด "ฉันแค่ล้อเล่นกับไอ้อาร์มเฉยๆ"
        "ไม่หรอก ไม่จริงเลย ดูนี่นะ" เพื่อนสมัยเด็กของผมที่ชื่อ เอริ รีบเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอแล้วล้วงของบางอย่างออกมาวางบนโต๊ะให้ผมดู
        มันเป็นแผ่นกระดาษที่ดูเก่าแก่พอสมควร และเมื่อเธอกางแล้ว ตรงกลางกระดาษนั้นเป็นรูปวงกลม ซึ่งมีตัวอักษร วัน เดือน ปี เวลา พร้อมไว้เลย ผมดูๆ ไปแล้วมันยังกับกระดาษเล่นผีถ้วยแก้วเลยนะเนี่ย
        "เนี่ย มันมีคำทำนายเอาไว้ ว่าวันนี้ริวคุงจะต้องเจอกับภัยคุกคามอย่างหนึ่ง แต่ฉันนึกไม่ออกเลยนี่สิ ว่าริวคุงจะเจอกับภัยแบบไหน" เอริเอามือทั้งสองข้างจับหัวตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างกระวนกระวาย "ฉัน ฉันยังแก้คำนายนี้ไม่ออกเลย ฮือ"
        "นี่ๆ อย่าร้องไห้เลยหน่า" ผมรีบปลอบเธอ "มันอาจจะมีบ้างแหละที่เธอจะทำนายไม่ได้นะ"
        "ไม่ๆ นี่มันเกี่ยวข้องกับริวคุงนะ ฉัน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคำทำนายมันเป็นยังไง" เธอส่งสายตาออดอ้อนมองผมราวกับเด็กๆ ที่มุ่งมั่นจะทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ
        เอรินั้นดูเหมือนว่าเธอจะสืบเซื้อสายมาจากหมอผีไทยในสมัยก่อน และองเมียวจิของญี่ปุ่นด้วย เพราะพ่อของเธอเป็นคนไทย ส่วนแม่ของเธอนั้นเป็นมิโกะศาลเจ้าแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทั้งคู่พบรักกันจนได้เอริมาเป็นพยานรัก ผมหละสงสัยจริงๆ ว่าพ่อกับแม่ของเอริมารักกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่วิชาปราบผีของทั้งสองประเทศนี้ต่างกันสุดขั้วเลย ถึงผมจะค่อยชอบเรื่องที่เหนือธรรมชาติแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเอริเก่งเรื่องลี้ลับพวกนี้อย่างมาก ถึงขนาดสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำจนเหลือเชื่อ แต่เธอจะรับทำนายเอาไว้เฉพาะเมื่อเธออยากทำนายเท่านั้น แต่จะมีครั้งนี้แหละที่เธอทำนายพลาด
        "เอาหน่าเอริ แล้วนี่ ม.สามเลิกเรียนแล้วเหรอ" ผมถามเธอ เพราะว่าเธอนั้นอ่อนกว่าผมปีหนึ่ง จึงอยู่ชั้น ม.สาม นั่นเอง
        "แง้ ริวคุงง่า อย่าเปลี่ยนเรื่องซี่" เธออ้อนผมราวกับว่าเธอกำลังจะร้องไห้
        "ว่าแต่เอริ แล้วคำทำนายของไอ้เจ้าริวมันว่ายังไงเหรอ" อาร์มเป็นฝ่ายถามเธอ
        "เท่าที่ฉันรู้นะ มันเหมือนกับจะบอกว่าวันนี้ริวคุงจะต้องถึงฆาตวันนี้ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ เหมือนกับว่าริวคุงกำลังจะเจอกับอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวันถึงฆาตเนี่ยแหละ" เธออธิบายฉอดๆๆ ออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปบนกระดาษทำคำนาย บอกตรงๆ นะ ผมดูยังไงผมก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ
        "เอาหน่า สรุปก็คือฉันจะไม่ตายวันนี้ใช่ไหม" ผมกระซับกระเป๋าสะพายให้ขึ้นหลังมากขึ้น "งั้นฉันกลับก่อนนะ"
        "ริวคุง อย่าเพิ่งไปซี่ เค้าเป็นห่วงตัวเองน้า" เอริออดอ้อนผม
        เป็นห่วงก็อย่าแสดงท่าทางที่โอเว่อร์มาแบบนี้ได้ไหม อายเขาจะตายอยู่แล้ว ผมคิดพร้อมกับรีบก้าวขาเดินออกจากห้องเรียนให้ไวที่สุด
        ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่ผมเดินออกจากโรงเรียนแล้ว ผมมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือทันที และเมื่อผมซื้อหนังสือเป้าหมายของผมออกมาแล้ว ผมก็เดินกลับบ้านและเปิดดูมันพลางๆ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแต่งรถมอเตอร์ไซด์นั่นเอง
        ใช่แล้วครับ ผมชื่นชอบพวกกีฬาที่เน้นความเร็วอย่างมาก อย่างพวกแข่งมอเตอร์ไซด์หรือแข่งรถยนต์อะไรทำนองนี้ ผมชื่นชอบมากจนขนาดไปรับซื้อมอเตอร์ไซด์ใกล้พังจากร้านขายของเก่าถูกๆ แล้วเอามาหัดซ่อมมันด้วยตนเอง จนตอนนี้มันสามารถขับได้แล่นฉิวไม่แพ้รถมอเตอร์ไซด์คันใหม่เลยทีเดียว แต่เนื่องจากผมยังอายุไม่ถึงสิบแปด การที่จะขี่มอเตอร์ไซด์นั้นผมจึงขี่ได้ในซอยบ้านตัวเองเท่านั้น ออกไปโดนจับแน่ แถมโดนปรับอีก ไม่คุ้มเลย
        ส่วนพ่อแม่ของผมนั้นไปทำงานต่างประเทศทั้งคู่ แล้วท่านส่งเงินให้ผมทุกๆ เดือน ทำให้ทุกวันนี้ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด จะมีเอริมาเยี่ยมที่บ้านผมบ้าง เอ่อ ไม่บ้างแล้วหละ เพราะว่าเธอมาบ้านผมวันเว้นวันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าพ่อแม่ผมจะทำงานจนมีเงินเยอะ แต่เงินที่ส่งมาแต่ละเดือนนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้ทุกๆ เดือนผมจึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด อะไรที่ไม่จำเป็นผมจะไม่ซื้อเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ไปคาราโอเกะกับเจ้าอาร์มมัน แม้ว่ามันจะชอบชวนผมมาโดยตลอด ถึงกับออกปากว่าจะเลี้ยง แต่ถ้าผมไป มันก็จะถือว่าผมติดบุญคุณมัน ก็ต้องเลี้ยงมันตอบอีก รู้แบบนี้ไม่ไปดีกว่า
        ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงท่าทีของเอริที่ทำท่าทางห่วงผมอย่างมาตอนที่ผมอยู่ในห้องเรียน ถึงผมจะรู้ว่าเอรินั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นห่วงผมมากแค่ไหน แต่เล่นมาอธิบายเรื่องวันตายของผมให้เพื่อนตัวเองฟังนี่เป็นใครก็ไม่ปลื้มนะนั่น
        ตายวันนี้เหรอ ผมคิดติดตลก คงไม่หรอกมั้ง
        ผมเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องผีสาง ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมาแค่ไหนแค่ไรแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าคำทำนายของเอริจะแม่นยำแค่ไหน แต่ผมบอกตรงๆ นะ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก
        ผมยักไหล่กับความคิดนั้น ก่อนที่จะเดินไปยังทางแยกเพื่อที่จะข้ามทางม้าลายกลับบ้านผม เพราะตอนนี้มันหกโมงกว่าแล้ว ผมกำลังคิดว่ากลับไปจะทำอะไรกินดี
        แต่ทว่า ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมนั้น ทำเอาหัวใจของผมแทบหยุดเต้น
        เด็กนักเรียนสาวที่น่าจะอยู่ชั้นประถมปลายคนหนึ่ง เดินข้ามถนน แต่กลับสะดุดล้มลง แถมเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวด้วย และทางขวาของเธอนั้นก็กำลังมีรถบรรทุกสิบล้อวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
        "กรี๊ดดดด! เด็กล้มกลางถนน"
        เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์กรีดร้องดังลั่น ทำให้มีคนเข้าไปมุงดูกันเป็นจำนวนมาก ปริมาณของคนที่อยู่ข้างถนนนั้นมามุงดูกันมากขึ้น
        แต่กลับไม่มีใครออกตัวไปช่วยเด็กคนนั้นสักคนเลย
        "แง้ แม่จ๋า"
        เสียงของเด็กร้องไห้ดังจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีคนมุงคนไหนคิดที่จะเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นเลย ส่วนผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็ยังคงกรีดร้องต่อไป
        ไอ้พวกแล้งนํ้าใจเอ้ย ผมคิดอย่างเจ็บใจ และยิ่งตกใจเมื่อขึ้น เมื่อรถบรรทุกสิบล้อนั้นแล่นเข้ามาในระยะห้าสิบเมตรแล้ว
        ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผม ผมรีบวิ่งออกไปข้างหน้า ผลักคนที่ขวางทางออกไปข้างๆ ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะว่าอะไร ผมไม่สงสัยหรอกว่าทำไมรถบรรทุกสิบล้อคันนั้นถึงยังไม่ยอมหยุด แต่ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมก็คือ เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่กำลังจ้องมองดูรถบรรทุกด้วยความหวาดกลัว ในหัวของผมสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือต้องรีบไปช่วยเธอให้ปลอดภัย
        และเมื่อผมไปถึงตัวเด็กแล้ว ผมยื่นมือไปข้างหน้า แล้วก็ผลักให้เด็กคนนั้นกระเด็นไปข้างๆ จนล้มไปอยู่ตรงเกาะกลางถนน แต่เมื่อผมผลักเธอไปได้แล้ว เสียงแตรดังลั่นกลางถนนพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน และเมื่อผมมองไปยังต้นเสียงนั้น รถบรรทุกคันดังกล่าวก็อยู่เบื้องหน้าผมแล้ว
        นี่เรา กำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ ผมคิดโดยที่ในหัวของผมโล่งไปหมด เมื่อเห็นภาพความตายที่อยู่เบื้องหน้าผม
        เรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกหลายอย่างนะ ทำไมเราต้องตายตอนนี้ด้วยนะ ผมคิดด้วยความหวาดกลัวที่เอ่อล้นไปทั่วร่างของผม
        ปี้นนนนน!!
        ผมหลับตาแน่น เตรียมตัวรอรับความตายที่กำลังจะพรากเอาชีวิตของผมไป
        ชิ้วววว!!
        ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมนั้นกระเด็นออกมา ลอยล่องกลางอากาศ ไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอะไรเลย แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น มันเป็นความรู้สึกที่ต้องการปกป้อง ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่กระนั้น ผมก็ยังไม่กล้าที่ลืมตามองดู
        ลมพัดมหาศาลพัดเข้าหาผม และสักพักหนึ่ง ผมรู้สึกได้ว่าผมจะเริ่มหยุดลอยแล้ว มีมือข้างหนึ่งกำลังอุ้มตัวผมอยู่ และค่อยๆ วางผมลง จนผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดไหลออกมาตามร่างกายของผม พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของผม ความหวาดกลัวของผมยังไม่ทุเลาลง
        "เกือบไม่ทันแล้วสิ"
        เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น เสียงของเธอนั้นผมคาดเดาได้ว่าเธอคงจะมีอายุราวๆ แค่สิบสามถึงสิบห้าปีเท่านั้น เสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนหวานราวกับก้อนนํ้าตาลเลยทีเดียว มันทั้งอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงความห่วงใย และโล่งอก
        ผมทำใจกล้า ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อมองดูว่าใครที่อยู่ตรงหน้าของผม
        ผมกำลังนอนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบข้างของผมนั้นเริ่มมืดลงแล้ว มีแสงจากพระอาทิตย์กำลังส่องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่กำลังจะลับขอบฟ้า ลมพัดเข้าสู่ตัวผมดังวิ้วๆ ราวกับเรื่องราวเสี่ยงตายเมื่อกี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และผมก็เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าของผม
        เธอเป็นเด็กสาวที่น่าจะมีความสูงถึงแค่หัวไหล่ของผมเท่านั้น เธอกำลังยืนหันหลังให้ผม เส้นผมของเธอเหมือนจะรวบเอาไว้สองข้าง ดูเหมือนเธอจะสวมใส่ชุดสีดำสนิท เป็นเสื้อคล้ายกับชุดเกาะอกสีดำ และกระโปรงขาสั้นสีดำสนิท ขอบหลุดลุ่ยราวกับถูกฉีกขาดมา ตัวของเธอนั้นตัวเล็กมาก ผิวสีขาวนวลที่ผิดกับชุดแต่งกายของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใส่รองเท้าอีกต่างหาก
        แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจจนแทบเสียสติ นั่นก็คือ ที่กลางหลังของเธอนั้นมีปีกค้างคาวยื่นออกมา ปีกนี้มีขนาดใหญ่ น่าจะใหญ่กว่าลำตัวของเธอสองเท่าได้ ผมมองไม่ชัดเลยไม่รู้ว่ามันมีรูปร่างละเอียดยังไง รู้แต่ว่าสีของมันดำสนิท และดูเหมือนจะขยับขึ้นลงได้ด้วย และก็มีหางยื่นออกมาจากสะโพกของเธออีกต่างหาก หางนั้นมีขนาดน่าจะเท่ากับเชือก และมีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมที่อยู่ปลายหาง ซึ่งหางทรงแบบนี้ผมรู้จักทันที ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของหางปีศาจ
        และที่ผมตกใจมากกว่านี้อีกก็คือ ของที่เธอกำลังถือมันและเอาพาดบ่าของเธอนั้น มันเป็นใบมีดที่มีขนาดใหญ่มาก และขนาดของใบมีดนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่เด็กสาวร่างบอบบางแบบนี้น่าจะถือได้ ความคมกริบของมันสร้างความสยดสยองให้ผมได้ในทันที ชื่อของมันนั้นผมรู้ทันทีว่ามันเรียกว่า 'เคียว' นั่นเอง
        เธอค่อยๆ หันหน้ามาหาผม ใบหน้าของเธอนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ใบหน้าของเธอนั้นมันช่างใสซื่อยิ่งนัก เหมือนกับเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรโลกในนี้เลย ใบหน้าที่ดูสดใสของเธอนั้นผิดกับชุดแต่งกายที่เธอกำลังสวมใส่อยู่นี้เป็นอย่างมาก
        "แย่หละสิ" เธอพึมพำด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่เธอจะรีบกระโดดลงไปจากดาดฟ้าตึก
        "เฮ้ เดี๋ยวก่อน" ผมตะโกนเรียกเธอด้วยความตกใจ เพราะว่าดาดฟ้านี้ถึงผมจะไม่รู้ความสูงก็เถอะ แต่บอกได้คำเดียวเลยว่า ตกลงไปนี้เละแน่ๆ ไม่ต้องสืบ
        ผมฝืนตัวเองพยุงร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้น บังคับขาตัวเองไม่ให้สั่น ก่อนที่จะรีบวิ่งไปที่ขอบรั้วระเบียงของดาดฟ้าทันที และรีบมองลงไปข้างล่าง ความสูงของมันนั้นเล่นทำเอาผมหวาดเสียว เพราะว่ามันเห็นรถข้างล่างมีขนาดเล็กเท่านิ้วชิ้ผมเท่านั้น ส่วนผู้คนนั้นราวกับฝูงมดดีๆ นี่เอง ผมดูแล้วประมาณได้เลยว่าตึกนี้ต้องมีความสูงไม่น้อยกว่ายี่สิบชั้นได้ ข้างล่างนั้นผมมองเห็นมีรถบรรทุกคันที่กำลังจะชนผมจอดอยู่ริมถนน พร้อมกับคนที่มามุงดูเป็นจำนวนมาก แต่ที่รู้ๆ ผมไม่เห็นตัวเด็กสาวเมื่อกี้เลย ไม่แม้กระทั่งศพ และข้างล่างตึกนี้นั้นก็ไม่มีระเบียงให้ยึดเกาะอะไรด้วย
        "เธอเป็นใครกัน" ผมคิดอย่างสงสัย "แล้วสำคัญ เธอหายไปไหนกันแน่นะ"

        กว่าผมจะขอโทษและหาข้อแก้ตัวกับยามที่ตึกนั้นได้ว่าผมขึ้นไปทำอะไรบนดาดฟ้าก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว โดยผมอ้างว่ามาหาคนรู้จัก แต่ไม่รู้ว่าอยู่ชั้นไหน เลยลองไปดูบนดาดฟ้าแทน แน่นอนว่าสิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาก็คือ การเทศนาเป็นชุดๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ผมออกมาได้ เล่นทำเอาขี้หูผมเต้นแทงโก้สี่ตลบเลยทีเดียว เหลือเชื่อ เป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัย แต่บ่นออกมายังกับเป็นแม่ผมเลยให้ตายสิ
        และเมื่อผมไปถึงหน้าบ้านของผมได้ ก็ปาไปสองทุ่มกว่าเลยทีเดียว ผมมองดูบ้านของผม มันเป็นบ้านเดี่ยวธรรมดาสองชั้น สวนหน้าบ้านมีอยู่กระจึ๊ดนึง ในบ้านนั้นไมได้เปิดไฟเพราะผมยังไม่ได้กลับ ผมไขกุญแจเข้าไปในบ้าน มองดูรถมอเตอร์ไซด์ที่ผมซ่อมเสร็จและจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนที่จะล็อคประตูรั้วหน้าบ้าน และเข้าไปในบ้าน เปิดไฟให้สว่างรอบด้าน โยนกระเป๋านักเรียนไปบนเก้าอี้รับแขก ปิดประตูบ้านพร้อมล็อคเรียบร้อย ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง
        ว่าแต่ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครกันนะ ผมคิดอย่างสงสัย เพราะภาพของเธอที่สวมใส่ชุดสีดำแปลกๆ พร้อมกับมีทั้งปีกและหางยื่นออกมานั้นติดตาผมอย่างมาก ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ตาฝาด เพราะว่าผมเห็นตัวเธอชัดแจ๋วเต็มสองลูกตา แถมได้ยินเสียงของเธออีกต่างหาก มันเป็นเสียงที่น่ารักแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้เลยด้วยซํ้า
        ผมเริ่มนึกถึงคำทำนายที่เอริพยายามบอกผมตอนที่อยู่ในชั้นเรียน ผมเริ่มสงสัยในเรื่องของการทำนายของเธอขึ้นมาตะหงิดๆ ซะแล้วสิ
        หรือว่า เธอจะเป็นนางฟ้ามาช่วยเรากันนะ ผมเริ่มคิดอะไรออกแนวเด็กๆ แต่แล้วผมก็ต้องส่ายหัวกับความคิดนั้น
        ไม่สิ นางฟ้าบ้าอะไรจะแต่งตัวราวกับเป็นปีศาจแบบนั้น ผมยืนยันกับความคิดนั้น จะเป็นอะไรก็ช่าง เรารอดตายมาก็ได้บุญโขแล้ว
        ผมคิดได้แค่นั้นก็ได้ไปเตรียมตัวทำอาหารเย็นต่อตามปกติ และเนื่องจากมันถึงเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ผมไม่อยากนอนดึก ก็เลยต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเองซะเลย

        ขณะนี้เวลาสี่ทุ่ม
        หลังจากที่ผมอาบนํ้าล้างจาน จัดตารางเรียนของวันต่อไปแล้ว ผมรีบเข้านอนทันที แต่วันนี้มีอย่างหนึ่งที่แปลกสักหน่อย เพราะว่าผมไม่สามารถข่มสายตาให้สามารถหลับได้ในทันทีนั่นเอง
        ภาพของสาวน้อยในชุดสีดำราวกับปีศาจ พร้อมกับปีกและหางของเธอนั้นก็ยังฉายขึ้นในหัวของผม
        ตกลงแล้วเธอเป็นใครกันนะ คำถามนี้ก็ยังวนเวียนในหัวของผมเช่นเดียวกัน ผมพยายามข่มตาของผมให้หลับ เพราะมัวแค่คิดมาก ผมคงจะนอนไม่หลับพอดี และถ้านอนไม่หลับ มีหวังวันพรุ่งนี้ผมเผลอไปหลับในห้องเรียนแทนแน่ ทำแบบนั้นไม่ดีแน่นอน
        "ฮือ...ฮือ..."
        มีเสียงกระซิกๆ ดังออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของผม เล่นทำเอาผมสะดุ้งเฮือกขนลุกไปสักพักหนึ่ง แต่เสียงนั้นก็เงียบลง ทำให้ผมส่ายหัวก่อนที่จะหลับตานอนต่อ
        คิดไปเองมั้ง ผมคิด
        "ฮึก...ฮือ... แง้"
        เสียงบ้าอะไรวะ ผมคิดด้วยความหวาดผวา หลอนนะว้อย
        "ฮือ... กลับไม่ได้แล้ว..."
        ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เดินไปที่หน้าต่างห้องนอน หยิบโหลปลาที่ยังมีนํ้าอยู่เพราะเมื่อวานผมเพิ่งปล่อยปลาออกแต่ไม่ได้เอานํ้าไปทิ้งเอามาวางไว้ที่ริมๆ โต๊ะ เพราะมันขวางทางผ้าม่าน ก่อนที่จะเปิดผ้าม่านและหน้าต่างออกไปดูว่าเสียงนั้นมันคือเสียงอะไร
        และภาพตรงนั้นเล่นทำเอาผมถึงกับหยุดหายใจไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
        เพราะว่าเด็กสาวปริศนาที่มีปีกกับหางนั้น กำลังคุกเข่าอยู่บนหลังคาบ้านของผม กำลังร้องห่มร้องไห้ เอามือปิดหน้าตัวเองอยู่ แถมอาวุธเคียวของเธอก็วางอยู่ข้างๆ ตัวเธอด้วยเหมือนกัน
        การปรากฎขึ้นของเธอนั้น เล่นทำเอาผมหายง่วงในบันดล
        "นะ นี่ เธอ เป็นใครกันแน่" ผมถามด้วยความสงสัยและหวาดกลัวไปพร้อมกัน
        และเธอนั้นก็กำลังสบตามองกับผม ผมเพิ่งจะเคยสังเกตเห็นครั้งแรก ว่านัยน์ตาของเธอนั้น เป็นสีแดง เหมือนสีเลือด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×