ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #7 : Episode 7 : Cutie Mark

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 57



    อากาศเริ่มอุ่นมากขึ้น ผมดูปฏิทินที่ทไวไลท์ทำมาให้จึงทราบได้ว่าฤดูกาลในโลกนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นช่วงฤดูร้อนแล้ว ถึงจะบอกว่าเป็นฤดูร้อนแต่สภาพอากาศมันก็ไม่ได้ร้อนมากเมื่อเทียบกับโลกผมที่ตอนกลางวันอากาศยังกับเตาอบ อันที่จริงถ้าเป็นในโลกผม ช่วงเวลานี้ควรจะเป็นหน้าฝนเสียด้วยซํ้า แต่อย่างว่า เมืองโพนี่วิลล์ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปอีเควสเทียร์พอดี ทำให้อากาศไม่ร้อนไปและไม่หนาวไปนั่นเอง เหล่าโพนี่ในเมืองเริ่มตื่นเต้นในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะแอปเปิ้ลแจ็คที่เห็นว่าเริ่มปลูกพืชบางตัวได้แล้ว และบางช่วงเวลาก็เห็นว่าเพกาซัสอย่างเรนโบว์แดชก็ไม่ต้องมานั่งเคลียรเมฆให้หมดจากฟ้าก็ได้เพราะพวกโพนี่ต้องการให้บางพื้นที่ไม่ร้อนจนเกินไปนั่นเอง

    เช้าวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาแล้วก็ลองขยับปีกข้างที่ยังใส่เฝือกอยู่ ซึ่งดูเหมือนผมจะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ผมชักอยากที่จะอยากรู้ว่ามันหายดีแล้วรึยัง จึงวางแผนว่าจะลองไปที่โรงพยาบาลในเมืองเพื่อถามหมอดู แต่กลับมีแขกมาเสียก่อน นั่นก็คือทไวไลท์นั่นเอง เธอมาพร้อมกับสไปค์ที่เหมือนน้องชายเธอมาด้วย

    "สวัสดี วันนี้นายมีแผนทำอะไรไหม" เธอถามผม

    "ฉันกะว่าจะไปโรงพยาบาลเพื่อไปถามหมอซักหน่อยนะว่าฉันถอดเฝือกได้รึยัง" ผมบอกกับเธอ

    แสงจากเขาของเธอส่องประกายขึ้น เธอหลับตาซักพักก่อนที่จะส่ายหัวเมื่อแสงบนเขาของเธอหายไปแล้ว

    "อืม ยังไม่หายดีเลยนะ คงอีกซักอาทิตย์นะ" เธอตอบผม

    "รู้ได้ไง" ผมถามด้วยความสงสัย

    "มีตอนนึงที่เรนโบว์แดชเจออุบัติเหตุจนปีกได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล ฉันเลยเรียนเวทย์เช็ดสภาพร่างกายโพนี่เอาไว้นะ" เธอบอกผม สไปค์กอดอกพร้อมยืดอกขึ้นราวกับภูมิใจมากที่ทไวไลท์รู้เรื่องเวทย์เยอะ

    "ก็ ขอบใจละกัน" ผมบอกเธอพร้อมด้วยอารมณ์รู้สึกเซ็งเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ายังไม่หายดี "แล้ว มีอะไรรึเปล่า"

    "คือ ฉันยังหาวิธีแก้คำสาปให้นายไม่ได้ก็จริง แต่ฉันคิดว่าน่าจะมีม้าอีกตัวที่น่าจะช่วยได้" เธอยิ้มบอกผม

    "งั้นเหรอ เธออยู่ที่ไหนหละ" ผมถาม

    "ในป่าเอเวอร์ฟรีนะ เธอชื่อซีโคร่า เธอเป็นม้าลายตัวเดียวในโพนี่วิลล์นะ แต่อันที่จริง ฉันยังไม่เจอม้าลายตัวอื่นนอกจากเธอเลยนะ" ทไวไลท์ทำท่าครุ่นคิด

    "ม้าลายงั้นเหรอ" ผมเดินเข้าไปหาเธอใกล้ๆ ทันที

    "นายรู้จักเหรอ" เธอถาม

    "เปล่า แต่โลกฉันนะมีม้าลายอยู่" ผมบอก พลางนึกจินตนาการม้าลายขนาดเท่าของจริง ซึ่งต้องสูงกว่าผมและทไวไลท์แน่ๆ

    "เธอเป็นผู้ให้คำแนะนำและรู้เรื่องแปลกๆ เยอะดี ฉันคิดว่าเธอน่าจะช่วยนายได้ จะไปกับฉันไหม" เธอถามผม

    "เอาสิ" ผมพยักหน้า ก่อนที่จะเดินตามเธอไปโดยไม่ล็อคประตูบ้าน เพราะไม่มีแม่กุญแจ อีกอย่าง ผมอยู่ในเมืองนี้มาตั้งสามอาทิตย์แล้ว ยังไม่เคยเจอขโมยเลยแม้แต่ตัวเดียว

    ทไวไลท์นำทางผมยังไปทางชานเมืองที่ผมมองดูแล้วน่าจะเป็นทางที่ทะลุไปได้ จริงๆ แล้วห่างจากบ้านพักของผมไปไม่ไกลมันก็เป็นป่าแล้ว เพียงแต่ผมไม่เคยเดินเข้าไปสำรวจข้างในเลย ฟรัทเทอร์ชายเคยเตือนว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเข้าไปเด็ดขาด ผมก็เชื่อฟังคำสั่งนั้นเพราะไม่นึกสงสัยเลยว่าข้างในมีอะไร

    ระหว่างทาง ผมเกือบถูกลูกม้าทั้งสามตัววิ่งเข้ามาชนเข้า และเมื่อมองดูแล้วผมก็พบว่าลูกม้าทั้งสามตัวนี้เป็นทั้งม้าทำงาน ยูนิคอร์น และเพกาซัสอย่างละตัว และหนึ่งในนั้นก็คุ้นๆ หน้าเสียอีก

    "สวัสดี สวิตตี้เบล แอปเปิ้ลบลูม" ผมทักเธอเมื่อเห็นเธออยู่กับเพื่อนทั้งสองตัวของเธอ

    "สวัสดี ขอโทษด้วยนะที่เมื่อกี้เกือบชน" เธอบอกผม

    "สวิตตี้เบล คนรู้จักเหรอ" ลูกเพกาซัสตัวสีนํ้าตาลออกส้มและมีแผงคอสีม่วงทักขึ้น

    "อ๋อ ฉันรู้ พี่แอปเปิ้ลแจ็คเคยเล่าให้ฟัง เห็นว่าเป็นมนุษย์โลกที่โดนคำสาปจากควีนคริสซาลิสจนมาเป็นโพนี่เนี่ยแหละ ครั้งก่อนยังมาช่วยต้อนพี่พิงค์กี้พายตัวปลอมอยู่เลย" ลูกม้าทำงานตัวสีเหลืองแผงคอสีแดงและมีโบว์สีชมพูเข้มอันใหญ่ติดบนหัวบอกด้วยความตื่นเต้น

    "ใช่ๆ คนนี้แหละ" สวิตตี้เบลบอก ก่อนที่จะหันมามองทางผมพร้อมกันทั้งสามตัว

    "หนูขอแนะนำเพื่อนหนู สกูทาลู" เธอยกอุ้งเท้าไปทางเพกาซัสน้อยที่กระพือปีกอันเล็กจิ๋วจนตัวลอยขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง

    "ยินดีที่ได้รู้จัก" เธอบอกกับผม

    "เช่นกัน" ผมตอบ ทไวไลท์เองก็เดินเข้ามาทักทายม้าน้อยทั้งสามตัวด้วย และเมื่อผมมองเห็นว่าเพกาซัสตัวข้างๆ นั้นไม่มีคิ้วตี้มาร์คด้วย ผมเลยนึกถึงตอนที่สวิตตี้เบลบอกกับผมเมื่อวันก่อน

    "นี่พวกเธอที่รวมกลุ่มเรียกว่าคิวตี้มาร์ค ครูเซเดอร์ใช่ไหม" ผมยกอุ้งเท้าถาม

    "ถูกต้อง และตอนนี้พวกเรากำลังจะไปรับสมาชิกใหม่ด้วย" แอปเปิ้ลแจ็คตอบด้วยความตื่นเต้น

    "พอดีว่าวันนี้ญาติของแอปเปิ้ลบลูมที่อยู่ในเมืองเมนฮัตตันจะมานะ เธอก็ไม่มีคิวตี้มาร์คเหมือนกัน พวกหนูเลยเดาว่าเธอจะต้องเข้าร่วมกลุ่มเราแน่" สวิตตี้เบลบอกด้วยนํ้าเสียงที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

    "แมนฮัตตัน ?" ผมถามชื่อเมืองนั้นอีกครั้งเพราะไม่รู้ผมฟังผิดไหม

    "ไม่ๆ เมนฮัตตันนะ" ทไวไลท์แก้ชื่อเมืองให้ถูกต้อง

    "เหรอ ชื่อมันเหมือนกับเมืองหนึ่งในโลกของฉันมาก มันชื่อว่าแมนฮัตตันนะ" ผมบอกจนไม่รู้ว่าสองเมืองนี้มันเกี่ยวข้องกันไหม ชื่อต่างกันแค่ชื่อต้นเอง

    "ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเองยังไม่เคยไปเลย" ยูนิคอร์นสาวยักไหล่

    "ถ้างั้น พวกหนูขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวรถไฟจะมาเสียก่อน" แอปเปิ้ลบลูมกระโดดพร้อมกับบอก

    "โชคดีนะ" ผมยกอุ้งเท้าโบกลาม้าทั้งสามตัวที่วิ่งไปทางสถานีรถไฟอย่างรวดเร็ว

    "พวกเธอน่ารักดีนะ" ทไวไลท์ยิ้มบอก

    "ใช่ มันทำให้ฉันนึกถึงวัยเด็กของฉันเลย" ผมพยักหน้าบอกกับเธอ ก่อนที่จะหันหลังและเดินตามเธอไปเมื่อเธอนำผมไปยังบ้านของซีโคร่า

     

    -------------------------------------

     

    บ้านของซีโคร่านั้นอยู่ในป่าเอเวอร์ฟรีก็จริง แต่ว่าก็ไม่ได้อยู่ลึกเท่าไหร่นัก เดินเข้าไปราวๆ กิโลเมตรหนึ่งก็ถึงแล้ว โดยบ้านของเธอนั้นจะเป็นต้นไม้แบบเดียวกันกับห้องสมุดของทไวไลท์ เพียงแต่เล็กกว่ามาก มันทำให้ผมนึกถึงพวกบ้านของเหล่าภูติหรือคนแคระที่อาศัยอยู่ตามโพรงต้นไม้เสียมากกว่า เพียงแต่โพรงต้นไม้ต้นนี้มันใหญ่มากเสียจนสามารถเดินเข้าไปได้สบายๆ สำหรับความสูงของโพนี่อะนะ แต่ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเจ้าตัวถึงต้องมาอยู่ในป่าลึกทั้งๆ ที่เข้าไปอยู่ในเมืองก็ได้ แต่เนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องรู้ เลยตัดสินใจไม่ถาม

    ซีโคร่านั้นเป็นม้าลายตามที่ทไวไลท์บอกจริงๆ เพียงแต่เป็นม้าลายที่มีความสูงระดับเดียวกันกับโพนี่ทั่วไป เธอมีทรงผมและห้อยที่เจาะหูแบบเดียวกันกับชนเผ่าตามแอฟริกา เอาจริงๆ แล้วสิ่งของต่างๆ รวมไปถึงของตกแต่งในบ้านของเธอนั้นก็มีทั้งหน้ากาก หม้อต้มยา และขวดนํ้าเต้าแบบเดียวกันกับชนพื้นเมืองของแอฟริกาใช้มาก แถมลายคิวตี้มาร์คของเธอก็เป็นตราสัญลักษณ์พระอาทิตย์ในแบบฉบับของแอฟริกาด้วย จนทำให้ผมนึกสงสัยว่าเธอมาจากโลกของผมรึเปล่า

    "ฉันไม่รู้เรื่องวิธีการถอนคำสาปอะไรเลยนะทไวไลท์" ซีโคร่าทักเมื่อทไวไลท์เล่าเรื่องราวของผมจบลง "มันต้องเป็นเวทย์ระดับสูงและเวทย์เฉพาะทางมากๆ ถึงจะสามารถเปลี่ยนแม้กระทั่งเผ่าของสิ่งมีชีวิตได้"

    "หมายความว่า คุณเองก็ไม่รู้วิธีการถอนคำสาปเหรอค่ะ" ทไวไลท์ถาม และนั่นทำให้ผมก้มลงและมองดูพื้นด้วยความเคร่งเครียดทันที

    "ไม่เชิง" ซีโคร่าเดินไปหยิบขวดยาอะไรบางอย่างแล้วก็เทใส่หม้อด้วยปากของเธอ ก่อนที่นํ้าในหม้อนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใสเหมือนนํ้าหวาน "แต่ฉันคิดว่าน่าจะมาจากสาเหตุสองอย่างนี้มากกว่า"

    "อย่างแรกเลย นี่คือโลกเวทมนต์" ซีโคร่าอธิบายขณะที่เธอใช้ปากคาบกระบวยแล้วตักนํ้าใส่แก้วที่วางบนถาดใกล้ๆ "โดยปกติแล้วถ้าสิ่งชีวิตใดที่มีพลังเวทมนต์ฝังอยู่ในร่าง และอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีเวทมนต์เลย เวทมนต์นั้นๆ จะไม่แสดงผล แต่ถ้ามาอยู่ในสถานที่ที่มีพลังเวทย์หมุนเวียนในอากาศเมื่อไหร่ก็จะออกฤทธิ์ทันที"

    "หมายความว่า ต่อให้ผมโดนควีนคริสซาลิสสาป แต่ถ้ายังอยู่ในโลกนั้นมันก็จะไม่แสดงผลงั้นเหรอครับ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ถูกต้อง" เธอตอบพลางตกนํ้าใส่แก้วใบที่สาม "ส่วนอย่างที่สองนั้น ฉันก็เป็นอีกคนที่เชื่อเรื่องของโชคชะตานะทไวไลท์ ฉันคิดว่าการปรากฎตัวของพ่อหนุ่มคนนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่จะต้องทำในโลกนี้... ดื่มซักหน่อยไหม"

    ซีโคร่าใช้ปากงับถาดใส่แก้วนํ้ามาให้ผมกับทไวไลท์ ทไวไลท์หยิบมันด้วยพลังเวทมนต์ของเธอ ส่วนผมกับสไปค์ก็ใช้มือและอุ้งเท้าหยิบ ซึ่งหลังๆ ผมหยิบจับสิ่งของได้ชำนาญแล้ว รสชาติของเครื่องดื่มนี้เหมือนนํ้าใบบัวบกที่ใส่นํ้าตาลลงไป แต่ก็ไม่หวานจนเกินไป

    "ทำไมถึงคิดแบบนั้นเหรอครับ" สไปค์ถามด้วย

    "ลายคิวตี้มาร์คของพ่อหนุ่มคนนี้ไง" ซินโคร่ายกอุ้งเท้าชี้มาทางผม "เธอไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ"

    ผมก้มลงมองดูลายคิวตี้มาร์คของตนเอง รูปมงกุฎสีทองยังคงปรากฎเด่นชัดอยู่บนสะโพกของผม

    "อย่างที่เธอรู้ ม้าทุกตัวจะต้องค้นหาความสามารถของตนเองก่อน ลายคิวตี้มาร์คจึงจะปรากฎ แต่กรณีของพ่อหนุ่มคนนี้ ลายคิวตี้มาร์คปรากฎมาพร้อมกับตอนที่กลายร่างมาเป็นโพนี่ ฉันพูดถูกไหม" ทไวไลท์กับผมมองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้าตอบเธอ "นั่นหมายความว่า เธอจะไม่ต้องตามหาแล้วว่าเธอเป็นใครและทำอะไรได้ แต่เธอจะต้องตามหาว่า โชคชะตาของเธอในโลกนี้ มันต้องทำอะไรกันแน่"

    "หมายถึงยังไงเหรอครับ" ผมถามคำถามข้อนั้นอีก เพราะผมยังไม่เก๊ดเท่าไหร่

    "ง่ายๆ ก็คือ เธอจะต้องมีบทบาทสำคัญอะไรบางอย่างในโลกใบนี้อย่างแน่นอน และมันก็เป็นโชคชะตาของเธอด้วย" ซินโคร่าอธิบายเสริม "ตราสัญลักษณ์คิวตี้มาร์ครูปมงกุฎ ฉันยังไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย ฉันว่ามันต้องมีความหมายกับเธอมากแน่ๆ"

    "จริงด้วย ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นใครมีคิวตี้มาร์ครูปมงกุฎมาก่อน" ทไวไลท์บอกออกมาด้วย แล้วเธอก็หันมามองดูลายคิวตี้มาร์คของผม ผมสะบัดหางตัวเองด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่

    "แต่.. ผมยังไม่รู้เลยครับว่ามันทำอะไรได้ และมีไว้ทำไม" ผมตอบอย่างไม่สบายใจ

    "ซักวัน เธอต้องรู้แน่นอน" ซีโคร่าตอบ พลางใช้กระบวยตักเครื่องดื่มจากในหม้อมาใส่ในแก้วของเธอบ้าง

    "ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันคิดว่านายจะต้องรู้คำตอบในซักวัน" ทไวไลท์ยกอุ้งเท้าแตะที่หัวไหล่ผมเพื่อปลอบ ผมพยักหน้าให้เธอ

    "ถ้าฉันรู้ว่าลายคิวตี้มาร์คของเธอมันทำอะไรได้ ฉันก็น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้แหละนะ" ผมพึมพำตอบอย่างเห็นด้วย แต่จากนั้นผมก็มองไปรอบๆ ห้องของซินโคร่าเพื่อมองของประดับด้วยความสนใจ

    "ซีโคร่า ผมขอถามนิดนะครับ คุณมาจากโลกของผมรึเปล่า สถานที่ที่เรียกว่า ทวีปแอฟริกานะ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเกิดและโตที่อีเควสเทรีย แต่ไม่แน่ บรรพบุรุษของฉันอาจจะมาจากโลกของนายก็ได้ แต่ฉันไม่ค่อยรู้เท่าไหร่" ซินโคร่าตอบก่อนที่เธอจะดื่มเครื่องดื่มนั้นบ้าง

    "อย่างงั้นเหรอครับ" ผมยังคงมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย และก็เห็นหน้ากากอันบะเริ่มที่ผมเหมือนเห็นคุ้นๆ ว่าชนเผ่าแอฟริกาใส่เพื่อล่าสัตว์ แต่ก็สงสัยว่ามันเป็นหน้ากากที่ใส่ได้จริงๆ รึเปล่า เพราะขนาดใหญ่กว่าหน้าโพนี่ตั้งสามเท่า

     

    --------------------------------------

     

    วันต่อมา หลังจากที่ผมได้ไปพบกับซินโคร่า ผมได้ไปห้องสมุดของทไวไลท์เพื่อค้นหาทางแก้คำสาปกับเธอ แต่แน่นอนว่าผมยังคงใช้เวลาทั้งวันในการค้นหา แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งบ่ายไปแล้ว ผมซึ่งตอนนี้แทบจะโดนกองหนังสือฝังก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

    "ทำไมในโลกนี้มันไม่มีกูเกิ้่ลบ้างนะ" ผมบ่นออกมา

    "มันคืออะไรเหรอ" ทไวไลท์ถามขณะที่เธอยังคงใช้พลังเวทย์ของเธอเปิดหน้าหนังสือทีละหน้าเพื่อค้นหาคำตอบที่พวกเรากำลังมองหา

    "ไม่มีอะไรหรอก ในเมื่อโลกนี้มันไม่มีอินเตอร์เน็ต" ผมหยิบหนังสือแต่ละเล่มเอาขึ้นชั้นหนังสือเหมือนเดิม สไปค์หยิบเอาเครื่องดื่มโกโก้เย็นมาให้ ผมบอกขอบคุณก่อนที่จะรับแก้วจากเขามาดื่มแก้กระหาย

    "ไม่ต้องห่วงหน่า ฉันคิดว่าเราต้องหาวิธีเจอจนได้ในที่สุดอยู่ดี" ทไวไลท์ปลอบผม แม้ว่าเธอจะยังไม่เข้าใจคำว่า กูเกิ้ล กับ อินเตอร์เน็ต ที่ผมพูดขึ้นก็ตาม

    "ช่างเถอะทไวไลท์ บางทีฉันน่าจะทำตัวให้ชินๆ กับโลกนี้ไปเลย เพราะฉันคงไม่สามารถกลับไปหาน้องสาวได้อีก" ผมพูดด้วยนํ้าเสียงท้อ ก่อนที่จะก้มลงใช้ปากคาบหนังสือและเก็บทีเล่มอย่างเชื่องช้า

    สไปค์กับทไวไลท์มองหน้ากันราวกับต้องการที่จะหาทางในการปลอบโยนผม ทไวไลท์มองไปรอบๆ ก่อนที่เธอจะมองไปยังหน้าต่าง แล้วเธอก็เดินเข้าไปใกล้ๆ ผมแล้วบอกให้ผมมองไปข้างนอกทันที

    ผมมองเห็นโพนี่บางตัวกำลังขนอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงโครงรถที่หน้าตาคล้ายๆ กับผักขนาดใหญ่ผ่านไปข้างหน้าด้วย จนผมเริ่มเอ๊ะใจว่าข้างนอกกำลังทำอะไร

    "พรุ่งนี้เป็นงานเทศกาลฉลองฤดูเก็บเกี่ยวนะ" ทไวไลท์ยิ้มบอก "จะมีขบวนแห่เป็นรถรูปผักผลไม้ต่างๆ ด้วย น่าสนุกดีนะ"

    "ขบวนแห่เหรอ" ผมมองไปข้างนอกอีกครั้ง และก็เห็นพิงค์กี้พายเดินสำรวจดูรถรูปผักกะหลํ่าปลีขนาดยักษ์รอบๆ เหมือนกับต้องการเช็ดความพร้อมรอบๆ ตัวรถ

    "ใช่ นายจะได้ผ่อนคลายด้วย" ทไวไลท์บอกพลางใชัพลังเวทย์ของเธอยกหนังสือหลายเล่มที่วางกองไว้บนพื้นขึ้นเก็บบนชั้นหนังสืออย่างรวดเร็ว "และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ร่วมงานนี้ด้วยนะ"

    เธอยิ้มกว้างใส่ผม ผมมองดูหน้าของเธอแล้วก็เห็นว่าเธอเองก็กระตือรือร้นอย่างมาก และนั่นทำให้ผมใจเย็นลงด้วย

    "นั่นสินะ คิดมากไปก็เท่านั้น แล้ว งานพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างเหรอ" ผมถาม

    "อ๋อ ไม่มีอะไรมาก จะมีขบวนแห่เป็นรถรูปร่างต่างๆ พร้อมกับการแสดงนะ แต่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว!" เธอบอกพร้อมกับวิ่งไปที่หนังสือเล่มหนึ่งแล้วก็จับมันลอยขึ้นแล้วมาข้างหน้าผม "เนี่ยๆ ตามประวัติของเมืองนี้นะ ดูเหมือนเทศกาลนี้จะตั้งขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและขอบคุณพื้นดินที่ให้ม้าทำงานทั้งหลายสามารถปลูกพืชได้ ก็อย่างที่นายรู้ เมืองโพนี่วิลล์แรกๆ ก็ไม่ได้มีคนมาตั้งพื้นที่รกรากแล้วเพาะปลูกได้ทันทีหรอก แต่ก็ต้องขอบคุณตระกูลแอปเปิ้ลหละนะที่สามารถมาทำการเกษตรกรรมได้ บลาๆๆๆๆๆ"

    "เอ่อ งั้นฉันขอตัวก่อนนะ" ผมยิ้มแหะๆ ก่อนที่จะเดินถอยหลังแล้วออกไปนอกห้องสมุดทันที เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าเธอเริ่มร่ายยาวแบบนี้มาเมื่อไหร่ เป็นชั่วโมงแน่ๆ กว่าเธอจะพูดจบ และดูเหมือนเธอจะไม่ได้สังเกตด้วยว่าผมจะเดินออกไปเพราะเธอมัวแต่หลับตาพูดนั่นเอง

    แต่เมื่อผมเดินออกไปนอกห้องสมุด ผมก็มองเห็นเหล่าแก๊งคิวตี้มาร์คครูเซเดอร์กำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ และเมื่อผมหันไปมอง ก็พบกับลูกโพนี่สามตัวเดินตามหลังมาพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ เมื่อทั้งสามตัวเจอผม ก็หยุดวิ่งและมองดูผมทันที

    "นี่ใครกันเนี่ย" ลูกม้าทำงานสีนํ้าตาลตัวที่อยู่ข้างหน้าเอ่ยถาม เธอมีดวงตาสีเขียวและมีแผงคอสีแดง แต่หางสั้นมากพร้อมกับรอยกระบนใบหน้า นํ้าเสียงดูแข็งกระด้างเล็กน้อย ผมเลิกคิ้วเพราะเห็นว่าการถามแบบนี้ไม่ใช่มรรยาทที่ดีเท่าไหร่นัก

    "ฉันเป็นเพื่อนกับทไวไลท์ แล้วเราหละเป็นใคร" ผมถามกลับบ้าง

    "ม้าตัวนี้เป็นเพื่อนพี่แอปเปิ้ลบลูมไง" ม้าทำงานตัวข้างๆ ลำตัวสีชมพู ไว้แผงคอสีม่วงสลับขาวและสวมอะไรบางอย่างบนหัวบอก

    "อุ้ย เอ่อ ฉันชื่อเบ็บ ซี๊ด เป็นญาติของแอปเปิ้ลแจ็คนะ" เจ้าตัวรีบเปลี่ยนนํ้าเสียงและกิริยาท่าทางในทันที

    "อ๋อ ที่แอปเปิ้ลบลูมบอกเมื่อวานสินะ" ผมพยักหน้าเพราะจำได้ "แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ"

    ผมหันไปมองดูกลุ่มคิวตี้มาร์คครูเซเดอร์ที่วิ่งผ่านผมไป ดูเหมือนทั้งสามตัวกำลังแอบมองดูการสนทนาของผมกับเบ๊บ ซี๊ด อยู่

    "อ้อ แน่นอน เรากำลังเล่นวิ่งไล่จับอยู่ มันช่าง... สนุกมากเลย ใช่ไหม" เจ้าตัวยิ้มแหยๆ พร้อมกับหันไปถามลูกม้าสาวอีกสองตัวที่กำลังแอบหัวเราะอยู่

    "ใช่ สนุกมาก" ลูกม้าทำงานตัวสีชมพูยิ้มพร้อมกับมองตาขวางไปทางกลุ่มคิวตี้มาร์คครูเซเดอร์

    "งั้นเหรอ งั้นก็ขอให้สนุกนะ" ผมบอก ก่อนที่ลูกม้าทั้งสามตัวเดินผ่านผมไปโดยไม่พูดอะไรพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดูเกรียนๆ ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็เห็นกลุ่มคิวตี้มาร์คได้เริ่มวิ่งหนีสามตัวนี้ทันทีเมื่้อพวกนั้นเข้าไปใกล้

    คิดไปเองมั้ง ผมคิดในใจ เพราะแว้บนึง เหมือนผมรู้สึกว่าม้าสามตัวนี้ทำตัวเป็นนักเลงยังไงก็ไม่รู้

    "อู้ นายอยู่นี่เอง ฉันเจอประวัติศาสตร์ของการก่อตั้งเมืองโพนี่วิลด์เล่มสองด้วยหละ อยากให้ฉันเล่าให้ฟังต่อไหม" ทไวไลท์เปิดประตูออกมาแล้วก็ทักผม เมื่อผมมองเธอทางหางตา ก็พบว่าเธอยังยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับหนังสือเล่มใหม่ที่หนากว่าเดิมเกือบสองเท่า

    Oh on... ผมอุทานในใจออกมาเป็นภาษาอังกฤษทันที

     

    -------------------------------

     

    วันต่อมา ผมได้ออกมาไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ของผมที่กำลังยืนรอขบวนแห่อยู่ มีโพนี่จำนวนมากได้ออกมารอดูด้วยความสนุกสนาน ผมมองดูเส้นทางที่ขบวนแห่จะผ่านนั้น ดูเหมือนว่าขบวนแห่จะแล่นไปตามถนนในเมือง ก่อนที่จะเลี้ยวกลับก่อนถึงหน้าผา ตรงที่ยืนดูนั้นจะมีกองฟางมาวางกั้นเอาไว้เป็นรั้วไม่ให้คนร่วมงานเผลอเดินข้ามไปยืนขวางตรงถนน

    "เครปแครอทไหมจ้า... ร้อนๆ จ้า...." เสียงโพนี่ตัวนึงที่นำเครปแครอทมาขาย กลิ่นมันช่างหอมหวานชวนน่าซื้อจริงๆ ดูเหมือนว่าสไปค์ก็คิดแบบนั้นเพราะเจ้าตัวกำลังสูดดมกลิ่นที่ลอยมาจนหน้าตาเคลิ้ม แต่สักพัก พิงค์กี้พายกลับเอามือปัดกลิ่นนั้นแล้วสูดดมด้วยตัวเองจนสไปค์ยืนมองหน้าบึ้ง

    "พิงค์กี้ เดี๋ยวเธอก็ต้องไปขับรถขบวนแห่ด้วยไม่ใช่เหรอ" ฟลัทเทอร์ชายถาม

    "อู้ ใช่ เกือบลืม งั้นไปก่อนนะสาวๆ" พิงค์กี้พายบอกก่อนที่จะพุ่งตัวไปยังจุดสตาร์ทที่มีรถขบวนแห่หลากหลายคันกำลังจอดอยู่ทันที

    "ที่โลกของนายนี่มีเทศกาลแบบนี้บ้างไหม" ทไวไลท์ถามด้วยความสนใจ

    "มีนะ เป็นวันที่จะเริ่มทำเมื่อถึงฤดูเพาะปลูก เพื่อขอให้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้แข็งแรงนะ แต่ไม่ได้มีขบวนแห่อะไรแบบนี้หรอก" ผมบอก

    "ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องงานนี้เท่าไหร่ แต่ขอให้ขบวนแห่ออกมาแจ่มๆ และมีของอร่อยๆ ให้กินก็พอ" เรนโบว์แดชบอกพร้อมกับเครปแครอทที่อยู่ในมือ เหมือนเจ้าตัวจะบินไปซื้อมาเมื่อกี้

    ทไวไลท์จ้องมองดูเรนโบว์แดชด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปมองดูจุดสตาร์ทและยิ้มกว้าง

    "อู้ เริ่มแล้วหละ" เธอยกอุ้งเท้าชี้ไปทางนั้นแล้วบอกผม

    เสียงดนตรีขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับรถขบวสนแห่ที่เริ่มขับเคลื่อนมาทางถนน รถเหล่านี้มีความสูงแตกต่างกัน บางคันก็ดัดแปลงเป็นรูปผัก บางคันก็ดัดแปลงเป็นรูปผลไม้ จนราวกับมีผัก ผลไม้ขนาดยักษ์กำลังแล่นอยู่บนถนนเลยก็ว่าได้ รถพวกนี้ไม่มีท่อไอเสียทำให้ไม่มีควันเหม็น (ทไวไลท์บอกเมื่อวานตอนเล่าให้ฟังว่ารถขบวนแห่จะใช้เฟืองในการขับเคลื่อน) รถขบวนแห่บางคันก็มีโพนี่แต่งตัวชุดเลียนแบบผัก ผลไม้ต่างๆ แล้วออกมาเต้นตามจังหวะของเพลงประกอบที่ดังขึ้น ซึ่งผมมองดูแล้วแม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ทำให้ผมนึกถึงงานเทศกาลขบวนแห่งานหนึ่งของประเทศบราซิลเลยทีเดียว

    "ไงพวก งานสนุกไหม" แอปเปิ้ลแจ็คเดินเข้ามาทักทายพวกผมพร้อมกับมายืนข้างๆ ทไวไลท์

    "หายไปไหนมาเหรอ AJ มาเกือบไม่ทันแน่" แรร์ริตี้ทักขึ้น เธอสวมใส่แว่นกันแดดและหาหมวกมาปิดหัวทันทีราวกับไม่ต้องการโดนแดดเผา

    "ออกไปชื่มชมน้องสาวฉันมานะสิ ดูเหมือนน้องสาวฉันกับเพื่อนๆ จะทำรถขบวนแห่ที่เจ๋งมากๆ และให้หลานฉันขึ้นขับด้วย" โพนี่สาวสวมหมวกคาวบอยอธิบาย "นั่นไง คันนั้นแหละ"

    รถฟักทองสีทองขนาดใหญ่แล่นผ่านกลุ่มของผมไปอย่างช้าๆ สีทองของมันนั้นส่องประกายจนดูเด่นกว่ารถคันอื่นๆ และนั่้นเรียกเสียงฮือฮาของโพนี่หลายตัวที่กำลังยืนดูอยู่เป็นจำนวนมาก และผมก็มองเห็นโพนี่ตัวที่เจอเมื่อวานกำลังขับอยู่ข้างในพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปรอบๆ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

    "น้องสาวเธอทำเองเลยเหรอ" ผมถามด้วยความตกตะลึง เพราะรถมันใหญ่มากเกินกว่าที่ม้าตัวเดียวจะสามารถทำได้

    "เปล่า แต่เพื่อนๆ ของเธอช่วยกันทำนะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก "นั่นไง อยู่นั่นเอง"

    แอปเปิ้ลแจ็คมองไปทางจุดสตาร์ทที่ยังมีรถขบวนแห่คันต่างๆ ยังแล่นออกมาไม่หยุด แต่ว่ากลับมีแก๊งคิวตี้มาร์คครูเซเดอร์วิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

    "แอปเปิ้ลแจ็ค พี่ต้องช่วยเรา!" แอปเปิ้ลบลูม น้องสาวของแอปเปิ้ลบลูมรีบบอกอย่างรวดเร็ว แต่เสียงดนตรีจากขบวนพาเหรดดังมากจนแทบกลบเสียงของเธอเลยก็ว่าได้

    "อะไรนะ" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "ญาติฉันติดอยูใน..." พวกเธอพยายามอธิบายต่อ แต่เสียงจากขบวนพาเหรดที่ยังมีม้าโพนี่หลายตัวเล่นดนตรีอยู่นั้นกลับยังคงดังกลบเสียงของเธออยู่

    "โอ้ยยย ช่างมันเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว" เพกาซัสตัวน้อยที่ชื่อ สกูทาลูบอก ก่อนที่ทั้งสามตัวจะวิ่งไปตามถนนทันที

    "มีเรื่องอะไรกันละนั่น" ทไวไลท์ถามด้วยความสงสัย

    "งั้นฉันจะไปดูหน่อยละกัน" ผมบอกกับทุกตัว ก่อนที่จะวิ่งตามไปตามแถวหลังของม้าโพนี่ตัวอื่นๆ ที่กำลังมามุงดูขบวนแห่

    "ฉันไปด้วย" แอปเปิ้ลแจ็คบอก แล้วก็วิ่งตามหลังผมมา

    ผมออกแรงวิ่งไล่ตามม้าทั้งสามตัวไป แต่ดูเหมือนกลุ่มฝูงชนโพนี่ที่มามุงดูขบวนแห่นั้นจะมีจำนวนมากจนเบียดพื้นที่ทางเดินเต็มไปด้วย

    "ทางนี้" ผมบอกแอปเปิ้ลแจ็คแล้วก็วิ่งไปถนนอีกทางหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหลังแถวของม้าโพนี่ที่มาดูขบวนแห่ และเมื่อผมวิ่งไปแล้วก็เข้าซอยหนึ่งระหว่างบ้านสองหลังข้างหน้า ผมก็มองเห็นม้าทั้งสามตัวเพิ่งจะแทรกม้าโพนี่ตัวอื่นๆ ที่มามุงดูขบวนแห่อยู่

    "ขอโทษครับ ขอทางหน่อย" ผมเข้าไปแทรกใจกลางฝูงชนแล้วก็เบียดพวกเขาไปโดยไม่สนใจสายตาที่มองดูด้วยความไม่พอใจ แต่ดูเหมือนแอปเปิ้ลแจ็คจะแทรกตามผมมาไม่ได้เพราะโพนี่หลายตัวเริ่มเบียดเสียดกันมากขึ้นเพื่อรอดูรถขบวนแห่คันต่อไปนั่นเอง

    "โทษครับ อุ้ย นั่งหางคุณรึเปล่า โทษที โอ้ย! ขอทางหน่อย" ในที่สุดผมก็แทรกตัวออกมาอยู่ข้างหน้าได้ และก็มองเห็นม้าน้อยทั้งสามตัวกำลังวิ่งไปตามถนนไล่ตามรถขบวนแห่คันนึงอยู่ ผมจึงควบเข้าไปหาพวกเธอทันที และขาของทั้งสี่ข้างที่ยาวกว่าทำให้ผมวิ่งไล่ตามทัน

    "มีเรื่องอะไรกัน" ผมถามทั้งสามตัว

    "ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ญาติหนูติดอยู่ในนั้น" แอปเปิ้ลบลูมหันหน้าไปทางข้างหน้าบอกผม ซึ่งรถขบวนแห่รูปฟักทองอันใหญ่อยู่ข้างหน้า คันเดียวกันกับที่ผมมองเห็นญาติที่ชื่อเบ๊บ ซี๊ด ขับอยู่

    ผมมองไปรอบๆ เพื่อมองหาตัวช่วยให้ทั้งสามตัวนี้สามารถวิ่งไล่ตามรถฟักทองทัน และก็มองเห็นรถกระหลํ่าปลีคันใหญ่ที่พิงค์กี้พายกำลังขับอยู่ ผมจึงควบนำสามตัวนี้ไปใกล้รถของพิงค์กี้พายทันที

    "พิงค์กี้! เปิดประตูให้เด็กๆ พวกนี้เข้าไปหน่อย" ผมตะโกนบอกพิงค์กี้พาย เจ้าตัวหันออกมานอกหน้าต่างรถ

    "ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกดีนะ" เธอหัวเราะออกมา

    "ไม่! พี่พิงค์กี้ ให้พวกเราเข้าไปหน่อย" แอปเปิ้ลบลูมร้องออกมา ทั้งสามตัววิ่งไล่ผมทันมาแล้ว

    "อู้วววว" ม้าสีชมพูร้องออกมา ก่อนที่จะมาเปิดประตูและโยนบันไดเชือกออกมา

    "ขึ้นมาสิ" เธอบอก ม้าทั้งสามตัวพยายามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ช่วยดันอีกสองตัวที่วิ่งตามหลังให้ขึ้นไปให้ได้โดยการใช้หน้าตัวเองดันสะโพกพวกเขาให้ขึ้นไป

    "ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน" แอปเปิ้ลแจ็คที่เพิ่งจะวิ่งตามมาทันได้ถาม

    "ไม่รู้เหมือนกัน เห็นน้องเธอบอกว่าญาติติดอยู่ข้างในนะ" ผมหันหน้าไปตอบเธอก่อนที่จะหันหน้าไปข้างหน้าเพื่อเตรียมกระโดดขึ้นไปบ้าง แต่รถกระหลํ่้าปลีก็แล่นไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วจนผมกระโดดขึ้นไม่ทัน

    "สงสัยมีเรื่องจริงๆ" แอปเปิ้ลแจ็คบอก

    ผมพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไล่ตามไปเพื่อกะว่าจะตามให้ทัน ตอนนี้ผมมองเห็นรถกะหลํ่าปลีของพิงค์กี้พายแล่นเทียบข้างๆ รถฟักทองแล้ว แต่จากนั้นไม่นาน รถฟักทองกลับแล่นไปเบียดรถกระหลํ่าปลีของพิงค์กี้พายทันที

    เฮ้ย นั่นมันอะไรกันนะ ผมอุทานในใจด้วยความสงสัย

    โครม!

    รถฟักทองยักษ์เบียดเข้ากับรถกะหลํ่้าปลีของพิงค์กี้พายอีกครั้งจนแล่นออกนอกถนน แล้วจากนั้นก็ไปถล่มพังยับอยู่ข้างทาง ม้าทั้งสี่ตัวยังคงปลอดภัย ผมมองเห็นพิงค์กี้พายก้มลงแล้วกินกะหลํ่าปลีที่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของรถของเธอโดยไม่สนใจอะไร ม้าทั้่งสามตัวได้วิ่งไล่ตามรถฟักทองที่อยู่ใกล้ๆ พวกเธอต่อ

    ไอ้รถคันนั้นมันทำมาจากกะหลํ่าปลีของจริงเหรอฟะ ผมคิดด้วยความตกใจในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดต่อว่าทำได้ยังไง เพราะตอนนี้ผมกับแอปเปิ้ลแจ็คต้องไล่ตามทั้งสามตัวให้ทัน

    ในที่สุด ทั้งสามตัวก็สามารถกระโดดเข้าไปในรถฟักทองได้ แล้วผมก็มองเห็นญาติของแอปเปิ้ลแจ็ค เบ๊บ ซี๊ด ปลิวกระเด็นออกมาจากรถฟักทองตกลงพุ่มหญ้าข้างๆ ก่อนที่รถฟักทองคันนั้นจะพุ่งตกเหวที่อยู่ข้างหน้าไป

    "แย่ละ" ผมรีบเร่งฝีเท้าให้มากขึ้น แต่เมื่อผมไปถึงแล้ว ก็พบว่าม้าน้อยทั้งสามตัวปีนขึ้นมานั่งอยู่บนเนิน เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลนเต็มตัว

    "พวกเธอเป็นอะไรไหม" แอปเปิ้ลแจ็ครีบถาม ผมหยุดยิ่งและเดินช้าๆ พร้อมกับอาการเหนื่อยหอบทันที

    มาไม่ทันเหรอเนี่ย แล้วตกลงมันเรื่องอะไรกัน ผมคิด จากนั้นผมก็เห็นว่ามีโพนี่ตัวอื่นๆ มารุมล้อมดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    "พวกเธอช่วยฉันเอาไว้" เบ๊บ ซี๊ด ญาติของแอปเปิ้ลแจ็คเดินเข้าไปหาทั้งสามตัวใกล้ๆ ก่อนที่จะบอกด้วยใบหน้าที่ยังทึ่งอยู่

    "อันที่จริง... เราเป็นคนวางกับดักเอาไว้เองแหละ" แอปเปิ้ลบลูมบอก

    "หา ?" ผมกับแอปเปิ้ลแจ็คมองดูม้าทั้งสามตัวที่พยายามเอาโคลนออกจากตามตัวต่างๆ ออกด้วยความสงสัย

     

    --------------------------------

     

    แอปเปิ้ลแจ็คกับผมได้พาทั้งสามตัวไปยังที่ฟาร์มแอปเปิ้ล บ้านของแอปเปิ้ลแจ็คเพื่อไปล้างโคลนออก พอผมไปถามว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น แอปเปิ้ลบลูมก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ เบ๊บ ซี๊ดนั้น กลับร่วมกับกลุ่มเด็กเกเรที่ผมเห็นเมื่อวานเพราะไม่อยากถูกรังแกอีกครั้งเหมือนตอนที่เธอยู่ในเมืองเมนฮันตัน เพียงเพราะเธอยังไม่มีคิวตี้มาร์ค ตอนแรกๆ ที่แก๊งคิวตี้มาร์ค ครูเซเดอร์ไม่รู้ ก็ได้คิดหาทางเอาคืนโดยการจงใจให้เบ๊บ ซี๊ด ขึ้นไปบนรถขบวนแห่แล้ววางกับดักเพื่อให้เธอตกลงไปในโคลน แต่เมื่อทั้งสามตัวรู้ว่าเรื่องจริงๆ มันเป็นยังไง จึงได้พยายามช่วยเหลือเบ๊บออกมา จนในที่สุดทั้งสามตัวก็ตกลงไปในโคลนเสียเอง

    "เราขอโทษนะ" ม้าทั้งสามตัวหลังจากที่ล้างโคลนออกหมดแล้วได้กล่าวขอโทษกับญาติของแอปเปิ้ลแจ็คพร้อมกัน

    "ฉันเองก็ขอโทษด้วย" เบ๊บ ซี๊ด บอกด้วยสีหน้าที่รู้จักผิด "แล้ว ... การเริ่มต้นใหม่ของพวกเราจบลงรึยัง"

    "ไม่หรอก" แอปเปิ้ลบลูมบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ม้าทั้งสี่ตัวตบอุ้งเท้าด้วยกันซึ่งเหมือนว่าจะคืนดีกันแล้ว และตอนนั้นเองผมก็ได้ไอเดียใหม่ขึ้นมา

    "รู้อะไรไหม ฉันว่าเรื่องที่มีคิวตี้มาร์คหรือไม่มีเนี่ยมันไม่เกี่ยวเท่าไหร่นะ พวกเธอยังมีเวลาอีกเยอะที่จะค้นหาว่าตัวเองเป็นใครและถนัดอะไร พี่สิ ยังไม่รู้เลยว่าคิวตี้มาร์คของพี่มันทำอะไรได้" ผมบอกด้วยนํ้าเสียงท้อเล็กน้อย

    "ไม่รู้งั้นเหรอ แล้วพี่ชายได้คิวตี้มาร์คมาได้ยังไง" เบ๊บ ซี๊ดถาม

    "เอาเป็นว่า พี่ยังคงต้องค้นหาตัวเองอีกซักพัก ถึงจะรู้ว่าพี่เป็นใคร และทำอะไรได้ แต่พวกเธอรู้ไหม พวกเธอกับพี่เหมือนกันอย่าง" ผมบอก ทั้งสี่ตัว รวมไปถึงแอปเปิ้ลแจ็คต่างมองด้วยความสงสัย "เพราะพวกเธอเป็นเพื่อนกันเนี่ยแหละ พวกเธอจะสามารถค้นหาตัวตนของเธอร่วมกันได้ไม่ยาก พี่เองก็เช่นกัน เพื่อนๆ ของพี่ทุกตัวก็พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้ว และนี่แหละคือความหมายของมิตรภาพหละ"

    ผมยิ้มให้กับแอปเปิ้ลแจ็ค ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มตอบผมเช่นกัน

    "นี่ๆ รู้ไหม บางทีเราน่าจะให้พี่เขามาเป็นที่ปรึกษาของคิวตี้มาร์คครูเซเดอร์ด้วยนะ" สกูทาลูบอกด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น

    "ความคิดดีมากเลย" แอปเปิ้ลบลูมบอกด้วยแววตาเป็นประกาย

    "แต่.. พี่เขามีคิวตี้มาร์คแล้วนะ" สวิตตี้เบลบอก

    "ไม่เห็นเกี่ยวเลย เพราะพี่เขาก็ไม่รู้ว่าคิวตี้มาร์คของพี่เขาทำอะไรได้ ก็เหมือนพวกเราไงที่ยังไม่รู้ว่าคิวตี้มาร์คจะเป็นอะไร เนอะ" เพกาซัสตัวน้อยถามผมด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น

    "เอากันแบบนี้เลยเรอะ" ผมหรี่ตาถาม "เอ้า ก็ได้"

    "เย้!!" ม้าทั้งสามตัวร้องออกมาด้วยความดีใจ และดูเหมือนว่าเบ๊บ ซี๊ด เองก็หัวเราะออกมาด้วย ซึ่งเป็นใบหน้าที่แตกต่างจากที่ผมเห็นเมื่อวานซะจริงๆ มันเป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่เสแสร้งเมื่อที่เจอกัน

    บางที ถึงแม้ว่าเราอาจจะยังหาทางแก้คำสาปไม่ได้ แต่อย่างน้อย ในโลกนี้ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ และนั่นทำให้เรายังยิ้มอยู่ได้ก็ได้ ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ด้วยอารมณ์ในใจที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งอกมากขึ้นกับสิ่งที่ผมกังวลมานาน และผมก็คิดได้ต่อไปว่า ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่ม้าทุกตัวยังคงเป็นเพื่อนกับผมอยู่

     

    ----------------------------------------

     

    คืนวันนั้น ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ฝนได้ตกกระหนํ่าลงมาไม่ขาดสาย แต่ก็มีม้าโพนี่ตัวหนึ่งในชุดผ้าคลุมปกปิดใบหน้า บุกรุกเข้าไปในร้านขายอะไรบางอย่าง เหมือนเจ้าตัวกำลังมองหาสิ่งที่ต้องการอยู่ แต่ดูเหมือนม้าพ่อค้าจะรู้ทันและได้กล่าวต้อนรับลูกค้าแปลกหน้าตัวนั้นทันที

    "ให้ข้าช่วยอะไรไหม ท่านนักเดินทาง ดูเหมือนบางอย่างจากในร้านของผมที่ดึงดูดท่านมาที่นี่" โพนี่พ่อค้าตัวนั้นกล่าว "บางอย่างที่ทรงพลังยิ่ง"

    ม้าตัวนั้นชี้ไปทางของที่วางอยู่บนชั้นข้างบน ซึ่งเมื่อพ่อค้าเห็นก็ส่ายหัวทันที

    "ตาของท่านหลักแหลมมาก แต่ไม่ได้ๆ ของชิ้นนี้ผมขายไม่ได้ มันเป็นของตกแต่งที่ประดับในร้านข้าเท่านั้น และมันก็อันตรายเกินไป" ม้าโพนี่ตัวนั้นส่ายหัว

    แต่แล้ว โพนี่ที่ยังสวมชุดผ้าคลุมอยู่นั้นได้โยนอะไรบางอย่างไปบนโต๊ะ ซึ่งในถุงนั้นมีเหรียญเงินบิทจำนวนมาก ตาของพ่อค้าตัวนั้นมองดูด้วยความตื่นเต้น

    "จะให้ห่อของขวัญด้วยไหมครับ" พ่อค้าตัวนั้นยิ้มออกมาทันที แต่แล้วดูเหมือนฝ่ายซื้อจะไม่ต้องการของขวัญ เพราะฝ่ายซื้อใช้เวทมนต์ในการหยิบของชิ้นนั้นไปสวมใส่บนคอของเจ้าตัวเอง

    แสงจากโคมไฟส่องสะท้อนแสงกับสิ่งนั้นออกมา และสิ่งนั้นก็คือ สร้อยคออัลลิคอน นั่นเอง

    "คอยดูเถอะ ทไวไลท์ ฉันจะไปเอาคืน!" เสียงของม้าโพนี่ในชุดคลุมตัวนั้นหัวเราะหึๆ ออกมา

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×