ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #4 : Episode 4 : New Life

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 57



    หลังจากที่ผมได้เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของอาณาจักรคริสตัลแล้ว สไปค์ก็ได้นำข่าวร้ายมาแจ้งให้พวกเราทราบทันที

    'ควีนคริสซาลิสหนีไปได้งั้นเหรอ!' แอปเปิ้ลแจ็คถามด้วยความตกใจ

    'ดูเหมือนมันจะอาศัยช่วงที่ทหารเผลอ ปลอมตัวเป็นทหารแล้วหนีออกมานะ เพราะหลังจากที่โดนจับได้ครั้งแรก ไซนิ่งอาร์เมอร์ก็ปลดพลังเวทย์ทันทีด้วย' สไปค์รายงาน 'แต่องค์หญิงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะท่าทางควีนคริสซาลิสเองก็สูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย คงไม่กลับมาอาลาวาดเร็วๆ นี้แน่'

    'แต่เธอยังมีสร้อยอัลลิคอนอยู่เลยนะ เราจะไว้วางใจได้ยังไง' เรนโบว์แดชรีบบอกด้วยความรวดเร็ว

    'ฉันเห็นด้วยกับองค์หญิงนะ' ทไวไลท์เอ่ยตาม 'คิดว่าช่วงนี้เจ้าตัวคงไม่กลับมาเร็วๆ นี้แน่ หลังจากที่รู้พลังของพวกเราแล้ว'

    'ดูเหมือนฉันก็ไม่อยากเจอเจ้าตัวอีกเหมือนกันแหละ' ผมพูดเสริมหลังจากที่เดินออกมาจากห้องพยาบาล ซึ่งหมอพยาบาลโพนี่ที่มีลำตัวเรืองแสงได้เช็ดอาการปีกของผมแล้ว และก็เข้าเฝือกที่ปีกให้เรียบร้อยด้วยพลังเวทย์จากเขายูนิคอร์นของเขา

    'เป็นอย่างไรบ้างเหรอ' ฟรัทเทอร์ชายถามผม

    'ดูเหมือนฉันจะบินไม่ได้เป็นเดือนเลยหละ' ผมยักไหล่ตัวเองตอบ 'แต่ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเท่าไหร่'

    'เธอจะต้องดีขึ้นในอีกไม่ช้า ฉันรับรองได้' เจ้าหญิงเคเดนส์ซึ่งอยู่ด้วยได้ตรัสกับผม

    'ขอบพระทัย องค์หญิง' ผมก้มหัวกล่าวขอบคุณเธอ

    หลังจากนั้น พวกผมจึงได้พักอยู่ที่เมืองนี้อีกคืนหนึ่ง แล้วก็กลับไปยังโพนี่วิว ซึ่งตามที่ทไวไลท์บอก เธอคิดว่าเธอจะสามารถค้นหาวิธีการถอนคำสาปของผมจากในห้องสมุดที่เธออาศัยอยู่ได้ แต่จริงๆ คือ โพนี่ตัวอื่นๆ เองก็ต้องกลับไปทำงานหน้าที่ของตนเอง ผมจึงต้องติดตามพวกเธอไปด้วย ในช่วงระหว่างนั้นผมได้พูดคุยกับโพนี่ตัวอื่นๆ หลายอย่าง แต่ที่ผมจำได้แม่นก็คือเรื่องของธาตุแห่งความปรองดอง ผมสงสัยเกี่ยวกับพลังนั้นมากจริงๆ

    'ช่วงที่ฉันมาที่โพนี่วิวครั้งแรก ฉันได้รับคำสั่งจากองค์หญิงให้มาหาเพื่อนบ้าน เพราะฉันมัวแต่หมกมุ่นเรื่องการเรียนและวิธีหาทางป้องกันไนท์แมร์มูนอยู่เรื่อย แต่สุดท้ายฉันก็ได้รู้ว่า เพื่อนๆ ของฉันเนี่ยแหละคือตัวแทนของธาตุทั้งห้านะ' ทไวไลท์เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังขณะที่เดินทางโดยรถไฟกลับเมืองโพนี่วิว

    'เจ้าหญิงลูน่านะเหรอ เป็นไนท์แมร์มูนมาก่อน' ผมถามด้วยความสงสัย เพราะดูจากลักษณะของพระองค์แล้วไม่เหมือนเคยเป็นกษัตริย์ผู้ชั่วร้ายมาก่อนเลย

    'ใช่ แต่ธาตุแห่งความปรองดองได้เปลี่ยนให้พระองค์คืนสติกลับมาเป็นเจ้าหญิงที่พวกเรารักเหมือนเดิม' ยูนิคอร์นสาวเล่าต่อ

    'หมายความว่า ถ้าไม่ใช่พวกเธอ ก็จะไม่สามารถใช้พลังธาตุแห่งความปรองดองได้สินะ' ผมถาม

    'ถูกต้องแล้ว พ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน เพราะมิตรภาพของพวกเราเนี่ยแหละที่ทำให้มีพลังที่ยิ่งใหญ่ได้' แอปเปิ้ลแจ็คพูดเสริม

    'ถูกต้องที่สุด' เรนโบว์แดชหมุนตัวกลางอากาศตอบรับ

    ว่าตรงๆ เลยว่า มันช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับผมอย่างมากเกี่ยวกับโลกใบนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่แตกต่างจากโลกของผมอย่างเดียว แต่มันช่างน่าสนใจอย่างมาก ไม่แน่หรอกว่า ทันทีที่ผมกลับไปยังโลกของผมได้ ผมอาจเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเขียนเป็นนิยายเรื่องใหม่ก็ได้

    หลังจากเดินทางกลับไปโพนี่วิวแล้ว พิงค์กี้พายได้ติดต่อนายกเทศมนตรีแจ้งเรื่องที่ผมจะมาเป็นชาวเมืองคนใหม่ของเมืองนี้ (ชั่วคราว) และเธอก็หาบ้านให้ผมอยู่ได้ ซึ่งบ้านของผมนั้นจะอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของฟลัทเทอร์ชาย ถึงจะไม่ได้ใกล้มากนัก และนั่นทำให้ผมสามารถอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้ในฐานะของม้าโพนี่ ผมซึ่งทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากกล่าวคำว่าขอบคุณตลอด และนั่นทำให้ผมรู้สึกเกรงใจและซาบซึ้งพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ

    เช้าวันต่อมา ผมตื่นนอนขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะเสียงนกร้องทำหน้าที่ปลุกผม ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง อากาศยามเช้าของที่นี่มันช่างบริสุทธ์มาก ผมไม่สัมผัสถึงควันพิษใดๆ เหมือนในเมืองที่ผมอาศัยอยู่เลย มันราวกับว่าผมได้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลความเจริญมากๆ

    ผมมองไปรอบๆ ห้องนอนตนเอง ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กและมีเตียงอยู่เตียงเดียวเท่านั้น บนโต๊ะข้างๆ เตียงนั้นมีจานพร้อมใส่แอปเปิ้ลเอาไว้อยู่ ซึ่งเมื่อคืนแอปเปิ้ลแจ็คได้เอามาให้พร้อมกับกำชับว่าให้กินเป็นมื้อเช้า ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่จะยื่นปากเข้าไปกัดกินทันที ด้วยขนาดใบหน้าของม้าที่ใหญ่กว่าหน้าของคน ทำให้ผมสามารถเคี้ยวแอปเปิ้ลทั้งลูกพร้อมแกนได้โดยที่ไม่ต้องคายมันทิ้งเลย

    "อร่อยจริงๆ" ผมยอมรับ ไม่เคยกินแอปเปิ้ลแล้วรู้สึกอร่อยแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

    หลังจากที่ผมทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ผมได้ออกจากบ้านและเข้าไปในเมือง เพื่อต้องการที่จะไปหาทไวไลท์เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการถอนคำสาป โพนี่จำนวนมากได้จ้องมองผมซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง แต่อาจเป็นเพราะปีกของผมที่ยังเข้าเฝือกอาจจะเป็นจุดสนใจของม้าทุกตัวก็ได้

    ผมใช้เวลาไม่นานในการตามหาห้องสมุดของทไวไลท์ เพราะมีบ้านต้นไม้เพียงหลังเดียวในเมืองที่มีป้ายรูปสมุดปรากฎอยู่ตรงหน้า เมื่อผมยกกีบเท้าเพื่อเคาะประตูเรียก แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบ ผมจึงผลักประตูเข้าไปเบาๆ เพื่อดูว่าเธออยู่รึเปล่า

    "เอ่อ ทไวไลท์ นี่ฉันเองนะ อยู่ไหม..."

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้รับคำตอบ หนังสือกองหนึ่งแล่นกลางอากาศผ่านหน้าผมไปอย่างรวดเร็วจนผมแทบร้องเหวอด้วยความตกใจ แต่เมื่อดูดีๆ แล้ว ดูเหมือนหนังสือเหล่านี้จะลอยได้ด้วยพลังเวทย์ของทไวไลท์ ซึ่งตอนนี้เธอกำลังจ้องมองดูหน้าปกหนังสือที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศทีละเล่มๆ และเล่มไหนที่เธอดูแล้วก็จะเอาไปวางกองไว้เป็นชั้นๆ ข้างๆ ลำตัวของเธอ

    "ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ โถ่.... มันอยู่ไหนกันเนี่ย" เธอพูดกับตัวเองเมื่อเธอไล่หนังสือทีละเล่มไปเรื่อยๆ

    "เอ่อ ทไวไลท์" ผมเรียกชื่อเธออีกครั้ง

    "โอ้ เธอเองเหรอ" เธอหันหน้ามาทางผมแล้วก็ลุกขึ้นและวิ่งเหยาะๆ มาทางผมทันที "เข้ามาซิ โทษทีนะที่ไม่ได้มาเปิดประตูให้ด้วยตนเอง"

    "ไม่เป็นไรหรอก" ผมบอกพลางเดินเช็ดเท้าบนพรมก่อนที่จะเข้าไปข้างใน และเมื่อผมมองไปรอบๆ ก็พบว่าห้องสมุดของที่นี่มีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนวางเรียงรายอยู่บนชั้นที่ทำจากไม้ทั้งหมด มีรูปปั้นส่วนหัวของยูนิคอร์นสีทองประดับเอาไว้กลางห้อง และดูเหมือนชั้นหนังสือบางชั้นจะบางตาลงเพราะทไวไลท์หยิบออกมาดูนั่นเอง

    "ฉันกำลังมองหาวิธีการถอนคำสาปให้นายอยู่นะ" เธอบอกกับผม "แต่ดูเหมือนไม่คืบหน้าเลย ฉันไม่เจอหนังสือใดๆ ว่าเรื่องคำสาปเลยแม้แต่น้อย"

    "ก็ คิดว่าคงไม่น่าหาได้ง่ายๆ หรอกนะ" ผมมองไปรอบๆ อีกครั้ง เพราะเห็นว่าหนังสือมันเยอะมากจริงๆ

    "เจอซักเล่มไหมสไปค์" เธอเงยหน้าถามมังกรที่กำลังค้นหาหนังสืออยู่ชั้นบน

    "ฉันเจอแต่เล่มนี้ เหนือธรรมชาติ นะ" สไปค์ตอบพร้อมกับชูหนังสือเล่มสีเขียวให้ดู

    "สไปค์ นั่นมันหนังสือรักษาโรคต่างๆ ที่เกิดจากธรรมชาติด้วยวิธีธรรมชาติ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคำสาปเลยนะ" เธอส่ายหน้าบอก

    "งั้น ก็ยังไม่เจอหรอก" สไปค์บอกพลางไล่มองหาหนังสือจากปกต่อ

    "ยังไง ให้ฉันช่วยหาด้วยคนไหม" ผมถามเธอ

    "ได้สิ เราคงหาได้เร็วขึ้นแน่ เธอลองไปดูตรงชั้นนั้นละกันนะ" ทไวไลท์ชี้อุ้งเท้าไปอีกฝั่งหนึ่งของห้องสมุด

    ผมเดินไปตามทิศที่เธอว่า ก่อนที่จะลองมองดูชื่อปกหนังสือ แต่เมื่อผมมองเห็นตัวอักษรมันไม่ชัด จึงตัดสินใจที่จะหยิบมันออกมาดู แต่ผมก็เจอปัญหาหนึ่งจนได้ นั่นก็คือ ผมจะหยิบมันออกมายังไง ในเมื่อผมไม่มีนิ้ว

    "เอ่อ ทไวไลท์ ปกติม้าอย่างพวกเธอหยิบจับของกันยังไงเหรอ" ผมถาม

    "ใช้กลางกีบเท้าในการหยิบเอานะ" ทไวไลท์ตอบโดยที่เธอยังใช้พลังเวทย์ของเธอหยิบหนังสืออกมาโดยที่ไม่ใช้กีบเท้าของเธอเลย

    ชักอยากมีเวทมนต์บ้างแล้วสิ ผมคิดในใจ ก่อนที่จะพยายามใช้กลางกีบเท้าในการหยิบมันออกมา ซึ่งปรากฎว่าผมสามารถงอกีบเท้าเพื่อหยิบจับได้จริงๆ มันน่าแปลกใจมากเพราะไม่เคยคิดถึงวิธีนี้มาก่อน มันอารมณ์เหมือนผมมีแค่สองนิ้วแต่เป็นนิ้วที่มีขนาดใหญ่เท่านั้นเอง จึงทำให้เหมือนหนีบมากกว่า แต่ก็หนีบได้ไม่ยากเลย แต่เมื่อผมพลิกดูหน้าปกหนังสือแล้ว ผมเจอปัญหาที่แท้จริงจนได้

    "สงสัยฉันคงช่วยเธอไม่ได้แล้วหละ ทไวไลท์" ผมบอกกับเธอ

    "ทำไมเหรอ" เธอหันมาถาม

    "คือ .. ฉันอ่านภาษาของโลกนี้ไม่ออกนะ" ผมบอกตามความจริง

    "อุ้ย ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย" เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ ผม "ไม่เป็นไรหรอก ฉันรับรองว่าฉันจะต้องช่วยนายแน่ๆ นายก็แค่.. เอ่อ ... นั่งรอก็ได้"

    "ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณนะ" ผมเดินคอตกไปทางประตูทางออก "ฉันว่าฉันขอไปเดินเล่นข้างนอกสำรวจเมืองดีกว่า"

    "ได้เลย ขอให้สนุกนะ" เธอยกอุ้งเท้าพร้อมกับโบกไปมา

    ผมถอนหายใจเมื่อผมเดินออกมาจากห้องสมุด มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไร้ประโยชน์จริงๆ ในเมื่อรู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายกำลังหาทางช่วยผมอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกทั้งผิดและเซ็งเอาเรื่องเหมือนกัน

    "งั้น จะไปเดินเล่นที่ไหนดีเนี่ย" ผมมองไปรอบๆ เพื่อมองหาสถานที่ที่ผมน่าจะหาอะไรทำได้บ้าง

    พลั่ก! โครม!

    มีอะไรบางอย่างพุ่งชนเข้ากับผมอย่างจัง และตัวผมก็ไปกระแทกกับอะไรบางอย่างจนเสียงของถล่มพังลงอย่างราบคาบ แม้ว่ามันจะไม่เจ็บมากเมื่อเทียบกับเมื่อวานที่ผมโดนก็ตาม แต่มันก็เอาเรื่องเหมือนกัน และเมื่อผมลืมตามอง ก็พบว่ามีม้าตัวหนึ่งกำลังนอนทับผมอยู่ หางสายรุ้งของเธอสะบัดไปมารอบๆ หลังเธอ

    "อุ๊บ โทษทีนะพวก ท่าใหม่นะ แต่ไม่เวิร์คเท่าไหร่" เรนโบว์แดชทักผม "ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม ?"

    ผมมองไปรอบๆ ดูเหมือนว่ามีโพนี่บางตัวเริ่มมามุงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พบว่าเรนโบว์แดชยังคงคร่อมตัวผมอยู่

    "เอ่อ ก็โชคดีอะนะที่มันไม่โดนแผลนะ" ผมตอบ

    เรนโบว์แดชถอยหลังออกมาแล้วก็ยื่นอุ้งเท้ามาเพื่อฉุดตัวผมขึ้น ผมยื่นอุ้งเท้าขึ้นไปแล้วก็งออุ้งเท้าทั้งสองด้านตามที่ทไวไลท์สอนผมเมื่อซักครู่นี้เพื่อจับอุ้งเท้าของเรนโบว์แดช และเมื่อจับได้ เธอฉุดตัวผมขึ้นให้ยืนขึ้น และเมื่อผมมองดูข้างหลัง ก็พบว่าสิ่งที่ผมชนนั้นก็คือ รถเข็นขายแอปเปิ้ล และเจ้าของร้านที่สวมหมวกคาวบอยก็ยืนหน้าบึ้งอยู่

    "แฮะแฮะ ขอโทษเธอด้วยนะแอปเปิ้ลแจ็ค" เพกาซัสสีฟ้ายิ้ม

    ผมมองไปรอบๆ พบได้เลยว่าแอปเปิ้ลหลายลูกจากเดิมที่อยู่ในตะกร้าก็กระจัดกระจายตกลงพื้นเต็มไปหมด ถ้าเป็นโลกผมนี่ขายแทบไม่ออกเลยนะนั่น แต่แอปเปิ้ลแจ็คก้มลงคาบแอปเปิ้ลทีละลูกใส่ตระกร้าใหม่

    "ฉันนะไม่เท่าไหร่หรอกเรนโบว์ แต่ม้าตัวที่เธอชนเนี่ยกะทำให้เขาปีกบินไม่ได้ทั้งสองข้างเลยรึไง" เธอเอ่ยจิกกัด

    "ฉันรู้หน่า นายคงไม่ว่าฉันใช่ไหม" เรนโบว์แดชมองผมด้วยสีหน้าสำนึกผิด

    "ช่างมันเถอะฉันไม่เป็นไร" ผมถอนหายใจ เพราะเห็นเธอทำหน้าแบบนั้นผมก็โกรธไม่ลงจริงๆ "ช่วยแอปเปิ้ลแจ็คเก็บแอปเปิ้ลเถอะ"

    "โอเค" เธอพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปสมทบแล้วช่วยแอปเปิ้ลแจ็คก้มลงคาบเก็บแอปเปิ้ล ส่วนม้าโพนี่ตัวอื่นๆ ที่มามุงเมื่อกี้เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็กระจัดกระจายแยกย้ายทำธุระของตนตามปกติ

    ผมเข้าไปใกล้ๆ ตอนแรกๆ ว่าจะใช้กีบเท้าช่วยหยิบให้ แต่ไม่ทันความเร็วของม้าทั้งสองตัวที่ช่วยกันก้มลงแล้วใช้ปากงับแอปเปิ้ลเก็บเลย เพราะว่าไวมาก จนทำให้ผมได้แต่ยืนเฉยๆ

    "งั้น ฉันไปก่อนนะ ยังมีเมฆที่ต้องเคลียร์อีก" เรนโบว์แดชบอก

    "เคลียร์เมฆเหรอ" ผมยักคิ้วถามด้วยความสงสัย

    "ก็... อย่างที่รู้ เมฆมันสลายไปเองไม่ได้หรอกนะ ก็ต้องมีเพกาซัสอย่างฉันเนี่ยคอยทำหน้าที่เคลียร์เมฆให้เมืองนี้" เรนโบว์แดชหลับตาบอกพร้อมกับยกอุ้งเท้าขึ้นข้างหนึ่ง

    "ถ้าทั้งเมืองมีแต่เมฆลอยเต็มไปหมด ท้องฟ้าจะไม่แจ่มใสเท่าไหร่ด้วยนะ" แอปเปิ้ลแจ็คอธิบายเสริม

    "ยังไม่เก๊ดเท่าไหร่เลยบอกตรงๆ เพราะโลกฉันมันไม่มีใครที่ต้องไปเคลียรเมฆเลย" ผมบอก

    "ถ้างั้น ดูแล้วก็จำไว้นะ" เพกาซัสบอกก่อนที่จะกางปีก แล้วก็พุ่งตัวบินขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

    ผมแหงนหน้ามองดูเธอ ปรากฎว่าเจ้าตัวนั้นบินพุ่งไปเมฆก้อนหนึ่งที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่จะยกขาหลังถีบ แล้วเมฆนั้นก็สลายหายไปในทันที ผมอ้าปากค้างทันทีเพราะโดยปกติแล้ว เมฆมันไม่น่าที่จะไปสัมผัสหรือโดนมันได้ แต่นี่ผมก็เห็นต่อหน้าต่อตาผมเลยทีเดียว ผมมองดูเรนโบว์แดชพุ่งตัวไปตามทิศต่างๆ แล้วไล่ตบก้อนเมฆจนสลายหายไปเรื่อยๆ และในที่สุด บนท้องฟ้าที่ผมมองดูนั้นก็ไม่เหลือก้อนเมฆเลยซักก้อน แสงแดดจากพระอาทิตย์จึงได้สาดส่องมามากขึ้นและทำให้ทั่วบริเวณสว่างขึ้นในทันทีราวกับตอนนี้เป็นช่วงท้องฟ้าโปร่งเลยก็ว่าได้

    "นายน่าจะได้เห็นหน้าตัวเองนะ พ่อนํ้าตาลก้อน" แอปเปิ้ลแจ็คแซวผม

    เสียงของเธอทำให้ผมรู้ตัวว่าผมยังอ้าปากค้างอยู่ จึงรีบหุบปากลง

    "โทษที ฉันก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เหมือนกัน เมฆในโลกของฉันจับต้องยังไม่ได้เลย เพราะมันเกิดจากนํ้าที่ระเหยกลายเป็นไอแล้วไปเกาะกลุ่มเป็นเมฆนะ" ผมหันหลังไปบอกเธอ

    "อืม ฉันนึกไม่ออกหรอกนะว่านํ้ามันจะเป็นเมฆได้อย่างไร แต่ที่อีเควสเทียร์เนี่ย เมฆมาจากโรงงานทำอากาศที่อยู่ในเมืองคลาวเดลนะ" แอปเปิ้ลแจ็คบอกต่อ "แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาทำได้ยังไง มันเป็นงานของเพกาซัสนะ"

    "โลกเธอนี่มีอะไรให้ฉันประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ" ผมบอกตามความคิดตนเอง "แล้วนี่ เธอมาขายแอปเปิ้ลแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ"

    "ไม่หรอก แล้วแต่ว่าฉันเก็บแอปเปิ้ลได้มากแค่ไหน บางวันพี่ชายฉันจะเป็นคนมาขายเอง แต่พอดีวันนี้เวรฉันพอดี อย่างที่รู้ บ้านฉันทำฟาร์มแอปเปิ้ลนะ" แอปเปิ้ลแจ็คยิ้มเมื่อมีโพนี่ตัวหนึ่งเดินเข้ามาแล้วซื้อแอปเปิ้ลไปลูกนึงด้วยเงินเหรียญทองหนึ่งเหรียญก่อนที่จะคาบแอปเปิ้ลลูกนั้นแล้วเดินไป "ขอบคุณที่มาอุดหนุน" เธอร้องบอกกับลูกค้าตัวนั้น

    "ลำบากแย่เลย ให้ฉันช่วยไหม" ผมถามเธอ

    "ก็ อยากอยู่นะ แต่อีกเดี๋ยวฉันก็จะเลิกแล้วนะ แบบ ใกล้เวลางานแล้วนะ แฮะๆ" เธอมองไปทางอื่นพร้อมหัวเราะแห้งๆ ราวกับเธอไม่ต้องการจะสบตามองผมโดยตรง

    "งั้น แล้วแรร์ริตี้หละ บ้านเธออยู่ไหนเหรอ เผื่อฉันไปช่วยอะไรเธอได้บ้าง" ผมถามเธอ

    "เอ่อ แรร์ริตี้ วันนี้งานยุ่งก็จริง แต่เธอไม่ต้องการให้ม้าตัวไหนไปช่วยเธอหรอก ไม่ต้องห่วง" แอปเปิ้ลแจ็คพูดพร้อมกับยิ้ม แต่เธอก็ยังหลบตาผมอยู่ดี

    "งั้นเหรอ" ผมคอตก เพราะคงเดาได้ว่าผมยังไม่รู้เรื่องอะไรบนโลกนี้เท่าไหร่ เลยไม่อยากให้ช่วยอย่างนั้นสินะ ก่อนที่ผมจะหันหลังแล้วเดินจากไป

    "อย่าห่วงไปเลยพ่อนํ้าตาลก้อน ไปเดินเล่นหรืออะไรก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวเอ่อ ค่อยมาเจอกันตอนเย็นนี้" แอปเปิ้ลแจ็คตะโกนตามหลังมา แต่ผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองเธอหรืออะไรเลย เพราะยอมรับเลยว่าใจของผมเซ็งเอาเรื่องเหมือนกัน

    บางที พิงค์กี้พายคงอาจอยากให้เราช่วยอะไรบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากเดินผ่านใจกลางเมืองที่มีอาคารทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ผมมองเห็นร้านขายเค้กตามที่พิงค์กี้พายเคยเล่าให้ผมฟังตอนขากลับมาจากอาณาจักรคริสตัล

    แต่เมื่อผมเดินไปถึงประตูหน้า และทำท่าจะยกอุ้งเท้าเพื่อเคาะประตูนั้น กลับมีเสียงพิงค์กี้พายดังออกมาแทน

    "เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้ามา ยังไม่พร้อมให้เข้า ไปเดินเล่นที่ไหนก่อนก็ได้!" เธอตะโกนออกมาจากข้างใน ซึ่งทำให้ผมทำหน้าเหวอทันทีเพราะไม่รู้ว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม

    "คือเอ่อ พิงค์กี้ ฉันมาก็แค่อยากถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม" ผมถามเธอ

    "ไม่มี ไม่ต้องช่วยอะไรตอนนี้ ถ้าเธอมาช่วยมันก็ไม่มีความหมายซิ กลับมาใหม่นะ" เสียงของเธอบอกออกมาจากข้างใน

    และนั่นทำให้ผมรู้สึกเครียดหนักไปอีก เพราะมันราวกับเป็นการตอกยํ้าว่าผมมันไม่จำเป็นอะไรสำหรับพวกเธอเลย และนั่นทำให้ใจของผมเจ็บแปล็บขึ้นมาทันที

    "เหรอ งั้นก็ได้" ผมพยักหน้ากับประตู ก่อนที่จะหันหลังแล้วก็เดินจากไป

    เหมือนมีเสียงพิงค์กี้พายดังตามหลังผมมา แต่ผมไม่ได้สนใจฟังเสียงของเธอเลย ผมถอนหายใจเมื่อผมเดินเข้าไปยังซอยหนึ่งที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของผม

    ระหว่างทาง ผมมองดูบริเวณรอบๆ ผมเห็นโพนี่แต่ละตัวนั้นมีงานเป็นของตนเอง บางตัวนั้นก็กำลังขายโซฟาอยู่ บางตัวก็กำลังรดนํ้าต้นไม้เพื่อปลูกต้นอะไรบางอย่างโดยการใช้ปากงับบัวรดนํ้า และบางตัวก็กำลังใช้เขาของตนเองในการหยิบอะไรบางอย่างด้วยพลังเวทมนต์ที่เจ้าตัวมี ภาพเหล่านี้มันทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและราวกับเป็นคนนอก ผมเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าที่ตอนนี้ไม่มีเมฆเหลือซักก้อนแล้วก็ก้มลงมองดูปีกข้างที่ยังเข้าเฝือกอยู่ ถ้าผมพอบินได้ก็คงไปช่วยเรนโบว์แดชเคลียรเมฆได้ แต่พอบาดเจ็บแบบนี้แล้วมันกลับทำอะไรไม่ได้เลย

    ผมพาร่างกายตนเองกลับมายังบ้านของผมเอง ผมมองหาก้อนหินก้อนหนึ่งที่มีขนาดพอๆ กับม้านั่ง ผมจึงเดินเข้าไปแล้วก็นั่งพิงหินก้อนนั้น พลางมองดูวิวทิวทัศน์ที่มีฉากหลังเป็นป่า พระอาทิตย์เริ่มลอยลงเตรียมจะลาลับของฟ้า และนั่นทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว แต่ทั้งวันผมกลับไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากทำตัวไม่เป็นประโยชน์ซักอย่าง

    สายลมพัดเข้ามาโดยตัวผมจนแผงคอของผมปลิวไปตามลม ผมถอนหายใจอีกครั้ง ในโลกเดิมของผมนั้น ผมต้องนั่งทำงานทั้งวัน พอมันไม่ได้ทำอะไรแล้วผมจะรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข ถึงพวกเธอจะบอกให้ผมไปเดินเล่นหรืออะไรที่ไหนก็ได้ แต่ผมจะไปไหนได้ ผมยังไม่รู้จักที่นี่ สำคัญคือ ผมยังทำอะไรมากไม่ได้เลยด้วยซํ้า

    ผมยกอุ้งเท้าหน้าตนเองขึ้นมองดูทั้งสองข้าง นั่งมองดูเมื่อผมงออุ้งเท้าตนเองไปมา พยายามที่ทำเหมือนผมกำหมัดและแบมือออก แต่อุ้งเท้าของผมไม่ได้มีนิ้วที่ยาวเรียวเหมือนมือมนุษย์ ผมจึงไม่สามารถกำหมัดได้เลย ผมถอนหายใจอีกครั้งกับความไร้ประโยชน์ของตนเอง

    มันคงจะดีกว่ารึเปล่า ที่เราไม่ควรอยู่ในโลกนี้ หรือไม่ควรอยู่ที่นี่ด้วยซํ้า ผมเพ้อกับความคิดนั้นก่อนที่จะแหงนหน้าเพื่อมองดูก้อนเมฆบางก้อนที่เหมือนจะลอยมาจากที่อื่นอย่างใจลอยพร้อมกับฟังเสียงลมที่กระทบกับใบหญ้า

    เสียงกระพือปีกดังขึ้นหลังผมพร้อมกับเสียงอะไรบางอย่างเหยียบบนพื้นหญ้า ผมเดาว่าคงมีใครซักตัวมาใกล้ๆ แต่ผมกลับไม่มีอารมณ์หันกลับไปมองเลยว่าใครมา

    "โอ้ เธออยู่นี่เอง" เสียงหวานไพเราะดังขึ้น เมื่อผมหันไปมอง ก็พบฟลัทเทอร์ชายเดินมาข้างๆ ผม "ทุกคนกำลังรอเธออยู่เลยนะ"

    "รอเหรอ รอเพื่ออะไร" ผมถามด้วยนํ้าเสียงน้อยใจเล็กน้อย "ก็ทุกคนไม่ได้อยากให้ฉันช่วยอะไรเลยนี่นา"

    "หมายความว่ายังไง" ฟลัทเทอร์ชายมองผมด้วยสีหน้าชวนสงสัย

    "ฉันพยายามช่วยทไวไลท์หาหนังสือที่จะคลายคำสาปให้ฉัน แต่ฉันก็อ่านไม่ออก ฉันอยากช่วยเรนโบว์แดชเคลียรเมฆ แต่ฉันก็บินไม่ได้ ฉันอยากช่วยแอปเปิ้ลแจ็คขายแอปเปิ้ล แต่เจ้าตัวก็ไม่อยากให้ฉันช่วยอีก และพิงค์กี้พายที่ปฏิเสธไม่ให้เข้าร้านทำเค้กโดยที่ฉันยังไม่เปิดประตูด้วยซํ้า" ผมระบายความในใจออกมา "หรือว่าเพราะฉันไม่ใช่ม้า ฉันเลยไร้ประโยชน์"

    ผมหลับตาและก้มหน้าลงด้วยความน้อยใจ แต่ก็มีขนนกมาสัมผัสกับไหล่ของผม เมื่อผมลืมตาขึ้นมอง มันไม่ใช่ขนนก แต่เป็นขนปีกของฟลัทเทอร์ชายที่เธอใช้มันโอบไหล่ผมแทนอุ้งเท้าของเธอ

    "โถ่ อย่าคิดแบบนั้นสิ เธอไม่ได้ไร้ประโยชน์ซักหน่อย ทุกตัวรู้ดีว่าเธอเป็นยังไง" เธอปลอบผม

    "รู้ได้ยังไง" ผมพึมพำโดยที่ไม่หันมองดูใบหน้าของเธอ

    "ก็เพราะพวกเขากำลังเตรียมอะไรบางอย่างให้เธอยังไงหละ เลยถึงไม่อยากให้เธอไปช่วย" เธอตอบผม

    "ห๊ะ ?" ผมหันหน้าไปมองดูเธอ และผมก็เห็นใบหน้าของเธอที่ยิ้มกว้าง

    "ตามมาซิ พวกเขากำลังรอเธออยู่เลย" ฟลัทเทอร์ชายกางปีกแล้วก็ลอยตัวกลางอากาศ รอจนกระทั่งผมลุกขึ้นยืนแล้วก็บินนำทางผมไปด้วยความสูงที่สูงกว่าผมเล็กน้อย

    ฟลัทเทอร์ชายนำทางผมเข้าไปในเมือง และไปทางร้านชูก้าคิว คอเนอร์ หรือร้านขายเค้กที่พิงค์พี้พายอาศัยอยู่นั่นเอง บริเวณโดยรอบเริ่มมืดลงแล้ว บ้านบางหลังเริ่มจะมีไฟติดส่องสว่าง แต่ไม่ยักมีโคมไฟบอกทางเลยซักที่เพราะมันก็ไม่ได้ดูมืดมากนั่นเอง เมื่อฟลัทเทอร์ชายเคาะประตูแล้วเธอก็ถอยหลังออกมา

    "เข้าไปซิ" เธอบอกกับผม

    ผมมองดูเธอด้วยความสงสัย ก่อนที่ผมจะใช้อุ้งเท้าผลักประตูเพื่อเปิดเข้าไป

    "เซอร์ไพรส์!!"

    เหล่าโพนี่ทุกตัวที่อยู่ข้างในร้านขายเค้กนั้นยิ้มกว้างและพูดพร้อมกันเมื่อผมเปิดประตูเข้ามา ริบบิ้นจำนวนมากพุ่งเข้ามาใส่หน้าผมพร้อมกับกระดาษสีชิ้นเล็กๆ ปลิวไปทั่วห้อง ผมมองเห็นทุกตัวกำลังยิ้มให้ผมพร้อมกับมีหมวกปาร์ตี้ประดับอยู่บนหัว

    "นะ นี่มันอะไรกันเหรอ" ผมถามทุกตัวด้วยความสงสัยปนประหลาดใจจริงๆ

    "โทษทีนะพ่อหนุ่มที่ต้องปิดเป็นความลับ เราอยากให้นายเซอร์ไพรส์จริงๆ" แอปเปิ้ลแจ็คยิ้มกว้าง "เราเตรียมวางแผนในการจัดปาร์ตี้ต้อนรับนายอยู่นะ ฉันเลยต้องเลิกร้านเร็วกว่าปกติ"

    "แล้วที่ฉันบอกแอปเปิ้ลแจ็คว่าไม่ต้องการให้นายมาหา เพราะฉันกับพิงค์กี้กำลังเตรียมงานให้เธออยู่" แรร์ริตี้พูดเสริมพร้อมกับหยิบผ้าพันคอมาให้ผมโดยใช้เวทย์มนต์ของเธอ "นี่จ๊ะ ของขวัญ"

    ผมยื่นอุ้งเท้าไปรับผ้าพันคอสีเขียวมาจากเธอ รอยยิ้มเริ่มปรากฎบนใบหน้าผมเรื่อยๆ

    "เอ่อ ขอบคุณนะ" ผมกล่าวขอบคุณเธอ

    "แล้วที่ฉันยังไม่ให้เธอเข้ามา ก็เพราะถ้าเธอเข้ามา เธอก็จะรู้ว่าพวกเรากำลังจัดงานปาร์ตี้ต้อนรับเธออยู่ และถ้าเธอรู้ มันก็จะไม่เป็นปาร์ตี้เซอร์ไพรส์ แล้วถ้าไม่เซอร์ไพรส์ เธอก็จะไม่ประหลาดใจ และถ้าเธอไม่ประหลาดใจ เธอก็จะไม่สนุกแน่ๆ ฉะนั้น...." พิงค์กี้พายพูดเสียงรัวพร้อมกับยิ้มกว้างมาทางผม

    "เห็นไหม ฉันบอกแล้ว" ฟลัทเทอร์ชายเดินตามหลังเข้ามาพร้อมกับปิดประตู

    ผมมองไปหาม้าทุกตัวที่ยังคงส่งยิ้มให้ผมอยู่ ผมยิ้มกว้างเสียจนหยุดยิ้มไม่ได้ และพยายามกลั้นนํ้าตาที่มันเอ่อขึ้นมาไม่ให้ไหลลงมา

    "ทุกคน... ขอบคุณมากนะ ขอบคุณจริงๆ" ผมบอกกับทุกคน ซึ่งนั่นทำให้พิงค์กี้กายยิ้มกว้างกว่าเดิมเสียอีก

    "ขอบคุณทุกคนทำไม เธอต้องขอบคุณทไวไลท์ ขอบคุณแอปเปิ้ลแจ็ค ขอบคุณแรร์ริตี้ ขอบคุณฟลัทเทอร์ชาย ขอบคุณเรนโบว์แดชสิถึงจะถูก เอ๊ะ ครบรึยังเนี่ย.." พิงค์กี้พายพูดเสียงรัวพร้อมกับเคลื่อนที่เอาอุ้งเท้าชี้ไปทางเพื่อนของเธอทีละตัวด้วยความรวดเร็ว

    เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากในปากของผมทันที และนั่นทำให้โพนี่ตัวอื่นๆ หัวเราะขึ้นมาด้วยทันที

    "ช่างมันเถอะ ถ้างั้น เริ่มงานปาร์ตี้กันเล้ยยยยย!" พิงค์กี้พายพูดเสียงดังลั่นทั่วร้าน

    ทั้งงานนั้นมีอาหารมากมายให้กินเต็มไปหมด แน่นอนว่าไม่มีเนื้อให้เห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ส่วนใหญ่ขนมหวานจะเยอะมากกว่าเพื่อนโดยเฉพาะคัพเค้ก ซึ่งผมไม่ซีเรียสอะไรเลย ทุกอย่างอร่อยมากเสียจนผมลืมรสชาติของเนื้อไปเลย และนอกจากอาหารแล้ว ยังมีเสียงดนตรีสนุกๆ เปิดให้ฟัง และโพนี่บางตัวก็ออกมาเต้นกัน โดยเฉพาะทไวไลท์และเรนโบว์แดชที่ต่างคนต่างเต้นบนพื้นและบนอากาศ และทางด้านแอปเปิ้ลแจ็คกับแรร์ริตี้ก็เริ่มเล่นเกมติดหางม้าบนโปสเตอร์กัน ซึ่งดูเหมือนแรร์ริตี้ติดหางม้าพลาดไปติดตรงหน้าแทน และนั่นทำให้ทุกคนหัวเราะลั่นทันที เพราะมันเหมือนม้ามีเคราไปซะแล้ว

    "อ้อ เกือบลืมนะ" ทไวไลท์เดินเข้ามาหาผม ซึ่งผมเพิ่งจะดูดนํ้าพั้นผ่านหลอดเสร็จ "ฉันมีเรื่องอยากจะบอกหน่อย"

    "เกี่ยวกับเรื่องคำสาปรึเปล่า เธอหาหนังสือเจอแล้วเหรอ" ผมถามพร้อมกับยิ้มกว้าง

    "เปล่า" เธอส่ายหัว "ฉันยังหาไม่เจอเลย"

    "งั้นเหรอ" ผมหน้าเครียดลงทันที ใบหูของผมลู่ลงทันที

    "แต่.. ฉันค้นพบเวทย์ที่นายสามารถเขียนจดหมายเพื่อส่งไปหาน้องสาวนายที่โลกนั้นได้โดยที่นายไม่จำเป็นต้องเดินผ่านกระจกแล้ว" ทไวไลท์บอก

    "จริงเหรอ" ผมถามเธออย่างรวดเร็ว

    "ใช่ นายสามารถเขียนอะไรก็ได้เพื่อส่งไปหาน้องสาวนาย ฉันสอนให้สไปค์เรียนรู้การส่งจดหมายนั้นไปหาน้องสาวนายเป็นการเฉพาะแล้ว ไม่ต้องห่วง" ทไวไลท์บอก และหลังจากนั้น สไปค์ก็เดินมาข้างหน้าพร้อมกับม้วนกระดาษและปากกาขนนกในมือทันที

    "ต้องการจะเขียนอะไรบอกมาได้เลยนะ ฉันเขียนจดหมายถึงเจ้าหญิงเป็นประจำ ไม่ต้องห่วง" สไปค์บอกกับผม

    และครั้งนี้มันทำให้ผมนํ้าตาไหลออกมาจริงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเลยด้วยซํ้าในตอนนั้น ผมทำได้แค่ใช้อุ้งเท้าของผมเช็ดนํ้าตาบนใบหน้าของผม ก่อนที่จะยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว เพราะผมรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องสาวผมคงเป็นห่วงผมขนาดไหน

    "ขอบคุณทไวไลท์ ขอบคุณมากๆ แต่ถ้าสไปค์เขียนไปแล้วน้องสาวฉันจะอ่านออกเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ไม่ต้องห่วงหรอก พอผ่านไปโลกนั้นแล้ว มันจะแปลภาษาให้โดยอัตโนมัตินะ" ยูนิคอร์นสาวยืดอก

    "เฮ้ ทไวไลท์เป็นยูนิคอร์นที่ใช้เวทย์เก่งที่สุดนะ เชื่อใจหน่อยสิ" สไปค์บอกด้วยนํ้าเสียงหวงแหน

    "แน่นอน" ผมพยักหน้า "งั้นช่วยเขียนทีนะ...."

     

    ----------------------------------------

     

    (ในขณะเดียวกัน)

    บนโลกมนุษย์ ในห้องของน้องสาวผม น้องสาวผมกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ และกำลังดูรูปถ่ายของเธอกับพี่ชายของเธออยู่ พร้อมกับมองดูดวงตาบนท้องฟ้านอกหน้าต่างที่ยังคงระยิบระยับเต็มท้องฟ้าไปหมด แม้ว่ามันจะสวยงามแค่ไหน แต่ในใจของเธอกลับไม่ยินดีไปกับมันเลย

    "พี่จะเป็นอะไรไหมนะ" เธอพึมพำถึงคนในครอบครัวที่เธอรักมากที่สุด แม้ว่าหลายครั้งเธอจะไม่แสดงออกให้เห็นก็ตาม นํ้าตาของเธอไหลออกมาอีกครั้งเมื่อเธอนึกถึงเรื่องนี้

    ปุ้ง!

    เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นเบาๆ ข้างบนของเธอ และเมื่อเธอเงยหน้ามอง เธอก็พบม้วนกระดาษที่มีแสงสีเขียวล้อมรอบ และเมื่อม้วนกระดาษนั้นร่วงตกลงบนโต๊ะข้างหน้าเธอ แสงสีเขียวก็จางหายไปทันที

    เธอหยิบมันขึ้นมาเปิดดูด้วยความสงสัย ภาษาที่เขียนอยู่บนม้วนกระดาษนั้นตอนแรกๆ มันเป็นภาษาที่เธอไม่รู้จัก แต่ซักพักมันก็เปลี่ยนไปเป็นภาษาที่เธออ่านออกทันที และนั่นทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่ามันต้องเป็นม้วนกระดาษเวทมนต์แน่ๆ

    "อะไรเนี่ย..." เธอพึมพำด้วยความสงสัย ก่อนที่จะเริ่มต้นอ่าน

     

    สวัสดีน้องรัก นี่พี่เองนะ

    ทไวไลท์ค้นพบวิธีที่พี่จะสามารถเล่าเรื่องราวของพี่ที่อยู่ในโลกนั้นได้ จึงทำให้พี่สามารถส่งจดหมายมาหาเธอได้ด้วยวิธีนี้

    ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ พี่สบายดี โพนี่ที่นี่ทุกตัวเป็นเพื่อนที่ดีมาก ทุกคนอยู่เคียงข้างพี่เสมอ และทไวไลท์เองก็ยังพยายามที่จะหาทางถอนคำสาปให้พี่ พี่อยู่ที่นี่คำสาปจะไม่ทำงานทันที พี่จึงไม่เป็นอะไร สบายใจได้

    ตอนนี้พี่อาศัยอยู่ในเมืองที่ชื่อโพนี่วิลด์ และเพื่อนพี่ทุกตัวก็อยู่ที่นี่หมด และวันนี้เองเขาก็ได้จัดงานปาร์ตี้ต้อนรับพี่ด้วย พี่อยากให้เธอมาด้วยจริงๆ เพราะพี่ไม่เคยเป็นปาร์ตี้ที่สนุกแบบนี้มาก่อนในชีวิตเลย แม้ว่าจะเป็นปาร์ตี้เล็กๆ ก็ตาม

    พี่จะส่งจดหมายหาเธอทุกวัน เพื่อให้เรามั่นใจว่าพี่ไม่เป็นอะไร ถึงพี่จะไปหาเราไม่ได้ แต่พี่ก็จะส่งเรื่องราวให้เรารู้ทุกวันอย่างแน่นอน

    พี่รักเรานะ น้องสาวพี่

     

    เธอก้มลงอ่านเนื้อหาในจดหมาย และเมื่อเธออ่านเสร็จ เธอก็พบว่ามีอะไรบางอย่างแนบมาด้วย เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาดู ก็พบว่ามันเป็นรูปถ่ายใบหนึ่ง และในรูปนั้นก็มีภาพของผมกำลังยิ้มกว้างพร้อมกับโพนี่อีกหกตัวที่กำลังส่งยิ้มให้ด้วยกัน เพียงแต่ว่าตัวสีชมพูนั้นจะถ่ายในท่านอนเหมือนพุ่งตัวเข้ามาในนาทีสุดท้ายตอนที่กล้องถ่ายพอดี

    นํ้าตาของเธอไหลอาบแก้มทันที แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นไม่หุบลงเลย

    "ค่อยยังชั่ว พี่ยังไม่เป็นอะไร" เธอกอดรูปนั้นเอาไว้ในอ้อมอกของเธอ ราวกับว่าเธอสามารถสัมผัสไออุ่นจากรูปภาพนั้นได้

    เธอเงยหน้ามองดูบนท้องฟ้ายามคํ่าคืนอีกครั้ง ดวงดาวยังคงระยิบระยับส่องประกายเต็มฟากฟ้า และนั่นมันทำให้เธอคิดได้ว่า มันช่างดูสวยงามจริงๆ

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×