ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode 2 : Attack of Queen Chrysalis (Part 2)

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 57




    เสียงพูดคุยจำนวนมากดังขึ้นรอบตัวผม ผมเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นเมื่อทั้งร่างของผมสัมผัสได้กับสิ่งที่นุ่มนิ่มเหมือนกับเตียงนอน ความเจ็บปวดที่ยังคงติดมาบ้างก็เริ่มบรรเทาลงราวกับมีคนมารักษาพยาบาลเอาไว้ให้ ความรู้สึกงังเงียเหมือนนอนหลับเป็นตายมาหลายวันทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น

    'คิดว่าเขาเป็นไงบ้าง' เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทางขวาของผม

    'ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วนะ' เสียงผู้หญิงอีกคนที่ดังขึ้นทางขวาเช่นกัน แต่ครั้งนี้สำเนียงออกแนวห้าวๆ นิดๆ

    'เขาเริ่มรู้ตัวแล้วหละ' เสียงผู้หญิงที่คุ้นๆ ดังขึ้นทางซ้าย

    'อู้! อู้! ไหน! ไหน!' และเสียงของอีกคนที่ราวกับเสียงเด็กดังขึ้น

    ผมลืมตาขึ้นเพื่อมองดูว่าผมอยู่ที่ไหน

    ดูเหมือนผมกำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีผ้าห่มสีเขียวแก่คลุมตัวผมเอาไว้ แต่ตาของผมแทบตื่นทันทีเมื่อมองเห็นว่าเสียงสนทนาที่ดังอยู่รอบๆ ตัวผมเมื่อสักครู่นี้เป็นใคร

    ม้าสาวทั้งหมดหกตัวกำลังยืนจ้องอยู่ล้อมรับเตียง แต่ละตัวนั้นมีดวงตากลมโตที่น่าจะใหญ่เกือบเท่ากับใบหน้าของมนุษย์ แต่ละตัวนั้นมีสีที่แตกต่างกัน มีอยู่สองตัวที่มีเขาอยู่บนหน้าผาก และอีกตัวที่กำลังกระพือปีกบินพร้อมกับกอดอก (โดยใช้ขาหน้าทั้งสองข้าง) และมองมาทางผมอยู่ ลมหายใจของผมรุนแรงมากขึ้นเมื่อได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจเป็นครั้งที่สามแล้ว

    "ไม่ใช่ความฝันรึไงเนี่ย" ผมพึมพำออกมา

    "ความฝันเหรอ ? ไม่หรอก ถ้าเธอตื่นอยู่ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ รึว่าพวกเรากำลังฝันอยู่!" ม้าสาวผมหยิกสีชมพูมองซ้ายมองขวาพร้อมกับพูดรัวๆ "นี่ๆ ปลุกฉันทีสิ ปลุกฉันที ฉันอยากตื่นแล้ว ฉันอยากตื่นแล้ว!"

    เธอพุ่งตัวไปหาม้าตัวสีสมที่สวมหมวกคาวบอยอยู่ข้างๆ ม้าคาวบอยถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเอากีบเท้าของเธอตบหน้าม้าสาวสีชมพูเบาๆ

    "โอ้ ขอบใจนะแอปเปิ้ลแจ็ค มันทำให้ฉันรู้แล้วว่าฉันตื่นอยู่ ฮี่" เจ้าตัวพูดด้วยนํ้าเสียงกระตือรือร้นพร้อมกับกระโดดไปมา แถมเสียงกระโดดของเธอก็เหมือนติดสปริงเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก

    อะไรของเค้าเนี่ย ผมคิดในใจด้วยความสงสัย

    "เป็นอย่างไรบ้าง เธอหมดสติไปวันหนึ่งเลยนะ" เสียงบุคคลที่สามดังขึ้น เมื่อผมหันไปมองทางซ้าย ก็พบม้ายูนิคอร์นสีม่วงทักขึ้น ซึ่งผมจำได้ว่าเธอเป็นคนเดินเข้ามาทักผมเป็นตัวที่สอง

    "ก็ดีขึ้นอะนะ แต่ที่ฉันสงสัยอย่างแรกเลย... พวกเธอเป็นตัวอะไรกันแน่" ผมทักขึ้นพร้อมกับทำท่ายกมือขึ้นเพื่อชี้มองไปพวกเขา แต่ก็เริ่มเอ๊ะใจเหมือนกัน ราวกับว่าผมไม่มีนิ้วอีกต่อไป

    "เป็นอะไร ? ก็เป็นเหมือนกับเธอไม่ใช่เหรอ" เธอถามผมกลับมา

    เหมือนกัน... ผมคิดในใจ ก่อนที่ผมจะก้มลงมองดูมือของตนเอง แล้วก็ต้องพบว่า นิ้วมือของตนเองนั้นหายไปแล้ว แต่กลับเป็นกีบเท้าสีนํ้าตาลเหมือนกันกับของตัวอื่นๆ แทน

    ผมรีบเลิกผ้าห่มออกทันที

    ร่างกายแบบมนุษย์ของผมหายไปแล้ว แต่กลับมีลำตัวแบบม้าสีนํ้าตาลอ่อนแทน นิ้วมือและนิ้วเท้าของผมหายไปหมดแล้ว และมีกีบเท้าปรากฎขึ้นมาแทน แถมยังมีหางที่งอกออกมาจากหลังผมพวงยาวสีดำสลับขาวอีกต่างหาก แต่สำคัญที่ผมแทบจะสติแตกก็คือ

    "แว๊กกกกกกกก!! ทำไมฉันโป๊แบบนี้ฟร้าาาาาา!!"

    ผมร้องออกมาเสียงดังลั่น ก่อนที่จะรีบพยายามดึงเอาผ้าห่มมาปกปิดร่างกายตัวเองเอาไว้ก่อน แต่ด้วยการที่ผมไม่มีนิ้วอีกต่อไป เลยทำให้ไม่สามารถหยิบจับผ้าห่มออกมาได้ ผมเลยก็คือ พยายามงอกีบเท้าของตนเองเพื่อที่จะจับผ้าห่มมาคลุมตัวเองแทน และรีบมองไปรอบๆ ด้วยหน้าที่แดงไปทั้งหน้าด้วยความอับอาย แต่แปลกที่ผมกลับเห็นปฏิกิริยาชวนสงสัย

    "ฮี่ๆ เธอนี่ตลกดีนะ" ม้าสาวสีชมพูหัวเราะใส่ผม

    "ตลกเหรอ! นี่มันไม่ขำเลยนะ ทำไมฉันต้องมาโป๊ต่อหน้าพวกเธอ... ด้วย..."

    ผมเริ่มสงบสติอารมณ์เมื่อมองเห็นว่า ม้าตัวอื่นๆ ที่ยืนต่อหน้าผมเองก็ไม่ได้ใส่อะไรเอาไว้เหมือนกัน และถ้ามองดูดีๆ มันก็ไม่ได้ออกมาดูโป๊เลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ผมเริ่้มทั้งเครียดและอายไปพร้อมกัน

    "โป๊งั้นเหรอ ? มันหมายถึงอะไรงั้นเหรอ" ม้าตัวที่กำลังกระพือปีกอยู่บนอากาศถามพร้อมกับทำท่ายักไหล่

    "ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันไม่สบายใจที่ฉันไม่ได้ใส่อะไรไว้นะ" ผมบอกด้วยนํ้าเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ

    "ดูเหมือนเธอต้องการที่จะอยากได้ชุดฉันไปใส่นะที่รัก ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเอามาให้ ฉันมั่นใจว่าฉันจะมีชุดเท่ๆ เหมาะกับเธออยู่ เดี๋ยวมานะจ๊ะ" ม้าสาวสีขาวและมีแผงคอสีม่วงเอ่ยก่อนที่จะหมุนตัวดันประตูออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว

    "ฉันว่าเธอดูไม่เหมือนม้าตัวอื่นเลยนะ และฉันก็ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนในโพนี่วิลด์ด้วย" ม้าสาวตัวสีม่วงเลิกคิ้ว "เธอเป็นใครกันแน่เนี่ย"

    ผมก้มมองดูร่างกายตัวเองที่เปลี่ยนไปใต้ผ้าห่มด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเล็กน้อย จนผมสังเกตว่าตัวเองมีปีกงอกออกมาด้วย และเมื่อหันไปมองดูก็พบว่าตัวเองมีปีกจริงๆ จนรู้สึกได้ว่าผมสามรถบังคับปีกที่อยู่ตรงหลังได้ ผมถอนหายใจก่อนที่จะหลับตา พยายามยอมรับสภาพความจริง

    "พวกเธอจะเชื่อไหม ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ม้า แต่ฉันเป็นมนุษย์นะ" ผมบอกกับม้าอีกห้าตัวที่กำลังจ้องมองผมอยู่

    "มนุษย์ ? ฉันไม่เคยเห็นสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่ามนุษย์มาก่อนเลยนะ" ม้าสาวลำตัวสีเหลืองแผงคอสีชมพูถามด้วยนํ้าเสียงสุภาพ

    "มันมีหน้าตาแบบเดียวกับปลารึเปล่า" ม้าสาวสีชมพูรีบถามอย่างรวดเร็ว

    "ไม่ใช่ เอ่อ..."

    "อู้ อู้ หรือหน้าตาแบบเดียวกับ กระต่ายใช่ไหม ?" เธอกระโดดพร้อมถามเสียงรัว

    "ไม่ได้ใกล้เคียงเลย"

    "หรือ ให้เดานะ แบบ หน้าตา คล้ายกับกัมมี่ของฉันไหม" เธอยิ้มกว้างจนมองเห็นฟันขาว

    แล้วไอ้กัมมี่นี่มันตัวอะไรฟะ ผมคิด

    "พิงกี้ เงียบก่อน" ม้าสาวลำตัวสีม่วงยกกีบเท้าของเธอเพื่อปราบ ก่อนที่เธอจะหันมาทางผมด้วยสีหน้าที่ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่"

    "แล้ว ถ้าสมมุติว่าฉันเชื่อว่าเธอเป็นมนุษย์ แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้" เธอถามพร้อมกับเลิกคิ้ว นํ้าเสียงที่ราวกับต้องการสอบสวนผมเต็มที่

    ผมจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น โดยได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับมนุษย์ให้ฟังคร่าวๆ จนกระทั่งผมโดนสิ่งมีชีวิตประหลาดมาโจมตีเมืองที่มีรูปร่างคล้ายม้า ก่อนที่เขาจะมาที่นี่โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งหลังจากที่เล่าจบ ม้าทั้งห้าตัวมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที

    "เดี๋ยวก่อนนะ นี่นายกำลังจะบอกว่า ควีนคลิสซาลิส ไปโจมตีที่โลกของนายอย่างงั้นเหรอ" ม้าสาวสีม่วงถามด้วยนํ้าเสียงตื่นตกใจ

    "ยัยนั่นชื่อว่า ควีนคลิป... อะไรนั่นนะเหรอ" ผมทวนถาม "เดี๋ยวก่อนนะ พวกเธอรู้จักมันด้วยเหรอ"

    "ทำไมจะไม่รู้จักหละ เมื่อสามอาทิตย์ก่อน มันมาบุกโจมตีที่ Canterlot แถมมาขัดขวางงานแต่งงานพี่ชายฉันด้วย" ม้าสาวสีม่วงรีบบอกด้วยนํ้าเสียงไม่พอใจเท่าไหร่นัก

    "ดีนะ ที่มีม้าอย่างฉันอยู่ สถานการณ์เลยคลี่คลายไปได้" ม้ามีปีกสีฟ้าโบกขาหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ภูมิใจ

    "เอ่อ แต่ฉันว่า เรารอดมาได้เพราะพี่ชายของทไวไลท์กับเจ้าหญิงเคเดนส์ใช้พลังเวทย์จัดการไปมากกว่านะ" ม้าสาวลำตัวสีส้มที่สวมหมวกคาวบอยเอ่ยด้วยนํ้าเสียงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก

    "อุ๊บ โทษที" ม้าที่กำลังบินอยู่ยิ้มแหะๆ ออกมา

    "แล้วมันเป็นใคร ทำไมต้องมาโจมตีเมืองของฉันด้วย และสำคัญเลย" ผมยกขาหน้าขึ้นทั้งสองข้าง เหมือนกับที่ผมยกมือตัวเอง "มันทำอะไรกับร่างกายฉันเนี่ย"

    "ฉันไม่รู้" ม้าสาวสีม่วงส่ายหน้า "ฉันเคยได้ยินจากเจ้าหญิงมา ว่านอกจากโลกของเราแล้วยังมีโลกอื่นๆ เหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมควีนคลิสซาลิสถึงไปโลกของนาย แล้วไปได้อย่างไรด้วย แต่ถ้าเป็นความจริง เราต้องรีบทูลเจ้าหญิงเดี๋ยวนี้เลย!"

    เสียงประตูเปิดออก ม้าสาวลำตัวสีขาวและมีแผงคอสีม่วงเดินเข้ามาในห้อง เขาของเธอที่อยู่บนหน้าผากนั้นมีแสงสีม่วงอ่อนๆ ปรากฎออกมาพร้อมกับชุดเสื้อผ้าสีชาวที่หน้าตาคล้ายๆ ชุดสูท ลอยอยู่ข้างๆ เธอ และดูเหมือนว่าชุดเสื้อผ้าชุดนั้นก็มีแสงสีม่วงอยู่เช่นกัน เธอเข้ามาพร้อมกับมังกรตัวเล็กสีม่วงที่ทำท่าราวกับเป็นผู้รับใช้ม้าสาวตัวนั้นอย่างไรอย่างนั้น

    "ฉันว่าฉันเจอชุดที่เหมาะสมกับเธอแล้วนะ และฉันว่ามันต้องดูดีมากแน่ๆ" เธอบอกกับผม พร้อมๆ กับเสื้อที่จู่ๆ ลอยกลางอากาศแล้วก็วางลงบนลำตัวของผมอย่างนุ่มนวล ผมอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ แต่พยายามเก็บอารมณ์เอาไว้

    "ทำไมเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่คิดเงินหรอก ไม่ค่อยมีม้าหนุ่มมาจ้างให้ฉันตัดชุดเท่าไหร่ ฉันให้ฟรีเลยจ้า" เธอบอกกับผม

    "เปล่า คือ เธอทำได้ยังไง ให้เสื้อลอยกลางอากาศมาได้นะ" ผมยกกีบเท้าตนเองแล้วชี้ไปทางเธอ

    "โถ่ ขอร้อง ทำยังกับเธอไม่รู้เรื่องเวทมนต์อย่างนั้นแหละ" เธอหัวเราะคิกคัก แต่เมื่อม้าสาวอีกห้าตัวที่ได้ฟังเรื่องราวของผมแล้ว มองไปทางเธอด้วยสายตาเดียว ทำให้เธอหยุดหัวเราะทันที

    "หรือว่า... จะไม่รู้จริงๆ" เธอถามด้วยนํ้าเสียงค่อยลงเล็กน้อย

    "สไปค์ มีอะไรเหรอ ฉันว่าฉันให้เธอเฝ้าห้องสมุดไม่ใช่เหรอ" ม้าสาวสีม่วงหันไปทางมังกรที่น่าจะชื่อว่า 'สไปค์'

    "ก็ องค์หญิงส่งจดหมายมาหาเธอนะสิ" มังกรที่น่าจะชื่อว่า สไปค์ หยิบม้วนจดหมายสีเหลืองอ่อนขึ้นมาชูเหนือหัว

    ทันใดนั้น ตรงบริเวณม้วนจดหมายนั้นก็มีแสงสีแดงอ่อนปรากฎขึ้น แล้วเมื่อมังกรที่ชื่อ สไปค์ ปล่อยมือออก ม้วนจดหมายก็ลอยกลางอาาศไปทางม้าสาวสีม่วง ซึ่งผมก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่า เขาของเธอก็มีแสงสีแดงปรากฎขึ้นมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าม้าแต่ละตัวนั้นจะมีแสงเวทมนต์ไม่เหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังทำตัวให้ชินไม่ได้ เพราะเรื่องแบบนี้มันเกินขอบเขตสามัญสำนึกที่ผมควรจะเจอในโลกแห่งความเป็นจริง

    "พวกเรา..." ม้าสาวสีม่วงบอกด้วยนํ้าเสียงที่เข้มขึ้น "องค์หญิงแจ้งว่าให้พวกเราไปพบท่านที่อาณาจักรคริสตัลเดี๋ยวนี้เลย และเป็นเรื่องของควีนคลิสซาลิสด้วย"

    ม้าทั้งห้าตัวและมังกรอีกหนึ่งส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจ

    "ฉันว่าองค์หญิงทรงต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับนายแน่ๆ" ม้าสาวคาวบอยหันมาทางผม

    "งั้นเราก็ต้องรีบไป นายยังไหวอยู่ใช่ไหม" ยูนิคอร์นสาวลำตัวสีม่วงถามด้วยความเป็นห่วง

    "ก็ คิดว่านะ..."

    ผมตอบไปอย่างนั้น บอกตรงๆ เลยว่าผมยังไม่รู้เลยว่าผมจะเดินไหวไหม แต่พอลองเลิกผ้าห่มแล้วก็ลองลุกขึ้นนั่งดู ก็ปรากฎว่าอาการบาดเจ็บแทบตายเมื่อว่านี้ก็บรรเทาลงไปได้เยอะมาก ราวกับว่าผมบาดเจ็บในระดับเดินสะดุดล้มเท่านั้น ผมจึงก้าวขาลงจากเตียงเพื่อที่จะยืนบนพื้น

    พลั่ก!

    "โอ้ย!" ผมร้องเสียงหลงเมื่อหน้าผมทิ่มลงบนพื้น เมื่อสักครู่นี้ผมยืนด้วยสองขาหลัง แต่ปรากฎว่าผมทรงตัวไม่ได้จนทิ่มหน้าลงบนพื้นซะอย่างนั้น จึงใช้ขาหน้าตัวเองพยุงตัวให้ยืนขึ้น และเท้าขาหน้าตรงเตียงเพื่อหวังที่จะยืนด้วยขาหลังทั้งสองข้างแทน

    "เอ่อ ฉันว่านายลองยืนแบบพวกเราดีกว่ามั้ย ถึงพวกเราจะยืนสองขาได้ แต่ก็ไม่ได้ยืนได้นานๆ หรอกนะ" ม้าคาวบอยสาวถาม

    "โทษทีนะ พอดีว่า มนุษย์อย่างฉันเดินด้วยสองขานะ" ผมพึมพำ ก่อนที่จะใช้ขาหน้ายืนบนพื้น ซึ่งผมไม่กล้าวางลงพื้นแต่แรกเพราะคิดว่าพื้นมันคงสกปรก แต่ก็แปลกที่ผมไม่รู้สึกถึงความสกปรกเลย

    ภารโรงที่นี่ทำความสะอาดดีจังวุ้ย ผมคิดก่อนที่จะเริ่มทรงตัวได้อย่างง่ายดายเมื่อผมยืนด้วยขาทั้งสี่ข้างของผม ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก เพราะมันไม่เหมือนกับการคลานบนพื้นที่ขาหลังจะต้องย่อเข่าลง แต่เหมือนกับว่าขนาดลำตัวกับช่วงขามันพอดี ทำให้ผมสามารถยืนได้โดยไม่ติดขัด

    "ถ้างั้น เดี๋ยวฉันจะไปเก็บข้าวของ แล้วเจอกันที่สถานีรถไฟนะ" ม้าสาวตัวสีฟ้าที่กำลังกระพือปีกอยู่บอก ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวออกนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าผมตาฝาดไหม แต่เหมือนเห็นสายรุ้งตามหลังเธอไปด้วย

    "สไปค์ ไปเอาธาตุแห่งความปรองดองมา แล้วเจอกันที่สถานีรถไฟนะ" ยูนิคอร์นสาวเอ่ย ก่อนที่มังกรน้อยจะพยักหน้าแล้วก็เดินออกนอกห้องไปทันที "ส่วนเธอ เดี๋ยวตามฉันมาละกันนะ"

    "คือ เอ่อ ขอถามอะไรบางอย่างก่อนได้ไหม" ผมถามด้วยนํ้าเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

    "อะไรเหรอ" เธอถามผม

    "คือ ชุดนี้มัน... ใส่ยังไงเหรอ" ผมถามด้วยนํ้าเสียงท่าทางเอียงอายและพยายามเอียงหัวไปทางชุดสีขาวที่ยังอยู่บนเตียง

    "โอ้...เอ่อ.. ถ้างั้น แรริตี้ ช่วยทีนะ" เธอบอกกับเพื่อนของเธอที่ยืนข้างๆ

    "ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ที่รัก มันง่ายมากเลยหละ ฮี่ๆ" เธอยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะใช้เวทย์ของเธอในการหยิบเสื้อผ้าด้วยพลังเวทย์ให้ลอยกลางอากาศ และก้าวเท้ามาหาผมอย่างช้าๆ

    แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่า ใบหน้าของเธอในตอนนั้นมันช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก

    "เอ่อ บอกมาก็ได้ ฉันจะลองใส่ดู" ผมรีบบอกเธออย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามก้าวขาไปข้างหลังเล็กน้อย แต่เนื่องจากยังไม่ชินกับสภาพร่างกาย เลยเดินถอยหลังได้ไม่กี่ก้าว

    "เถอะหน่า ฉันช่วยได้นะจ๊ะ ที่รัก แฮ่..."

    "ทำไมต้องมีแฮ่ด้วยเล่า อย่าเพิ่งซิ ยังไม่ได้เตรียมใจเลย! ตรงนั้นไม่ได้นะ! อยะ อย่า มัน แน่นอน อย่าจ้องแบบนั้นเซ่! ไม่ อย่านะ ไม่อ๊าวววววววววววววว!!"

     

    -------------------------------

     

    (10 นาทีต่อมา)

    "รถไฟขบวนที่จะไปอาณาจักรคริสตัลกำลังจะออกแล้ว ผู้โดยสารโปรดขึ้นรถด้วยครับ"

    เสียงประกาศเรียกจากม้าหนุ่มที่น่าจะเป็นพนักงานของรถไฟเอ่ยขึ้น เขาสวมหมวกสีดำออกนํ้าเงินแก่ มีสายคาดสีแดงบนหมวก และส่วมชุดสูทด้วยสีเดียวกันกับหมวกของเขา ยกเว้นส่วนท้ายที่ไม่ได้ใส่อะไรเอาไว้เลย

    ซึ่งพอผมมองแล้วก็รู็สึกไม่แตกต่างกันเท่าไหร่เลยแฮะ

    "เร็วหน่อยซี่ เดี๋ยวรถไฟก็ออกพอดีหรอก" ม้าตัวสีฟ้าที่มีปีกรีบบอกก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล

    "มันช้าก็เพราะพ่อหนุ่มคนนี้แหละ" ยูนิคอร์นสีม่วงพ่นลมออกมาทางจมูกตอบ

    "ก็ มันยังไม่ชินนี่ฝ่า"

    ผมบ่นพึมพำพยายามที่จะเดินไปโดยที่ทำเป็นไม่สนใจสายตาของม้าตัวอื่นที่จ้องมองผมรอบๆ ซึ่งแม้ว่าผมจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นสูทก็จริง เพียงแต่ว่ามันไม่มีกางเกงอะไรมาให้ใส่เลย มันเลยทำให้ช่วงท้ายรู้สึกโล่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ อารมณ์มันเลยออกแนวคนที่ใส่เสื้อแต่ดันไม่ใส่กางเกงข้างล่างซะงั้น

    "รู้งี้ไม่ต้องใส่ไปเลยดีกว่า" ผมพึมพำกับตัวเอง พยายามเดินตัวลีบๆ หลบหลังยูนิคอร์นสีม่วงไปเรื่อยๆ แต่ด้วยการที่ผมยังเดินด้วยขาทั้ง 4 ไม่คล่อง ก็ยิ่งทำให้เดินช้าเข้าไปอีก แถมการเดินผลุบๆ โผล่ๆ หลังม้าสาวก็ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของม้าตัวอื่นเข้าไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวอื่นๆ รู้ว่าผมเป็นคนที่จู่ๆ ก็ปรากฎตัวออกมากระทันหันกลางเมืองเมื่้อวานนี่ด้วย

    "ฉันว่านายทำแบบนั้นยิ่งจะมีคนมองนายมากเข้าไปอีกนะ" ม้าตาวบอยสาวยักคิ้ว

    "ไม่บอกก็รู้หน่า" ผมบอกด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะทำใจแข็ง เดินกึ่งหลับตาก้าวขายาวๆ เพื่อเข้าไปในขบวนรถไฟให้เร็วที่สุด และเมื่อเข้าปในโบกี้รถไฟสำเร็จแล้ว ผมถอนหายใจออกมาอย่างรวดเร็ว

    "รอดแล้วตรู" ผมรีบเดินเข้าไปหาเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุดนั่งทันที ตอนแรกๆ ผมหย่อนขาหลังลงใต้โต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าที่พิงจะห่างออกไปจนผมเอาหลังพิงไม่ได้ เลยตัดสินใจยกขาหลังขึ้นมาบนเก้าอี้แล้วนั่งแบบขัดสมาทแทน ซึ่งต้องขอขอบคุณความยาวของขาที่พอดีที่ยังคงสามารถนั่งท่านี้ได้ในร่างของม้า ตอนแรกๆ คิดเหมือนกันว่าจะนั่งท่านี้ไม่ได้ซะแล้ว

    ผมมองไปรอบๆ ซึ่งดูเหมือนม้าตัวอื่นๆ จะทยอยเข้ามาในโบกี้กันหมดแล้ว ยกเว้นคนหนึ่งที่เพิ่งจะขืนใจจับผมแต่งชุดเมื่อกี้ที่ยังไม่เข้ามา

    "อ้าว แล้วอีกตัวไปไหนหละ" ผมถามยูนิคอร์นสาวสีม่วงที่เพิ่้งขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผม

    "อ๋อ แรริตี้นะเหรอ นั่นนะ" เธอขยับตาให้ผมมองไปนอกหน้าต่างโบกี้รถไฟ และเมื่อผมหันหน้าไปมองดู ก็ต้องพบว่า สัมภาระของเธอมันมากเสียจนเป็นภูเขาสัมภาระขนาดย่อม และคนที่กำลังช่วยถืออยู่ก็คือ สไปค์ มังกรตัวน้อยนั่นเอง

    "โอ้ สไปค์ เอาของที่ฉันต้องการเอามาครบแล้วนะ" ม้ายูนิคอร์นสีขาวที่ชื่อ 'แรริตี้' ถาม

    "แฮ่ก แฮ่ก ก็ ครบแล้ว ไม่น่าจะขาดอะไร แฮ่ก แฮ่ก นะ" มังกรน้อย สไปค์ ตอบด้วยนํ้าเสียงเหนื่อยหอบ

    "ดี เพราะฉันเองก็ไม่อยากลืมอะไรไว้ที่นี่เท่าไหร่ ขนเข้ามาในโบกี้ได้เลยจ๊ะ" เธอหมุนตัวตอบแล้วเดินเข้ามาในโบกี้รถไฟทันที

    "ได้เลย ไม่มีปัญหา" สไปค์เอามือปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง ก่อนที่จะยกสัมภาระทีละชิ้นตามเข้ามา

    เหนื่อยไหมนั่น ผมคิดในใจ

    "นี่ แรริตี้ เราไปเพราะเรื่องด่วนนะ ไม่ใด้ไปเที่ยวกัน ทำไมต้องขนของเยอะขนาดนั้นด้วย" ม้าตัวสีฟ้าแผงคอสายรุ้งถาม เธอยังคงกระพือปีกตนเองบินลอยอยู่ในโบกี้รถไฟ

    "โถ่ ขอร้อง เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนี่ยแหละ ฉันเลยไม่อยากลืมอะไรไป" ม้าสาวที่ชื่อ แรริตี้ ตอบ

    "เอาเถอะ มากันครบแล้วก็ดี" ยูนิคอร์นสาวลำตัวสีม่วงบอก

    เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ผมตัวเอียงเล็กน้อยเมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน ชานชาลาค่อยๆ ห่างออกไปทุกที

    "พวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ฉันขอแนะนำตัวก่อนนะ ฉันชื่อทไวไลท์ สปาร์คเคิล" ยูนิคอร์นสาวตรงหน้าผมบอก

    "ส่วนฉันชื่อว่า แรริตี้ ฉันเป็นดีไซเนอร์ออกแบบชุดต่างๆ ในเมืองโพนี่วิลด์นะจ๊ะ" ยูนิคอร์นสีขาวแนะนำตนเองกับผม

    "ฉันชื่อ แอปเปิ้ลแจ็ค บ้านฉันทำฟาร์มแอปเปิ้ลอยู่ น่าเสียดายที่มีเรื่องด่วน ฉันว่าจะเตรียมแอปเปิ้ลอร่อยๆ เอาไว้เลี้ยงนายซะหน่อย" ม้าสาวคาวบอยแนะนำตนเองเป็นคนที่สาม

    "ส่วนฉัน ก็ เรนโบว์แดช ไม่มีใครที่ไหนใน Equestria ที่เร็วเท่าฉันอีกแล้ว" ม้าตัวสีฟ้าที่ยังคงกระพือปีกบอกอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเธอไม่ชอบการนั่งเลยนะ

    "โอ้ โอ้ ส่วนฉัน พิ้งค์กี้พาย ปกติถ้ามีม้าตัวไหนเข้ามาฉันจะจัดงานปาร์ตี้ต้อนรับนะ แต่ก็น่าเสียดาย" ม้าสาวสีชมพูบอกด้วยนํ้าเสียงเซ็งนิดๆ

    "แล้ว เอ่อ ... ฉัน ฟลัทเทอร์ชาย" ม้าสีเหลืองแผงคอสีชมพูอ่อนเป็นคนแนะนำต่อ แต่ชื่อของเธอเบาจนผมฟังแล้วแทบไม่ได้ยินเลยเพราะเสียงรถไฟกลบเกือบหมด ถ้าไม่ตั้งใจฟังผมคงไมได้ยินชื่อแล้ว

    "แล้วก็ ฉันมีชื่อว่า สไปค์" มังกรน้อยแนะนำเป็นตัวสุดท้าย "ฉันเป็นผู้ช่วยอำดับหนึ่งที่ทไวไลท์ไว้วางใจที่สุด"

    "ขอบใจจ๊ะสไปค์" ทไวไลท์ชมพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย

    "ส่วนนี่ก็ชื่อของฉันนะ..." ผมเอ่ยชื่อกับทุกคนไป "แต่ขอถามหน่อย ฉันสงสัยมานานแล้ว ม้าอย่างพวกเธอมีปีกกันด้วยเหรอ"

    "ไม่หรอก มีแต่เพกาซัสเท่านั้นที่มีปีกนะ" ทไวไลท์ตอบ

    "ใน Equestria โพนี่อย่างพวกเราจะมี 3 แบบ คือม้าทำงานแบบฉันกับพิงค์กี้ ยูนิคอร์นที่สามารถใช้เวทมนต์ได้แบบทไวไลท์และแรริตี้ และเพกาซัสอย่างเรนโบว์แดช และฟลัทเทอร์ชายที่จะสามารถบินและเดินบนก้อนเมฆได้นะ" แอปเปิ้ลแจ็คอธิบาย

    "ถูกต้องแล้วหละ" เรนโบว์แดชยืดอกตัวเอง

    "ว้าว ยอมรับนะว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเธอเลย" ผมบอกด้วยนํ้าเสียงอึ้ง ที่อึ้งไม่ใช่เพราะอะไร เพราะรู้ว่าม้าทั้งสามเผ่าสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยที่มีความสามารถแตกต่างกันสิ้นเชิงโดยที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ของแบบนี้รับรองว่าไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกของผมแน่ๆ

    "จริงๆ นายเองก็เป็นเพกาซัสเหมือนกันน" ทไวไลท์ยกกีบเท้าและชี้มาทางผม ซึ่งเมื่อหันมองดูตามทิศที่เธอชี้ ก็พบว่าเธอกำลังชี้มาทางปีกผมที่ยังคงหุบอยู่ข้างลำตัว

    "ใช่ เอ่อ... แต่ฉันคิดว่าฉันคงไม่ได้ใช้มันบินหรอก" ผมยกขาหน้าขึ้นเพื่อมองดูปีกตัวเอง

    "ทำไมหละ อุตส่าห์ได้เพื่อนใหม่ที่มีปีกทั้งที เจ๋งจะตายไป เพกาซัสทุกตัวชอบการบินอยู่แล้ว เนอะ ฟลัทเทอร์ชาย" เรนโบว์ยิ้มกว้างและมองไปทางฟลัทเทอร์ชาย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังคงหลบหน้าผมอยู่ ซึ่งนั่นทำให้เรนโบว์แดชทำหน้าเซ็งขึ้นมาทันที

    "เพื่อนงั้นเหรอ" ผมถามม้าทุกตัว

    "นายเป็นเพื่อนเราแล้ว เรายินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ตลอดแหละ" แอปเปิ้ลแจ็คพยักหน้าให้ผม

    "ใช่ๆ แล้วเพื่อนที่ดี ก็ต้องสนุกด้วยกัน เพราะฉันชอบเรื่องสนุก" พิงค์กี้พายรีบพูดอย่างรวดเร็วทางขวาของผม ซึ่งผมแทบสะดุ้งเพราะเสียงของเธอใกล้มาก แถมหันไปก็เห็นหน้าของเธอจ่อหน้าของผมใกล้มากจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว แล้วเธอก็ถอยหลังกลับไปนั่งที่ของเธออย่างรวดเร็วจนผมยังเหวอไม่หาย

    เร็วอะไรแบบนี้เนี่ย ผมเผลอมองดูเรนโบว์แดชที่ยังคงบินอยู่โดยอัตโนมัติ พร้อมกับคำถามที่ชักอยากรู้แล้วว่าสองตัวนี้ใครจะเร็วกว่ากัน ทั้งม้าที่มีปีกกับไม่มีปีก

    "ขอบคุณนะทุกคน ที่ต้อนรับฉัน แต่ ยอมรับนะว่า ฉันยังเป็นห่วงน้องสาวของฉันอยู่ แถมฉันเองก็ไม่ใช่คนบนโลกนี้แต่แรกด้วย"

    ผมพูดพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างของโบกี้รถไฟ ทิวทัศน์ต่างๆ ผ่านหน้าผมไปอย่างรวดเร็ว จากชานเมืองที่มีบ้านไม่กี่หลัง ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยต้นไม้จำนวนมากที่น่าจะเป็นป่าอะไรซักอย่างแทน บรรยากาศที่ชวนสดใสข้างนอกผิดกับความรู้สึกในใจของผมลิบลับเลยก็ว่าได้

    แต่เมื่อผมรู้ตัวว่าผมพูดอะไรออกไป ผมรีบหันไปมองดูม้าทั้งหกตัวที่เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

    "ขอโทษนะที่ฉันพูดทำลายบรรยากาศออกไป" ผมรีบบอกขอโทษทุกคน

    "ไม่เป็นไรหรอก พ่อนํ้าตาลก้อน พวกเราเข้าใจความรู้สึกของนายอยู่แล้ว" แอปเปิ้ลแจ็คบอกด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนโยนขึ้น

    "โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารู้ว่าควีนคลิสซาลิสมันเคยทำอะไรกับเราไว้" เรนโบว์แดชตบกีบเท้าตัวเองด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่นัก

    "ถูกต้องที่สุด" แรร์ริตี้พูดเสริม

    "ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเชื่อว่าองค์หญิงเซเลสเทียร์จะต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ" ทไวไลท์พูดให้กำลังใจผม

    "พูดได้ดีเลย ทไวไลท์" พิงค์กี้พายแว้บปรากฎข้างๆ ทไวไลท์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งขนมหวานที่ชื่อ คัพเค้กให้

    "คัพเค้กไหม" เธอหันมาถามผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ เธอก็ส่งคัพเค้กขนาดกีบเท้าผมมาให้ พอผมรับแล้ว เธอก็พุ่งตัวไปแจกคัพเค้กให้คนอื่นๆ ทันที ผมยังสงสัยอยู่เลยว่านั่นเธอไปด้วยขาของตัวเองหรือว่ามีใครร่ายเวทย์บัฟ AGI ให้เธอรึเปล่า

    "และเราก็พร้อมที่จะช่วยนายเอง เพราะปัญหาทั้งหมดมันก็มาจากโลกของเรา ไม่ใช่โลกของนาย" ทไวไลท์พูดเสริม พร้อมกับใช้เวทย์ของเธอ ในการหยิบคัพเค้กขึ้นมาแล้วก็กินโดยที่เธอไม่ใช้กีบเท้าของเธอหยิบเลย

    เมื่อผมเห็นว่าม้าตัวอื่นๆ เริ่มกินคัพเค้กกันแล้ว ผมจึงเริ่มกินคัพเค้กบ้าง ความหวานอร่อยของเนื้อครีมที่ผสมกับขนมปังเนื้อนุ่ม ช่างเป็นรสชาติที่ละมุนลิ้นยิ่งนัก ผมกินอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยมาวันนึงเต็มๆ

    "อร่อยมากพิงค์กี้พาย ขอบคุณนะ..." ผมหันไปขอบคุณเธอ แต่ผมก็ต้องเผลอทำหน้าอึ้ง เมื่อพบว่าเธอกำลังเอาหัวของตัวเองยัดเข้าไปในตระกร้าบนโต๊ะ และเมื่อเธอเงยหน้ามามองผม ก็พบว่าทั่วทั้งหน้าของเธอเต็มไปด้วยครีมคัพเค้กเละเต็มหมด

    "อะไรเหรอ" เธอถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ทุกตัวเริ่มหัวเราะให้กับพิงค์กี้พายกัน ตัวผมเองยังเผลออมยิ้มโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ก่อนที่ผมจะกินคัพเค้กที่ยังเหลืออยู่ พร้อมกับมองไปนอกหน้าต่าง ที่ตอนนี้ขบวนรถไฟได้แล่นผ่านอุโมงค์แห่งหนึ่งแล้ว พร้อมกับในใจที่เริ่มมีความหวังมากขึ้น

     

    -----------------------------------------

     

    การเดินทางโดยรถไฟนั้นใช้เวลาราวๆ ครึ่งวันก็เดินทางถึงที่หมายแล้ว ผมได้เดินตามเหล่าโพนี่ทั้งหกตัวที่เดินนำทางอยู่ ส่วนสไปค์นั้นเดินตามหลังเพราะแบกกระเป๋าจำนวนมหาศาลของแรร์ริตี้ตามมาอยู่ ตอนแรกๆ ผมก็อยากจะช่วยนะ แต่ดูเหมือนว่าสไปค์อยากทำด้วยตนเอง ผมก็ไม่อยากขัดศรัทธาเจ้าตัวเท่าไหร่ อีกอย่าง ผมยังไม่รู้เลยว่าจะช่วยได้แค่ไหน กีบเท้าตัวเองไม่มีนิ้ว ก็ยังไม่รู็เลยว่าจะหยิบจับอะไรได้

    ระหว่างการเดินทางเข้าไปในเมือง ผมมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยเห็นเมืองที่สวยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต

    "นี่นะเหรอ อาณาจักรคริสตัล" ผมเอ่ยถาม

    "ใช่ม้า ใช่ม้า" พิงค์กี้พายกระโดดโลดเต้นรอบๆ ตัวผม

    สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดทำให้ผมนึกถึงวัฒนธรรมของโรมันผสมกับช่วงยุคหิน แต่ดูไม่ตกยุคจนเกินไป แต่ที่น่าตื่นตาที่สุดก็คือ เหล่าม้าโพนี่ในเมืองนี้ที่ทุกตัวจะเปร่งประกายแสงออกมากันหมด ราวกับว่าพวกเขาโปร่งแสงและเรืองแสงออกมาได้เอง และพวกเขาเองต่างมีแต่รอยยิ้มที่เหมือนกับต้อนรับคณะเดินทางของพวกผมราวกับเป็นนักท่องเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น แถมอากาศของเมืองนี้ก็เย็นสบายมากราวกับมีคนเปิดแอร์ให้เลย ผมมองวิวทิวทัศน์ไกลๆ ก็มองเห็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่มีนํ้าแข็งปกคลุมด้วย มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งโดยเฉพาะผมที่อยู่ในประเทศเมืองร้อน ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

    "ก่อนหน้านี้ อาณาจักรคริสตัลถูกซ่อนเร้นมานานเป็นพันปีเชียวนะ" แอปเปิ้ลแจ็คเริ่มเล่าเรื่องราวของเมืองนี้ให้ผมฟัง "ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ราชาซอมบร้าเคยปกครองเมืองนี้ด้วยความโหดร้ายทารุณ แต่สุดท้ายก็ถูกพลังเวทย์แห่งความรักและความหวังของเมืองนี้สะกดเอาไว้"

    "ใช่ เมื่ออาทิตย์ก่อน พวกเราเพิ่งจะช่วยเจ้าหญิงเคเดนส์และไซนิ่ง อาร์เมอร์ พี่ชายของทไวไลท์ในการขัดขวางการบุกของราชาซอมบร้า และฟื้นฟูเมืองนี้เอาไว้ด้วยนะ" เรนโบว์แดชเอ่ยพร้อมกับบินตีลังกากลางอากาศบอก

    "ตอนนี้เจ้าหญิงเคเดนส์กับพี่ชายฉันก็เลยปกครองเมืองนี้ไปเลยนะ" ทไวไลท์พูดเสริม เธอกระโดดโลดเต้นเล็กน้อยเมื่อเพื่อนของเธอได้เอ่ยถึงพี่ชายของเธอ

    "เดี๋ยวนะ พวกเธอบอกว่า 3 อาทิตย์ก่อนเพิ่งถูกควีนคลิสอะไรนั่นโจมตี แล้วอาทิตย์ก่อนก็มาช่วยเมืองนี้อีกงั้นเหรอ" ผมถามด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อ

    "ถูกต้อง!" เรนโบว์แดชชูกีบเท้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

    ผมมองไปรอบๆ ถ้าไม่นับเฉพาะม้าสามตัวที่พูดคุยกันเมื่อสักครู่นี้แล้ว ม้าอีกสามตัวที่เดินมาด้วยกันดูเหมือนจะไม่ได้มีความสามารถด้านการเป็นวีรสตรีหรือฮีโร่แต่อย่างใดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงจะไม่เชื่อแล้ว แต่นี่ถึงขนาดได้รับสาห์นเรียกโดยองค์หญิง ทำให้ผมคิดได้อย่างเดียวว่า ม้าทั้งหกตัวนี่ไม่ธรรมดาแน่ๆ

    ว่าแต่ โลกนี่มันมีแต่อันตรายบ่อยไปเปล่าเนี่ย เจอศัตรูบุกถึงสองครั้งในเดือนเดียวเนี่ยนะ ผมคิดเล่นๆ แต่แล้วก็ต้องหยุดคิดอีกครั้งเมื่อมองเห็นเหล่าม้าโพนี่ชายลำตัวสะท้อนแสง สวมชุดเกราะสีเงินเดินไปมารอบเมือง และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกผมเดินเข้าไปใจกลางเมืองมากขึ้น

    "สงสัยคงจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ เลย" ฟลัทเทอร์ชายเอ่ยเสียงเบา

    "ฉันก็ว่างั้น มีทหารออกมาเดินมากเกินไป เหมือนกับตอนงานแต่งงานพี่ชายเธอเลยนะทไวไลท์" แรร์ริตี้เอ่ย

    "นั่นสิ แสดงว่าคงเกี่ยวกับควีนคลิสซาลิสไม่ผิดแน่" ทไวไลท์พนักหน้าตอบโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามอง

    ทั้งหกตัวมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น และยิ่งเข้าไปใจกลางเมืองมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นทหารมากขึ้น ดูเหมือนว่านอกจากทหารเรืองแสงที่น่าจะเป็นทหารประจำเมืองนี้แล้ว ผมยังมองเห็นทหารผิวสีเข้มที่เป็นยูนิคอร์น กับทหารผิวสีขาวที่โบยบินบนท้องฟ้าด้วย

    ยังกับประกาศกฎอัยการศึกอย่างนั้นเลย ผมคิดในใจ

    "ที่นี่แหละ ปราสาทของอาณาจักรคริสตัล" ทไวไลท์บอกผม และนั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง

    ตัวปราสาทขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง และเหมือนถูกสร้างมาด้วยคริสตัลทั้งหมด เพราะไม่เห็นถึงองค์ประกอบปูนหรือไม้เลย มันทำให้ผมนึกถึงปราสาทที่ทำด้วยนํ้าแข็งจากแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าปราสาทหลังนี้จะส่องแสงด้วย รูปทรงของมันทำให้ผมนึกถึงหอคอยไอเฟลผสมกับหอคอยไอเซนการ์ดจากภาพยนต์เรื่องแหวน และความใหญ่โตของมันนั้นผิดกับบ้านเรือนรอบๆ ลิบลับเลย ผมหละสงสัยจริงๆ ว่าสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตขนาดนี้ พวกม้าโพนี่สร้างกันได้ยังไง

    ทไวไลท์นำทางพวกผมเดินขึ้นบันไดที่อยู่ตรงมุมเสาด้านหนึ่งของฐานปราสาท มีทหารจำนวนมากอารักษ์ขาเอาไว้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นทไวไลท์ก็เปิดทางให้เข้าไปทันทีโดยไม่ถามอะไร ราวกับว่าเธอคือบุคคลสำคัญเลยทีเดียว และเมื่อผมเดินทางขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในปราสาทแล้ว ข้างในยิ่งน่าตื่นตาเข้าไปอีก เพราะทั้งผนัง พื้น และเพดานต่างเป็นคริสตัลทั้งหมด ผมยังแอบสงสัยอยู่เลยว่าพื้นมันจะลื่นไหม แต่ก็ไม่ได้ลื่นอย่างไรเลย น่าแปลกดีเพราะพื้นที่โดยรอบ มันทำให้ผมนึกถึงลานสเก๊ตนํ้าแข็งยังไงก็ไม่รู้สิ

    ยูนิคอร์นสาวนำทางพวกผมไปยังห้องที่ใหญ่มาก และผมคิดว่าน่าจะเป็นท้องพระโรง เพราะมีทหารจำนวนมากยืนขนาบข้างสองทาง พวกเขาหยิบแตรขึ้นมาเป่าส่งเสียงดังราวกับต้องรับพวกเรา และในสุดของท้องพระโรงนั้น มีม้าโพนี่อยู่สามตัวยืนรออยู่ราวกับกำลังต้อนรับพวกเราอยู่ ผมกลืนนํ้าลายอึกใหญ่ เพราะไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ม้าทั้งสามตัวที่ยืนอยู่นั้น คงจะเป็นเจ้าหญิงที่ทไวไลท์พูดถึงแน่

    "ทไวไลท์ สปาร์คเคิล และทุกคน ขอต้อนรับ ฉันกำลังรอการมาของพวกเธออยู่เลย"

    เสียงที่ทั้งอ่อนโยน ยิ่งใหญ่ และทรงพลังเอ่ยดังขึ้น และเมื่อผมเข้าไปใกล้ ก็พบกับเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ยืนเรียงกัน ทางซ้ายนั้นมีร่างสีม่วงเข้มพร้อมกับแผงคอสีนํ้าเงิน เขายูนิคอร์นของพระองค์เด่นเป็นสง่าพร้อมกับตราสัญลักษณ์พระจันทร์กลางอกของเธอ ส่วนทางขวานั้นมีสีที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง พระองค์มีสีชมพู แผงคอสีม่วง พระบาทของพวกองค์สวมด้วยฉลองพระบาทสีเหลือง ดูเหมือนพระองค์จะเป็นมิตรมากที่สุดด้วย และตรงกลางนั้นมีขนาดที่ใหญ่โตที่สุด พระองค์มีพระกายาสีขาว ส่วนฉลองพระองค์นั้นเป็นสีเหลือง แต่ที่น่าสะดุดตาที่สุดก็คือ พระเกศาของพระองค์ที่มีทั้งสีเขียว สีนํ้าเงิน สีชมพู และสีฟ้า แต่เคลื่อนไหวได้ราวกับคลื่นนํ้าเหมือนมีชีวิตทีเดียว แน่นอนว่าเจ้าหญิงองค์ทางซ้ายก็ขยับด้วยเช่นกัน

    "พวกเรามาถึงแล้วเจ้าหญิง" ทไวไลท์ก้มหัวทำความเคารพกับพระองค์ทั้งสาม และโพนี่อีกห้าตัวรวมมังกรอีกหนึ่งเองก็ก้มหัวเช่นกัน ทางผมเองก็ต้องทำความเคารพเช่นเดียวกันสินะ

    "ขอถวายบังคม พระยะ...เว้ยยยย!"

    ผมร้องเสียงหลงเมื่อหน้าของผมทิ่มลงกับพื้นเป็นครั้งที่สอง ดูเหมือนว่าผมพยายามจะก้มหัวให้ตํ่าเหมือนกับม้าอีกหกตัวที่ทำ แต่ผมกลับหน้าทิ่มลงพื้นซะอย่างนั้น ถึงจะรู้สึกเจ็บโดยเฉพาะตรงกลาง แต่คงไม่เจ็บจี๊ดในใจมากกว่าเพราะดันทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าองค์กษัตริย์ในโลกนี้ซะงั้น

    "เอ่อ ฉันว่าฉันควรบอกนะ ถ้าจะก้มหัว ควรจะย่อขาหน้าด้วย" ฟลัทเทอร์ชายกระซิบบอกผม

    "ขอบใจ" ผมตอบเธอพลางรีบใช้เท้าหน้ายันตัวเองขึ้นทันที

    "เพซากัสผู้นี้คือใครกันเหรอ" เจ้าหญิงทางซ้ายสุดตรัสถาม

    "เขาผู้นี้เป็นคนมาจากอีกโลกหนึ่งเพค่ะ เจ้าหญิงลูน่า" ทไวไลท์เงยหน้าพร้อมตอบ

    "อีกโลกหนึ่งงั้นเหรอ" เจ้าหญิงทางขวาตรัสถามด้วยสีหน้าที่เข้มขึ้น

    "ดูเหมือนสิ่งที่เรากลัวได้เริ่มขึ้นแล้วหละ" เจ้าหญิงพระองค์ตรงกลางตรัส "ฉันมีชื่อว่า เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ ส่วนทางนี้คือเจ้าหญิงลูน่า น้องสาวของฉัน..." เจ้าหญิงลูน่าพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าพระพักตร์ที่ทำท่าเหมือนประเมินตัวผมอยู่ "... ส่วนทางนี้คือ เจ้าหญิงเคเดนส์ ผู้ปกครองนครแห่งครัสตัล"

    "สวัสดีจ๊ะ" เจ้าหญิงเคเดนส์ตรัส

    "เอาหละ เพกาซัสจากต่างโลก เธอช่วยเล่าเรื่องให้เราฟังได้ไหม" เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ตรัสถาม

    "ทูลเจ้าหญิง กระหม่อมต้องเรียนก่อนว่ากระหม่อมไม่ได้เป็นเพกาซัส แต่กระหม่อมเป็นมนุษย์" ผมทูลเจ้าหญิงตามความคิดของผม "ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น...."

    ผมใช้เวลาเล่าเรื่องอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานนักเพราะผมรู้แล้วว่าผมควรจะเล่าอย่างไร พอผมเล่าจบ เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์มีพระพักตร์ที่เข้มขึ้นทันที

    "นี่มันหายนะชัดๆ ควีนคลิสซาลิสมีพลังถึงขนาดเปลี่ยนแปลงเผ่าพันธุ์หนึ่งไปเป็นอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งได้อย่างไรกัน" เจ้าหญิงลูน่าตรัสด้วยนํ้าเสียงที่ไม่พอใจนัก

    "เรายังไม่รู้ว่าควีนคลิสซาลิสมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นได้อย่างไร แต่เท่าที่ฉันคิด ดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวกับการที่ควีนคลิสซาลิสขโมยพลังของไซนิ่ง อาร์เมอร์ไปนะ"

    เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ตรัสด้วยท่าทางครุ่นคิด แต่ผมสังเกตเห็นเจ้าหญิงเคเดนส์มีสีหน้าที่ไม่พอใจมากขึ้น และดูเหมือนว่าทไวไลท์เองก็เช่นกัน กับคนแปลกหน้าอย่างผมที่ยังไม่รู้เรื่องว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร ก็ทำได้แค่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

    "เจ้าหญิงเพค่ะ แล้วทำไมในเมืองนี้ถึงมีทหารเต็มไปหมดเลย" แอปเปิ้ลแจ็คถาม

    เจ้าหญิงเซเลสเทียร์และเจ้าหญิงลูน่ามองพระพักตร์กัน ก่อนที่จะหันมามองดูพวกผมทั้ง 8 ตัว

    "ตามมาทางนี้ เรามีอะไรอยากให้เจ้าดู"

     

    ---------------------------------------------

     

    เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ได้นำทางพวกผมเดินลงบันไดเพื่อลงไปยังชั้นใต้ดิน ที่มีทหารคุ้มกันหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย แต่ทุกตัวนั้นจะก้มหัวและหลีกทางให้เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์เมื่อท่านเสด็จผ่าน ถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรวมเหมือนจะดูปลอดภัยเพราะการคุ้มกันที่แน่นหนา แต่ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจเลย

    พระองค์ได้นำทางพวกผมเข้าไปห้องแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยกระจกเต็มไปหมด และในสุดของห้องนี้ มีบานกระจกสีม่วงขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้อยู่ มันมีความใหญ่โตสูงราวๆ สองเมตรเลยทีเดียว สูงระดับเดียวกันกับที่ผู้ใหญ่ตัวโตๆ สามารถเดินผ่านได้สบาย

    "เมื่อสามวันก่อน ควีนคลิสซาลิสได้ลักลอบเข้ามาในเมืองนี้ แล้วใช้กระจกบานนี้ในการเดินทางสู่โลกอื่น ถ้าฉันเดาไม่ผิดนะ" เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ตรัส "ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เจ้าหญิงเคเดนส์ไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่มีการโจมตีใดๆ ที่เมืองนี้เลย กว่าพวกเราจะมาถึง พวกของควีนคลิสซาลิสก็เข้าไปในกระจกหมดแล้ว"

    "พวกฉันเองก็คิดที่จะเข้าไปในกระจกเพื่อไปตามล่าควีนคลิสซาลิสเหมือนกัน" เจ้าหญิงลูน่าตรัสต่อ "แต่ทั้งฉันและทั้งพี่ต่างมีภารกิจที่ต้องปกครองโลกนี้ และก็ไม่รู้ว่าโลกในนั้นจะเป็นอย่างไร และมันอาจเกิดการเสียสมดุลระหว่างสองโลกได้ เราจึงต้องเรียกกองกำลังทหารทั้งหมดมาคุ้มกันเอาไว้ก่อน และเตรียมการเผื่อไว้ว่า ควีนคลิสซาลิส จะกลับมาพร้อมกับอะไรบางอย่าง"

    "ตอนนี้ไซนิ่งอาร์เมอร์เองก็เริ่มร่ายเวทย์คุ้มกันเมืองนี้ทั้งเมืองแล้ว" เจ้าหญิงเคเดนส์ตรัส ("หมายถึงพี่ชายของทไวไลท์นะ" เรนโบว์แดชตอบเมื่อผมถาม) "หมายความว่าหลังจากนี้ จะไม่มีใครสามารถผ่านเข้าออกเมืองนี้ได้อีก เพื่อป้องกันการหลบหนีของควีนคลิสซาลิสหากพวกมันกลับมา"

    "แต่ตอนนี้ เราจำเป็นต้องให้พวกเธอช่วย" เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ตรัส "ในเมื่อเรารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีกโลกหนึ่งผ่านเพกาซัสผู้นี้แล้ว เรายิ่งจำเป็นที่ต้องพาควีนคลิสซาลิสและพรรคพวกกลับมายังโลกนี้ให้ไวที่สุด"

    ผมจ้องมองดูกระจกบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า มันทำให้ผมนึกถึงตอนช่วงที่ผมถูกแรงระเบิดของควีนคลิสซาลิสซัดจนกระเด็น และเหมือนผมจะชนกับกระจกอะไรบางอย่างเข้ามา เลยคิดสงสัยอยู่ว่ากระจกบานนั้นยังอยู่ที่เดิมไหม และทำไมมันอยู่ในบ้านผมได้

    "ทไวไลท์ เธอเอาธาตุแห่งความปรองดองมาแล้วใช่ไหม" เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ตรัสถาม

    เจ้าตัวพยักหน้า และมองไปทางสไปค์ที่เดินมาข้างๆ ในมือของเขานั้น มีสร้อยคอที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ทั้งสายฟ้า , ลูกโป่ง , อัญมณี , แอปเปิ้ล , ผีเสื้อ และมงกุฎที่เป็นรูปดาว ทไวไลท์ใช้เวทย์ของเธอในการหยิบสร้อยคอทั้งหมดและส่งให้เพื่อนของเธออีกห้าตัวสวมใส่ที่คออย่างรวดเร็ว ส่วนเธอนั้นก็สวมมงกุฎรูปดาวเอาไว้ที่หัวของตนเอง

    "แน่นอนเพค่ะ" เธอตอบ

    "ดี จากนี้ฉันจะร่ายเวทย์คุ้มกันพวกเธอเอาไว้ เรายังไม่รู้ว่าสภาพร่างกายของเธอจะเปลี่ยนไปไหมเมื่อเข้าไปยังโลกนั้น" องค์หญิงเซเลสเทียร์ตรัสแล้วท่านก็ก้มพระเศียรลง มีแสงสีขาวปรากฎขึ้นบนเขาของพระองค์ และแสงสีขาวก็ปรากฎขึ้นรอบๆ โพนี่ทั้งหกตัว ยกเว้นผมซึ่งน่าจะเป็นคนนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องในโลกนี้

    "พวกเธอจะมีเวลาในการจัดการกับควีนคลิสซาลิสก่อนถึงเวลาเที่ยงคืนนี้เท่านั้น" เจ้าหญิงลูน่าตรัส "ประตูมิติจะปิดลงในตอนเที่ยงคืน ขอให้ระวังเรื่องเวลาไว้ด้วย"

    "ใช้ธาตุแห่งความปรองดองและพลังเวทย์ของเธอ บังคับให้ควีนคลิสซาลิสและพรรคพวกของเธอกลับมายังโลกของเราให้ไวที่สุด แล้วก็พ่อหนุ่ม" เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ทอดพระเนตรมาทางผม "ฉันต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากเธอตอนที่เข้าไปในโลกนั้นด้วยนะ"

    "ไม่มีปัญหาพ่ะยะค่ะ เจ้าหญิง" ผมก้มหัวตอบเล็กน้อย เพราะเสียวจะหน้าทึ่มอีกรอบ

    "ถ้าอย่างนั้น ขอให้ทุกตัวโชคดี" เจ้าหญิงเซเลสเทียร์ตรัสอวยพร

    "โชคดีนะ ทไวไลท์" เจ้าหญิงเคเดนส์ตรัส

    "ไม่ต้องห่วงเจ้าหญิง พวกเราจะทำให้ดีที่สุด" ทไวไลท์พยักหน้าตอบ พร้อมกับหันหน้ากลับมามองพวกผมที่เหลือ "เอาหละ โพนี่ทุกตัว พร้อมไหม"

    "แน่นอน"

    "ทุกเมื่อ"

    "อยู่แล้ว"

    "อะ...อืม...."

    "ยี้.. ฮ่า!"

    เมื่อทุกคนตอบรับ ทไวไลท์ก็หันมามองทางผม

    "ถ้าอย่างนั้น ฝากนายเดินนำทางเข้าไปทีนะ นายน่าจะเป็นคนนำทางพวกเราได้" เธอถามผม

    ผมเงยหน้ามองดูกระจกที่อยู่ตรงหน้า และนั่นก็เป็นหนทางเดียวที่ผมจะสามารถกลับบ้านได้ และไปช่วยเหลือเมืองของผม และน้องสาวผม

    "ได้เลย" ผมตอบ พร้อมกับก้าวขาเข้าไปข้างหน้า

    ผมอาจเกิดความคิดโง่ๆ ว่าแล้วจะเข้าไปในกระจกได้อย่างไร แต่เมื่อผมลองยื่นขาหน้าไปโดนกระจกดูแล้ว ดูเหมือนผิวของบานกระจกเป็นคลื่นนํ้าที่สามารถเดินทะลุเข้าไปได้แบบไม่เปียก ผมจึงเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ บานประตูมิตินั้นเย็นเฉียบราวกับนํ้าแข็ง ผมหลับตาแน่นเมื่อเดินเข้าไป และเมื่อผมเดินเข้าไปจนหมดทั้งตัวแล้ว มีลมแรงมหาศาลดูดผมไปตรงหน้า ผมหลับตาแน่นเพราะแรงลมพัดเข้าตาผมอย่างจัง ผมรู้สึกได้แค่ว่าโพนี่อีกหกตัวได้เดินตามผมเข้ามาแล้ว แรงดูดมหาศาลทำให้ผมได้ยินเสียงพวกเธอกรีดร้อง แต่ผมปิดปากแน่น จนกระทั่งผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นพร้อมกับแสงสีขาวตรงหน้า ผมจึงหยีตามองดูเล็กน้อย

    พลั่ก! ตุ๊บ! ตั๊บ!

    "โอ้ย อะไรกันเนี่ย" เรนโบว์แดชบ่น

    "แรร์ริตี้ ลุกออกไปก่อนได้ไหม ฉันหนักนะ" ทไวไลท์บ่น

    "เสียมรรยาทจริงเชียว ฉันไม่ได้อ้วนซะหน่อย" แรร์ริตี้บอกด้วยความไม่พอใจนัก แต่เธอก็ยอมลุก

    "มันหนักเพราะพวกเธอทับฉันอยู่เนี่ย" ผมบ่นบ้าง

    "ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่" เสียงหัวเราะของพิงค์กี้ดังขึ้น

    หัวเราะทำไมฟะ ผมคิด

    และหลังจากที่ม้าตัวอื่นๆ ลุกออกจากตัวผมแล้ว ผมจึงลุกขึ้นบ้าง ผมรีบมองดูร่างกายตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อหวังว่าจะได้มองเห็นร่างกายตัวเองกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ผมก็ต้องหน้าถอดสีเมื่อพบว่า ผมยังอยู่ในร่างโพนี่เหมือนเดิม

    "อะไรเนี่ย! ทำไมฉันยังไม่กลับร่างเดิมอีกทั้งๆ ที่ฉันน่าจะกลับมายังโลกของฉันแล้วเนี่ยนะ!!" ผมพูดเสียงดังด้วยความมึนงงและสับสน

    "เดี๋ยวนะพ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน นี่จะบอกว่านี่คือโลกของนายงั้นเหรอ" เสียงของแอปเปิ้ลแจ็คถาม

    "น่าจะใช่นะ ทำไมเหรอ..." ผมเงยหน้ามองเธอ ซึ่งโพนี่ทั้งหกตัวมองดูจนตาค้างเป็นแถบ

    "มันเลวร้ายที่สุด.."

    ผมหมุนตัวมองดูสิ่งที่พวกเธอมองดูบ้าง แล้วผมก็ต้องอ้าปากค้าง

    เมืองของผมที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยตึกรามหลายหลัง บัดนี้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วเรียบร้อย ตึกสูงระฟ้าจำนวนมากถล่มลงมาจนเหลือแต่ฐานโครงเท่านั้น พื้นถนนหลายช่วงตัดขาด บ้างก็ยกตัวขึ้น บ้างก็ยุบตัวลงไปข้างล่าง ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับเศษขยะปลิวว่อน ท้องฟ้าสีแดงฉานพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นต่อเนื่อง เครื่องบินรบสามสี่ลำบินร่อนผ่านพวกผมไปอย่างรวดเร็ว

    "โว้วว! เห็นนั่นไหม ฉันยังไม่เคยเห็นเพกาซัสตัวไหนบินเร็วเท่านี้มาก่อนเลยนะ" เรนโบว์แดชรีบบอกด้วยความตื่นตะลึง

    "ฉันว่านั่นไม่ใช่เพกาซัสหรอกนะ" ทไวไลท์ตอบด้วยนํ้าเสียงตกตะลึงไม่ต่างกัน "ใช่ไหม..."

    เธอหันมาทางผม แต่ผมยังคงอ้าปากค้าง ตาของผมหันไปมองดูบ้านของผมที่เดิมทีมันควรจะตั้งอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าโครงให้รู้เลยว่า ในอดีตมันคือบ้านของผม

    "หมดแล้ว.... โลกของฉัน" นํ้าตาของผมไหลลงมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อมองเห็นว่า ที่อยู่อาศัยเดิมของผมมันหายไปแล้ว

    บรึ้มมมม!

    เสียงระเบิดดังขึ้น และเมื่อพวกผมทั้ง 7 ตัวหันไปมอง ก็พบว่าเครื่องบินรบเมื่อซักครู่นี้กำลังหนีอะไรบางอย่างออกมา และเมื่อมองดู ก็พบว่าพวกเขากำลังบินหนีจรวดมิซไซด์ที่กำลังไล่ตามมา

    "นั่นมันอะไรนะ!" ฟรัทเทอร์ชายตะโกนถามเสียงดัง และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเธอพูดดังขนาดนี้

    เครื่องบินรบพยายามที่จะยิงมิซไซด์ตอบโต้มิซไซด์ที่ไล่จี้มา แต่กลายเป็นว่ามิซไซด์ลูกที่ยิงออกมานั้นกลับมีแสงสีเขียวล้อมรอบ ก่อนที่มันจะหันกลับแล้วพุ่งใส่เครื่องบินที่ยิงออกมาแทน

    ตู้มมม!!

    เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นจนแสบแก้วหู เครื่องบินรบลำนั้นถูกระเบิดกระจุยจนแทบไม่เหลือซาก แต่เมื่อมองดูบนฟ้า ดูเหมือนว่านักบินเขาจะดีดตัวหนีออกมาทันและกางร่มชูชีพร่อนลงมาแล้ว เสียงหัวเราะที่เย็นชาดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของพื้นที่ที่พวกผมยืนอยู่

    "นั่นมันเสียงควีนคลิสซาลิสนิ" แรร์ริตี้บอกด้วยนํ้าเสียงซีด

    "เราจะปล่อยให้ควีนคลิสซาลิสทำลายโลกนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะสาวๆ ไปกันเถอะ" ทไวไลท์เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเข้มขึ้น

    "ใช่... ปล่อยไว้ไม่ได้"

    ผมเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงสั่นเทา ความโกรธที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ลุกโชนเข้ามาในตัวผม ร่างทั้งร่างของผมสั่นเทาด้วยความแค้น ผมเงยหน้าไปยังทางต้นเสียงหัวเราะนั่น

    "ตามมาเลย โพนี่ทั้งหลาย" ผมบอกกับทุกคน ก่อนที่จะกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางที่เป็นซากถนนแล้วนำทางทุกตัวไปยังทิศทางนั้น

    รอก่อนนะน้องพี่ พี่มาช่วยแล้ว ผมคิดพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วมากยิ่งขึ้น

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×