ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกความฝัน

    ลำดับตอนที่ #1 : (บันทึกความฝัน) ฝ่าหอคอยนรกเอเลี่ยน

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 54


    เรื่องมันเริ่มต้นตอนที่ชายคนหนึ่งโดนพวกเอเลี่ยนที่กำลังมาทำสงครามกับโลกจับตัวไป ในอดีตเขาเป็นใครเขาก็จำไม่ค่อยจะได้ รู้แต่ว่า เขากำลังโดนพวกเอเลี่ยนจับเขาติดกับเครื่องอะไรบางอย่างในสภาพที่เป็นเหมือนห้องทดลอง ที่หัวของเขานั้นมีเครื่องอะไรบางอย่างที่เจาะทะลุเข้าไปในหัวของเขาเล็กน้อย เมื่อพวกเอเลี่ยนสั่งให้เครื่องจักรทำงาน เขาต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เหมือนมีข้อมูลอะไรบางอย่างของฝั่งเอเลี่ยนที่เขาไม่เข้าใจนัก

    เขาถูกทรมานทรกรรมแบบนี้กว่าหนึ่งเดือน จนเขาเริ่มจำไม่ได้แล้วว่าตัวเขานั้นเป็นใคร และอยู่เพื่ออะไร เขารู้แต่ว่า ทุกๆ วัน เขาต้องโดนพวกเอเลี่ยนคุมตัวเข้าไปจับทรมานยัดอะไรบางอย่างในหัวสมองของเขาอีก

    และวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ในห้องคุมขังขนาดเล็ก พวกเอเลี่ยนก็ได้เดินเข้ามา เหมือนมันจะพูดภาษาของมันเพื่อเรียกเขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันพูดอะไร ซํ้าเขาไม่อยากสนใจที่จะเงยหน้าไปมองพวกมันด้วยซํ้า พวกมันจึงบุกเข้าไปในห้อง เตะจานใส่อาหารที่เขาไม่สนใจที่จะหยิบมันขึ้นมากินจนอาหารในจานหล่นเรี่ยราดเต็มพื้น พวกมันใช้กำลังฉุดกระซากให้เขาลุกขึ้น ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียกเพราะหมดทั้งเรี่ยวแรงและกำลังใจ เอเลี่ยนอีกตัวจึงมาหิ้วปีกเขาอีกข้างก่อนที่จะหามเขาออกจากห้องคุมขัง ไปยังทางเดินที่มีพื้น ผนัง และเพดานเป็นสีขาวและสีฟ้า

    สรุปแล้ว เราเป็นใครกันแน่นะ เขาคิดในขณะที่เขาโดนพวกมันกึ่งหามกึ่งลากไปยังห้องที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งเขารู้ดีว่าเขากำลังจะโดนอะไรต่อไป

    พวกเอเลี่ยนตนหนึ่งเดินไปที่หน้าประตูซึ่งมีอยู่บานเดียว มันยื่นอวัยวะของมันที่คล้ายๆ กับมือไปข้างหน้า ประตูเลื่อนเปิดออกไปข้างๆ เองโดยที่ร่างกายของมันไม่ได้สัมผัสกับประตู แต่ทันใดนั้น เขาก็พบกับมนุษย์คนหนึ่งที่ยืนขวางทางพวกมันอยู่ในห้องทดลอง

    พวกมันดูเหมือนตกใจอย่างมากที่เจอมนุษย์ในห้องทดลอง แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะชักอาวุธขึ้นมา ชายคนนั้นก็จัดการพวกเอเลี่ยนจนพวกมันล้มลงไปนอนกองกับพื้น ชายคนที่โดนหิ้วปีกมาล้มทรุดไปนอนกองกับพื้น

    คนที่มาช่วยนั้นก้าวข้ามร่างของพวกเอเลี่ยนไปหาเขา ซึ่งเขาก็เริ่มสงสัยแล้วว่า ชายคนนี้เป็นใคร เขาเงยหน้าขึ้นมอง

    เขาเป็นชายร่างใหญ่ เนื้อตัวลํ่ากำยำ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นจนเผยให้เห็นกล้ามของเขา ใบหน้าของเขามีเคราและมีรอยแผลเป็นบนหน้าของเขา ตามเข็มขัดของเขามีอาวุธปืนพก กระสุน และระเบิดติดอยู่

    "เป็นอะไรไหม ท่านนายพล" ชายคนนั้นถาม

    "นาย...พล ... ?" เขาถามด้วยนํ้าเสียงแหบแห้ง

    "ท่านนายพล อย่าบอกนะว่าพวกมันจับล้างสมองท่านไปแล้วนะ ท่านคือหนึ่งในผู้นำของพวกเราที่ต่อกรกับพวกเปรตอวกาศนะ" ชายร่างบึกรีบทักเขา

    ผู้นำเหรอ เขาคิดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

    'อย่าเพิ่งคุยอะไรตอนนี้เลย พวกเอเลี่ยนมันคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นายรีบพาท่านออกมาพบฉันก่อนละกัน' มีเสียงบุคคลที่สามดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร

    "ได้" ชายร่างบึกพยักหน้า ก่อนที่จะจับแขนของคนที่เขาเรียกว่า นายพล ขึ้นพาดบ่า

    "เรียกฉันว่าพยัคฆ์ จำชื่อผมให้ดีๆ นะ ท่านนายพล" เขายิ้มให้กับเขา

    ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะแทบไม่เหลือความสนใจที่จะมีชีวิตต่อ แต่การมาของชายที่ชื่อ พยัคฆ์ ทำให้เขาเริ่มสนอกสนใจสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้น

    พยัคฆ์พาเขาเข้าไปในห้องทดลอง ที่นั่นตรงข้างล่างมีช่องระบายอากาศอยู่ มันมีความสูงเท่ากับผู้ใหญ่ยืนตัวตรงพอดี พยัคฆ์พาเขาเข้าไปในนั้น ก่อนที่จะรีบปิดช่องระบายอากาศ ก่อนที่จะพาเขาไปยังตามทางเดิน พวกเขาผ่านช่องระบายอากาศบางช่อง ที่ข้างนอกดูเหมือนพวกเอเลี่ยนกำลังทำอะไรบางอย่าง บางช่อง เขามองเห็นพวกเอเลี่ยนกำลังรักษาพยาบาลพวกตัวเองที่ดูแล้วน่าขยะแขยงมาก บางช่องพวกมันกำลังวิ่งไปตามทางเดิน โดยมีอาวุธเต็มมือ และบางช่องเต็มไปด้วยพวกมันที่ใส่ชุดเหมือนชุดกาว ทำการทดลองอะไรบางอย่าง

    พยัคฆ์หิ้วเขาไปตามทางเดินราวเกือบครึ่งชั่วโมง เขาพยายามที่จะเดินด้วยตัวเองบ้าง แต่เขาแทบจะไม่มีแรงยกแขนขึ้นเลย

    "ไม่ต้องห่วงนะท่าน เราใกล้ถึงแล้ว" พยัคฆ์บอกเขา

    ถึงเหรอ ถึงอะไร เขาคิดอย่างสงสัย

    ทั้งสองคนมาถึงช่องระบายอากาศช่องหนึ่งที่ฝาไม่ได้ปิด และเมื่อพยัฒฆ์พาเขาขึ้นไปข้างบน ก็พบว่านี่เป็นห้องคุมขังห้องหนึ่ง แต่ที่แตกต่างก็คือ มีจอคอมพิวเตอร์มากมายนับสิบๆ จอ พร้อมกับมีคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เศษถุงอาหารและขนมกระจายเต็มพื้นไปทั่ว

    ชายคนนั้นหันหลังกลับมา เขามีรูปร่างอ้วน สวมชุดอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนคล้ายกับชุดของพวกเอเลี่ยน ใบหน้าของเขายิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองคน

    "พยัคฆ์ ท่านนายพล มาๆๆ มาเลย กำลังรออยู่พอดี" ชายร่างอ้วนกล่าวทักทาย

    "ว่างๆ เก็บของบ้างก็ดีนะดิว รกสุดๆ เลย" พยัฒฆ์ทักเขา

    "ช่างมันปะไรซี่ มดไม่มีขึ้นมาซะหน่อย แถมฉันก็คงไม่อยู่ที่นี่แล้วหละ" ชายร่างอ้วนที่ชื่อ ดิว ตอบ

    "นี่นาย... เป็นพวกเดียวกับพวกมันเหรอ" ชายที่ชื่อ นายพล ถาม

    "เริ่มพูดได้มากขึ้นแล้วสินะ ไม่แปลกหรอก ในห้องขังนั้นมันทำให้พวกเราหมดเรี่ยวหมดแรงกันหมดแหละ ยกเว้นห้องของฉันนี่แหละ" ชายที่ชื่อดิวบอก "เปล่า ฉันไม่ใช่พวกมันหรอก ฉันเป็นสายลับต่างหาก"

    "สายลับ..." เขาถามอย่างสงสัย

    ดิวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ซึ่งเขาสังเกตว่าเก้าอี้ตัวนี้ไม่มีขา มันลอยอยู่เหนือพื้นโดนมีแสงสีฟ้าเล็กๆ อยู่ ดิวเข้ามาจับผน้าผากและเหมือนจะดูตาของเขาราวกับเช็ดอาการของเขา

    "ถึงตอนนี้ท่านจะจำอะไรไม่ได้ แต่เดี๋ยวท่านก็จะจำได้เองแหละ" ดิวบอกเขา "แต่เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น และกับท่านเองด้วย"

    พยัคฆ์พาเขาไปยังเก้าอี้อีกตัวให้เขานั่ง แล้วเขาก็ยิ้มพลางหันหน้าให้เขาไปดูจอคอมพิวเตอร์ข้างหน้า

    ดิวกดแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะเลื่อนเก้าอี้ลอยได้ถอยไปข้างๆ เพื่อให้ทั้งสองคนดูบนจอคอมพิวเตอร์

    "เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน" ดิวอธิบาย "จู่ๆ พวกเอเลี่ยนมันมาจากไหนก็ไม่รู้ มาถล่มโลกเราซะเกือบราบ"

    ภาพบนจอคอมพิวเตอร์นั้นฉายภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่พวกเอเลี่ยนบุกถล่มโลก เมืองต่างๆ ลุกเป็นไฟ เสียงผู้คนร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดดังไปทั่ว

    "การสู้รบของพวกทหารนั้นใช้เวลาสองเดือน ในที่สุดกำลังของพวกทหารก็โดนพวกมันฆ่าจะเกือบเรียบ แน่นอนว่าเทคโนโลยีพวกมันสูงกว่าอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าเราจะสู้พวกมันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างชนะ ต่างแพ้ไปเรื่อยๆ และพวกเอเลี่ยนมันก็ได้สร้างหอคอยสูงเสียดฟ้าขึ้น เพื่อเป็นศูนย์บัญชาการของพวกมัน ก็คือที่นี่นะแหละท่านนายพล"

    ภาพบนจอนั้นให้เห็นหอคอยสีเงินสูงขึ้นจนหายเข้าไปเทียมเมฆ

    "ที่นี่นะเหรอ" เขาถาม

    "ใช่ท่านนายพล ท่านเริ่มพูดชัดขึ้นละนิ ทีนี้ ท่านนะก็เป็นคนที่ชักนำพวกเราร่วมมือกับพวกทหารในการจัดการพวกเอเลี่ยนยังไงหละ การรบของท่านเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ท่านสามารถยึดประเทศจีนมาจากพวกมันได้เลยนะ เรียกได้ว่าท่านเนี่ยแหละมันเทพชัดๆ จนพวกเอเลี่ยนมันยังขวัญผวาเลย"

    เราเนี่ยนะ เขาคิด

    "และเมื่อท่านรู้เรื่องที่พวกเอเลี่ยนสร้างหอคอยนี่ขึ้นมา ท่านก็ได้ส่งคนเข้าไปสอดแนมพวกมัน แน่นอนหละว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ผมต้องอดทนให้พวกมันเชื่อใจถึงหนึ่งอาทิตย์ว่าผมยอมเป็นพวกเดียวกับมันแล้ว ผมจึงใช้ความสามารถในการแฮดกิ้งข้อมูล ให้รู้ว่าพวกมันทำอะไรจะไปรบที่ไหนบ้าง ขณะเดียวกัน ผมก็ต้องบอกข่าวพวกมันด้วยว่าพวกเราอยู่ที่ไหนกันบ้าง แต่หลักๆ ผมก็ไม่ได้บอกหมดหรอก แต่ผมก็ต้องระวังเต็มที่ ไม่อย่างนั้นพวกมันได้ฆ่าผมแน่ๆ

    "อาทิตย์ต่อมา หลังจากที่ผมส่งข่าวเรื่องราวของหอคอยนี่ให้ท่านเป็นระยะๆ ท่านก็ได้ตัดสินใจที่จะหาทางระเบิดหอคอยที่เป็นศูนย์บัญชาการนี้ทิ้งซะ เพื่อให้พวกมันเสียเปรียบ แต่โชคร้าย ที่ตอนนั้นพวกเอเลี่ยนมันใช้พวกท่านทดสอบความภักดีของผม พวกมันได้แอบดักตรวจจับความเคลื่อนไหวทั้งหมดโดยผ่านทางผม แน่นอน ผมรู้แหละว่าพวกมันทำอะไร แต่ผมเตือนพวกท่านไม่ได้ ในที่สุด ลูกทีมของท่านก็โดนพวกมันฆ่าตายหมด ยกเว้นท่าน ซึ่งตอนนี้พวกมันเห็นละว่าท่านเป็นผู้นำที่ดีที่สุดของมนุษย์โลก พวกมันเลยคิดใช้ประโยชน์จากท่าน โดยการให้ท่านเป็นเหมือนพวกเดียวกับมัน และใช้ความสามรถของท่านในการวางแผนจู่โจมมนุษย์โลกยังไงหละ"

    "ไม่มีทาง" เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังเหมือนยืนไม่เป็น พยัฒฆ์รีบเข้ามาจับเขาให้นั่งลงทันที

    "ดูเหมือนท่านนายพลของเราจะเริ่มรู้ละว่าอะไรเป็นอะไร" พยัคฆ์ยิ้มหน้าเครียด

    "พวกมันเลยพยายามลบความทรงจำของท่านทิ้ง แล้วถ่ายทอดข้อมูลของพวกมันทั้งหมดใส่เข้าไปในสมองของท่าน แน่นอนว่าสมองของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อน ถ้าพวกมันทำอะไรพลาด มันอาจทำให้ท่านความจำเสื่อมไปเลย พวกมันเลยต้องค่อยๆ ยัดข้อมูลของฝ่ายมันไปทีละเล็ก ทีละน้อย เพื่อให้ท่านค่อยๆ กลายเป็นพวกของมัน นี่หากพยัคฆ์ไม่มาช่วยท่านนะ อีกสองสามวัน ท่านคงเป็นพวกมันเต็มตัวแล้วหละ"

    "ดีนะที่ผมมาทันเวลาพอดี" พยัคฆ์ยิ้ม

    "ทันทีที่ผมรู้ว่าพวกมันทำอะไรท่าน ผมรีบส่งข่าวให้ศูนย์บัญชาการโลกรู้เรื่องนี้ และพยัคฆ์ก็เป็นคนเดียวที่ยอมเสี่ยงตายบุกเดี่ยวเข้ามาในหอคอยนรกนี่เมื่อห้าวันก่อน ไม่นึกเหมือนกันนะว่านายจะลอบเข้ามาได้ง่ายๆ แบบนี้" ดิวยิ้ม

    "อย่าดูถูกความสามารถของอั้วนะเฟ้ย" พยัคฆ์ยืดอก

    "แล้ว นายมาช่วยเราแบบนี้ พวกมันไม่รู้ตัวเหรอ" เขาถามดิว

    "ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมแฮ้คกิ้งระบบมัน ให้พวกมันเห็นว่าผมกำลังนั่งทำงานอยู่ตามปกติตามคำสั่งพวกมัน พวกมันจึงไม่รู้ว่าผมให้การช่วยเหลือพวกคุณ" จากนั้นสีหน้าของดิวก็เริ่มเครียดขึ้น "แต่เราต้องรีบพาท่านออกไปจากที่นี่ เพราะตอนนี้สถานการณ์บนโลกเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ กำลังคนที่สู้กับพวกมันก็ร่อยหรอลง ตอนนี้เลยเริ่มมีการเกณฑ์กำลังให้เด็กเข้าสู่สนามรบแล้วหละ"

    "เด็กงั้นเหรอ" เขาถามด้วยความตกใจด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ เป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นมานาน

    "ใช่ เพราะพวกมันเริ่มรุกเข้ามาใกล้ศูนย์บัญชาการของโลกมากขึ้น ทำให้กำลังพลล้มตายไปมาก องค์การสหประชาชาติและนาโต้เลยไม่มีทางเลือก ที่ต้องจับเด็กเข้ามาเป็นทหาร เพราะถ้าเราเสียศูนย์บัญชาการของโลกไป เมื่อนั้น มนุษย์ชาติคงได้สูญพันธ์กันหมดแน่" ดิวตอบ

    เขาก้มหน้าลงมองพื้น มองดูเศษขนมที่เหมือนดิวกินทิ้งเอาไว้

    ถึงฉันจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่เราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เขาคิด

    "พาฉันออกไปจากที่นี่" เขาเงยหน้าบอกพยัคฆ์

    "ต้องอย่างนี้ซิ ท่านนายพลของผม" พยัคฆ์ยิ้ม

    "เอาหละ ทางหนีทางเดียวก็คือ พวกนายต้องใช้ลิฟต์ของพวกเอเลี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นช่างทำความสะอาดตามช่องระบายอากาศ ซึ่งตำแหน่งนี้" ดิวชี้ไปบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีรูปแผงผังของหอคอยอยู่ "วันนี้พวกมันไม่ได้ทำกันที่นั่น ท่านสามารถใช้เส้นทางนั้นหลบหนีไปได้เลย แต่พอไปที่ลิฟต์นั้นแล้ว ผมจะไม่สามารถติดต่อพวกท่านได้อีก หลังจากนั้นก็ต้องช่วยตัวเองแล้วหละนะ"

    "เอาสิ" เขาพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขายืนตัวโงนเงนเหมือนยืนไม่เป็น พยายามที่จะทรงตัวให้ได้ แต่ในที่สุดเขาก็สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง

    "พยัคฆ์ พาท่านนายพลไปตามทางนี้นะ ขอให้โชคดีนะท่าน" ดิวทำท่าตะเบ๊ะ ทำความเคารพเขา

    "แล้วฉันจะได้เจอนายอีกไหม" เขาถามดิว

    "ถ้าโลกเราเป็นฝ่ายชนะนะ" ดิวยิ้ม

    เขาพยักหน้า ก่อนที่จะก้มตัวตามพยัคฆ์ เข้าไปในช่องระบายอากาศ

    "ความหวังของมนุษย์ชาติ ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ท่านนายพล" ดิวยิ้มมองดูทั้งสองคนจากไป

    พยัคฆ์นำทางเขาไปตามทางในช่องระบายอากาศเรื่อยๆ ตอนแรกๆ ดูเหมือนเขาจะเดินไม่ถนัด แต่เหมือนเขาจะเริ่มจำวิธีการเดินได้ ทำให้ตอนนี้เขาสามารถเดินตามได้โดยไม่ต้องให้พยัคฆ์ช่วย แม้ว่าเขาจะเริ่มเหนื่อยหอบเพราะไม่ได้ลุกมาเดินเป็นเดือนแล้วก็ตาม

    ผ่านไปเกือบสิบนาที พยัฒฆ์นำทางไปจนพบลิฟตัวหนึ่งที่มีรูปร่างวงกลม มันมีความกว้างราวๆ เมตรกว่า แต่ที่นั่นเขาพบกับคนที่ไม่พึงประสงค์ด้วย นั่นก็คือ

    "เอเลี่ยน" พยัคฆ์หยืบปืนพกจ่อที่เอเลี่ยนตัวนั้น

    เอเลี่ยนตัวนั้นการแต่งกายแตกต่างจากเอเลี่ยนตัวอื่นๆ ในสายตาของเขา มันน่าจะเป็นเอเลี่ยนที่ปวกเปียกที่สุดในบรรดาเอเลี่ยนที่เขาเห็นทั้งหมด

    "อย่า....ยิง....ข้า....มะนุด....โลก" มันพูดเสียงตะกุกตะกัก

    "พูดภาษาเราได้ด้วยเหรอ" เขาถาม

    "อย่าเชื่อใจมัน ท่านนายพล พวกมันรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน เราจบเห่แน่" พยัคฆ์เตือนเขา

    "ไม่...ข้า....จะ....ไม่ทำอะ....ไร....พวก....ท่าน.....ข้า....เป็นแค่....คนทำ....ความ.....สะอาด.....เท่า....นั้น" เอเลี่ยนยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ตัวของมันสั่นเทิ้ม

    กริ๊ก!

    พยัคฆ์ปลดเซฟปืนพกแล้วเล็งที่หัวของมันทันที

    "โทษทีนะพวก" พยัฒฆ์เอ่ยด้วยนํ้าเสียงโหดเหี้ยม

    "อย่า" เขาห้าม

    อะไรท่าน จะห้ามทำไม" พยัคฆ์ฆ์ถามด้วยความสงสัย

    เขาสบตากับพวกเอเลี่ยน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขาคิดไม่ผิด

    "ปล่อยมันไปเถอะ มันก็ต่างจากฉันหรอก" เขาบอก

    "หมายความว่าไง" พยัฒฆ์ถาม แต่เขาก็ยังไม่ลดปืนลง

    "ในหัวของฉัน เหมือนกับรู้เรื่องพวกนี้" เขาเอามือกุมหัวเล็กน้อย "ใช่ พวกเอเลี่ยนก็มีจำนวนไม่น้อยที่โดนบังคับให้เข้าร่วมสงครามกับโลกของเรา พวกที่ไม่เห็นด้วยหลายตัว มักจะโดนบังคับให้ทดลองอาวุธใหม่ๆ ไม่ก็โดนบังคับให้มาเป็นคนรับใช้ ไม่อย่างนั้นก็จะโดนฆ่าเสียเอง"

    "ใช่...ใช่...ท่าน....พูด....ถูก" เอเลี่ยนตัวนั้นพยักหน้า

    "ถ้านายยอมเปิดทางให้พวกฉันหลบหนี ฉันจะไม่ทำอะไรนาย" เขาต่อรองกับเอเลี่ยนตัวนั้น

    "ได้...ได้....ตก....ลง.....ข้า...ยิน...ดี" เอเลี่ยนตัวนั้นเอ่ยด้วยนํ้าเสียงดีใจ

    "แต่ท่านนายพล ท่านจะเชื่อใจพวกเอเลี่ยนไม่ได้นะ" พยัคฆ์เตือนเขา

    "แต่ฉันเชื่อใจเขา" เขาบอก

    พยัคฆ์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่จะลดปืนลง

    "เอาหละ แล้วแต่ท่านเลยท่านนายพล เอาหละ เอ็งนะ จะไปไหนก็ไป แต่ถ้าปากโป้งบอกละก็ ฉันเอาแกเละแน่"

    "ได้....ข้า...จะ...ไม่....ทำ" เอเลี่ยนตัวนั้นก้มหัว

    มันเดินหลบทางให้พยัคฆ์และเขาเข้าไปในลิฟต์แต่โดยดี ซึ่งพยัคฆ์ยังจ้องมองดูมันอย่างไม่ไว้วางใจ จากนั้นเขาก็กดปุ่มเพื่อให้ลิฟต์ทำงาน ลิฟต์เคลื่อนที่ลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งเขาและพยัคฆ์ก็ไม่ได้ตัวลอยขึ้นตามความเร็วของลิฟต์

    เขาเอาหลังชนฝากับผนังลิฟต์ เอามือกุมขมับที่ศีรษะ

    "เป็นอะไรไหมท่าน" พยัคฆ์ถามเขา

    "แค่ปวดหัวนิดหน่อย เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ฉันยังนึกไม่ออก" เขาตอบ

    "อดทนหน่อยนะท่าน ดิวบอกว่าเดี๋ยวความทรงจำของท่านก็จะกลับมาเอง" พยัคฆ์ปลอบโยนเขา

    "ขอบใจมากนะ พยัฒฆ์" เขายิ้ม

    ลิฟต์พาทั้งคู่ลงไปตามทางด้วยความเร็วสูง จนอาจสงสัยได้ว่า ตกลงแล้วหอคอยแห่งนี้ มันมีความสูงเท่าไหร่กันแน่

    ---------------------------

    ระหว่างนั้นทางฝั่งนอกหอคอย สงครามระหว่างมนุษย์โลกกับเอเลี่ยนกำลังดำเนินอยู่ ตึกรามบ้านช่องอยู่ในสภาพปรักหักพัง เสียงปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานดังขึ้นเป็นระยะๆ เครื่องบินรบของโลกบินต่อสู้กลางอากาศกับยานรบทรงกลมของเอเลี่ยน เปลวเพลิงพวงพุ่งออกมาตามที่ต่างๆ ราวกับสงครามนี้เพิ่งจะเริ่มต้น

    ที่สถานีรถไฟใต้ดิน เด็กจำนวนมากกำลังต่อแถวเพื่อเข้ารับการเป็นทหาร เสียงระเบิดดังจากบนผิวดิน ทำให้รอบๆ สถานีรถไฟใต้ดินสั่นไหว โคมไฟแกว่งไปมา แต่ดูเหมือนหลายคนที่อยู่ที่นี่จะเจอกันจนเป็นเรื่องปกติแล้ว เด็กหลายคนร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองโดนกันไม่ให้เข้ามา ต่างพยายามโอดครวญขอร้องอย่าเอาลูกตัวเองไปสู้รบ

    "ตัวเล็ก เธอไปอยู่กองพันหนึ่ง ส่วนเธอ ไปอยู่กองพันสอง" ทหารคนหนึ่งซึ่งขาของเขาข้างหนึ่งขาด เขาได้ประทับตราชื่อเด็กคนนี้

    "พี่ครับ ผมขออยู่กับเธอได้ไหมครับ พวกเราทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันนะครับ" เด็กผู้ชายเอ่ยขอร้องกับนายทหาร เด็กผู้หญิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ดูเหมือนทั้งคู่จะอายุแค่ 11 - 12 ขวบเท่านั้น

    "ไม่ได้หรอกน้อง จำนวนคนแต่ละกองพันจะไม่พอนะ" นายทหารส่ายหัวปฏิเสธ "เอาหละ เข้าไปรับอาวุธได้เลย คนต่อไป"

    เด็กผู้หญิงโดนทหารคุมตัวเข้าไปในอีกส่วนหนึ่ง ในขณะที่เด็กผู้ชายยื่นมือไป ทำท่าว่าจะจับมือของเธอให้ได้ แต่แล้วก็โดนทหารคนทื่ยืนคุมอยู่กันไม่ให้ตามเธอไป แล้วก็โดนบังคับให้เดินเข้าไปในอีกทางหนึ่ง เด็กผู้ชายชะเง้อมองดูเพื่อนของเธอเดินจากไป ก่อนที่เขาจะยอมก้มหัวแล้วทำตามคำสั่งของนายทหารคนนี้

    --------------------------

    ระหว่างนั้นในหอคอย ลิฟต์ขนส่งก็ยังลงไปเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีตัวเลขบอกชั้นด้วยว่านี่มันชั้นที่เท่าไหร่ ทั้งสองคนจึงได้แต่นั่งคอยไปเรื่อยๆ

    อดีตคนที่เป็นนายพลนั่งกับพื้นลิฟต์ เสียงท้องของเขาร้องโครก ดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้ละว่า ความหิวคืออะไร

    "นี่ครับ ท่าน" พยัคฆ์ยื่นของบางอย่างให้เขา "กินซะหน่อย"

    มันมีรูปร่างคล้ายขนมห่อรูปทรงสีเหลี่ยมเป็นก้อน แต่มันมีสีทองอมนํ้าตาล เขารับมาพร้อมกับลองกัดกินดู มันมีความเหนียวที่เยอะแต่ก็เคี้ยวได้ไม่ยาก เขาเริ่มกินคำต่อไปทันทีด้วยความหิวโหย

    "ขอบใจนะ" เขาบอกขอบคุณ

    "เรื่องเล็ก ท่านนายพล" พยัคฆ์ยิ้ม "อาหารสิ่งนี้ ก่อนเกิดสงคราม ผมเคยคิดเล่นๆ นะว่าถ้ามีคนทำจริงๆ คงจะทำให้อิ่มท้องได้ยาวเลยทีเดียวโดยไม่ต้องกินข้าวเป็นจานๆ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีในช่วงสงครามด้วย"

    "งั้นเหรอ" เขาถาม เขายัดกินของที่อยู่ในมือหมดแล้ว เริ่มรู้สึกอิ่มในทันที "ถามหน่อยซิ พยัคฆ์ก่อนที่จะเกิดสงคราม โลกเราเป็นยังไง"

    "ก็ ไม่มีอะไรมาก สังคมสงครามเศรษฐกิจนะ ทุกคนต่างพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่มันก็ไม่ได้แย่เท่าสงครามหรอก รู้ไหมท่าน ผมเคยคิดนะว่า ถ้าเกิดสงครามแนวนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็คงดี เพราะก่อนหน้านี้มนุษย์อย่างพวกเราแตกแยกกันก็เยอะ ทำสงครามกันเองก็เยอะ ถ้าเกิดมีเอเลี่ยนบุกเข้ามา ก็คงทำให้มนุษย์หลายคนร่วมมือร่วมใจกันได้แหละ แต่เอาจริงๆ ก่อนที่พวกเราจะมาร่วมมือร่วมใจกันได้ พวกเราก็ตายไปกว่าครึ่งโลกแล้ว พวกมันมาทำอะไรในโลกของเรา ผ่านมาครึ่งปีก็ยังไม่มีใครรู้เลย"

    "กอบโกยทรัพยากร" เขาเอ่ย

    "อะไรนะท่าน" พยัคฆ์ถาม

    "เหมือนข้อมูลที่พวกมันยัดใส่หัวฉันมา จะมีแผนการทั้งหมดอยู่" เขาบอก พลางหลับตาพยายามนึก "พวกมันมาที่นี่เพื่อมากอบโกยทรัพยากรของโลกเราเพื่อไปฟื้นฟูดาวของมันนะ"

    "แสดงว่าพวกมันก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องมาบุกโลกเราสินะ" พยัคฆ์ถอนหายใจ

    "ใช่ ดาวของพวกมันก็ใกล้ตายเหมือนกัน" เขาตอบ พลางเอามือกุมศีรษะ "ถ้าฉันนึกอะไรออกได้มากกว่านี้ก็คงดี"

    พยัคฆ์เอามือจับที่หัวไหล่ของเขา พลางสบตาและยิ้ม ราวกับต้องการปลอบโยนใจให้เขาสบายใจขึ้น

    "ไม่ต้องห่วง ไม่นาน ท่านก็จะจำได้เอง" พยัคฆ์ยิ้ม

    ลิฟต์เริ่มเคลื่อนที่ช้าลง จนในที่สุดมันก็หยุด ประตูลิฟต์ก็เปิดออก

    "เอาหละ ไปดูกันว่าทางออกอยู่ที่นี่ไหม" พยัคฆ์บอก

    "อืม" เขาพยักหน้า พลางลุกขึ้นยืน

    พยัคฆ์หยิบปืนพกออกมาเพื่อความปลอดภัย จากนั้นเขาก็เดินนำเข้าไปในทางเดินด้วยความระมัดระวัง

    ทางเดินที่ว่านีก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากช่องระบายอากาศข้างบนนัก เส้นทางนั้นไม่มีทางแยก แต่เมื่อพวกเราเดินเข้ามาเรื่อยๆ กลับไม่พบถึงเส้นทางที่จะออกไปข้างนอกเลย

    "มันยังไงกันเนี่ย เจ้าดิวมันบอกทางผิดรึเปล่า" พยัคฆ์บ่น

    ทันใดนั้น ตรงเหนือหัวพวกเขา ได้มีจอภาพปรากฎขึ้นกลางอากาศ และภาพบนจอก็คือ เอเลี่ยนตัวที่เขาปล่อยตัวไปนั่นเอง

    'มะนุด...โลก....ข้า...ขอ....อภัยด้วย' เอเลี่ยนตัวนั้นเอ่ยด้วยนํ้าเสียงกระวนกระวาย

    "มีอะไร" เขาถามมัน

    'เรื่อง...ของ...พวกท่าน....แตก....แล้ว....คน...อื่นๆ....รู้ตัวแล้ว...เลยส่ง....ท่าน....ไป...หา....กับ....ดัก....'

    "กับดักเหรอ กับดักอะไร" พยัคฆ์ถาม

    ทันใดนั้น มีแสงไฟส่องรอบๆ ทางเดินของพวกเขาทั้งสองคน และมีแสงเลเซอร์สีแดงจำนวนมากส่องมาที่พวกเขา พร้อมกับหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายป้อมปืนกำลังเล็งพวกเขาทั้งคู่

    "แย่ละสิ" พยัคฆ์สบถดังลั่น

    เขามองไปรอบๆ ไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว เพราะหุ่นยนต์ตัวที่ว่านี้ปิดทางเข้าออกเอาไว้หมด

    'ท่าน...มะนุด....โลก...ท่าน....จะ...ช่วย....ยุติ....สง....คราม.....ระหว่าง....เรา....ได้.....ไหม' เอเลี่ยนตัวนั้นถาม

    "จะตายกันอยู่แล้ว จะหยุดได้ยังไงว่ะ" พยัคฆ์ด่าด้วยความไม่พอใจ

    เขายืนนิ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าตอบเอเลี่ยนตัวนั้น

    "ต้องได้สิ ต้องทำได้" เขาตอบ

    เอเลี่ยนตัวนั้นแสดงสีหน้าออกมาด้วยความโล่งอก

    'ถึง...ข้า....จะ...ทรยศ....กับ....เผ่า...พันธุ์....แต่....ข้า....จะ...ช่วย....ท่าน' เอเลี่ยนตัวนั้นเอ่ย

    "หมายความว่ายังไง" พยัคฆ์ถามด้วยความสงสัย

    สีหน้าของเขานั้นซีดลงมากขึ้นเมื่อเขาเข้าใจความหมายของเอเลี่ยน

    "ไม่ อย่าทำแบบนี้นะ" เขาตะโกนเสียงดังลั่น

    'ช่วย...ยุติ....สงคราม....นี้ด้วย'

    จอภาพดับลงในทันที และจากนั้น หุ่นยนต์ทั้งหมดก็เริ่มปิดตัวเอง แสงเลเซอร์สีแดงก็หายไป ราวกับว่ามีคนปิดเครื่องพวกมัน

    "ปิดแล้ว ? เอเลี่ยนตัวนั้นมันช่วยพวกเราจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ" พยัคฆ์พึมพำ

    เขาหอบหายใจดังลั่น เหงื่อของเขาแตกซิก

    "ท่านนายพล เป็นอะไรไหม" พยัฒฆ์ถามด้วยความเห็นห่วง

    "ไม่ ฉันก็แค่" เขายังหอบหายใจอยู่

    มีเสียงเหมือนเครื่องจักรกำลังมา พยัฒฆ์จับมือของเขาทันที

    "เราต้องรีบออกไปจากที่นี่" พยัคฆ์บอกกับเขา ก่อนที่จะฉุดให้เขาวิ่งตามกลับไปยังลิฟต์ และเมื่อพวกเขาเข้าไปในลิฟต์แล้ว พยัคฆ์รีบกดให้มันทำงานต่อทันที ประตูลิฟต์ปิดลง เผยให้เห็นกองทัพเอเลี่ยนและหุ่นยนต์หลายสิบตัววิ่งไล่ตามมา ลิฟต์ลงไปชั้นล่างพอดีก่อนที่พวกมันจะยิงใส่ด้วยอาวุธของพวกมัน

    "ฟู่ เกือบไปแล้วไหมหละ ต้องขอบใจเอเลี่ยนตัวนั้นนะแหละที่ช่วยพวกเรา" พยัคฆ์ปาดเหงื่อบนหน้าผาก

    "ตาย" เขาพึมพำ

    "อะไรนะท่าน" พยัคฆ์ถาม

    "เอเลี่ยนตัวนั้น เพื่อช่วยพวกเรา มันถึงกับยอมสละชีวิตตัวเอง" เขาอธิบาย "เอเลี่ยนทุกตัวจะถูกฝังซิปเอาไว้ที่สมอง ถ้าใครทำการทรยศกับพวกเดียวกันแล้ว ซิฟในสมองจะระเบิดทันที"

    พยัคฆ์หน้าซีดลงในทันที

    "แสดงว่าเอเลี่ยนตัวนั้นก็ไม่ได้มีประสงค์ร้ายตั้งแต่แรกเลยสินะ" พยัคฆ์ถาม

    "ใช่" เขาพยักหน้า "เราต้องรักษาสัญญาให้มัน และฉันจะเป็นคนหยุดสงครามนี้เอง"

    พยัคฆ์เอามือจับหัวไหล่เขาอีกรอบ และยิ้มให้

    "ท่านต้องทำได้อยู่แล้ว ท่านนายพล" พยัคฆ์บอก

    และนี่ ก็เป็นครั้งแรก ที่เขายิ้มให้

    ลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนช้าลงเรื่อยๆ จนมันหยุดและประตูลิฟต์เปิดออก

    "ไปกันเถอะ" พยัคฆ์บอก

    "อืม" เขาพยักหน้า

    พยัคฆ์หยิบปืนพกขึ้นมาอีกครั้ง และเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทางเดินนั้นเป็นเส้นทางตรงทางเดียว และสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ

    "แสงสว่าง" เขาพึมพำ

    "หรือว่า" พยัคฆ์มองไปข้างหน้า

    เขาไม่รอช้า ที่จะรีบวิ่งแซงพยัคฆ์ไปข้างหน้า และเมื่อเขาวิ่งออกไปจนสุดทาง แสงสีขาวส่องวาบเข้าที่ตาของเขาจนเขามองอะไรไม่เห็น เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นลม กลิ่นนํ้าเค็มและสายลมที่พัดเข้ามา เขาได้ยินเสียงคลื่นกระทบ ได้ยินเสียงใบไม้ไหม ได้ยินเสียงสายลม มันเป็นเสียงที่เขาแทบจะลืมมันไปแล้ว

    "ที่นี่มัน...หวอ!"

    เขาร้องเสียงดังลั่น ก่อนที่เขาจะเหยียบอะไรบางอย่างแล้วลื่นจะตกลงไป มือข้างหนึ่งคว้าจับเข้าที่มือของเขาอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาปรับตัวกับแสงได้แล้ว เขามองไปรอบๆ

    เขามองเห็นทะเลที่คลื่นกระทบกับฝั่ง เขากำลังลอยอยู่เหนือหน้าผาสูงชัน ท้องฟ้าสดใสมีชีวิตชีวา เสียงคลื่นนํ้าทะเลกระทบฝั่งเป็นระยะๆ

    "นะ นั่นมันอะไร" เขายกมืออีกข้างชี้ไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า"

    "นั่นนะเหรอ" พยัคฆ์ถาม พลางฉุดให้เขาขึ้นมา "แสงสว่างยังไงหละท่านนายพล เราออกมาได้แล้ว"

    มีเสียงเครื่องจักรลอยอยู่เหนือหัวพวกเขา และเมื่อทั้งคู่มอง ก็พบยานเอเลี่ยนหลายลำบินผ่านหัวพวกเขาไป และก็มุ่งไปยังฝั่งตรงข้ามของทั้งสองคน ซึ่งเป็นชายหาดและกำลังมีการสู้รบกันอยู่ที่นั่น เสียงต่อสู้ดังมาแต่ไกล

    "และตรงนั้นก็คือ ศูนย์บัญชาการย่อยของโลก สถานที่ที่ท่านเป็นผู้นำอยู่ยังไงหละ" พยัคฆ์ยิ้ม

    ยานรบจำนวนมากของพวกเอเลี่ยนบินเหนือนํ้าทะเล ยานของพวกมันระดมยิงทั้งกระสุนและมิซไซด์ใส่ถล่มฐานบัญชาการของคน ซึ่งตอนนี้บนชายหาด มีรถถัง รถสะเทือนนํ้าสะเทือนบก กำลังระดมยิงต่อต้านยานรบลอยได้ของพวกเอเลี่ยน พวกเอเลี่ยนนับร้อยตัวกระโดดลงจากยานแล้วค่อยๆ คืบหน้าเข้าไปที่ชายหาด เหล่าทหารและมนุษย์โลกหลายคนใช้ปืนยิงต่อต้านพวกมัน เฮลิคอปเตอร์และยานรบของโลกเราหลายลำระดมยิงต่อต้านยานของพวกมัน เสียงระเบิดและเสียงกระสุนดังไปทั่ว

    ที่โขดหินแห่งหนึ่ง เหล่าทหารมือใหม่ซึ่งเป็นเด็กนั้นต่างมารวมตัวกันเพื่อหลบกระสุนของพวกเอเลี่ยน

    "กองพันที่สองเน่าไปแล้ว" นายทหารคนหนึ่งตะโกน "จากนั้น คนที่เหลือของกองพันที่สอง จะมารวมกับกองพันที่หนึ่งนะ"

    "ครับ / ค่ะ" เหล่าทหารตัวน้อยตอบรับ และที่นั่น เด็กชายก็ได้พบกับเด็กสาวอีกครั้ง

    "เธอ ยังไม่ตายใช่ไหม" เด็กชายร้องถามด้วยความดีใจ

    "ใช่ ฉันยังไม่ตาย" เด็กผู้หญิงซึ่งใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบนํ้าตาและคราบเลือดยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม

    ทั้งสองคนวิ่งเข้าโผกอดกัน ท่ามกลางเสียงกระสุนและเสียงระเบิดที่ดังขึ้นต่อเนื่อง และไม่ไกลจากพวกเขา มีเฮลิคอปเตอร์ของโลกเราตกระเบิดกลางทะเลลำหนึ่ง แต่ดูเหมือนการพบกันทั้งสองคนจะไม่ทำให้สถานการณ์ที่ยํ่าแย่ตอนนี้รังควานใจพวกเขาได้เลย

    "ดีใจกันด้วยนะไอ้หนู แต่พี่ว่าตอนนี้เราแทบไม่มีหวังแล้วหละ" นายทหารคนนั้นก้มหัวหลบกระสุนปืนของพวกเอเลี่ยนหลังจากที่เขาเพิ่งจะเก็บพวกมันไปได้หลายตัว

    "พวกเราแทบไม่มีหวังเลยเหรอครับพี่" เด็กผู้ชายถาม

    "ถ้าท่านนายพลยังอยู่กับพวกเรา ป่านนี้พวกเราคงไม่ลำบากกันขนาดนี้หรอก" นายทหารคนนั้นเปลี่ยนแม็กกระซีนแล้วโยนแม็กกระซีนเปล่าทิ้งลงทะเล

    เด็กผู้หญิงมองไปยังทางฝั่งของพวกเอเลี่ยน ใบหน้าของเธอยิ้มด้วยความดีใจ

    "พี่ค่ะ ดูนั่น ท่านนายพล ท่านนายพลกลับมาแล้ว" เธอชี้ให้ทุกคนดู

    บนท้องฟ้าหลังยานของพวกเอเลี่ยนนั้น พยัฒฆ์กับคนที่เป็นนายพลเกาะยานรบของพวกเอเลี่ยนมาลำหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนทั้งสองคนจะแอบเกาะยานพวกมันมา พยัฒฆ์โบกมือไปมาด้วยความยินดี

    "ท่านนายพลกลับมาแล้วพวกเรา ท่านนายพลกลับมาแล้ว" พยัฒฆ์ตะโกนเสียงดังลั่น

    เสียงเฮลั่นของเหล่าทหารที่กำลังยํ่าแย่ในสถานการณ์เสียเปรียบนั้นดังขึ้นด้วยความหวัง เหล่าพวกเอเลี่ยนที่กำลังงงกันอยู่ว่าพวกตนกำลังได้เปรียบแล้วฝ่ายมนุษย์จะดีใจทำไม แต่แล้วพวกมันก็พบว่า มนุษย์โลกเริ่มมีกำลังใจที่จะสู้กับพวกมันแล้ว

    "ฆ่ามันให้ได้ ช่วยปกป้องท่านนายพลเร็วพวกเรา" นายทหารคนนั้นตะโกนเสียงดังลั่น

    "เฮ้!!"

    เหล่าทหารทั้งหลายระดมยิงอาวุธใส่พวกเอเลี่ยน ซึ่งท่ามกลางความงุงงงและสับสนของพวกมันนั้นทำให้พวกมันประมาทและล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ยานของพวกเอเลี่ยนลำหนึ่งระเบิดกลางอากาศ ลอยคว้างกลางอากาศและพุ่งไปชนยานเอเลี่ยนอีกลำหนึ่งจนระเบิดกลางอากาศทั้งคู่ ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายที่ช่วยกันยกบาซูก้ายิงพวกมันได้ในนัดเดียว

    "ฆ่าพวกมันเลย!!" เธอตะโกนเสียงดังลั่น

    เหล่าพวกเอเลี่ยนเริ่มถอยหลังกลับหนีเข้าไปในทะเล เพราะเหมือนพวกมันจะเริ่มกลัวกันแล้วว่าไม่สามารถบุกจัดการมนุษย์โลกได้ เสียงระเบิดของยานฝ่ายเอเลี่ยนดังลั่นไปทั่ว เสียงร้องเฮลั่นด้วยความฮึกเหิมของเหล่ามนุษย์โลกทำให้พวกเอเลี่ยนบางตัวหวาดผวา บางตัวทิ้งอาวุธของตน บางตนก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิต และชั่วพริบตา ฝ่ายมนุษย์โลกก็สามารถรุกไล่พวกเอเลี่ยนไม่ให้พวกมันเข้ามาใกล้ชายหาดได้

    "เห็นไหมหละท่าน ว่าท่านนะเก่งกาจแค่ไหน" พยัคฆ์ยิ้มให้กับเขา

    "ฉันอาจจำอะไรไม่ได้ก็จริงนะ แต่ฉันเชื่อว่าฉันต้องจำได้แน่" เขาเอ่ยบอก พลางหันหน้ากลับไปดูยังหอคอยข้างหลังที่พวกเขาหนีออกมา

    หอคอยนี่สูงเสียดฟ้า และดูเหมือนว่าที่หอคอยนั้น กำลังมียานรบยานใหม่นับร้อยลำ เหมือนกับว่าเป็นกองกำลังตามาสมทบ

    "และตอนนี้ ฉันก็ได้มีข้อมูลของพวกมันหมดแล้ว ถึงเวลาที่จะเอาคืนบ้างหละ" เขายิ้ม "และฉันก็จะยุติสงครามนี้เอง"

    พยัคฆ์ยิ้มให้กับเขา ก่อนที่จะพยักหน้าให้

    ทั้งสองคนหันหน้ามองไปยังชายหาด ซึ่งมีทหารหลายคนยกอาวุธเหนืงอหัวและส่งเสียงเฮ หลายคนร้องตะโกนเรียกชื่อนายพล พวกเขาไม่หวั่นเลยว่าพวกของเอเลี่ยนจะส่งกองกำลังมาเสริมอีกมายมายเพียงใด แต่ดูเหมือนแสงแห่งความหวังของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายนั้น ได้ลุกโซนในใจของพวกเขาแล้ว

    และหลายคนเชื่อมั่นว่า สงครามครั้งนี้ เราจะต้องเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ...แน่นอน

    The End

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×