ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Adventure in Equestria 2 (My Little Pony Fan-Fic)

    ลำดับตอนที่ #1 : Episode 1 : Return to Equestria

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 57




    เสียงระเบิดดังลั่นสนั่น ทั่วทั้งบริเวณปกคลุมไปด้วยควันไฟและหมอกควันกระจายไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่ว พร้อมกับเสียงที่ดูเหมือนเป็นเสียงปะทะกันด้วยดาบและแสงเลเซอร์ดังก้องไปทั่วบริเวณ แม้ว่าจะเป็นเสียงที่ห่างไกลไป แต่ราวกับว่ามันเกิดขึ้นใกล้มากซะอย่างไรอย่างนั้น

    "มั่นใจด้วยเหรอคุณ ว่าจะได้ผล" เสียงของหญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด

    "เราไม่เหลือทางเลือกมาก ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จบ" เสียงของชายคนหนึ่งเอ่ยตอบ แม้จะมีความกังวลภายในใจ แต่เขาก็ตอบอย่างมั่นใจขึ้นมาบ้าง

    ตู้มมมม!

    เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงก้อนอิฐหล่นร่วงกราวลงมา ดูเหมือนทั้งสองนั้นจะกังวลมากราวกับว่าจะมีใครตามหาพวกเขาอยู่ แสงสีทองเปร่งขึ้นรอบๆ อย่างนุ่มนวลและอบอุ่น ทั้งสองนั้นจ้องมองดูพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

    "เขาจะต้องปลอดภัย เชื่อผมสิ" เสียงของชายคนนั้นเอ่ยตอบ

    "ฉันก็หวังแบบนั้นค่ะคุณ" เสียงของหญิงสาวตอบออกมา

    ตู้มมมม!

    เสียงระเบิดดังลั่นอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังกว่าทุกที ทั้งสองคนเริ่มมองไปยังทิศทางเสียงนั้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่จะหันมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

    "ลาก่อน ลูกรัก..."

     

    ----------------------------------------

     

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงของผม เหงื่อของผมผุดไหลออกมาตามตัวของผมพร้อมกับร่างกายที่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ แม้ว่าเครื่องปรับอากาศในห้องจะเย็นเฉียบ แต่ร่างกายของผมกลับร้อนออกมาราวกับเป็นไข้ ผมอ้าปากหอบหายใจราวกับไม่ได้หายใจอย่างสะดวกมาก่อนเลย ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดนํ้าที่ผมไว้ตรงโต๊ะข้างเตียงมาดื่มดับกระหาย เพราะคอผมรู้สึกแห้งผากไปหมด

    "ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย" ผมวางขวดนํ้าลงบนโต๊ะที่เดิม ก่อนที่จะเอามือกุมหน้าผากตัวเองที่เต็มไปด้วยเหงื่อ

    "เราฝันแบบนี้มาเป็นอาทิตย์ได้แล้วมั้งเนี่ย" ผมพึมพำ ก่อนที่จะเอนตัวลงนอนบนเตียง พยายามทำท่าให้หลับให้ได้ แต่กลับไม่สามารถหลับได้ทันที เพราะใจของผมยังคงเต้นโครมครามกับความฝันเมื่อกี้นี้อยู่

     

    ---------------------------------------

     

    (5 ชั่วโมงต่อมา)

    ผมเดินลงจากห้องนอนของผมเพื่อลงไปข้างล่างเพื่อไปหามื้อเช้ากิน ในห้องครัวนั้น น้องสาวของผมเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จก็ได้ยกมาวางไว้บนโต๊ะ เธอสวมใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เหมือนกับว่าเธอเพิ่งซื้อมาใส่ใหม่ เธอยกมือสะบัดผมที่ยาวลงมาถึงบ่าของเธอไปข้างหลัง พร้อมกับยิ้มแย้มให้ทันทีเมื่อเห็นผมนั่งลงบนเก้าอี้

    "หวัดดีพี่ ข้าวเสร็จแล้วนะ" น้องผมทักบอก

    "อืม" ผมพยักหน้าตอบเธอด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ก่อนที่จะกินขนมปังปิ๊งทาเนย เพราะว่าผมไม่กินเนื้อสัตว์นั่นเอง

    "ฝันนั้นอีกแล้วเหรอพี่" น้องสาวผมถาม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบเธอ

    "ใช่ นี่ก็ครบ 7 วันแล้วนะ" ผมพึมพำบอกเธอพลางกัดขนมปังก้อนโต "เหมือนตอนฝันร้ายที่มาจากดวงจันทร์โลกนั้นไม่มีผิดเลย"

    ฟังแล้วอาจจะดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ตัวผมนั้นเคยหลุดไปอีกโลกหนึ่งมาก่อนแล้ว

    4 เดือนก่อน ได้มีสิ่งมีชีวิตปริศนาจู่ๆ มาจากไหนไม่รู้หลุดมาถล่มเมืองผม ซึ่งตอนหลังผมรู้มาว่านั่นก็คือพวก Changeling ซึ่งเป็นสิ่งชีวิตเผ่าหนึ่งของม้าโพนี่ที่สามารถกลายร่างเป็นใครก็ได้ นำโดยควีนคริสซาลิส ราชินีของพวกมันที่มีจุดประสงค์ในการยึดครองโลกนี้เพื่อใช้เป็นฐานกำลังในการบุกโจมตีอีเควสเทรีย ดินแดนที่เหล่าม้าโพนี่อาศัยอยู่ ตอนนั้นบ้านผมถูกโจมตีและน้องสาวถูกพวกมันจับตัวไป ผมจึงได้พยายามต่อต้านมันสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยการที่พวกมันมีจำนวนมากกว่า ทำให้ผมต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ควีนคริสซาลิสพยายามร่ายคำสาปเปลี่ยนให้ผมเป็น Changeling แต่เมื่อไม่ได้ผล จึงระเบิดเวทย์ใส่เพื่อคิดที่จะฆ่าผม แต่ผมกลับปลิวไปชนกับตู้กระจกในห้องนอนผม จนผมหลุดเข้าไปในอีเควสเทรียและกลายร่างเป็นเพกาซัส หนึ่งในเผ่าของม้าโพนี่ที่มีปีกแทน

    ผมได้เจอกับเพื่อนใหม่ของผมที่นั่น ทไวไลท์ สปาร์คเคิล ยูนิคอร์นสาว ผู้ชื่นชอบหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ, แอปเปิ้ลแจ็ค ม้าโพนี่ทำงานที่ทำฟาร์มแอปเปิ้ล , เรนโบว์แดช เพกาซัสผู้ชื่นชอบความเร็ว , พิงค์กี้พาย โพนี่สาวที่ชอบจัดปาร์ตี้ , แรร์ริตี้ ยูนิคอร์นสาวผู้มากความสามารถด้านแฟชั่น และฟรัทเทอร์ชาย เพกาซัสสาวขี้อายผู้รักสัตว์ แน่นอนว่ารวมไปถึงสไปค์ มังกรน้อยที่เปรียบเสมือนน้องชายของทไวไลท์ พวกเขาได้ฟังเรื่องราวของผมและได้ยินดีที่มาช่วยเหลือผม และใช้พลังเวทย์มนต์ที่เรียกว่า 'เวทมนต์แห่งมิตรภาพ' ในการจัดการกับควีนคริสซาลิสแล้วพาเธอกลับไปยังโลกของเธอ แต่คำสาปที่เธอสาปไว้กับผมไม่สามารถคลายได้ ผมเลยจำเป็นต้องไปอยู่ในโลกนั้นเพื่อหาทางคลายคำสาปให้ได้ ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องอยู่ในร่างม้าโพนี่ไปก่อนชั่วคราวนั่นเอง

    ตลอดเวลา 4 เดือนที่ผมอยู่ในโลกนั้น แม้ว่าจะมีความวุ่นวายบ้าง เกิดหายนะแปลกๆ ขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นการปรากฎตัวของทริซซี่ ยูนิคอร์นสาวที่มาก่อความวุ่นวายเพราะต้องการแก้แค้นทไวไลท์ , การมาเยือนของฝันร้ายที่มาสิงเพื่อนผมจนกลายเป็นไนท์แมรร์ แรร์ริตี้ , การกลับมาของดิสคอร์ด เจ้าแห่งหายนะในอดีตกาลที่ได้มาเป็นพวกเดียวกันกับพวกเราตอนท้าย รวมไปถึงการกลับมาของควีนคริสซาลิสที่หวังใช้พลังของผมในการยึดครองอีเควสเทรีย แต่นั่นก็ทำให้คำสาปของผมคลายในที่สุด และส่งผลทำให้ทไวไลท์ได้กลายเป็นเจ้าหญิงองค์ใหม่ของอีเควสเทรียอีกด้วย

    ต้องยอมรับว่าผมยังไม่รู้ด้วยซํ้าว่าพลังของผมมันทำอะไรได้บ้าง แม้ว่ามันจะมีดาบแปลกๆ ออกมาช่วยให้ผมสู้กับควีนคริสซาลิสจนชนะพร้อมๆ กับพลังของเพื่อนผมทุกตัว แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาตามมาก็คือ ผมได้เจอกับม้าหนุ่มและม้าสาวในจิตใต้สำนึกของผม ที่ทิ้งท้ายว่าพวกท่านคือพ่อแม่ของผม ก่อนที่จะบอกว่าผมจะต้องเคียงคู่ทไวไลท์ สปาร์คเคิล จนกว่าเธอจะสามารถไปสู่สิ่งใหม่ได้ และหลังจากที่ผมกลับมาโลกนี้ได้ ผมได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้องสาวผมฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ผมไม่อยู่บ้าง

    แน่นอนว่า มีอยู่เรื่องเดียวที่ผมไม่เคยเล่าให้น้องสาวฟังจะๆ นั่นก็คือ เรื่องม้าที่เรียกตัวเองว่า เป็นพ่อและแม่ผม

    แม้ว่าเราสองพี่น้องจะอยู่ในบ้านหลังเดียวกันมานาน แต่เราทั้งสองคนก็ไม่ค่อยเห็นหน้าพ่อแม่เท่าไหร่นัก เหมือนกับว่าพวกท่านต้องออกไปทำงานต่างประเทศจนไม่มีเวลาว่างกลับมาบ้าน ประกอบกับผมเองก็โตจนทำงานแล้ว ทำให้ผมสามารถช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านได้ แน่นอนว่าเรื่องที่ผมหายไปยังอีกโลกหนึ่งตั้งสี่เดือนกว่านั้นพวกท่านน่าจะไม่รู้เรื่อง ที่ผ่านมาน้องสาวผมได้งบค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำวันมาจากนายพลทหารที่รู้ว่าผมต้องไปโลกนั้นแทน แต่หลังจากที่ผมกลับมายังโลกตนเองแล้ว ผมเพิ่งจะถูกไล่ออกจากงาน เพราะจู่ๆ เล่นหายไป 4 เดือน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ (เงินชดเชยก็ไม่มีให้ เพราะทางบริษัทถือว่าผมเป็นคนสาบสูญ) ดังนั้นตอนนี้ผมควรจะต้องหางานใหม่ ไม่อย่างนั้นเราจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ แน่ ตอนแรกๆ น้องสาวผมคิดว่าผมเครียดจากการตกงานเลยฝันร้าย แต่ผมคิดว่านี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วหละ

    ผมมองไปยังน้องสาวตนเองที่กำลังเริ่มกินอาหารเช้าของเธอโดยการจิ้มไส้กรอกกิน ถึงผมจะเฉยๆ กับอาหารที่เป็นเนื้อแล้วก็จริง แต่ผมก็คิดในใจเสมอว่า ผมควรจะบอกน้องสาวผมดีไหมว่ามีม้าสองตัวมาบอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่ผม ทั้งๆ ที่ในโลกนี้พวกผมก็มีพ่อมีแม่อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่เคยเจอกันหลายปีก็ตาม

    "อ้อพี่ หนูเกือบลืมบอกเลย ก่อนพี่กลับมา มีคนแปลกๆ มาด้วยหละ" น้องสาวผมบอก

    "แปลกยังไง" ผมถามเธอ ก่อนที่จะหยิบรีโมทเปิดทีวีเพื่อดูข่าว

    "ก็ เขาบอกว่าเขาเป็นลูกชายของเจ้าของตึกที่ตัวร้ายนั่นจับหนูไว้ เขาพยายามตามหาตัวพี่มาหลายวันแล้ว ล่าสุดเขาก็มาก่อนที่พี่จะกลับมาวันเดียวเอง ดูเหมือนเขาจะคิดว่าพี่เป็นคนพาตัวร้ายนั้นมาโลกเรานะ" น้องสาวผมบอก

    "ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้นหละ" ผมถามพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวี

    "ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเพราะตึกนั้นเป็นตึกเดียวที่ไม่ถูกถล่มตอนที่ยัยนั่นบุกเมืองเรา ธุรกิจของตึกนั้นเลยซบเซามากจนเป็นว่าล้มละลายไปเลย พี่เองก็กลายเป็นม้าโพนี่ เขาเลยคิดว่าพี่เป็นคนทำให้ธุรกิจครอบครัวเขาพังมั้ง" น้องสาวผมบอก "นั่นไง คนนั้นนะ"

    น้องสาวผมชี้ไปยังโทรทัศน์ที่บังเอิญเปิดเจอช่องข่าวที่กำลังรายงานอยู่ และมีภาพใบหน้าของชายคนหนึ่งที่น่าจะมีอายุไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่ที่ต่างคือขอบตาเขาเป็นสีดำปี๋ราวกับไม่ได้นอนหลับสบายมาหลายวันแล้ว ทรงผมของเขายาวรุงรังจนปิดตาตัวเองไปครึ่งหน้าและมีสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก แม้ว่าเจ้าตัวจะใส่ชุดสูทก็ตาม นี่ถ้าไม่มีชื่อขึ้นพร้อมตำแหน่งว่าเป็น 'ลูกชายของผู้บริหาร' แล้วหละก็ ผมคงคิดว่าเป็นกุ๊ยที่ไหนซะอีกนะเนี่ย

     

    'รายงานข่าวนะค่ะ คุณสมศักดิ์ เกียรติธีระไน หรือคุณแจ็ค ลูกชายคนเดียวของผู้บริหารบริษัท เจ้าของตึกที่สูงที่สุดในเมืองของเรา ได้ประกาศขายหุ้นบริษัททั้งหมด หลังจากที่ผ่านมา คุณแจ็คได้พยายามกอบกู้ชื่อเสียงของบริษัทจากเหตุการณ์สัตว์ประหลาดบุกเมืองเมื่อสี่ปีก่อน แต่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้ถอนหุ้นออกจนทำให้ธุรกิจขาดทุนมูลค่าหลายร้อยล้าน โดยเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับทางเราว่าเขาต้องการหาเงินทุนในการประกอบธุรกิจใหม่' ผู้ประกาศข่าวรายงาน

    'ก็เพราะไอ้ม้าประหลาดนั่นนะแหละที่ทำให้ธุรกิจผมพังยับ จะมีใครเสียอีกหละ พวกคุณก็ลือกันจังเลย ตึกปีศาจบ้าง ตึกผีสิงบ้าง ผมจะหางานทำใหม่ แค่นี้นะ' เสียงคุณแจ็คในจอโทรทัศน์กล่าวด้วยเสียงห้วนก่อนที่จะเดินหันหลังให้นักข่าวและเดินขึ้นรถลีมูซีนที่มีบอร์ดี้การ์ดยืนคุมอยู่ไป

    'อย่างที่ทราบนะค่ะว่า เมื่อสี่เดือนก่อน ได้เกิดสัตว์ประหลาดบุกโจมตีเมือง ซึ่งตามรายงานที่ได้รับมาจากกองทัพ เราได้รับการช่วยเหลือจากม้าของอีกโลกในการใช้เวทมนต์จับตัวร้ายกลับไป และนั่นทำให้เมืองของเราปลอดมลพิษยาวมาจนถึงบัดนี้และได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองปลอดมลพิษแห่งแรกของโลก...' ภาพประกอบข่าวนั้นเป็นภาพคลิปเหตุการณ์ตอนช่วงที่ควีนคริสซาลิสบุกโจมตีเมืองจากระยะไกล ซึ่งดูแล้วราวกับเป็นหนังสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น

     

    "ดูจากสภาพก็ไม่น่าแปลกละมั้งว่าทำไมคิดแบบนั้น" ผมวิจารณ์อย่างเห็นด้วย เพราะผมเองก็ทำงานแล้ว เลยเข้าใจดีว่าคนที่ธุรกิจล่มจะเป็นยังไง

    "แล้วพี่ว่า ควีนคริสซาลิสอะไรนั่น ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง" น้องสาวถามผม

    "ไม่รู้สิ เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายแพ้พี่ ไม่กี่วันพี่ต้องรีบกลับมาโลกของเราเลย ไม่งั้นพี่จะกลับไม่ได้ พี่่ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อีกฝ่ายลอยนวลไปถึงไหนแล้ว" ผมตอบพลางหยิบจานขึ้นมาหลังจากกินเสร็จแล้วเพื่อไปใส่อ่างล้างจานในห้องครัว

    ปะริ๊ง!

    เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือของน้องสาวผมดังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงเตือนแอพพลิเคชั่นมือถือชื่อดังที่คนในเมืองผมหลายคนใช้ น้องสาวหยิบมือถือขึ้นมาอ่าน แล้วก็ทำหน้าตาดีใจอย่างมาก

    "พี่ๆ พ่อกับแม่ทักมา เขาบอกว่าบ่ายวันนี้จะกลับมาบ้านเราด้วยหละ" น้องสาวผมยิ้มกว้าง

    "พ่อกับแม่นะเหรอ" ผมทวนถาม

    "ใช่ๆ เห็นว่าตอนนี้กลับมาแล้ว และกำลังนั่งแท็กซี่กลับมาบ้าน อีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงแล้ว" น้องสาวผมบอกอย่างกระตือรือร้น "แบบนี้ต้องเก็บกวาดบ้านซะหน่อย เอาให้สะอาดเอี่ยมไปเลย"

    "พี่ว่าไม่จำเป็นต้องเก็บกวาดอะไรละมั้ง" ผมบอก เพราะเมื่อผมมองด้วยสายตา ทั้งบ้านมันก็สะอาดอยู่แล้วเพราะน้องสาวผมใช้เวลาว่างที่ผมไม่อยู่ทำความสะอาดไปทั่ว จนตอนนี้เธอรักความสะอาดจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว

    "งั้น งั้น หนูทำอาหารต้อนรับดีกว่า จะได้กินข้าวด้วยกันด้วย" น้องสาวผมบอกด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น "ทำอะไรดีนะ ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง..."

    น้องสาวผมกระวีกระวาดเข้าไปห้องครัวและเปิดตู้เย็นเหมือนจะหาของอะไรบางอย่างทำ ผมมองแล้วก็นึกขำ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงม้าโพนี่ตัวหนึ่งที่ผมเจอมาในโลกนั้นจริงๆ

    ยังกับสวิตตี้เบลเลยแฮะน้องเรา ผมคิด ก่อนที่จะหันหน้ามองไปตรงกรอบรูปที่แขวนตรงผนังห้อง ซึ่งเป็นรูปถ่ายตัวผมกับน้องสาว และข้างหลังนั้นก็เป็นผู้ใหญ่สองคนที่ยืนถ่ายด้วยกัน ซึ่งสองคนนั้นแหละคือ พ่อกับแม่ ผมในโลกนี้

    ถ้าทั้งในจิตใต้สำนึก กับความฝันนั้นบอกว่าพวกเขาคือพ่อแม่เรา แล้วพ่อแม่ที่อยู่ในโลกนี้คือใครกันหละ ผมคิดอย่างสงสัย

     

    -----------------------------------------------

     

    ในช่วงเวลาเดียวกัน ณ อีเควสเทรีย

    นครแคนเทอร์ล็อค ซึ่งเปรียบเสมือนกับเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งนั้น ตามปกติแล้วจะต้องเป็นเมืองที่น่าจะมีความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเป็นเมืองที่พำนักของเจ้าหญิงทั้งสองที่ปกครองอีเควสเทรีย แต่ตอนนี้ในอาคารของปราสาทนั้น ยูนิคอร์นสาวลำตัวสีม่วงและมีปีกที่หุบอยู่ข้างลำตัวนั้นกำลังเร่งรีบควบไปอย่างเร่งรีบ

    "สไป้ค์ ได้ของมาครบยัง" เสียงของเธอนั้นถามถึงมังกรน้อยที่วิ่งมาจากอีกทาง ในมือของเขานั้นกำลังถือถุงที่ใส่อะไรบางอย่างอยู่

    "เรียบร้อยทไวไลท์ ได้มาครบแล้ว" มังกรน้อยรีบตอบ

    "ดี งั้นเรารีบไปกันเถอะ" ทไวไลท์บอกด้วยนํ้าเสียงร้อนรน ก่อนที่จะวิ่งไปยังห้องนอนของเธอที่อยู่ชั้นบน

    "ไป... ไปไหนหละ" สไป้ค์วิ่งตามมาพร้อมถามด้วยความสงสัย

    เธอวิ่งขึ้นไปห้องนอนของเธอ จากนั้นก็ก้มหัวลงเล็กน้อยไปทางหีบ แสงสีม่วงแดงของเธอปรากฎขึ้นจากเขาของเธอ ก่อนที่หีบใบนั้นจะเปิดออกเองโดยที่ไม่มีใครไปแตะต้อง และแสงบนเขาของเธอก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมงกุฎสีเหลืองที่ลอยขึ้นมาพร้อมกับลำแสงสีม่วงแดงที่ปกคลุม ราวกับว่าเธอเป็นคนหยิบมันขึ้นมาเอง เพียงแต่เธอไม่ได้ใช่กีบของเธอยกขึ้นมาเท่านั้น

    "เราต้องรีบแล้วหละ ก่อนที่อะไรๆ จะแย่ลง สไป้ค์ นายช่วยเขียนจดหมายได้ไหม" เธอถามพร้อมกับหยิบม้วนกระดาษและปากกาขนนกไปให้เขาโดยการหยิบมันด้วยพลังของเธอ

    "จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกหละ" สไป้ค์บอกด้วยนํ้าเสียงเคร่งเครียดเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง เพื่อมองดูความผิดปกติที่เกิดขึ้น มังกรน้อยรับม้วนกระดาษและปากกาขนนกมารีบไว้ทันทีหลังจากที่เขาวางถุงใส่ของลงบนพื้นแล้ว

    "แล้วจะเขียนจดหมายถึงใครกันหละ" เขาถาม

    "เขียนถึง เขา" ทไวไลท์ตอบ

    "เขางั้นเหรอ!!" สไป้ค์ด้วยสีหน้าตื่น

    "เราต้องเรียกโพนี่ทุกตัวที่สามารถมาช่วยได้ และเขาก็มีพลังในการเชื่อมต่อธาตุแห่งความปรองดองของพวกเราด้วย เขาอาจจะช่วยได้ก็ได้" ทไวไลท์ตอบ "เราต้องให้เขากลับมาที่อีเควสเทรียอีกครั้ง"

    "แต่ ถ้าเขาไม่มาหละ" สไป้ค์ถามด้วยสีหน้าตื่น

    "ฉันไม่รู้หรอกสไป้ค์ว่าเขาจะมาไม่มา แต่ฉันหวังว่าเขาจะมา" ยูนิคอร์นสาวมองไปยังนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก "ฝากด้วยนะสไป้ค์"

    "จัดให้" สไป้ค์พยักหน้า ก่อนที่จะเริ่มเขียนเนื้อหาจดหมายอย่างรวดเร็วตามคำบอกกล่าวของทไวไลท์ เจ้าหญิงองค์ใหม่ของอีเควสเทรีย

     

    ----------------------------

     

    "ไม่ได้เจอกันซะนานนะ"

    เสียงของคนที่เป็นพ่อและแม่ของผมทักขึ้น ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยผมกับน้องสาวและพวกท่านนั้นนั่งกันคนละฝั่ง

    เทียบจากในรูปถ่ายแล้ว แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี แต่พวกท่านนั้นก็ไม่ได้ดูแก่ลงเลยแม้แต่น้อย พ่อของผมก็ยังไว้รองทรง ใบหน้ารูปไข่ ผิวเหลือง หนวดกับเคราโกนเกลี้ยงเกลาพร้อมกับดวงตาสีดำได้ยิ้มมาทางผม ท่านยังสวมใส่ชุดสูทที่ใช้เป็นชุดทำงานอยู่ ส่วนแม่ของผมนั้นไว้ผมสั้น และยาวมาจนถึงแค่บ่าเท่านั้น ท่านมีผิวที่ขาวกว่าพ่อของผม ดวงตากลมโตราวกับทำตามาสองชั้นและนั่นทำให้ดูเหมือนท่านเป็นสาวรุ่น ผิดกับอายุที่น่าจะเข้าหลักเลข 4 แล้ว ท่านสวมใส่เสื้อชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ทำให้อารมณ์เหมือนคนที่เพิ่งกลับจากพักร้อนมามากกว่ากลับมาจากทำงาน

    น้องสาวผมดูท่าทางว่าจะตื่นเต้นมากกับการมาของทั้งสองคน ซึ่งสำหรับเด็กที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม. ต้นจนเกือบปลาย ก็ไม่น่าแปลกที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับผู้มีพระคุณที่ไม่ได้เจอกันซะนาน แน่นอนว่าผมเองก็ตื่นเต้นที่ได้เจอกับพวกท่านเหมือนกัน แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้เกี่ยวกับข้อสงสัย ทั้งในเรื่องของโลกนี้และในโลกของผม

    "พ่อกับแม่สบายดีใช่ไหมค่ะ แล้วงานไม่เป็นไรแล้วเหรอค่ะ ถึงสามารถกลับมาได้นะคะ" น้องสาวผมถามอย่างกระตือรือร้น

    "เรื่องงานนะไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พอดีเรามีเรื่องสำคัญที่อยากจะมาพบลูกๆ มากกว่านะ" แม่ของผมเอ่ย ซึ่งทำให้ผมมองดูด้วยความสงสัยทันที

    "เรื่องอะไรเหรอครับ" ผมถามท่านกลับ

    "ก็เรื่องที่ลูกได้พบพ่อแม่ที่แท้จริงของลูกในอีเควสเทรียแล้วยังไงหละ" แม่ของผมตอบออกมา ซึ่งนั่นทำให้ผมขนลุกขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดว่าท่านจะถามกลับมาแบบนี้

    "พ่อแม่ที่แท้จริงเหรอ... พี่ นี่มันหมายความว่ายังไง" น้องสาวหันมาถามผม

    "อ้าว นี่ลูกยังไม่ได้บอกน้องสาวของลูกอีกเหรอ" แม่ถามผม

    "ใครจะกล้าบอกในสิ่งที่ผมยังไม่มั่นใจหละครับ" ผมตอบกลับ "ผมยังไม่รู้เรื่องโลกนั้นดีเลย และเท่าที่ผมจำความได้ ทั้งพ่อและแม่ก็เป็นคนเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ นิครับ"

    "อันที่จริงต้องบอกว่า เราสองคนรับช่วงดูแลลูกๆ มาน่าจะเหมาะกว่านะ" พ่อผมเอ่ยตอบ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกอะไรแปลกๆ ที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

    "ช่วยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังได้ไหมครับ" ผมถาม ซึ่งน้องสาวผมเริ่มหันหน้ามองไปทางผมบ้าง ทางพ่อแม่ผมบ้างอย่างกระวนกระวาย

    "ตกลง นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย หนูงงไปหมดแล้ว" น้องสาวผมถามด้วยความสงสัย

    ผมได้เล่าเรื่องตอนที่ผมพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของผมจากจิตใต้สำนึกตอนที่ผมอยู่โลกนั้น รวมไปถึงช่วงเวลาที่ผมฝันแปลกๆ เกี่ยวกับพ่อแม่ผมในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งพอผมเล่าจบ น้องมองผมกลับด้วยใบหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก

    "ทำไมพี่ไม่บอกเรื่องนี้ให้หนูฟังเลยหละ" น้องสาวผมถามด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

    "เพราะพี่ยังไม่มั่นใจว่ามันคืออะไรยังไงหละ" ผมตอบตามความจริง ก่อนที่จะหันหน้ามองไปทางพ่อแม่ของผมที่ยังคงนั่งฟังอยู่เงียบๆ ทั้งสองท่านพยักหน้า

    "เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนนะ ต้องบอกตรงๆ เลยว่า ลูกทั้งสองคนนะ ไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกหรอก แต่เป็นม้าโพนี่ต่างหาก" พ่อผมเริ่มเล่า

    "ม้าโพนี่งั้นเหรอ" น้องสาวผมยักคิ้วถาม

    "ใช่ มันเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่อีเควสเทรียในสมัยนั้น พ่อแม่ที่แท้จริงของลูกจึงตัดสินใจละเมิดกฎในสิ่งที่ไม่มีม้าตัวไหนกล้าทำมาก่อน แม้แต่เจ้าหญิงเซเลสเทรียก็ตาม นั่นก็คือ การส่งลูกทั้งสองคนมายังโลกนี้นะแหละ" พ่อผมเล่าต่อ

    "เดี๋ยวนะ นี่พ่อรู้จักเจ้าหญิงเซเลสเทรียด้วยเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย

    "ทำไมจะไม่รู้หละลูก พระองค์คือเจ้าหญิงที่ดีที่สุดของอีเควสเทรียเลยนะ" แม่ผมบอก

    "เราทั้งสองคน คืออดีตลูกศิษย์ของสตาร์ สเวิล ผู้มีเครามาก่อนนะ" พ่อผมตอบ "แน่นอน ทั้งพ่อและแม่เองก็ไม่ใช่มนุษย์ เราสองคนก็คือโพนี่เหมือนกับลูกๆ นะแหละ"

    "หลังจากที่ สตาร์ สเวิล ผู้มีเครา ได้มอบหมายให้ทั้งเจ้าหญิงเซเลสเทรีย และเจ้าหญิงลูน่า เป็นผู้อัญเชิญดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แทนที่พวกเราแล้ว อาจารย์ของเราก็ได้ส่งลูกศิษย์ไปประจำโลกต่างๆ เพื่อเป็นผู้พิทักษ์ในการสอดส่องไม่ให้สมดุลของโลกต่างๆ ต้องสั่นคลอน แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่โลกเราสองโลกหรอก แต่มันยังมีอีกหลายโลกมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว" แม่ได้เล่าต่อ

    "ถ้าพ่อกับแม่เป็นโพนี่จริง พิสูจน์สิว่าไม่ใช่คนนะ" น้องสาวผมโวยออกมา

    "ใจเย็นๆ ก่อนสิ" ผมปรามน้องผม

    "เย็นบ้าอะไรพี่! จะบอกว่า พ่อกับแม่สองคนี้ หลอกลวงพวกเรามาตั้งสิบกว่าปีเนี่ยนะเหรอ! หนูไม่เชื่อหรอก!!" น้องสาวผมโวยออกมาเสียงดังลั่น นํ้าตาเธอเริ่มคลอ

    ผมมองดูน้องสาวผมแล้วก็คาดเดาได้อยู่แล้วหละว่าน้องสาวผมจะต้องมีปฏิกิริยาออกมาแบบนี้ ขนาดผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมใช้ชีวิตมาในร่างมนุษย์นั้นมันคือการโกหกหลอกลวงมาทั้งหมด และนั่นแหละเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่กล้าเล่าให้น้องสาวผมฟังแต่แรกนะแหละ ผมโอบกอดน้องผมเอาไว้เพื่อปลอบใจเธอ ก่อนที่ผมจะหันมองทั้งสองท่านที่มองกลับมาราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้

    "แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเรางั้นเหรอครับ" ผมถาม

    "เราไม่สามารถตอบลูกได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของเราที่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้" แม่ตอบผมซึ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับคำตอบที่ได้มาเท่าไหร่นัก

    "แต่ที่จริงต้องบอกว่า เพราะความทรงจำของลูกถูกผนึกเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองคนเอง" พ่อผมบอกต่อ "และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมลูกถึงฝันเรื่องแบบนั้นแต่ฝันไม่หมด เพราะมันถูกผนึกไว้นั่นเอง"

    "หมายความว่ายังไงครับ" ผมถามต่อ

    "ลูกจะต้องค้นหาคำตอบเรื่องนั้นด้วยตนเองในอีเควสเทรีย" พ่อของผมตอบ

    ปุ๊ง!!!

    เสียงเวทมนต์ดังขึ้นกลางอากาศ และม้วนกระดาษก็ลอยปรากฎขึ้นตรงหน้า ซึ่งผมจำได้ทันทีว่ามันเป็นม้วนกระดาษที่ทไวไลท์ชอบใช้ในการเขียนจดหมายบ่อยๆ เพราะผมเองก็ให้สไป้ค์เขียนส่งมาถึงน้องสาวผมทุกอาทิตย์เหมือนกัน น้องสาวผมมองด้วยสีหน้าตาตื่นทันทีเมื่อพบว่าม้วนกระดาษจากโลกนั้นปรากฎออกมา แถมยังพอดีกับช่วงที่เรากำลังคุยกันอยู่ด้วย

    "อะไรนะพี่" น้องสาวผมถาม ผมหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาคลี่เพื่ออ่านทันที

    "มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้่นที่อีเควสเทรีย ทไวไลท์ต้องการให้ฉันกลับไปโลกนั้นเพื่อช่วยเหลือพวกเธอ..." ผมสรุปเนื้อหาจดหมายให้น้องสาวผมอ่าน "อะไรเนี่ย! เจ้าหญิงเซเลสเทรียกับเจ้าหญิงลูน่าหายตัวไปงั้นเหรอ!!"

    ผมโพล่งออกมาเสียงดังเมื่ออ่านเนื้อหาในจดหมาย ซึ่งผมตกใจอย่างมาก เพราะถ้าขนาดเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังเวทย์ที่แข็งกล้าที่สุดในอีเควสเทรียยังหายตัวไปได้ แสดงว่ามันต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างมากจริงๆ

    น้องสาวผมมองหน้าตาตื่น ส่วนพ่อกับแม่ผมนั้นก็มองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    "ในที่สุดสิ่งที่เรากังวลก็เริ่มที่จะเป็นความจริงขึ้นมาละ" พ่อผมเอ่ยขึ้นมา

    "หมายความว่าไงครับ" ผมรีบถามต่อ

    "ไม่สงสัยเหรอว่า ประตูทางเข้าโลกทั้งสองโลกจริงๆ มันมีมานานแล้ว แต่ทำไมควีนคริสซาลิสทำไมถึงเพิ่งจะมาใช้เมื่อสี่เดือนก่อน" พ่อผมถาม ซึ่งผมส่ายหัวตอบ "เพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวยังไม่รู้นะสิ แต่เพราะมันมีคนไปบอกเธอเนี่ยแหละ"

    "หมายความว่า ที่ควีนคริสซาลิสรู้เรื่องพลังของผมด้วย ก็เพราะมีคนไปบอกเนี่ยนะ" ผมโพล่งถามออกมาด้วยความตื่นตระหนก

    "ใช่ และมันเป็นเหตุผลว่าทำไมควีนคริสซาลิสถึงจงใจเลือกจุดโจมตีที่เมืองเราใกล้บ้านลูกเป็นจุดแรก และทำไมถึงพยายามเปลี่ยนให้ลูกเป็น Changeling ในตอนนั้นด้วย" พ่อผมเอ่ยตอบต่อ

    "ที่เจ้าตัวโมโหมากก็เพราะเหตุผลนั้นสินะ แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่มาช่วยผมหละครับ" ผมพึมพำ

    ตอนนั้นพ่อกับแม่พยายามจะมาช่วย แต่ก็ไม่ทัน เพราะควีนคริสซาลิสระเบิดบ้านของพวกลูก และจับน้องสาวของลูกไปแล้ว” แม่ผมหันไปทางน้องสาวที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ตอนนั้นพ่อกับแม่เลยได้ประสานกับเหล่าทหารในการช่วยกดดันให้พวก Changeling ไม่กระจายออกไปบริเวณอื่นและช่วยชาวบ้านอพยพ เพราะเราติดต่อกับอีเควสเทรียไม่ได้ เลยไม่สามารถติดต่อถึงลูกได้เลย แต่หลังจากที่ลูกกับเพื่อนๆ ของลูกได้มาจัดการกับควีนคริสซาลิสแล้ว ทั้งพ่อกับแม่ก็เลยคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องบอกความจริงกับลูก”

    เราจับตามองดูลูกตลอดเวลาผ่านเวทมนต์ของเรา ซึ่งหลังจากที่ลูกกลับมาแล้ว เราถึงได้เตรียมตัวมาเพื่อบอกความจริงกับลูกทันที แต่ที่มาช้าไปอาทิตย์หนึ่งเพราะพ่อกับแม่จะต้องหาทางกลบเกลื่อนคนบนโลกนี้ให้ได้ก่อนว่าพวกพ่อกับแม่จะลางานเพื่อพักร้อนยาวแบบไม่มีกำหนด จะหายไปดื้อๆ ไม่ได้หรอก ไม่งั้นจะมีเรื่องน่าสงสัยเกิดขึ้นตามมา” พ่อผมอธิบายต่อ

    เวทมนต์งั้นเหรอ” ผมทวนคำพูดของพ่อผม

    ถึงเราจะไม่สามารถไปโลกนั้นได้ แต่เราสองคนก็เป็นยูนิคอร์นมาก่อน สตาร์ สเวิล ผู้มีเครา ได้มอบพลังเวทมนต์มาให้ส่วนหนึ่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่เราต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นกระแสพลังงานของโลกนี้อาจเกิดความปั่นป่วนได้” แม่ผมอธิบายตอบ พลางหยิบจี้ที่ห้อยคอมาให้ดู มันมีรูปร่างคล้าย Gem อีกโลกหนึ่งสีฟ้า แต่ข้างในนั้นเหมือนมีควันลอยไปลอยมาส่องแสงอยู่

    "และที่ลูกบอกว่ามีลูกเจ้าของตึกนั้นพยายามจะมาถามหาพี่ลูกบ่อยๆ นะ ที่จริงเรากำลังสงสัยว่า คนของเขาน่าจะรู้เรื่องนี้ เลยกระตุ้นให้เขามาตามตัวลูกบ่อยๆ" แม่บอกกับน้องสาวผม ซึ่งน้องสาวผมทำหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที

    "แล้วพี่จะเอายังไงต่อ" น้องหันมาถามผม

    ผมอ่านเนื้อหาในม้วนกระดาษอีกครั้ง ก่อนที่จะมองไปทางน้องสาวผมและพ่อแม่ของผมที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยการตัดสินใจในสิ่งที่ใจผมเองก็อยากจะทำมานานตั้งแต่ผมต้องกลับมาที่นี่

    "ไปกับพี่" ผมบอกกับน้องสาว

    "อะไรนะ" น้องสาวผมอ้าปากค้าง

    "ไปอยู่กับพี่ที่โลกนั้น แม้ว่าโลกนั้นมันจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่พี่เชื่อว่าเราจะต้องอยู่ได้ อีกอย่าง พี่ไม่มั่นใจด้วยว่าถ้าพี่ไปแล้วปล่อยให้เราอยู่ที่นี่ ตาคนที่ว่ามันจะมาทำอะไรเราบ้างก็ไม่รู้ เพื่อความปลอดภัยของเราเองด้วย" ผมอธิบาย แต่น้องสาวผมทำสีหน้าไม่น่าเชื่ออยู่

    "ฟังนะน้องรัก พี่เข้าใจว่ามันเป็นการยากที่เรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นความจริง แต่ถ้ามันเป็นความจริงละก็ พี่ต้องไปค้นหาคำตอบนั้นด้วยตนเอง มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเรา และทำไมเราถึงต้องถูกส่งมาที่นี่ พี่เชื่อว่ามันต้องมีคำตอบที่โลกนั้น และอีกอย่าง พี่ก็อยากให้เราไปเจอเพื่อนๆ พี่ด้วยนะ" ผมยิ้มตอบน้อง

    แต่น้องสาวผมยังคงทำหน้าอึ้งอยู่ เธอทำท่าคิดอะไรบางอย่างในใจ ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น เพราะมันเป็นการยากสำหรับการตัดสินใจของเธอนั่นเอง

    "แต่ถ้าเราไม่อยากที่จะไป พี่ไม่ว่านะ แต่พี่สัญญาว่าพี่จะเขียนจดหมาย..."

    "ไม่เอา..."

    ผมหยุดพูดต่อทันทีเมื่อน้องสาวผมขัดผมขึ้นมา เธอก้มหน้านิ่ง นํ้าเสียงเธอสั่นเล็กน้อย

    "ไม่เอาอีกแล้ว! จะให้หนูอยู่คนเดียวอีกต่อไป และเอาแต่รออ่านจดหมายจากพี่เนี่ย หนูไม่เอาอีกแล้วนะ!!" เธอร้องโฮออกมา "พี่รู้ไหมว่าหนูต้องเหงาแค่ไหนกับการอยู่ตัวคนเดียว แถมโลกที่พี่เขียนจดหมายเล่าให้หนูอ่าน มันคืออะไร ? มันคือแดนสวรรค์ชัดๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วไม่คิดว่าหนูไม่อยากไปเหรอพี่!!"

    เธอโผเข้ากอดผมพร้อมกับสะอื้นไห้กับแผ่นอกของผม ผมเอามือลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู

    "ครั้งนี้ไม่ว่ายังไงหนูก็จะไปกับพี่ พี่ไปไหนหนูจะไปด้วย" เธอเงยหน้าขอร้องผม

    ผมพยักหน้าตอบเธอ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองพ่อแม่ของผม ที่ตอนนี้ท่านส่งยิ้มให้กับผมเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราเริ่มคุยกัน

    "ถ้างั้น หน้าที่ของเราก็หมดลงแค่นี้แล้วสินะ" แม่เอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงปลื้่มปิติ

    "หน้าที่ของเราก็คือ เลี้ยงดูพวกเธอจนกว่าพวกเธอจะพร้อมที่จะกลับไปยังบ้านเกิดของพวกเธออีกครั้ง นั่นก็คืออีเควสเทรีย" พ่อผมเอ่ยต่อ

    "แต่ถึงพวกเราจะไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของลูก แต่ยังไงเราทั้งสองคนก็รักลูกๆ เหมือนเป็นลูกของพวกเรานะ" แม่ผมเอ่ยออกมา เธอนํ้าตาไหลออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งนั่นทำให้ผมเองก็นํ้าตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

    "สิบกว่าปีที่เลี้ยงดูพวกผมมา นั่นก็พิสูจน์ได้แล้วหละครับ" ผมยิ้มตอบโดยที่นํ้าตาตนเองไหลพรากไม่มีหยุด "ขอบคุณมากครับ คุณพ่อ....คุณแม่..."

    "หนู... หนูขอโทษนะที่เมื่อกี้พูดแรงไป" น้องสาวผมสะอึกสะอื้นออกมา

    "ไม่เป็นไรหรอก ลูกสาวของแม่" แม่ผมยิ้มออกมา

    น้องสาวผมวิ่งเข้าไปซบกอดกับแม่ของผม ภาพของทั้งสองคนทำให้ผมยิ้มออกมาแทบจะหยุดยิ้มไม่ได้แม้ว่านํ้าตาของผมจะไหลอาบแก้มก็ตาม

    "ดูเหมือนว่าทไวไลท์จะหาทางทำให้ลูกๆ ทั้งสองกลับไปยังอีเควสเทรียได้แล้วหละ" พ่อผมบอกพร้อมกับชี้ไปทางข้างๆ

    ตู้เสื้อผ้าของผมที่ผมย้ายเอามาวางไว้ชั้นล่างที่มีบานกระจกนั้น บัดนี้มีตรงกระจกได้มีแสงสีม่วงปรากฎขึ้น ซึ่งเป็นลำแสงแบบเดียวกันกับบานกระจกที่ผมใช้เดินทางเข้าออกอีเควสเทรีย ซึ่งก่อนหน้านี้บานกระจกก็เป็นแค่กระจกเงาธรรมดา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

    "ได้ไงกัน กระจกทางเข้าที่โลกนั้นน่าจะแตกไปแล้วนี่นา" ผมพึมพำออกมาด้วยความสงสัย

    "อีกอย่าง ถ้าลูกจะไป ต้องไปตอนนี้แล้วหละ" พ่อผมหันไปนอกหน้าต่าง ซึ่งผมเองก็ลุกขึ้นไปดูด้วยเช่นกัน

    ผมมองเห็นคุณแจ็ค ลูกชายของบริษัทที่ว่ายืนอยู่หน้าบ้านผม โดยที่ข้างหลังเขาเป็นรถลีมูซีนสีดำที่เหมือนเขานั่งมา แต่เขากลับมีบอดี้การ์ดสวมใส่ชุดสูทสีดำถึงสี่นายอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของคุณแจ็คนั้นหน้าตาเหมือนนักเลงยิ่งกว่าในทีวีที่ผมเห็นเสียอีก แถมในมือของบอดี้การ์ดนั้น ผมมองเห็นเขาถือปืนพกมาด้วย!

    "ดูแล้วคงไม่ได้มาดีแน่" ผมบอกออกมา ก่อนที่จะหันไปทางน้องสาว "รีบไปเก็บของที่จำเป็นมาเลยน้องรัก เสื้อผ้าไม่จำเป็น เพราะไปที่นั่นยังไงก็โป๊กันทั้งคู่"

    "อะไรนะ!!" น้องสาวผมร้องออกมา หน้าเธอแดงแป้ด

    "เอ่อ พูดผิด คือเสื้อผ้าเอาไปก็ไม่ได้ใส่หรอก เพราะเราก็ต้องกลายเป็นม้าอยู่ดี เอาของที่คิดว่าจะเป็นของที่ระลึกไปก็ได้ ของที่จำเป็นอยู่ที่นู่นหมดแล้ว" ผมบอกกับน้อง เธอพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งขึ้นบันไดไปบนห้องทันที ส่วนตัวผมแอบมองทางหน้าต่างอีกครั้งเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาตอนไหน ซึ่งผมเห็นละว่าเขากำลังคุยกันอยู่ เหมือนกับว่าจะเข้ามาทักทายพวกผมยังไง

    "ลูกพาน้องไปเถอะ ทีนี้เดี๋ยวปล่อยให้พ่อแม่จัดการเอง" พ่อผมจับที่หัวไหล่ของผม ผมมองด้วยความเป็นห่วงทันที

    "แล้วจะไม่ไปด้วยกันเหรอครับ" ผมรีบถามอย่างรวดเร็วด้วยความกังวล

    "หน้าที่ของเราคือรักษาสมดุลของโลกนี้กับโลกอีเควสเทรียเอาไว้ เราจะไม่สามารถกลับไปที่อีเควสเทรียได้อีก นี่เป็นเรื่องที่เราทำใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วหละ" พ่อผมบอก

    "ถึงแม้ว่าเราจะไปด้วยไม่ได้ แต่เราก็รับรู้ข่าวสารจากทางโลกนั้นได้ตลอดเวลาเหมือนกัน" พ่อผมยิ้ม "เพราะทั้งพ่อและแม่เองต่างก็เป็นศิษย์เอกของสตาร์ สเวิล ผู้มีเครา แค่อาวุธกระจอกๆ นั่นทำอะไรพ่อกับแม่ไม่ได้หรอก"

    "ดูแลน้องสาวให้ดีๆ นะ" แม่ผมบอก

    "แล้วฝากเราไปช่วยเหลือเจ้าหญิงเซเลสเทรียและเจ้าหญิงลูน่ามาให้ได้หละ" พ่อผมยื่นมือมาให้ เหมือนทำท่าอยากจะจับมือกับผมเป็นครั้งสุดท้าย

    แต่ผมไม่เลือกที่จะจับมือ เพราะผมเลือกที่จะโผเข้ากอดเขาเอาไว้ ผมสวมกอดเขาเอาไว้แน่น พยายามสะกดตัวเองไม่ให้นํ้าตาไหลออกมา แต่มันก็ห้ามเอาไว้ไม่ได้จริงๆ อีกฝ่ายก็สวมกอดผมกลับมาด้วยเช่นกัน ยิ่งผมรับรู้ด้วยแล้วว่า เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สองแล้วด้วย

    "ขอบคุณมากครับ พ่อ" ผมบอกกับเขาด้วยความดีใจและเสียใจปนกันไป

    "ยินดีเสมอ ลูกรัก" เขาตอบผมกลับมา

    และเมื่อผมคลายจากการกอดเขา น้องสาวผมก็ลงมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายนักเรียนที่เหมือนข้างในจะใส่ของเอาไว้แล้ว เธอก็วิ่งเข้าไปสวมกอดกับพ่อและแม่ของผมทันที

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้พวกเราทั้งสี่คนถึงกับผงะทันที ผมรีบจ้องไปตรงประตูด้วยความระแวงอย่างรวดเร็ว

    "รีบไปเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะจัดการเอง" พ่อผมพยักหน้าและบอกผมอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมเดินไปจับมือน้องสาวผมทันที

    "ไปกันเถอะ" ผมบอกกับน้องสาวผม

    น้องสาวผมไม่ได้กล่าวตอบผมโดยตรง แต่เธอก็พยักหน้า เธอยังคงนํ้าตาไหลอาบแก้มไม่ต่างจากผมอยู่ ผมเดินไปตรงบานกระจกที่เป็นประตูทางเข้าไปสู่โลกของอีเควสเทรีย ก่อนที่จะหันหลังกลับมามองหน้าทั้งสองท่านเป็นครั้งสุดท้าย

    "เพื่ออีเควสเทรีย!!" พ่อผมพยักหน้าตอบ ก่อนที่จะหันหลังไปทางประตูอย่างรวดเร็ว

    โครม!

    เสียงประตูพังดังขึ้น และเมื่อผมมองเห็น ก็พบว่าบอร์ดี้การ์ดร่างยักษ์คนหนึ่งถีบประตูพังเข้ามา ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมมองเห็นพ่อกับแม่กำลังยืนขวางพวกเขาเอาไว้ และคุณแจ็คใบหน้าบึ้งตึงมากขึ้นเมื่อเห็นผมกับน้องสาวผมยืนอยู่หลังกระจกที่มีแสงสีม่วงล้อมรอบ

    "ฉันกะเอาไว้แล้วเชียว จับพวกมันให้ได้! เราต้องเข้าไปที่โลกนั่น!" คุณแจ็คตะเบ็งเสียงดังลั่นและชี้มาทางพวกผม

    "ทำไมถึงอยากจะไปโลกนั้นมากนัก!" ผมตะโกนถาม

    "พวกแกทำให้บริษัทฉันล่มจม ฉันจะทำให้ธุรกิจของฉันฟื้นคืนมาให้ได้" คุณแจ็คแสยะยิ้มออกมา "จับพวกมันไว้ซะ!!"

    "โทษทีนะครับคุณสุภาพบุรุษ แต่ผมคงจะไม่ปล่อยให้ทุกท่านผ่านไปได้หรอก" พ่อผมกอดอกยืนขวางไว้

    "งั้นช่วยถอยไปหน่อยได้ไหมว่ะ!!" คุณแจ็คชักปืนออกมาจ่อหัวพ่อผมทันที

    "พ่อ!!" น้องสาวผมตะโกนดังลั่น ผมรีบจับน้องผมเอาไว้แน่นเพื่อความปลอดภัย

    "รีบเข้าไปเดี๋ยวนี้" แม่ผมสั่งออกมาด้วยนํ้าเสียงเฉียบขาด

    "แต่...แต่..." ผมยังทำใจไม่ได้ที่จะทิ้งพวกท่านไป

    "บอกแล้วใช่ไหม ว่าพ่อกับแม่นะ ไม่เป็นอะไรหรอก" แม่ยิ้มออกมา ก่อนที่จะมีแสงสีฟ้าเปร่งออกมาจากตัวของแม่ผมเอง

    "นั่นมันอะไรเนี่ย" คุณแจ็ครีบชี้ปืนไปทางแม่ผมทันทีด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

    "เวทมนต์งั้นเหรอ" ผมพึมพำ

    "อย่าคิดว่าจะทำอะไรลูกของพวกเราได้" พ่อผมเอียเสียงเฉียบขาดอออกมา ก่อนที่ตัวของพ่อผมจะมีแสงสีฟ้าออกมาด้วย ซึ่งผมพอเดาออกแล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร

    "มาเถอะ" ผมฉุดน้องผมให้ตามผม แล้วเข้าไปในกระจกทันที

    "ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!"

    เสียงคุณแจ็คร้องตะโกนดังลั่นออกมาเมื่อผมพาน้องสาวผมเข้าไปกระจกแล้ว ความเย็นเฉียบราวกับผ่านทะลุนํ้าแข็งผ่านตัวไปเหมือนครั้งแรกที่ผมผ่านไปยังโลกนั้นไม่มีผิด ก่อนที่ความอบอุ่นจะถาโถมเข้ามาในตัวของ แสงสีรุ้งต่างๆ บินผ่านตัวผมไปราวกับเป็นอุโมงค์แห่งกาลเวลา ก่อนที่ตัวผมจะเบาหวิวราวกับกำลังล่องลอยอยู่กลางอวกาศ มือของผมปล่อยมือของน้องสาวผมโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ผมจะรับรู้ว่า มือของผมเริ่มไม่มีนิ้วอีกต่อไป

    นี่สินะ ความรู้สึกที่คุ้นเคย ผมคิดในใจพร้อมกับยิ้มออกมา

    .....

    ..

    .

    .

    .

     

    พลั่ก!!

    หน้าผมกระแทกลงกับพื้นเข้าอย่างจังจนราวกับว่าจมูกของผมบี้ยุบเข้าไป ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับกัดฟันเพื่อพยายามไม่ให้ความเจ็บปวดนั้นหลั่งไหลเข้ามาในตัวของผม และผมก็รู้สึกได้ว่าผมไมได้ยืนสองขาอีกต่อไป แต่ผมยืนด้วยสี่เท้าแล้ว ซึ่งเมื่อผมยกมือขึ้นมอง ก็พบว่ามือของผมกลายเป็นกีบไปแล้ว ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างดีอกดีใจ

    "เรามายังโลกนี้ได้แล้วสินะ" ผมพึมพำออกมา ก่อนที่ผมจะเงนหน้ามองไปรอบๆ เพื่อดูว่าผมอยู่ที่ไหน

    พลั่ก!

    มีใครบางคนพุ่งมาชนกับผม ซึ่งเมื่อผมลืมตามอง ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นมีลำตัวและปีกสีเขียว เธอยิ้มกว้างกับผมพร้อมกับนํ้าตาที่นองเต็มหน้า

    "คราวเหรอ..." ผมเอ่ยเรียกชื่อเธอ

    "นายกลับมาแล้ว นายกลับมาแล้ว!" เพกาซัสสาวโผกอดซบกับอกของผมจนผมรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความโศกเศร้าที่เธอมีให้กับผมทันที ผมยกกีบลูบหัวของเธอทันที

    "ฉันบอกแล้วไงว่าฉันต้องกลับมาแน่" ผมยิ้มตอบเธอ

    "ขอบคุณเซเลสเทรีย นายกลับมาแล้ว!"

    เสียงทไวไลท์ดังขึ้น และเมื่อผมผลักคราวเล็กน้อยเพื่อลุกขึ้นยืน ก็พบว่าทไวไลท์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับเพื่อนผมทั้งห้าตัวที่กำลังยิ้มกว้างให้ผมอยู่ ตอนนี้เหมือนผมจะอยู่ที่ห้องสมุดของทไวไลท์ ทุกคนยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นผม

    "ฉันบอกแล้วไงทไว ว่าเขาต้องมาแน่" แอปเปิ้ลแจ็คยิ้มกว้าง "ขอต้อนรับกลับมานะ พ่อหนุ่มนํ้าตาลก้อน"

    ม้าทุกตัวรีบกล่าวทักทายผมทันที แต่ผมนั้นกลับรีบโค้งก้มหัวถวายทำความเคารพเจ้าหญิงทไวไลท์ไว้ก่อนทันที

    "ถวายบังคมเจ้าหญิงทไวไลท์" ผมรีบกล่าวทูลเธอทันที

    "คือ มันอึดอัดหน่า เรียกฉันว่าทไวไลท์เหมือนเดิมเถอะ" อัลลิคอนสาวทำสีหน้าไม่สบายใจนัก

    "แต่... เจ้าหญิง..." ผมรีบทูลแทรกทันที

    "ฉันไม่อยากให้ตำแหน่งของฉันมันทำให้พวกเราไม่สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนนะ และนี่เป็นคำสั่งของเจ้าหญิงด้วย ห้ามเรียกฉันว่าเจ้าหญิงเด็ดขาด และต้องพูดกับฉันเหมือนเดิม เหมือนกับที่เพื่อนๆ ทุกตัวเรียกฉันแบบนั้น" ทไวไลท์ยิ้มบอกผม

    ผมมองไปรอบๆ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มพยักหน้าให้ ผมถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอ

    "เนี่ยแหละที่สมกับเป็นเธอ ทไวไลท์ ฉันเองก็คงอึดอัดแย่เมื่อต้องเรียกเธอว่าเป็นเจ้าหญิงตลอดเวลา" ผมบอกตามความจริง ซึ่งทไวไลท์หัวเราะออกมา

    "ว้าว ที่รัก แม่สาวน้อยนี้คีอใครเหรอ" แรร์ริตี้ทักผม ซึ่งผมมองไปทางข้างๆ ทันที

    เพกาซัสสาวลำตัวสีฟ้า แผงคอที่ทรงคล้ายกับฟรัทเทอร์ชายสีขาว พร้อมกับนัยต์ตาสองสี สีม่วงแดงข้างและสีนํ้าตาลข้างหนึ่งมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ตัวของเธอนั้นเล็กกว่าผมเล็กน้อยและตรงสะโพกของเธอนั้นยังเปลือยเปล่าไร้คิ้วตี้มาร์ค ซึ่งผมเดาได้เลยว่าม้าตัวนี้เป็นใคร

    "ทุกคน ฉันขอแนะนำนะ นี่น้องสาวฉัน ชื่อว่านัท .... นัท นี่เพื่อนๆ ของพี่เอง" ผมบอกน้องสาวผมกับทุกตัวที่อยู่ในห้องนี้

    "น้องสาวนายงั้นเหรอ ว้าว! เหมือนสวิตตี้เบลที่นายเคยบอกตรงๆ ด้วย" พิงค์กี้พายยิ้มออกมา

    "สะ สวัสดีค่ะ หนูเองก็เพิ่งจะมาโลกนี้เป็นครั้งแรก ยังไงฝากตัวด้วยนะค่ะ" น้องสาวผมพยายามยกกีบหน้าขึ้นเพื่อไหว้สวัสดี แต่เธอก็ล้มคะมำหน้าทิ่มพื้นไปแทนซะงั้น

    "พี่กับน้องนี่เหมือนกันจริงๆ แฮะ" เรนโบว์แดชแซวออกมา

    "โทษทีนะ ที่ฉันมันหน้าทิ่มเหมือนน้องฉันตอนก้มหัวแรกๆ นะ" ผมประชดตอบ ก่อนที่จะเดินไปช่วยพยุงน้องสาวให้ลุกขึ้น ซึ่งคราวเองก็มาช่วยด้วยเช่นกัน น้องสาวผมมองไปรอบๆ รวมไปถึงมองคราวด้วย

    "คือ เพื่อนพี่ทุกตัวหนูน่าจะรู้จักหมดนะ" น้องสาวผมบอก "อย่างเจ้าหญิงทไวไลท์ แรร์ริตี้ แอปเปิ้ลแจ็ค เรนโบว์แดช พิงค์กี้พาย สไป้ค์ และเอ่อ... พี่ฟรัทเทอร์ชายใช่ไหมค่ะ" น้องสาวผมถามไปทางฟรัทเทอร์ชาย

    "ใช่จ๊ะ" ฟรัทเทอร์ชายยิ้มตอบ

    "แต่ แล้วพี่สาวคนนี้ใครเหรอ" น้องสาวผมถามไปยังคราวไรเดอร์ที่อีกฝ่ายทำหน้างอนมาทางผมทันที

    "นี่นาย นายเขียนบอกเพื่อนนายให้น้องนายรู้จักทุกตัว แต่ไม่เขียนเรื่องฉันได้ไงย่ะ" คราวหันมาถามผม

    "เอ่อ ก็มัน...” ผมหน้าแดงทันทีเมื่อรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร และก็จริงตามที่้เธอบอก ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องเธอให้น้องสาวผมฟังในจดหมายนั่นเอง

    "เอ่อ เอาเป็นว่า แล้วฉันกลับมาโลกนี้ได้ยังไงเหรอทไวไลท์ กระจกมันแตกไปแล้วไม่ใช่เหรอ" ผมรีบเปลี่ยนประเด็นคุยทันที จนทำให้คราวทำแก้มป่องออกมาด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่นัก

    "ฉันซ่อมมันใหม่นะสิ" ทไวไลท์บอก ซึ่งข้างๆ เธอนั้น มีบานกระจกบานเดียวกันกับที่ผมใช้ในการกลับโลกผม แต่ตอนนี้กระจกไม่อยู่แล้วเพราะแตกกระจายร่วงกองเต็มพื้นไปหมด

    "โชคดีที่เจ้าหญิงเคเดนส์เก็บเศษกระจกเอาไว้ในท้องพระคลังของแคทเทอร์ล็อชไว้ทั้งหมด ฉันเลยเก็บมาและทไวไลท์ก็ได้ใช้เวทย์เชื่อมกระจกทั้งหมดเพื่อสร้างประตูมิติได้" สไป้ค์บอก "แต่คาถาอยู่ได้แค่ 5 นาทีเท่านั้น เราไม่นึกว่านายจะกลับมาด้วยซํ้านะเนี่ย"

    "อะไรกัน! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันต้องกลับมาแน่" ผมบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ "แต่ก็ขอบใจนะทไวไลท์ที่สร้างประตูให้ฉันกลับมาได้"

    "ใช่ แต่คาถามันใช้ยากมาก ขนาดฉันเป็นอัลลิคอนแล้วยังใช้งานมันได้ไม่เกิน 5 นาทีเลย" ทไวไลท์ยกกีบปาดเหงื่อของเธอ "ฉันไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างประตูพานายกลับไปได้รึเปล่านะ"

    "เรื่องนั้นช่างมันเถอะทไวไลท์ ฉันกับน้องสาวตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ถาวรไปเลย ใช่ไหมน้องพี่" ผมยกกีบโอบกอดน้องผมเข้ามาใกล้ๆ

    "อืม" น้องผมหน้าแดงและพยักหน้าเบาๆ

    "จริงเหรอ! นายจะมาอยู่ที่นี่ตลอดเลยใช่ไหม!! สุดยอด!!" เรนโบว์แดชยิ้มกว้าง

    "ก็ จะเล่าให้ฟังทีหลัง แต่ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องอะไรถึงเรียกฉันมา แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงเซเลสเทรียกับเจ้าหญิงลูน่ากันแน่" ผมยิงคำถามไปที่ทไวไลท์ทันที

    "ฉันไม่รู้ ตอนนี้ฉันสั่งให้ทหารในแคทเเทอร์ล็อชตามหาทั้งสองพระองค์แล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเลวร้ายมาก" ทไวไลท์ให้ผมมองไปรอบๆ

    เมื่อผมมองไปรอบๆ ห้องสมุด ผมก็พบกิ่งก้านต้นไม้ประหลาดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งราวกับมันเป็นรากไม้แปลกๆ และมีสีดำน่าสะอิดสะเอียนอยู่รอบๆ ห้องสมุด บางอันยังขยับอยู่ บางอันก็ถูกตัดขาดจนแน่นิ่งไปแล้ว และเมื่อผมมองไปข้างนอก ตาผมเบิ่งโพลงโตด้วยความตกใจ เพราะว่าข้างนอกนั้นกลับมีรากไม้ประหลาดล้อมรอบเมืองโพนี่วิลด์ทั้่งเมือง บ้านหลายหลังถูกมันห้อมล้อมเอาไว้หมด ราวกับว่าทั้งเมืองนี้ถูกรากไม้นี้ยึดครองเอาไว้หมดแล้ว แถมบรรยากาศก็ดูผิดเพี้ยนมาก เพราะว่ามีทั้งกลางวันและกลางคืนแบ่งท้องฟ้ากันละละซีก ราวกับว่าผมหลุดมายังโลกอีกมิติหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย" ผมพึมพำออกมาด้วยความสงสัย

    "ฉันไม่เคยเห็นวัชพืชพวกนี้มาก่อนเลย มันทำลายฟาร์มฉันย่อยยับหมด" แอปเปิ้ลแจ็คมองไปยังรากไม้ข้างๆ ที่ถูกตัดอย่างไม่พอใจนัก เหมือนซากรากไม้นั้นเธอเพิ่งจะเป็นคนจัดการมันด้วยของเธอเอง

    "แถมฉันก็ใช้เวทมนต์ไม่ได้ด้วย เพราะรากไม้พวกนี้นะแหละ" แรร์ริตี้บ่นออกมา

    "มันเหมือนมันมาจากป่าเอเวอร์ฟรี แต่ที่รู้ๆ ฉันต้องการม้าทุกตัวที่มาช่วยทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้เจ้าหญิงเคเดนส์และพี่ฉันก็กำลังหาทางป้องกันอาณาจักรคริสตัลอยู่ ส่วนทริซซี่ก็กำลังปกป้องฟาร์มหินของพิงค์กี้อยู่ วันเดอร์โบ้วก็กำลังคุ้มกันเมืองคราวเดล ตอนนี้เหลือแต่พวกเราเท่านั้น และเนี่ยแหละที่ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย" ทไวไลท์บอก

    ผมหันหน้ามองไปตรงสะโพกผม ซึ่งสะโพกผมนั้นก็มีคิวตี้มาร์ครูปมงกุฎสีทองกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ผมมองไปยังเพื่อนผมทุกตัวที่กำลังมองมาทางผม รวมไปถึงน้องสาวผมด้วย ผมพยักหน้าให้เจ้าหญิงทไวไลท์ทันที

    "ถ้างั้นก็เริ่มกันเถอะ" ผมบอกกับทุกตัว

     

    ...

    ..

    .

    .

     

    To Be Contined

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×