ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] ☼ ร้อยตะวัน ☼ l #JackJae

    ลำดับตอนที่ #6 : ☼ ร้อยตะวัน ☼ l Chapter 05

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 59


    ร้อยตะวัน

    #ฟืคร้อยตะวัน

    CHAPTER 05


     (Cr: tumblr , Blue Bell)

                 


                 ฝ่ามือใหญ่ของชายวัยกลางคนบรรจงผูกเนกไทให้กับผู้เป็นนาย ใบหน้าจิ้มลิ้มดูงอๆนิดหน่อยที่ต้องแต่งตัวใส่สูทผูกไทตามคำสั่งของมาร์คผู้เป็นพี่ชาย แต่เพราะยามาดะมีความเห็นตรงกันกับมาร์คว่าการใส่ชุดแบบนี้เข้าประชุมดูภูมิฐาน มีความน่าเชื่อถือและให้เกียรติผู้ถือหุ้นคนอื่นๆมากกว่า



                    “มีรายงานแจ้งมาว่าเจอรองเท้าของหวังแจ็คสันติดอยู่ข้างโขดหิน แต่ยังไม่พบตัว...”


                    ใบหน้าหวานแอบกลั้นหายใจอย่างลืมตัวขณะฟังรายงานจากยามาดะ นัยน์ตาเรียวรีหลุบลงต่ำหลบสายตาของโชซังที่จ้องมองมาอย่างจับผิดเพราะว่าตนกำลังสนอกสนใจเรื่องของหวังแจ็คสันมากเกินไป


                    “คาดว่าภายในสามวันจะต้องได้เรื่องแน่นอนครับ”



                    ยองแจพยักหน้ารับสั้นๆพลางเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ยามาดะผิดสังเกต เด็กหนุ่มหันไปจัดสูทตัวนอกให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้งที่หน้ากระจกราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่ยามาดะกำลังพูดถึง



                    “อ้อ บ้านอายูคาวะส่งดอกบลูเบลและการ์ดมาร่วมแสดงความยินดีกับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดคนใหม่ของเฟยหรง ยินดีด้วยนะครับชเวซามะ” ดอกไม้เล็กๆสีม่วงทรงระฆังบนกิ่งก้านโค้งลงถูกจัดมาอย่างสวยงามในช่อกระดาษสีน้ำตาลพร้อมด้วยการ์ดแสดงความยินดีที่เขียนด้วยลายมือ



                    “ไม่ใช่แสดงความยินดี...” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันขณะมองอักษรฮิรางานะที่บรรจงเขียนชื่อของเขาอย่างสวยงามอยู่บนแผ่นการ์ด ดอกบลูเบลแทนความหมายของการขอบคุณ ความอ่อนน้อมและความจงรักภักดี การที่อายูคาวะส่งดอกไม้ชนิดนี้มาให้เขานั่นหมายความว่า...



                    “ดูเหมือนว่า...ทางอายูคาวะจะหาเจ้าสาวที่เหมาะสมให้กับชเวซามะได้แล้วสินะครับ”


                    มือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปากก่อนจะกระแอมไอเล็กน้อยเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงหัวเราะของเขาเล็ดลอดหลุดไปให้ชเวซามะที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วได้ยิน



                    ในวันเกิดครบรอบสิบแปดปีที่ผ่านมาของชเวซามะ มีบรรดาพันธมิตรและแก๊งมาเฟียมากมายทั่วญี่ปุ่นต่างพากันนำบุตรสาวของตนมาแนะนำกับหนุ่มน้อยอัจฉริยะเพื่อหวังที่จะเป็นโอคามิซังแห่งอากิระ ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องและไม่อยากให้เสียมิตรภาพระหว่างกันชเวซามะจึงได้ประกาศว่าจะนัดดูตัวถ้าหากว่าหญิงสาวคนนั้นมีอายุน้อยกว่าตนหนึ่งปีและมีไอคิว 150 ขึ้นไปซึ่งก็จะตัดกำลังไปได้หลายคนเลยทีเดียว บุคคลที่มีแนวโน้มจะได้เป็นโอคามิซังจึงเหลือเพียงตระกูลอายูคาวะที่สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลของโชกุนในสมัยเอโดะและตระกูลนี้ยังเป็นเพียงตระกูลเดียวที่ไม่ได้ส่งตัวบุตรสาวมาร่วมงานฉลองวันเกิดดังเช่นตระกูลอื่นๆ



                    “เห็นทีว่ากลับญี่ปุ่นคราวนี้ อากิระจะมีงานมงคลครั้งใหญ่เชียวล่ะ อ้าว...ชเวซามะ ชเวซามะรอก่อนสิครับ” ยามาดะเอ่ยแซวนายน้อยของเขาที่เดินเลี่ยงออกไปนอกห้อง ใบหน้าใจดีที่เคยประดับรอยยิ้มกลับมาตีหน้าเครียดอีกครั้งเมื่อนึกไปถึงแววตาเป็นประกายระยับเต็มไปด้วยความหวังยามที่เขาพูดถึงเรื่องของผู้ชายคนนั้น



    ยามาดะรู้ดีว่าชเวซามะจงใจแกล้งพูดเรื่องดูตัวในวันเกิดไปอย่างนั้นเพื่อตัดความรำคาญคงยังไม่ได้คิดจะแต่งงานจริงแต่ถ้าหากอากิระได้มีโอคามิซังเป็นผู้เพียบพร้อมอย่างตระกูลอายูคาวะ เขาคงจะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดมือไปไม่ได้

     












    ...ร้อยตะวัน...






             

     

     

                    “อาการปางตาย...ไปทำอะไรมาถึงได้โดนหนักขนาดนี้”


    เคร้ง...

                    เสียงลูกตะกั่วกระทบกับถาดรองเพื่อใช้ในการทำแผลเท่าที่เด็กหนุ่มพอจะหาได้ในเวลานี้ บาดแผลสองจุดจากการถูกยิงนัดหนึ่งลูกกระสุนได้ฝังเข้าที่กล้ามเนื้อแขนและอีกนัดเป็นเพียงแค่รอยแผลถากๆทีสีข้าง แต่ร่างกายนั้นได้รับความบอบช้ำจากการถูกทำร้ายมามากพอสมควร


                    “อั่ก...”


                    “ซี่โครงน่าจะหัก”



    มือเล็กกดลงไปตรงหว่างอกเพื่อตรวจเช็คความผิดปกติภายในและก็เป็นไปตามคาดเสียด้วย เด็กหนุ่มจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อห้ามเลือดจากรอยบาดแผลพร้อมกับบีบปากบังคับให้เขาดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย



    “พี่แบม...เขาจะรอดไหมอ่ะ?” เด็กหนุ่มตัวเล็กนัยน์ตาบ้องแบ๊วหันไปถามคนเป็นพี่ที่เก็บคนแปลกหน้าขึ้นมาจากริมแม่น้ำได้เมื่อตอนเช้ามืด



    “ไม่รู้เหมือนกัน”



    “ถ้าเป็นผมนะ โดนซ้อมขนาดนี้ยอมตายตั้งแต่กระสุนนัดแรกดีกว่า...โอ๊ย!



    กำปั้นเล็กเขกลงบนศีรษะทุยของเด็กปากพล่อยก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับไปทำแผลให้กับชายแปลกหน้าคนนั้นต่อ



    “พูดอะไรของนายน่ะเจโน่ คนเราเกิดมามีแค่ชีวิตเดียว ก็ต้องสู้จนกว่าจะรอดสิ”    

     

     

     





    ...ร้อยตะวัน...









    สปอตไลท์ แสงแฟลชและเสียงรัวชัตเตอร์มากมายต่างพุ่งตรงมาที่มาร์คต้วนและชเวยองแจอยู่จุดเดียวหลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องประชุม ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักของผู้ถือตำแหน่งประธานบริษัทเดินมานั่งตรงที่ประจำตำแหน่งโดยมีน้องชายของเขาเดินมานั่งขนาบข้างเพื่อฟังแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเรื่องความไม่มั่นคงของบริษัท



    “อย่างที่ทุกท่านทราบสำหรับเรื่องข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงว่ายองแจ น้องชายของผมได้ไปให้ความร่วมมือกับบริษัทอื่น สำหรับผมและยองแจความสำคัญของบริษัทเราต้องมาก่อนอย่างอื่นเสมอ” นัยน์ตาคมชำเลืองมองคนตัวเล็กที่ยกยิ้มน้อยๆให้กับกล้องของนักข่าวพอเป็นพิธีอย่างรู้งานก่อนที่เขาจะพูดต่อ



    “คุณพ่อของพวกเราท่านตั้งใจสร้างที่นี่ขึ้นมาเพื่อให้เราสองคนสานต่อ ดังนั้นจะไม่มีบริษัทไหนมาแยกเราสองคนพี่น้องออกไปจากบริษัทนี้ได้ ขอบคุณครับ” มาร์คและยองแจต่างลุกขึ้นโค้งศีรษะให้กับกล้องก่อนทั้งสองคนจะเดินเลี่ยงออกไปตามทางที่การ์ดจัดเตรียมไว้ให้



    “ผมจะกลับญี่ปุ่นอาทิตย์หน้า” ริมฝีปากอิ่มพูดออกมาทันทีที่พี่ชายหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ชเวซามะเดินไปนั่งบนโซฟาที่อยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของมาร์คไม่ไกลพลางหยิบหนังสือแมกกาซีนขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรอ ยามาดะ โช มารับ



    “ทำไมถึงไม่อยากอยู่บ้าน?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าอย่างคนอ่อนใจ ในฐานะพี่เขาอยากให้ยองแจย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่เกาหลีอย่างถาวรแต่อีกใจนึงก็นึกสงสารถ้าเกิดว่ายองแจต้องทนอยู่ที่เกาหลีด้วยความลำบากใจ



    “อากิระคือบ้านของผม”



    “เฟยหรงก็เป็นบ้านของนาย!



                แวบหนึ่งที่นัยน์ตาเรียวรีวูบไหวไปกับคำว่าบ้านที่หลุดออกมาจากปากของพี่ชายต่างมารดา ใบหน้าสวยหวานราวกับสตรีที่ได้เค้าโครงจากผู้เป็นแม่มาอย่างสมบูรณ์แบบก้มหน้าลงมองแมกกาซีนในมือด้วยความรู้สึกว่างเปล่า



                    ภาพของเด็กชายตัวเล็กกำลังนอนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงหน้าหลุมศพปานจะขาดใจในวันที่หยาดฝนโปรยปรายวกกลับเข้ามาในความทรงจำของยองแจอีกครั้ง ฝ่ามือใหญ่ที่บีบรัดบริเวณต้นแขนตรงเข้ามาฉุดกระชากเขาออกไปท่ามกลางเสียงขอร้องอ้อนวอนจากคนอื่นๆ เด็กชายตัวหนาวสั่นในชุดสูทหลวมโคร่งคนนั้นถูกกักขังเอาไว้ในห้องอับชื้นคับแคบแถมยังหนาวเหน็บจนมือและเท้าของเขาชาจนไม่รู้สึกอะไร


                    ซุปร้อนจากคนที่ใครหลายคนต่างสั่งสอนให้เขาเรียกว่าพ่อถูกนำมาเสิร์ฟโดยพี่เลี้ยงผมแกละ เด็กชายตัวน้อยคนนั้นได้แต่นั่งมองชามซุปถูกเทลงบนพื้นไปต่อหน้าต่อตา ถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่คนเพียงเพราะเป็นลูกนอกสมรสที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนในแก๊งมาเฟีย ทั้งอ่อนแอ ไร้ค่าและไม่มีความหมายในสายตาของคนอื่นๆหรือแม้แต่คนที่เรียกตัวเองว่าพ่อ



                    สองแขนอบอุ่นที่ยื่นเข้ามาโอบกอดเด็กชายคนนั้นในวันที่คิดว่าคงไม่รอดแล้วจริงๆ น้ำเสียงอ่อนโยนที่เรียกเขาด้วยสำเนียงแปร่งๆและไม่ใช่ภาษาเกาหลี ชายอีกคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวของเขาก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบไป...


                    ชเวซามะ                






    “ไม่...ที่นี่ไม่ใช่บ้านของผม ไม่มีวันเป็น”


    มือเล็กขยำแมกกาซีนบนตักจนกลายเป็นก้อนกลม นัยน์ตาเรียวรีทั้งสองข้างเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาทำให้มาร์คไม่กล้าพูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มตัวเล็กเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหล กักเก็บเสียงสะอื้นและความเสียใจเอาไว้ให้ลึกที่สุดของห้วงความคิดก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้อง



    “ชเวซามะ...”



    ยามาดะ โช เดินมาถึงหน้าห้องทำงานของประธานแห่งเฟยหรงแค่เพียงเห็นอาการของนายน้อยเขาก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อนอกจากพาชเวซามะกลับไปยังที่พักให้เร็วที่สุด ความอ่อนแอที่ไม่อยากให้ใครเห็นจนต้องปิดกั้นตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์นั้นเพียงลำพัง สมควรแก่เวลาแล้วสินะที่ชเวซามะจะต้องมีคนมาช่วยแบ่งเบาความรู้สึกตรงนี้สักที







    ...ร้อยตะวัน...








                    กิโมโนไหมญี่ปุ่นสีครีมเรียบลื่นที่ถูกบรรจงตัดเย็บอย่างประณีตด้วยฝีมือของช่างเก่าแก่ประจำตระกูล ลายปักดอกซากุระสีชมพูสดบนแพรไหมชั้นดีทำจากไหมเส้นเดียวเรียงร้อยต่อกันในทุกกลีบจนครบดอกส่งเสริมให้คนสวมใส่ดูงดงามราวกับเจ้าหญิงองค์น้อยในฤดูหนาว



                    “มิกิ...นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลูกจะต้องฝึกงานบ้านงานเรือนเพื่อเตรียมเข้าเป็นสะใภ้ของอากิระ” ชายรูปร่างท้วมสวมแว่นสายตาท่าทางดูใจดีเอ่ยกับบุตรสาวคนสุดท้องวัยสิบเจ็ดปีที่นั่งหน้างุ้มหน้างอเพราะไม่อยากแต่งงานแม้ชายที่จะมาเป็นสามีของเธอจะเป็นที่ปรารถนาของหญิงสาวเกือบครึ่งประเทศก็ตาม



                    “อากิระอาจจะไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่อย่างพวกเรา แต่เรื่องความมั่งคั่งและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของชเวซามะแม่เชื่อว่าเขาจะพาอายูคาวะของเราก้าวหน้าไปด้วย” หญิงสาวสูงศักดิ์ในชุดกิโมโนแขนสั้นเรียบหรูต่างจากบุตรสาวกล่าวด้วยสายตาแห่งความทะเยอทะยาน ฝ่ามือเรียวยื่นไปเชยคางมนของบุตรีที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาก่อนจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจ



                    “เป็นโชคดีของลูกจริงๆมิกิ”



                    ในวันเกิดของชเวซามะแห่งอากิระ บุตรสาวทั้งสามแห่งตระกูลอายูคาวะกำลังเตรียมตัวเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง ทว่ามิกิลูกสาวคนเล็กตัวแสบที่ไม่อยากไปงานเพราะรู้ว่าพ่อแม่จงใจจะจับคู่พวกเธอคนใดคนหนึ่งให้กับเจ้าของวันเกิดจึงได้แอบใส่ยาถ่ายให้กับคนทั้งบ้านกิน คิดไม่ถึงว่าโชคร้ายวันนั้นจะทำให้อายูคาวะได้รับจดหมายนัดดูตัวจากอากิระในวันรุ่งขึ้น



                    “แต่แม่คะ...นี่มันยุคสมัยไหนแล้วทำไมถึงยังต้องคลุมถุงชน” ริมฝีปากเล็กเจือลิปกลอสสีชมพูอ่อนรับกับสีแก้มเดียวกันเอ่ยค้านอย่างขัดใจ อายูคาวะ มิกิ เป็นเด็กหัวสมัยใหม่ที่มีความรอบรู้และใฝ่การศึกษาไม่สนงานบ้านงานเรือนหรือว่าเรื่องแต่งตัวดังเช่นพี่สาวอีกสองคน เธอเชื่อมั่นว่าผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพและความสามารถทัดเทียมผู้ชายเรื่องการแต่งงานจึงดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวจนเธอไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมาถึงเธอเร็วขนาดนี้



                    “ชเวซามะงามทั้งรูป งามทั้งสติปัญญาและฐานะ จะหาคนที่เพียบพร้อมและดีแบบนี้ได้สักกี่คนในญี่ปุ่น ถ้าหากข้อกำหนดของชเวซามะไม่ใช่เรื่องอายุและระดับไอคิว แม่ก็จะให้พี่ๆคนอื่นแต่งแทนอยู่หรอก อายูคาวะจะได้ไม่ต้องขายหน้าที่ส่งลิงกังไปเป็นโอคามิซังให้กับอากิระ” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างอ่อนใจ มิกิไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องงานบ้านงานเรือนเหมือนพี่ๆคนอื่นๆแม้บ้านอากิระจะมีบริวารคอยดูแลมากมายแต่หน้าที่ปรนนิบัติสามีจะมีใครทำได้ดีเท่าภรรยาที่ต้องอยู่กินกันไปอีกสิบปียี่สิบปีจนแก่เฒ่าหรือตายจากกัน



                    “โลกนี้มีคนสวยที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถและคู่ควรกับชเวซามะมากมาย หน้าที่ปรนนิบัติสามีมิกิก็จะยกให้กับพวกเธอทั้งหมดเลยจะไปยากอะไร”



                    ฝ่ามือเรียวยกขึ้นตีแขนบุตรสาวแก่นแก้วที่พูดราวกับไม่แยแสว่าชเวซามะจะมีภรรยาอีกสักกี่คน สุภาพสตรีสูงศักดิ์คลายคิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นพลางหันไปถอนหายใจกับสามีอย่างปลงๆ


                “มิกิพูดจริงๆนะคะคุณแม่”


    “แม่ไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระแล้ว เตรียมไปเรียนเย็บปักที่ห้องด้านล่าง”


    “ไม่รู้ล่ะ ถ้านัดดูตัวแล้วมิกิไม่ชอบ มิกิก็จะไม่แต่ง ขอตัวนะคะคุณพ่อคุณแม่” เด็กสาวพองแก้มใส่ผู้ปกครองทั้งสองก่อนที่เธอจะลุกขึ้นโค้งคำนับผู้เป็นบิดามารดาแล้วเดินตรงไปทางประตูบานเลื่อน


    “มิกิแล้วนั่นลูกจะไปไหน?” น้ำเสียงนุ่มอบอุ่นจากผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรสาวที่เดินลงส้นตึงตังไร้ความเป็นกุลสตรีผิดกับมารดาที่เพียบพร้อมทั้งกริยามารยาทอย่างสิ้นเชิง


    “ไปเรียนเย็บปักไงคะ อาจารย์มิยูกิคงมาถึงแล้ว”


    น้ำเสียงใสแจ๋วหันกลับมาตอบพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เรียกรอยยิ้มบางจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ถึงแม้มิกิจะกระโดกกระเดกไปบ้างแต่ อายูคาวะ ริเอะ ค่อนข้างมั่นใจว่าลูกสาวคนเล็กคนนี้นี่แหละที่เหมาะสมจะเป็นโอคามิซังของนายน้อยหน้าหวานแห่งอากิระ

     








    ...ร้อยตะวัน...









    “นายเป็นใคร?”


               “ว...เหวออออออ”


                มือเล็กอันสั่นเทาที่กำลังทำการเช็ดตัวให้กับคนเจ็บที่พี่ชายของเขาไปหิ้วมาจากปลายน้ำเผลอทำผ้าชุบน้ำอุ่นหลุดมือเมื่อสายตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวของชายคนนั้นลืมตาขึ้นมาพร้อมกับบีบกำข้อมือของเขาข้างหนึ่งเอาไว้



                    “พ...พี่แบม ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว รีบมาเร็ว!” เด็กชายตัวน้อยเจโน่พยายามยื้อยุดฉุดข้อมือของตัวเองให้เป็นอิสระจากชายคนนั้น ปากเล็กก็ตะโกนร้องเรียกพี่ชายที่ออกไปต้มน้ำอยู่นอกชานให้รีบเข้ามาดูก่อนที่เขาจะถูกผู้ชายคนนี้ฆ่าตายเสียก่อน


                    “ปล่อยน้องชายผม” เด็กผู้ชายหน้าตามอมแมมเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับดึงข้อมือของเจโน่ออกจากคนแปลกหน้า ใบหน้าคมผิวแทนดูมีเสน่ห์ของเด็กหนุ่มอีกทั้งแววตาเรียบเฉยไม่ระบุว่าเป็นมิตรหรือศัตรูทำให้แจ็คสันยอมรามือ ใบหน้าหล่อก้มลงมองสำรวจตัวเองในชุดเก่ามอซออีกทั้งยังมีใบไม้ตำละเอียดแปะตามรอยแผลบาดเจ็บและเศษผ้าเก่าๆเอามาตัดสลับเป็นเส้นยาวแทนผ้าพันแผลพันไปทั่วทั้งตัว



                    “นายเป็นคนช่วยฉันเหรอ?” ริมฝีปากซีดเพราะยังไม่หายดีเอ่ยถามเด็กผู้ชายสองคนที่น่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่น่าแปลกที่ทั้งหน้าตาและผิวพรรณกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง



                    “ใช่ เราไม่มีเงินพอจะส่งคุณเข้าโรงพยาบาล อีกทั้งคุณยังถูกทำร้ายมา หากพวกมันรู้ว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ผมกลัวว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายคุณอีก ก็เลย...รักษาแบบตามมีตามเกิด” เด็กหนุ่มผิวแทนเป็นคนอธิบายเรื่องราวให้เขาฟัง แจ็คสันหลับตาลงค่อยๆคิดทบทวนความจำล่าสุดบนก่อนที่สติของเขาจะดับไปแล้วจึงพยักหน้ารับช้าๆ นัยน์ตาคมวาวลืมขึ้นอีกครั้งพร้อมกับปรายตาไปยังสองบุคคลที่มีบุญคุณกับชีวิตของเขา เด็กชายตัวเล็กพอสบตาก็รีบกระโดดเกาะแขนผู้เป็นพี่ชายเพราะความหวาดกลัวทันที



                    “ขอบใจนะ” ริมฝีปากหยักเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ก็พอให้สองพี่น้องได้ยิน เด็กหนุ่มผู้พี่ลุกขึ้นยืนไปหยิบน้ำมาให้เขาดื่มก่อนจะถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ


                    “ผมชื่อแบมแบม ส่วนนี่เจโน่น้องชายของผม”


                    “ฉัน...แจ็คสัน หวังแจ็คสัน”


     ริมฝีปากฉ่ำน้ำตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นกว่าปกติ คงเป็นเพราะว่านอนหลับไปเต็มที่เกือบสามวันร่างกายจึงซ่อมแซมอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว



    “หิวใช่ไหม คุณไม่ได้กินอะไรมาตั้งสามวัน เจโน่...ไปตักข้าวมา”


    “ตะ...แต่ว่านั่นมันส่วนของพี่แบมกับของผมเย็นนี้นะครับ”


    “นั่นแหละ ตักมาให้หมดเลย”


    “ค...ครับ”


    เด็กชายตัวเล็กคนนั้นทำตาละห้อยราวกับว่าเย็นนี้จะไม่มีอะไรทานอีกแล้วแต่ก็ยอมเดินออกไปข้างนอกเพื่อตระเตรียมอาหารมาให้กับหวังแจ็คสัน ชายหนุ่มมองความมีน้ำใจของแบมแบมอย่างรู้สึกซาบซึ้งก่อนที่อาหารจะถูกนำมาเสิร์ฟ


    “กินพอประทังความหิวไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะไปจับปลามาย่างเกลือให้เพิ่ม น่าจะทำเป็นมื้อเย็นได้”


    ข้าวสวยเพียงเล็กน้อยซึ่งน้อยกว่าที่แจ็คสันเคยทานทิ้งทานขว้างพร้อมด้วยซุปหางปลาในถ้วยเล็กๆ แจ็คสันเงยหน้ามองความเป็นอยู่ของสองพี่น้องด้วยแววตาสงสาร ทั้งบ้านเก่าพุพังอับชื้นและเสื้อผ้าโทรมๆ การกินอยู่ที่ไม่ค่อยจะสู้ดียิ่งทำให้เขาอยากหาทางตอบแทนสองพี่น้องสำหรับน้ำใจที่มอบให้เขาในวันนี้


    “ทำอะไรของคุณ?”


    มือหนาปลดกำไลข้อมือแบรนด์หรูพร้อมทั้งแหวนราคาแพงทุกวงออกจากนิ้วมือก่อนจะยื่นมันทั้งหมดให้กับสองพี่น้องแบมแบมและเจโน่


    “ฉันยังไม่มีอะไรจะตอบแทนพวกนายในตอนนี้ แต่เอาของพวกนี้ไปขายนะ”


    “บ้าเหรอ ของมีค่าผมไม่รับหรอก”


    แบมแบมคว้ามือเจโน่ที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบกำไลคาเทียร์ แค่มองการแต่งตัวของผู้ชายคนนี้ปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าพอมีตังค์ แต่ถ้าเกิดพวกเขาสองคนเอาไปขายจะไม่ถูกกล่าวหาว่าไปขโมยของของใครเขามาหรอกเหรอ


    “ไม่ได้มีค่าขนาดนั้นหรอก แค่พอซื้อข้าวกินได้ รับๆไปเถอะน่า คิดซะว่าเป็นค่าอาหารมื้อนี้ไง”


    แจ็คสันยัดของทั้งหมดใส่มือแบมแบมพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหย เด็กหนุ่มสองคนพี่น้องต่างหันมองตากันปริบๆแต่ก็ยอมรับมันไว้โดยไม่คิดปฏิเสธ ถ้าหากไม่ได้มีราคาค่างวดมากมายอย่างที่แจ็คสันว่า รับเอาไว้แลกซื้อข้าวมาเก็บไว้กินสักถังก็น่าจะดีเหมือนกัน    


















    100% 

    TBC: เพิ่งเริ่มแต่งครึ่งหลังตอนสามทุ่มครึ่งนี่เอง... Orz มาทันด้วย ตอนหน้าจะไปญี่ปุ่นของจริงละค่ะ

     ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกคนที่แวะมาอ่านนะคะ ขอบคุณมากค่ะ  #ฟิคร้อยตะวัน 



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×